ตอนที่ 521. ฟื้นอำนาจสุมาอี้
ขงเบ้งแม้กรำศึกอยู่ที่เขากิสานซึ่งเป็นแนวหน้าลึกเข้าไปในแดนวุยก๊ก แต่เมื่อด่านเสเป๋งจะเป็นอันตราย จึงจำต้องนำทหารส่วนหนึ่งมาปราบปรามทหารเมืองเสเกี๋ยง เสร็จแล้วจึงรีบยกทัพกลับไปที่เขากิสาน
ฝ่ายโจจิ๋น นับแต่ได้ให้ทหารถือหนังสือและคุมของบรรณาการไปเมืองเสเกี๋ยงแล้วก็ให้ทหารหน่วยสอดแนมติดตามสืบหาข่าวความเคลื่อนไหวของกองทัพเมืองเสฉวน แต่เพราะขงเบ้งลอบยกไปช่วยด่านเสเป๋งในเวลากลางคืน ข่าวคราวจึงมิได้แพร่งพรายไป กว่าที่หน่วยสอดแนมของโจจิ๋นจะทราบข่าวขงเบ้งก็ยกกลับมาที่ค่ายเขากิสานแล้ว ขงเบ้งจึงคิดกลอุบายหวังให้โจจิ๋นยกกองทัพมาโจมตี แล้วล้อมตีกระหนาบในภายหลัง
ดังนั้นเมื่อลอบยกทหารกลับเข้าค่ายเขากิสานในเวลากลางคืนแล้ว ขงเบ้งจึงให้ทหารปลอมตัวเป็นชาวบ้านปล่อยข่าวว่า ขงเบ้งลอบยกทหารไปรบกับทหารเมืองเสเกี๋ยง พอโจจิ๋นได้ทราบข่าวก็มีความยินดี คิดว่าเมื่อขงเบ้งยกทหารไปช่วยด่านเสเป๋ง ทหารในค่ายเขากิสานก็จะเหลือแต่เบาบาง จึงปรึกษากับกุยห้วยว่าจะคิดอ่านประการใด
กุยห้วยจึงว่า ทหารเมืองเสเกี๋ยงมีพละกำลังแข็งแรงผิดกว่าชาวภาคกลาง และมีรถรบเหล็กเป็นจำนวนมาก มีความชำนาญในการจัดขบวนรบด้วยรถรบซึ่งแปลกประหลาดกว่ายุทธวิธีของชาวฮั่น ขงเบ้งยกไปครั้งนี้เห็นจะเสียทีแก่ทหารเมืองเสเกี๋ยงเป็นมั่นคง ชอบที่ท่านจะถือโอกาสนี้ยกกองทัพเข้าตีค่ายของขงเบ้ง เห็นจะได้รับชัยชนะ
โจจิ๋นได้ยินแผนการของกุยห้วยก็เห็นชอบ จึงสั่งให้โจจุ้นเป็นกองหน้า ให้จูจ้านเป็นกองหลัง ส่วนโจจิ๋นและกุยห้วยเป็นกองทัพหลวง ยกไปตีค่ายขงเบ้ง
ฝ่ายขงเบ้ง หลังจากให้ทหารปลอมตัวเป็นชาวบ้านปล่อยข่าวลวงทหารวุยก๊กแล้ว ก็ให้ทหารติดตามสอดแนมความเคลื่อนไหวในค่ายทหารของโจจิ๋น พอเห็นทหารในค่าย โจจิ๋นซึ่งตั้งสงบนิ่งมาเป็นเวลาหลายวันมีการเคลื่อนไหวคึกคักขึ้น จึงนำความกลับมารายงานให้ขงเบ้งทราบ
ขงเบ้งได้ทราบรายงานแล้วก็มีความยินดี กล่าวกับแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าโจจิ๋นคิดประมาทว่าเรามีทหารรักษาค่ายแต่น้อยตัว เห็นจะยกกองทัพมาปล้นค่ายเราในคืนวันนี้ กล่าวแล้วจึงสั่งกวนหินและเตียวเปาว่า ในเวลาใกล้พลบค่ำวันนี้ให้ยกทหารเป็นสองกอง อ้อมไปซุ่มอยู่ในป่าหน้าค่ายของโจจิ๋น เมื่อโจจิ๋นแตกหนีกลับไปจึงค่อยยกเข้าโจมตี อย่าให้โจจิ๋นกลับเข้าค่ายได้
เมื่อกวนหินและเตียวเปาออกไปจัดแจงทหารแล้ว ขงเบ้งจึงสั่งให้จูล่งและอุยเอี๋ยนคุมทหารออกไปซุ่มอยู่ในป่าสองข้างทางด้านหลังค่าย ถ้ากองทัพวุยก๊กยกมาถึงก็ให้ยกตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน ตัวขงเบ้งคุมทหารออกจากค่ายขึ้นไปตั้งซุ่มสังเกตการณ์อยู่บนเนินเขา
เวลาปลายยามหนึ่งของคืนนั้น โจจุ้นได้คุมทหารวุยก๊กเป็นกองหน้ายกมาถึงหน้าค่ายของขงเบ้ง เห็นทหารรักษาค่ายมีจำนวนน้อย และไม่เอาใจใส่เวรยาม ก็สรรเสริญความคิดของกุยห้วยเป็นอันมากว่าเล็งการสงครามแม่นยำดุจตาเห็น จึงสั่งทหารให้หักเข้าตีค่าย
ทหารในค่ายของขงเบ้งพอถูกทหารวุยก๊กบุกเข้าตีก็ทำทีแตกหนีไปทางด้านหลังค่าย โจจุ้นเห็นได้ทีก็พาทหารบุกเข้าไปในค่าย แล้วไล่ตามตีทะลุไปทางด้านหลัง จนพ้นด้านหลังค่ายไปถึงทางน้อยแห่งหนึ่ง เห็นเงียบสงัดวังเวงก็รู้สึกผิดปกติ จึงสั่งทหารให้หยุดตาม ในทันใดนั้นแสงไฟก็สว่างพรึบขึ้นทั้งสองข้างทาง
โจจุ้นเห็นดังนั้นก็ตกใจ จะออกคำสั่งให้ทหารเร่งถอยกลับ แต่อุยเอี๋ยนได้คุมทหารจ๊กก๊กจู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตัวอุยเอี๋ยนขี่ม้าตรงเข้ามาที่โจจุ้น แล้วร้องบอกโจจุ้นว่า ไอ้โจรร้าย มึงต้องกลขงเบ้งแล้ว จะหนีไปไหนพ้น
อุยเอี๋ยนขี่ม้ารุดเข้ามาถึงตัวโจจุ้นในพริบตา โจจุ้นเห็นดังนั้นจึงหันม้าเข้ารบกับอุยเอี๋ยน แต่เพียงสามเพลงอุยเอี๋ยนก็เอาดาบฟันโจจุ้นตัวขาดสองท่อนพลัดตกลงจากหลังม้าถึงแก่ความตาย
ฝ่ายจูจ้านยกกองทัพหนุนตามโจจุ้นมา เห็นกองหน้าของโจจุ้นปะทะกับทหารจ๊กก๊กก็เกรงว่าจะเสียที จึงสั่งทหารให้รีบหนุนไปช่วย ทันใดนั้นจูล่งก็คุมทหารออกมาจากป่าสองข้างทาง สกัดขวางหน้ากองทหารของจูจ้านไว้
จูจ้านเห็นจูล่งก็ตกใจ รีบชักม้าหนี แต่จูล่งบังคับม้าให้จู่โจมเข้าไปอย่างรวดเร็วจนทันจูจ้าน แล้วเอาทวนแทงถูกจูจ้านตกม้าตาย
ในขณะนั้นโจจิ๋นและกุยห้วยยกกองทัพหลวงใกล้จะมาถึงค่ายขงเบ้ง ก็สวนทางกับทหารของโจจุ้นและจูจ้านที่แตกหนี พอทราบความว่าต้องกลของขงเบ้งก็ตกใจ รีบพาทหารจะกลับไปค่าย
โจจิ๋นและกุยห้วยคุมทหารล่าถอยจะถึงค่ายใกล้เพียงสามเส้น กองทหารของกวนหินและเตียวเปาก็ยกออกมาจากแนวป่า จุดคบเพลิงและโห่ร้องตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน โจจิ๋นเห็นดังนั้นก็ตกใจ เร่งทหารให้ตีฝ่าจะเข้าไปในค่าย แต่ทหารของกวนหินและเตียวเปาซึ่งคุมเชิงกุมสถานการณ์เป็นอย่างดี ได้หนุนเนื่องตีสกัดอย่างดุเดือดและรวดเร็ว ฆ่าฟันทหารของโจจิ๋นบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก
โจจิ๋นและกุยห้วยเห็นว่าทหารจ๊กก๊กที่สกัดขวางไม่ให้เข้าค่ายหนุนเนื่องมาเป็นอันมาก ก็ยิ่งเร่งทหารให้โหมตีฝ่าออกไป จนเวลาเกือบสองยามก็ได้ยินเสียงทหารจ๊กก๊กซึ่งไล่ติดตามมาหนุนเนื่องมาทางด้านหลัง โจจิ๋นเห็นจะหักเข้าค่ายไม่ได้จึงสั่งทหารให้ตีฝ่าแนวล้อมหนีไปทางด้านแม่น้ำอุยโห ทหารจ๊กก๊กได้ไล่ตามตีไปอีกเกือบร้อยเส้นจึงยกกลับ
โจจิ๋นพาทหารหนีไปจนพ้นการติดตามแล้ว จึงสั่งให้ทหารข้ามแม่น้ำอุยโหกลับไปยังอีกฟากหนึ่งแล้วตั้งค่ายไว้ที่ฟากตะวันออก และแต่งฎีกาให้ทหารถือกลับไปเมืองลกเอี๋ยง กราบบังคมทูลให้พระเจ้าโจยอยทราบความศึกทุกประการ
พระเจ้าโจยอยทราบฎีกาของโจจิ๋นแล้วตกพระทัย เพราะหวังในพระทัยว่าโจจิ๋นเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร มีประสบการณ์ในการสงครามมาแต่ก่อนเป็นอันมาก การที่โจจิ๋นปราชัยแก่ขงเบ้งย่อมเป็นอันตรายต่อวุยก๊กอย่างใหญ่หลวง ทั้งกองทัพของขงเบ้งซึ่งตั้งมั่นอยู่ที่เขากิสานเมื่อได้ชัยชนะแล้วเห็นจะกำเริบยกกองทัพล่วงลึกเข้ามาถึงเมืองเตียงอันเป็นแน่แท้
พระเจ้าโจยอยจึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่าจะคิดอ่านประการใด ฮัวหิมซึ่งเป็น สมุหนายกได้กราบบังคมทูลว่า เมื่อขงเบ้งยกล่วงมาถึงเพียงนี้ย่อมควรที่พระองค์จะได้แต่งทัพกษัตริย์ยกออกไปรบกับขงเบ้ง ให้เป็นขวัญและกำลังใจแก่ทหารทั้งปวง เมื่อพระองค์ยกกองทัพไปด้วยพระองค์เองแล้ว ทุกเหล่าทัพก็จะทำการรบพุ่งเต็มกำลังฝืมือ เห็นจะได้ชัยชนะแก่กองทัพจ๊กก๊ก
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำกราบทูลของฮัวหิมดังนั้นก็ไม่ต้องพระทัย เพราะรู้พระองค์ดีว่าถึงแม้จะคุมกองทัพเป็นทัพกษัตริย์ยกไปด้วยพระองค์เอง ก็หาใช่คู่มือต่อสู้กับขงเบ้งไม่ จึงทอดพระเนตรไปที่บรรดาขุนนางทั้งปวง
จงฮิวซึ่งเป็นขุนนางอาวุโสเห็นดังนั้นจึงกราบทูลว่า “ผู้จะเป็นนายทัพนายกองทั้งปวง ให้รู้จักทีเสียทีได้ เอาใจบำรุงทแกล้วทหารทั้งปวง ถ้าผู้ใดมีความชอบก็ปูนบำเหน็จให้ถึงขนาด ถ้ากระทำผิดก็ให้ลงโทษตามอาญาแม่ทัพ อันโจจิ๋นนี้เป็นผู้ใหญ่ เคยทำราชการมาก็จริง แต่มิใช่คู่มือกับขงเบ้ง ข้าพเจ้าเห็นทหารคนหนึ่งมีฝีมือเข้มขัน แม้พระองค์โปรดให้ออกรบกับขงเบ้งแล้ว ถ้าเสียทีแตกพ่ายเข้ามา ข้าพเจ้าจะประกันถวายศีรษะสิ้นทั้งโคตร แต่เกรงพระองค์จะไม่เห็นด้วย”
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำกราบทูลดังนั้น ก็รู้ว่าจงฮิวประชดประชันฮัวหิมที่เป็นถึง สมุหนายก เป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวงแล้ว ยังประพฤติตนไม่ตั้งอยู่ในความยุติธรรม มักส่งเสริมให้คนชั่วมีอำนาจ ไม่ส่งเสริมคนดีมีปัญญาให้มีตำแหน่งสำคัญในบ้านเมือง ใครเป็นพวกก็มักปกป้องทำผิดให้เป็นถูก ใครที่ไม่ใช่พวกก็มักทำถูกให้เป็นผิด ปลดปลิดออกจากตำแหน่ง แล้วเอาสมัครพรรคพวกหรือผู้ที่มาวิ่งเต้นซื้อตำแหน่งเข้ามาแทนที่ มิหนำซ้ำผู้เป็นศรีภรรยาและญาติวงศ์ก็ได้ตั้งศูนย์การค้าขายตำแหน่งและโครงการต่าง ๆ จนเกิดความสับสนอลหม่านขึ้นในบ้านเมือง แต่น้ำเนื้อคำกราบทูลของจงฮิวนั้นหนักหน่วงว่าวุยก๊กยังมีนายทหารผู้มีสติปัญญาแลฝีมือที่จะต่อสู้กับขงเบ้งได้ แต่เก็บงำไว้ไม่เอ่ยนาม ก็ทรงรู้สึกสนพระทัยในคำทูลนั้น
พระเจ้าโจยอยจึงตรัสว่า กองทัพของขงเบ้งยกล่วงมาถึงเพียงนี้ ไม่เห็นมีผู้ใดที่จะอาสาสู้รบแล้ว หากท่านเห็นผู้ใดในแผ่นดินที่มีสติปัญญาสามารถต่อสู้กับขงเบ้งได้ ต่อให้เป็นคนโทษถึงประหารชีวิตเราก็จะอภัยโทษ แล้วจะให้คุมกองทัพไปรบกับขงเบ้ง จงรีบบอกมา อย่าเกรงใจเลย
จงฮิวได้ฟังคำตรัสดังนั้นก็นึกสรรเสริญในใจว่า พระเจ้าโจยอยนี้แม้พระชนม์มายุยังเจริญอยู่ในวัยหนุ่ม แต่สมเป็นพระมหากษัตริย์ รู้การหนักเบาของแผ่นดินยิ่งนัก สิ่งที่ เกรงขามอยู่ในใจจึงหมดไป จงฮิวจึงกราบทูลว่า “อันขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวงนี้ ข้าพเจ้ามิได้เห็นผู้ใด เห็นก็แต่สุมาอี้ผู้เดียว มีสติปัญญาหลักแหลม พอจะเอาชัยชนะขงเบ้งได้”
พระเจ้าโจยอยได้ยินนามสุมาอี้ก็ทรงอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง เพราะเป็นนายทหารซึ่งพระเจ้าวุยอ๋องทรงเตือนว่าถ้ามีอำนาจทางการทหารแล้วจะเป็นอันตรายต่อบ้านเมือง และพระองค์เองเป็นผู้โปรดให้สุมาอี้พ้นจากทุกตำแหน่งเมื่อครั้งที่เสด็จประพาสเยือนชายแดนเมืองเสเหลียง
พระเจ้าโจยอยตรองพระทัยอยู่ครู่หนึ่งก็ตรัสว่า บ้านเมืองเข้าชะตาคับขันแล้ว ท่านเสนอมาดังนี้ชอบด้วยสถานการณ์ เราก็เห็นด้วย แต่ว่าบัดนี้สุมาอี้ออกจากราชการแล้วไม่รู้ว่าไปอยู่แห่งหนตำบลใด
จงฮิวจึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์ได้ทราบข่าวว่าสุมาอี้ได้อพยพไปทำมาหากินตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองอ้วนเซีย ขอให้พระองค์มีพระบรมราชโองการเรียกสุมาอี้เข้ารับราชการ แล้วให้ยกไปรับมือกับขงเบ้งที่เขากิสานเถิด
พระเจ้าโจยอยทรงเห็นชอบกับข้อเสนอของจงฮิว จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้สุมาอี้เป็นขุนนาง ครองตำแหน่งดังเก่าทุกประการ และทรงตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ยกทหารไปรบกับขงเบ้ง โดยให้ยกกองทัพไปบรรจบกับกองทัพหลวงที่เมืองเตียงอันก่อน แล้วค่อยยกไปที่เขากิสาน
เมื่อทำพระบรมราชโองการเสร็จแล้ว จึงโปรดให้ข้าราชสำนักผู้มีหน้าที่เชิญพระบรมราชโองการนั้นไปเมืองอ้วนเซียเพื่อมอบแก่สุมาอี้
ฝ่ายขงเบ้งครั้นได้ชัยชนะแก่กองทัพของโจจิ๋นแล้ว จึงสั่งให้เคลื่อนทัพเข้าไปตั้งอยู่ในค่ายเก่าของโจจิ๋น ซึ่งตั้งอยู่คนละฟากฝั่งแม่น้ำอุยโหกับค่ายใหม่ของโจจิ๋น แล้วให้บำรุงทแกล้วทหารเตรียมที่จะยกพลข้ามแม่น้ำอุยโหรุกเข้าตีเมืองเตียงอันต่อไป
วันหนึ่งทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานแก่ขงเบ้งว่า ลิเงียมซึ่งอยู่เมืองเตงอั๋นได้ให้ลิอ๋องผู้บุตรมาพบท่าน
ขงเบ้งได้ฟังรายงานก็หลากใจว่า ซึ่งลิเงียมให้บุตรมาหาเราถึงที่นี่ หรือชะรอยชาวเมืองกังตั๋งจะยกทหารมารุกรานเมืองเสฉวน จึงรีบให้ทหารออกไปเชิญลิอ๋องเข้ามาพบที่ข้างใน แล้วถามว่าลิเงียมให้ท่านเดินทางมาหาเราที่นี่ด้วยธุระสิ่งใด
ลิอ๋องจึงแจ้งแก่ขงเบ้งว่า บิดาให้ข้าพเจ้านำความมารายงานแก่มหาอุปราชว่า เบ้งตัดซึ่งเป็นขุนนางเก่าในพระเจ้าเล่าปี่ ต่อมาได้แปรพักตร์ไปเข้ากับวุยก๊ก และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองซงหยงนั้น เบ้งตัดได้ไปหาลิเงียมแล้วบอกว่าที่ไปเข้าด้วยวุยก๊กก็เพราะความจำใจ เมื่อครั้งพระเจ้าโจผีเสวยราชสมบัติ ทรงเห็นว่าเบ้งตัดมีสติปัญญา จึงทรงโปรดปรานพระราชทานข้าวของเป็นจำนวนมากตลอดมา ทำให้ขุนนางของวุยก๊กมีความอิจฉาริษยาเบ้งตัดเป็นอันมาก ครั้นพระเจ้าโจผีสิ้นพระชนม์ พระเจ้าโจยอยได้ราชสมบัติแล้วก็มิได้โปรดปรานเบ้งตัดดังแต่ก่อน บรรดาขุนนางที่อิจฉาริษยาได้โอกาสกราบทูลใส่ร้ายนานาประการ ทำให้เบ้งตัดได้ความเดือดร้อนเป็นอันมาก แล้วคิดถึงคุณของพระเจ้าเล่าปี่และมหาอุปราชที่ได้เคยทำนุบำรุงกันมาแต่ก่อน จึงมาขอออกกับบิดาข้าพเจ้า.
ฝ่ายโจจิ๋น นับแต่ได้ให้ทหารถือหนังสือและคุมของบรรณาการไปเมืองเสเกี๋ยงแล้วก็ให้ทหารหน่วยสอดแนมติดตามสืบหาข่าวความเคลื่อนไหวของกองทัพเมืองเสฉวน แต่เพราะขงเบ้งลอบยกไปช่วยด่านเสเป๋งในเวลากลางคืน ข่าวคราวจึงมิได้แพร่งพรายไป กว่าที่หน่วยสอดแนมของโจจิ๋นจะทราบข่าวขงเบ้งก็ยกกลับมาที่ค่ายเขากิสานแล้ว ขงเบ้งจึงคิดกลอุบายหวังให้โจจิ๋นยกกองทัพมาโจมตี แล้วล้อมตีกระหนาบในภายหลัง
ดังนั้นเมื่อลอบยกทหารกลับเข้าค่ายเขากิสานในเวลากลางคืนแล้ว ขงเบ้งจึงให้ทหารปลอมตัวเป็นชาวบ้านปล่อยข่าวว่า ขงเบ้งลอบยกทหารไปรบกับทหารเมืองเสเกี๋ยง พอโจจิ๋นได้ทราบข่าวก็มีความยินดี คิดว่าเมื่อขงเบ้งยกทหารไปช่วยด่านเสเป๋ง ทหารในค่ายเขากิสานก็จะเหลือแต่เบาบาง จึงปรึกษากับกุยห้วยว่าจะคิดอ่านประการใด
กุยห้วยจึงว่า ทหารเมืองเสเกี๋ยงมีพละกำลังแข็งแรงผิดกว่าชาวภาคกลาง และมีรถรบเหล็กเป็นจำนวนมาก มีความชำนาญในการจัดขบวนรบด้วยรถรบซึ่งแปลกประหลาดกว่ายุทธวิธีของชาวฮั่น ขงเบ้งยกไปครั้งนี้เห็นจะเสียทีแก่ทหารเมืองเสเกี๋ยงเป็นมั่นคง ชอบที่ท่านจะถือโอกาสนี้ยกกองทัพเข้าตีค่ายของขงเบ้ง เห็นจะได้รับชัยชนะ
โจจิ๋นได้ยินแผนการของกุยห้วยก็เห็นชอบ จึงสั่งให้โจจุ้นเป็นกองหน้า ให้จูจ้านเป็นกองหลัง ส่วนโจจิ๋นและกุยห้วยเป็นกองทัพหลวง ยกไปตีค่ายขงเบ้ง
ฝ่ายขงเบ้ง หลังจากให้ทหารปลอมตัวเป็นชาวบ้านปล่อยข่าวลวงทหารวุยก๊กแล้ว ก็ให้ทหารติดตามสอดแนมความเคลื่อนไหวในค่ายทหารของโจจิ๋น พอเห็นทหารในค่าย โจจิ๋นซึ่งตั้งสงบนิ่งมาเป็นเวลาหลายวันมีการเคลื่อนไหวคึกคักขึ้น จึงนำความกลับมารายงานให้ขงเบ้งทราบ
ขงเบ้งได้ทราบรายงานแล้วก็มีความยินดี กล่าวกับแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าโจจิ๋นคิดประมาทว่าเรามีทหารรักษาค่ายแต่น้อยตัว เห็นจะยกกองทัพมาปล้นค่ายเราในคืนวันนี้ กล่าวแล้วจึงสั่งกวนหินและเตียวเปาว่า ในเวลาใกล้พลบค่ำวันนี้ให้ยกทหารเป็นสองกอง อ้อมไปซุ่มอยู่ในป่าหน้าค่ายของโจจิ๋น เมื่อโจจิ๋นแตกหนีกลับไปจึงค่อยยกเข้าโจมตี อย่าให้โจจิ๋นกลับเข้าค่ายได้
เมื่อกวนหินและเตียวเปาออกไปจัดแจงทหารแล้ว ขงเบ้งจึงสั่งให้จูล่งและอุยเอี๋ยนคุมทหารออกไปซุ่มอยู่ในป่าสองข้างทางด้านหลังค่าย ถ้ากองทัพวุยก๊กยกมาถึงก็ให้ยกตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน ตัวขงเบ้งคุมทหารออกจากค่ายขึ้นไปตั้งซุ่มสังเกตการณ์อยู่บนเนินเขา
เวลาปลายยามหนึ่งของคืนนั้น โจจุ้นได้คุมทหารวุยก๊กเป็นกองหน้ายกมาถึงหน้าค่ายของขงเบ้ง เห็นทหารรักษาค่ายมีจำนวนน้อย และไม่เอาใจใส่เวรยาม ก็สรรเสริญความคิดของกุยห้วยเป็นอันมากว่าเล็งการสงครามแม่นยำดุจตาเห็น จึงสั่งทหารให้หักเข้าตีค่าย
ทหารในค่ายของขงเบ้งพอถูกทหารวุยก๊กบุกเข้าตีก็ทำทีแตกหนีไปทางด้านหลังค่าย โจจุ้นเห็นได้ทีก็พาทหารบุกเข้าไปในค่าย แล้วไล่ตามตีทะลุไปทางด้านหลัง จนพ้นด้านหลังค่ายไปถึงทางน้อยแห่งหนึ่ง เห็นเงียบสงัดวังเวงก็รู้สึกผิดปกติ จึงสั่งทหารให้หยุดตาม ในทันใดนั้นแสงไฟก็สว่างพรึบขึ้นทั้งสองข้างทาง
โจจุ้นเห็นดังนั้นก็ตกใจ จะออกคำสั่งให้ทหารเร่งถอยกลับ แต่อุยเอี๋ยนได้คุมทหารจ๊กก๊กจู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตัวอุยเอี๋ยนขี่ม้าตรงเข้ามาที่โจจุ้น แล้วร้องบอกโจจุ้นว่า ไอ้โจรร้าย มึงต้องกลขงเบ้งแล้ว จะหนีไปไหนพ้น
อุยเอี๋ยนขี่ม้ารุดเข้ามาถึงตัวโจจุ้นในพริบตา โจจุ้นเห็นดังนั้นจึงหันม้าเข้ารบกับอุยเอี๋ยน แต่เพียงสามเพลงอุยเอี๋ยนก็เอาดาบฟันโจจุ้นตัวขาดสองท่อนพลัดตกลงจากหลังม้าถึงแก่ความตาย
ฝ่ายจูจ้านยกกองทัพหนุนตามโจจุ้นมา เห็นกองหน้าของโจจุ้นปะทะกับทหารจ๊กก๊กก็เกรงว่าจะเสียที จึงสั่งทหารให้รีบหนุนไปช่วย ทันใดนั้นจูล่งก็คุมทหารออกมาจากป่าสองข้างทาง สกัดขวางหน้ากองทหารของจูจ้านไว้
จูจ้านเห็นจูล่งก็ตกใจ รีบชักม้าหนี แต่จูล่งบังคับม้าให้จู่โจมเข้าไปอย่างรวดเร็วจนทันจูจ้าน แล้วเอาทวนแทงถูกจูจ้านตกม้าตาย
ในขณะนั้นโจจิ๋นและกุยห้วยยกกองทัพหลวงใกล้จะมาถึงค่ายขงเบ้ง ก็สวนทางกับทหารของโจจุ้นและจูจ้านที่แตกหนี พอทราบความว่าต้องกลของขงเบ้งก็ตกใจ รีบพาทหารจะกลับไปค่าย
โจจิ๋นและกุยห้วยคุมทหารล่าถอยจะถึงค่ายใกล้เพียงสามเส้น กองทหารของกวนหินและเตียวเปาก็ยกออกมาจากแนวป่า จุดคบเพลิงและโห่ร้องตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน โจจิ๋นเห็นดังนั้นก็ตกใจ เร่งทหารให้ตีฝ่าจะเข้าไปในค่าย แต่ทหารของกวนหินและเตียวเปาซึ่งคุมเชิงกุมสถานการณ์เป็นอย่างดี ได้หนุนเนื่องตีสกัดอย่างดุเดือดและรวดเร็ว ฆ่าฟันทหารของโจจิ๋นบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก
โจจิ๋นและกุยห้วยเห็นว่าทหารจ๊กก๊กที่สกัดขวางไม่ให้เข้าค่ายหนุนเนื่องมาเป็นอันมาก ก็ยิ่งเร่งทหารให้โหมตีฝ่าออกไป จนเวลาเกือบสองยามก็ได้ยินเสียงทหารจ๊กก๊กซึ่งไล่ติดตามมาหนุนเนื่องมาทางด้านหลัง โจจิ๋นเห็นจะหักเข้าค่ายไม่ได้จึงสั่งทหารให้ตีฝ่าแนวล้อมหนีไปทางด้านแม่น้ำอุยโห ทหารจ๊กก๊กได้ไล่ตามตีไปอีกเกือบร้อยเส้นจึงยกกลับ
โจจิ๋นพาทหารหนีไปจนพ้นการติดตามแล้ว จึงสั่งให้ทหารข้ามแม่น้ำอุยโหกลับไปยังอีกฟากหนึ่งแล้วตั้งค่ายไว้ที่ฟากตะวันออก และแต่งฎีกาให้ทหารถือกลับไปเมืองลกเอี๋ยง กราบบังคมทูลให้พระเจ้าโจยอยทราบความศึกทุกประการ
พระเจ้าโจยอยทราบฎีกาของโจจิ๋นแล้วตกพระทัย เพราะหวังในพระทัยว่าโจจิ๋นเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร มีประสบการณ์ในการสงครามมาแต่ก่อนเป็นอันมาก การที่โจจิ๋นปราชัยแก่ขงเบ้งย่อมเป็นอันตรายต่อวุยก๊กอย่างใหญ่หลวง ทั้งกองทัพของขงเบ้งซึ่งตั้งมั่นอยู่ที่เขากิสานเมื่อได้ชัยชนะแล้วเห็นจะกำเริบยกกองทัพล่วงลึกเข้ามาถึงเมืองเตียงอันเป็นแน่แท้
พระเจ้าโจยอยจึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่าจะคิดอ่านประการใด ฮัวหิมซึ่งเป็น สมุหนายกได้กราบบังคมทูลว่า เมื่อขงเบ้งยกล่วงมาถึงเพียงนี้ย่อมควรที่พระองค์จะได้แต่งทัพกษัตริย์ยกออกไปรบกับขงเบ้ง ให้เป็นขวัญและกำลังใจแก่ทหารทั้งปวง เมื่อพระองค์ยกกองทัพไปด้วยพระองค์เองแล้ว ทุกเหล่าทัพก็จะทำการรบพุ่งเต็มกำลังฝืมือ เห็นจะได้ชัยชนะแก่กองทัพจ๊กก๊ก
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำกราบทูลของฮัวหิมดังนั้นก็ไม่ต้องพระทัย เพราะรู้พระองค์ดีว่าถึงแม้จะคุมกองทัพเป็นทัพกษัตริย์ยกไปด้วยพระองค์เอง ก็หาใช่คู่มือต่อสู้กับขงเบ้งไม่ จึงทอดพระเนตรไปที่บรรดาขุนนางทั้งปวง
จงฮิวซึ่งเป็นขุนนางอาวุโสเห็นดังนั้นจึงกราบทูลว่า “ผู้จะเป็นนายทัพนายกองทั้งปวง ให้รู้จักทีเสียทีได้ เอาใจบำรุงทแกล้วทหารทั้งปวง ถ้าผู้ใดมีความชอบก็ปูนบำเหน็จให้ถึงขนาด ถ้ากระทำผิดก็ให้ลงโทษตามอาญาแม่ทัพ อันโจจิ๋นนี้เป็นผู้ใหญ่ เคยทำราชการมาก็จริง แต่มิใช่คู่มือกับขงเบ้ง ข้าพเจ้าเห็นทหารคนหนึ่งมีฝีมือเข้มขัน แม้พระองค์โปรดให้ออกรบกับขงเบ้งแล้ว ถ้าเสียทีแตกพ่ายเข้ามา ข้าพเจ้าจะประกันถวายศีรษะสิ้นทั้งโคตร แต่เกรงพระองค์จะไม่เห็นด้วย”
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำกราบทูลดังนั้น ก็รู้ว่าจงฮิวประชดประชันฮัวหิมที่เป็นถึง สมุหนายก เป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวงแล้ว ยังประพฤติตนไม่ตั้งอยู่ในความยุติธรรม มักส่งเสริมให้คนชั่วมีอำนาจ ไม่ส่งเสริมคนดีมีปัญญาให้มีตำแหน่งสำคัญในบ้านเมือง ใครเป็นพวกก็มักปกป้องทำผิดให้เป็นถูก ใครที่ไม่ใช่พวกก็มักทำถูกให้เป็นผิด ปลดปลิดออกจากตำแหน่ง แล้วเอาสมัครพรรคพวกหรือผู้ที่มาวิ่งเต้นซื้อตำแหน่งเข้ามาแทนที่ มิหนำซ้ำผู้เป็นศรีภรรยาและญาติวงศ์ก็ได้ตั้งศูนย์การค้าขายตำแหน่งและโครงการต่าง ๆ จนเกิดความสับสนอลหม่านขึ้นในบ้านเมือง แต่น้ำเนื้อคำกราบทูลของจงฮิวนั้นหนักหน่วงว่าวุยก๊กยังมีนายทหารผู้มีสติปัญญาแลฝีมือที่จะต่อสู้กับขงเบ้งได้ แต่เก็บงำไว้ไม่เอ่ยนาม ก็ทรงรู้สึกสนพระทัยในคำทูลนั้น
พระเจ้าโจยอยจึงตรัสว่า กองทัพของขงเบ้งยกล่วงมาถึงเพียงนี้ ไม่เห็นมีผู้ใดที่จะอาสาสู้รบแล้ว หากท่านเห็นผู้ใดในแผ่นดินที่มีสติปัญญาสามารถต่อสู้กับขงเบ้งได้ ต่อให้เป็นคนโทษถึงประหารชีวิตเราก็จะอภัยโทษ แล้วจะให้คุมกองทัพไปรบกับขงเบ้ง จงรีบบอกมา อย่าเกรงใจเลย
จงฮิวได้ฟังคำตรัสดังนั้นก็นึกสรรเสริญในใจว่า พระเจ้าโจยอยนี้แม้พระชนม์มายุยังเจริญอยู่ในวัยหนุ่ม แต่สมเป็นพระมหากษัตริย์ รู้การหนักเบาของแผ่นดินยิ่งนัก สิ่งที่ เกรงขามอยู่ในใจจึงหมดไป จงฮิวจึงกราบทูลว่า “อันขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวงนี้ ข้าพเจ้ามิได้เห็นผู้ใด เห็นก็แต่สุมาอี้ผู้เดียว มีสติปัญญาหลักแหลม พอจะเอาชัยชนะขงเบ้งได้”
พระเจ้าโจยอยได้ยินนามสุมาอี้ก็ทรงอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง เพราะเป็นนายทหารซึ่งพระเจ้าวุยอ๋องทรงเตือนว่าถ้ามีอำนาจทางการทหารแล้วจะเป็นอันตรายต่อบ้านเมือง และพระองค์เองเป็นผู้โปรดให้สุมาอี้พ้นจากทุกตำแหน่งเมื่อครั้งที่เสด็จประพาสเยือนชายแดนเมืองเสเหลียง
พระเจ้าโจยอยตรองพระทัยอยู่ครู่หนึ่งก็ตรัสว่า บ้านเมืองเข้าชะตาคับขันแล้ว ท่านเสนอมาดังนี้ชอบด้วยสถานการณ์ เราก็เห็นด้วย แต่ว่าบัดนี้สุมาอี้ออกจากราชการแล้วไม่รู้ว่าไปอยู่แห่งหนตำบลใด
จงฮิวจึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์ได้ทราบข่าวว่าสุมาอี้ได้อพยพไปทำมาหากินตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองอ้วนเซีย ขอให้พระองค์มีพระบรมราชโองการเรียกสุมาอี้เข้ารับราชการ แล้วให้ยกไปรับมือกับขงเบ้งที่เขากิสานเถิด
พระเจ้าโจยอยทรงเห็นชอบกับข้อเสนอของจงฮิว จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้สุมาอี้เป็นขุนนาง ครองตำแหน่งดังเก่าทุกประการ และทรงตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ยกทหารไปรบกับขงเบ้ง โดยให้ยกกองทัพไปบรรจบกับกองทัพหลวงที่เมืองเตียงอันก่อน แล้วค่อยยกไปที่เขากิสาน
เมื่อทำพระบรมราชโองการเสร็จแล้ว จึงโปรดให้ข้าราชสำนักผู้มีหน้าที่เชิญพระบรมราชโองการนั้นไปเมืองอ้วนเซียเพื่อมอบแก่สุมาอี้
ฝ่ายขงเบ้งครั้นได้ชัยชนะแก่กองทัพของโจจิ๋นแล้ว จึงสั่งให้เคลื่อนทัพเข้าไปตั้งอยู่ในค่ายเก่าของโจจิ๋น ซึ่งตั้งอยู่คนละฟากฝั่งแม่น้ำอุยโหกับค่ายใหม่ของโจจิ๋น แล้วให้บำรุงทแกล้วทหารเตรียมที่จะยกพลข้ามแม่น้ำอุยโหรุกเข้าตีเมืองเตียงอันต่อไป
วันหนึ่งทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานแก่ขงเบ้งว่า ลิเงียมซึ่งอยู่เมืองเตงอั๋นได้ให้ลิอ๋องผู้บุตรมาพบท่าน
ขงเบ้งได้ฟังรายงานก็หลากใจว่า ซึ่งลิเงียมให้บุตรมาหาเราถึงที่นี่ หรือชะรอยชาวเมืองกังตั๋งจะยกทหารมารุกรานเมืองเสฉวน จึงรีบให้ทหารออกไปเชิญลิอ๋องเข้ามาพบที่ข้างใน แล้วถามว่าลิเงียมให้ท่านเดินทางมาหาเราที่นี่ด้วยธุระสิ่งใด
ลิอ๋องจึงแจ้งแก่ขงเบ้งว่า บิดาให้ข้าพเจ้านำความมารายงานแก่มหาอุปราชว่า เบ้งตัดซึ่งเป็นขุนนางเก่าในพระเจ้าเล่าปี่ ต่อมาได้แปรพักตร์ไปเข้ากับวุยก๊ก และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองซงหยงนั้น เบ้งตัดได้ไปหาลิเงียมแล้วบอกว่าที่ไปเข้าด้วยวุยก๊กก็เพราะความจำใจ เมื่อครั้งพระเจ้าโจผีเสวยราชสมบัติ ทรงเห็นว่าเบ้งตัดมีสติปัญญา จึงทรงโปรดปรานพระราชทานข้าวของเป็นจำนวนมากตลอดมา ทำให้ขุนนางของวุยก๊กมีความอิจฉาริษยาเบ้งตัดเป็นอันมาก ครั้นพระเจ้าโจผีสิ้นพระชนม์ พระเจ้าโจยอยได้ราชสมบัติแล้วก็มิได้โปรดปรานเบ้งตัดดังแต่ก่อน บรรดาขุนนางที่อิจฉาริษยาได้โอกาสกราบทูลใส่ร้ายนานาประการ ทำให้เบ้งตัดได้ความเดือดร้อนเป็นอันมาก แล้วคิดถึงคุณของพระเจ้าเล่าปี่และมหาอุปราชที่ได้เคยทำนุบำรุงกันมาแต่ก่อน จึงมาขอออกกับบิดาข้าพเจ้า.