ตอนที่ 520. อุบาย "ลวงให้เหลิง"
โจจิ๋นเสียทีแก่ขงเบ้งถึงสองครั้ง จึงมีหนังสือพร้อมกับแต่งของบรรณาการไปเมืองเสเกี๋ยง ขอให้เตียดลิเกียดเจ้าเมืองยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวนทางด่านเสเป๋ง ขงเบ้งจึงให้กวนหิน เตียวเปา และม้าต้าย ยกทหารห้าหมื่นไปช่วยป้องกันรักษาด่าน กวนหินถูกทหารเกวียนเหล็กล้อมไว้อย่างแน่นหนา และขับม้าหนีวนอยู่ในวงล้อมจนเวลาค่ำ
กวนหินพอรู้ตัวว่าถูกออดกิดขี่ม้าไล่กวดมาใกล้ถึงตัว ก็กระตุ้นม้าให้เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ม้ากวนหินถูกกระตุ้นจึงพุ่งปราดออกไปข้างหน้า ฆ้อนใหญ่ของออดกิดจึงพลาดเป้าจากแผ่นหลังของกวนหิน ถูกหลังม้าซึ่งกวนหินขี่ล้มลง กวนหินกระเด็นจากหลังม้าพลัดจมลงไปในหนองน้ำ
แต่น้ำริมหนองนั้นยังตื้นเขิน พอเท้ากวนหินหยั่งพื้นได้ก็รีบลุกขึ้น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงชุลมุนอื้ออึงบนริมหนอง และเห็นออดกิดกระเด็นตกจากหลังม้าพลัดลงมาในหนองอย่างเดียวกัน
กวนหินตั้งหลักในหนองน้ำได้ก่อนจึงชักดาบออกจะฟันออดกิด ออดกิดกำลังตกใจเพราะไม่รู้ว่ามีผู้ใดไล่ฆ่าฟัน จนม้าสะดุดกระเด็นตกลงมาในน้ำแต่ตัวเปล่า เห็น กวนหินชักดาบจะฟันดังนั้นก็รีบดำน้ำว่ายหนีไปในท่ามกลางความมืดของราตรี ในขณะที่บนริมหนองน้ำนั้นทหารของออดกิดก็แตกตื่นหนีกระสานซ่านเซ็นไป
กวนหินเห็นบนริมหนองปลอดผู้คนจึงขึ้นจากหนองน้ำไปบนบก เห็นม้าของออดกิดยืนอยู่ที่ริมหนอง จึงเอาม้าออดกิดนั้นมาขี่ มองตามขึ้นไป “เห็นทหารผู้ใหญ่คนหนึ่งไล่ฟันทหารออดกิด จึงคิดว่าผู้ใดมาช่วยชีวิตเราครั้งนี้ มีคุณต่อเราเป็นอันมาก เราจะดูให้รู้จักไว้ เมื่อสำเร็จราชการแล้วจะได้แทนคุณเขา”
กวนหินคิดดังนั้นแล้วจึงขี่ม้าไปทางทหารผู้นั้น แล้วเห็นทหารนั้นอยู่ในกลุ่มหมอกบางเบากลุ่มใหญ่กำลังขี่ม้าย้อนกลับมา สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พรรณนาว่ากวนหิน “เห็นรูปกวนอูหน้าแดง คิ้วขาว ห่มเสื้อเขียว ใส่เกราะทอง ขี่ม้าเซ็กเธาว์ มือขวาถือง้าว มือซ้ายลูบหนวด ลอยอยู่กลางอากาศ”
กวนหินเห็นดังนั้นก็ตื่นเต้นยินดี รู้ว่ากวนอูผู้บิดามาช่วยชีวิตในยามคับขัน จึงรีบลงจากหลังม้าก้มลงกราบคำนับกวนอู ละล่ำละลักกล่าวว่า ขอบคุณท่านพ่อที่มาช่วยชีวิต ท่านพ่อสบายดีหรือ
รูปกวนอูนั้นผายมือชี้ไปด้านทิศตะวันออก แล้วได้ยินเสียงลอยมาตามลมว่า “เจ้าเร่งออกไปทางนี้เถิด บิดาจะพาไปส่งให้ถึงค่าย”
สิ้นเสียงรูปกวนอูแลม้าเซ็กเธาว์ก็หายวับไปกับตา กวนหินเห็นดังนั้นก็ดีใจ คำนับขอบคุณกวนอูผู้บิดาอีกครั้งหนึ่งแล้วขึ้นม้าควบไปทางด้านตะวันออก ครู่หนึ่งก็เห็นเตียวเปาคุมทหารมาคอยรับ
ทันทีที่เห็นกวนหิน เตียวเปาก็ถามว่าได้พบกับท่านลุงกวนอูแล้วหรือไม่ กวนหินได้ยินก็ประหลาดใจ รีบถามกลับไปว่าเหตุไฉนท่านจึงรู้ความดังนี้เล่า
เตียวเปาจึงเล่าให้กวนหินฟังว่า เมื่อข้าพเจ้ากับม้าต้ายหนีออกจากแนวล้อมของรถรบเหล็กนั้น ทหารเมืองเสเกี๋ยงยังคงไล่ตามมาเป็นอันมาก ในทันใดนั้นท่านลุงกวนอูก็ปรากฏกายขึ้น แล้วไล่ฟันทหารเมืองเสเกี๋ยงแตกหนีไปจนหมดสิ้น ท่านลุงกวนอูบอกให้ข้าพเจ้ามาคอยรับท่านอยู่ที่นี่
กวนหินได้ฟังดังนั้นจึงเล่าความซึ่งกวนอูปรากฏกายออกมาช่วยชีวิตไว้ในยามคับขันให้เตียวเปาทราบทุกประการ แล้วชวนกันกลับไปที่ค่าย ปรึกษากับม้าต้ายว่าทหารเมืองเสเกี๋ยงแข็งแรงแกร่งกล้า กระบวนท่าการรบพุ่งก็ผิดแปลกกว่าทหารทั้งปวง และทหารเราก็มีน้อยตัวกว่า เห็นจะไม่สามารถตีทหารเมืองเสเกี๋ยงให้ล่าถอยไปได้
ม้าต้ายจึงว่า ด่านเสเป๋งนี้เป็นด่านสำคัญ จะนิ่งเฉยอยู่นั้นไม่ควร ขอให้กวนหินและเตียวเปารีบกลับไปหาขงเบ้งแล้วรายงานความให้ทราบ ตัวข้าพเจ้าจะคุมทหารรักษาค่ายอยู่ที่นี่เอง
กวนหินและเตียวเปาได้ฟังก็เห็นด้วย จึงรีบเดินทางกลับไปที่เขากิสาน แล้วรายงานความให้ขงเบ้งทราบทุกประการ
ขงเบ้งทราบความก็ตกใจ สั่งให้จูล่งกับอุยเอี๋ยนคุมทหารห้าพันเป็นกองทัพหน้ายกกลับไปช่วยด่านเสเป๋ง ส่วนขงเบ้งจัดทหารรักษาค่ายแล้ว พอค่ำลงก็ลอบคุมทหารสามหมื่นเป็นกองทัพหลวงยกตามไป
ครั้นขงเบ้งยกกองทัพไปถึงค่ายม้าต้าย จึงขึ้นไปสังเกตการศึกบนยอดเขา มองลงมาด้านล่างเห็นทหารเมืองเสเกี๋ยงมิได้ตั้งค่ายเหมือนกระบวนรบทั้งปวง แต่กลับเอารถรบโลหะล้อมวงทำเป็นค่ายก็ประหลาดใจ ขงเบ้งมองกระบวนค่ายของทหารเมืองเสเกี๋ยงอยู่ครู่หนึ่งก็รำพึงว่า กระบวนค่ายรถรบโลหะเพียงเท่านี้ เห็นทีจะไม่พ้นน้ำมือเรา
ขงเบ้งสังเกตการภูมิประเทศทั่วทั้งสมรภูมิเป็นอย่างดีแล้วจึงกลับไปที่ค่าย สั่งทหารว่าสองข้างทางด้านหลังค่ายที่จะตรงไปทางช่องเขานั้นมีทุ่งราบกว้างขวาง ให้ทำการขุดคูกว้างหกศอกลึกสี่ศอกเป็นแนวยาวขวางทางที่จะไปทางช่องเขา แล้วเอาไม้ไผ่มาขัดเป็นฟาก ใช้หญ้าและดินคลุมอย่าให้เห็นร่องรอย กำชับให้เสร็จก่อนสองยามวันนี้ แล้วสั่งม้าต้ายกับเตียวเอ๊กให้ยกทหารไปซุ่มอยู่ด้านหลังช่องเขา ให้กวนหินยกทหารไปซุ่มอยู่นอกค่ายด้านทิศเหนือ ให้เตียวเปาคุมทหารไปซุ่มอยู่นอกค่ายทางทิศใต้ ภายในค่ายให้ปักธงทิวไว้เป็นอันมาก นายทหารทั้งนั้นรับคำสั่งแล้วคำนับลาขงเบ้งกลับออกไปจัดแจงตามแผนการทุกประการ
ครั้นสั่งการเสร็จสิ้นแล้วขงเบ้งจึงถามเกียงอุยว่า ซึ่งจะเอาชนะทหารเมืองเสเกี๋ยงนั้น ท่านจะคิดอ่านกลอุบายประการใด
เกียงอุยเห็นขงเบ้งบัญชาการทหาร และได้ฟังคำถามดังนั้นก็ล่วงรู้ความคิดของขงเบ้ง จึงกล่าวว่าซึ่งอาจารย์มหาอุปราชคิดอ่านทั้งนี้เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง ด้วยทหารเมืองเสเกี๋ยงแม้จะมีพละกำลังกล้าหาญเข้มแข็ง แต่มิได้รู้กลอุบายและยุทธวิธีในการสงคราม
ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าเกียงอุยเข้าใจในแผนการอุบายจึงหัวเราะด้วยความยินดี แล้วกล่าวว่า เทศกาลนี้เป็นเดือนยี่ วันนี้ลมเหนือพัดมาอย่างรุนแรง อากาศหนาวเหน็บ หิมะจะลงหนักในค่ำวันนี้ ฟ้าเปิดโอกาสให้เผด็จศึกได้โดยเร็ว กองทัพเราส่วนหนึ่งยังตั้งอยู่ที่เขากิสาน จะทอดเวลาเนิ่นช้าไปไม่ได้
ในคืนวันนั้นหิมะลงหนักตามที่ขงเบ้งได้คาดการณ์ไว้ พอวันรุ่งขึ้นแนวคูทั้งปวงที่ขุดไว้ล้วนเห็นเป็นสีขาวโพลน สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “น้ำค้างลงแลไม่เห็นดินเหมือนที่นาเกลือ” ในขณะที่ความจริงก็คือหิมะลงหนักปกคลุมดินและหญ้าบนฟากซึ่งปิดคูไว้นั้นจนไม่เห็นร่องรอย เห็นแต่หิมะสีขาวเป็นแผ่นพื้น เวิ้งว้างกว้างไกล
ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็มีความยินดี ชวนเกียงอุยคุมทหารออกจากค่ายตรงไปที่กองทัพเมืองเสเกี๋ยงและให้เกียงอุยออกไปท้ารบ
ออดกิดแม่ทัพเมืองเสเกี๋ยงเห็นทหารเมืองเสฉวนยกออกมาท้ารบก็แปรขบวนรถรบโลหะออกไปรบตามคำท้า ออดกิดขี่ม้าเข้ารบกับเกียงอุยแล้วรบล่อจะให้เกียงอุยถลำลึกเข้าไปในแนวรถรบเหล็ก แต่เกียงอุยรู้ที ถอยม้าหนีพาทหารกลับไปค่าย ในขณะนั้นขงเบ้งและทหารได้ยกกลับเข้าค่ายไปก่อนแล้ว
ออดกิดเห็นเกียงอุยหนีกลับเข้าค่ายดังนั้นก็สั่งให้รถรบยกกำลังไล่ตามไปจนถึงหน้าค่าย ในทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกระจับปี่สีซอบรรเลงเป็นเพลงอ่อนหวานดังมาจากข้างในค่ายลอยมาตามสายลม ทั้งภายในค่ายก็เห็นธงทิวปลิวไสวเป็นอันมาก ออดกิดและทหารเห็นดังนั้นก็รู้สึกแปลกประหลาดใจคิดว่าคงเป็นกลอุบายประการใดประการหนึ่ง จึงพากันรั้งรออยู่ด้านนอกค่าย
แงตั๋นซึ่งเป็นหัวหน้าขุนนางฝ่ายพลเรือนและทำหน้าที่ปลัดทัพเมืองเสเกี๋ยง เห็นดังนั้นจึงกล่าวกับออดกิดว่า “อันการสงครามถ้าทหารมากจะลวงเอาชัยชนะข้าศึกก็ทำเงียบสงบไว้ดุจมีทหารน้อย ลวงเอาให้ข้าศึกไว้ใจ ถ้าทหารน้อยเห็นจะทำการเอาชัยชนะไม่ได้ ก็ทำสง่าดุจทหารมาก หวังจะให้ข้าศึกคร้ามมิให้ยกเข้าโหมทำอันตรายได้”
แล้วว่าซึ่งขงเบ้งทำกลอุบายเล่นดนตรีปี่กลองเอิกเกริกอยู่ภายในค่าย ทั้งตั้งธงทิวปลิวไสวทั่วทั้งค่ายดังนี้ก็เพราะมีทหารอยู่ในค่ายแต่น้อยคน เกรงว่าเราจะยกเข้าตามตี จึงทำการให้เป็นสง่าน่าเกรงขาม หวังจะลวงเราไม่ให้เข้าโจมตีนั่นเอง กระนั้นเลยท่านจงยกกองทัพหักเข้าตีค่ายขงเบ้งเถิด เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง
ออดกิดได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึงขี่ม้านำหน้าทหารเข้าไปในค่ายของขงเบ้ง แต่พอไปถึงประตูค่ายก็เห็นที่ปลายค่ายด้านหลังไกล ๆ นั้นขงเบ้งกำลังถือพิณขึ้นไปนั่งบนเกวียนน้อยและมีทหารขี่ม้าสิบกว่าคนกำลังจะหนีออกทางด้านหลังค่าย ออดกิดก็สำคัญว่าขงเบ้งรู้ว่าทหารเมืองเสเกี๋ยงจับกลอุบายได้ จึงรีบหนีไป
ออดกิดคิดดังนั้นจึงสั่งทหารให้ไล่ตามตี แต่พอไปใกล้ด้านหลังค่ายก็เห็นขงเบ้งซึ่งหนีพ้นหลังค่ายไปแล้วขี่เกวียนเลี้ยวหายเข้าไปในซอกเขา ซึ่งเป็นป่ารกชัฏเงียบครึ้มวังเวง
แงตั๋นซึ่งขี่ม้าตามออดกิดมาเห็นดังนั้นจึงกล่าวกับออดกิดว่า ขงเบ้งทำทั้งนี้เป็นอุบายแน่แล้ว แต่อุบายที่ใช้ทหารไม่เป็นขบวนรบฉะนี้ ไหนเลยจะต้านทานฝีมือของเราได้
ในทันใดนั้นเห็นเกียงอุยขี่ม้านำทหารจำนวนร้อยกว่าคนยกมาทางด้านหลังค่าย ออดกิดเห็นดังนั้นก็สำคัญว่าเกียงอุยยกมาเป็นกองระวังหลังให้ขงเบ้งหนีโดยสะดวก จึงขี่ม้าเข้ารบกับเกียงอุย ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้ห้าเพลง เกียงอุยก็พาทหารหนีไปทางช่องเขา ออดกิดไม่รู้กลก็สั่งให้รถรบเหล็กแปรขบวนเป็นหน้ากระดานไล่ตามทหารเกียงอุยไป
ทหารเมืองเสเกี๋ยงขับรถรบโลหะไล่ทหารเมืองเสฉวนไปทางทุ่งราบหลังค่ายเป็นขบวนหน้ากระดานเพื่อจะเตรียมล้อมข้าศึกไว้ในกำแพงเหล็ก ทหารรถรบโลหะดาหน้าเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่รู้ว่าภายใต้แผ่นพื้นหิมะอันราบเรียบนั้นมีคูลึกขวางกั้นเป็นแนวยาว ในทันใดนั้นรถรบโลหะซึ่งหนักและแล่นไปด้วยความเร็วก็พลัดตกลงไปในคูซึ่งขงเบ้งสั่งให้ขุดลวงไว้เกือบทั้งหมด ทหารซึ่งตามรถรบเสียหลักตกลงไปในคูเป็นจำนวนมาก เกิดโกลาหลแตกตื่นขึ้น
ออดกิดเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบสั่งทหารให้ล่าถอย ทหารเมืองเสเกี๋ยงไม่สามารถกู้รถรบโลหะขึ้นจากคูได้ก็พากันทิ้งรถรบแล้วล่าถอยกลับ ในทันใดนั้นเสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้น กองทัพเมืองเสฉวนของกวนหินและเตียวเปาได้ยกออกมาสกัดทหารเมืองเสเกี๋ยงไว้ แล้วระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์ ในขณะที่เกียงอุย ม้าต้ายและเตียวเอ๊กก็คุมทหารตีกระหนาบเข้ามาจากด้านช่องเขาเป็นสามสาย
ม้าต้ายเห็นแงตั๋นปีนป่ายขึ้นจากคูจะควบม้าหนี ก็ขี่ม้าเข้าไปหาแงตั๋นแล้วให้ทหารจับตัวแงตั๋นได้โดยละม่อม ในขณะเดียวกันนั้นกวนหินเห็นออดกิดกำลังจะป่ายปีนขึ้นจากคู จึงขี่ม้าพุ่งเข้าไปหาแล้วเอาง้าวฟันออดกิดศีรษะหลุดออกจากบ่า
ทหารเมืองเสฉวนเห็นได้ทีก็ล้อมโจมตีทหารเมืองเสเกี๋ยงบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก ทหารเมืองเสเกี๋ยงที่เหลือก็แตกตื่นหนีกระจัดกระจายไป
ทหารเมืองเสฉวนได้ชัยชนะทหารเมืองเสเกี๋ยงแล้วจึงพาทหารกลับเข้าค่าย ม้าต้ายได้คุมตัวแงตั๋นเอามามอบแก่ขงเบ้งที่ค่ายหลวง
ขงเบ้งเห็นแงตั๋นถูกม้าต้ายมัดตัวมาดังนั้น จึงสั่งให้แก้มัดแงตั๋นเสีย แล้วสั่งให้แต่งโต๊ะเอาสุรามาเลี้ยงดูเป็นอันดี ในระหว่างกินโต๊ะอยู่นั้นขงเบ้งได้ว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมแงตั๋นว่า เมืองเรากับเมืองท่านไม่เคยพิพาทบาดหมางกัน ไม่ชอบที่ท่านจะยกกองทัพมารุกรานเมืองเรา ท่านจงกลับไปเมืองแล้วบอกแก่เจ้าเมืองว่าอย่าพิพาทบาดหมางจองเวรแก่กันเลย ต่างคนต่างอยู่ย่อมเป็นสุขสันติดีแล้ว ให้ผูกพันไมตรีกันไว้สืบไปเถิด
แงตั๋นเห็นขงเบ้งไว้ชีวิตและถูกขงเบ้งเกลี้ยกล่อมดังนั้นก็คิดถึงคุณของขงเบ้ง จึงกล่าวว่าพระคุณของมหาอุปราชในครั้งนี้ข้าพเจ้าจะจดจำไว้ในใจ กลับไปแล้วจะว่ากล่าวเจ้าเมืองให้เป็นไมตรีกันสืบไป
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี สั่งให้คืนสินศึกและเชลยแก่แงตั๋นจนหมดสิ้น แล้วปล่อยให้แงตั๋นคุมทหารเชลยศึกเหล่านั้นกลับไปเมือง
เมื่อขงเบ้งแจ้งความให้นายด่านทราบแล้วจึงแต่งฎีการายงานความศึกให้ทหารถือไปทูลเกล้าฯ ถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยนที่เมืองเสฉวน แล้วยกทัพกลับไปที่เขากิสาน รั้งรออยู่จนเวลาค่ำจึงเคลื่อนทัพเข้าค่ายตามเดิม.
กวนหินพอรู้ตัวว่าถูกออดกิดขี่ม้าไล่กวดมาใกล้ถึงตัว ก็กระตุ้นม้าให้เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ม้ากวนหินถูกกระตุ้นจึงพุ่งปราดออกไปข้างหน้า ฆ้อนใหญ่ของออดกิดจึงพลาดเป้าจากแผ่นหลังของกวนหิน ถูกหลังม้าซึ่งกวนหินขี่ล้มลง กวนหินกระเด็นจากหลังม้าพลัดจมลงไปในหนองน้ำ
แต่น้ำริมหนองนั้นยังตื้นเขิน พอเท้ากวนหินหยั่งพื้นได้ก็รีบลุกขึ้น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงชุลมุนอื้ออึงบนริมหนอง และเห็นออดกิดกระเด็นตกจากหลังม้าพลัดลงมาในหนองอย่างเดียวกัน
กวนหินตั้งหลักในหนองน้ำได้ก่อนจึงชักดาบออกจะฟันออดกิด ออดกิดกำลังตกใจเพราะไม่รู้ว่ามีผู้ใดไล่ฆ่าฟัน จนม้าสะดุดกระเด็นตกลงมาในน้ำแต่ตัวเปล่า เห็น กวนหินชักดาบจะฟันดังนั้นก็รีบดำน้ำว่ายหนีไปในท่ามกลางความมืดของราตรี ในขณะที่บนริมหนองน้ำนั้นทหารของออดกิดก็แตกตื่นหนีกระสานซ่านเซ็นไป
กวนหินเห็นบนริมหนองปลอดผู้คนจึงขึ้นจากหนองน้ำไปบนบก เห็นม้าของออดกิดยืนอยู่ที่ริมหนอง จึงเอาม้าออดกิดนั้นมาขี่ มองตามขึ้นไป “เห็นทหารผู้ใหญ่คนหนึ่งไล่ฟันทหารออดกิด จึงคิดว่าผู้ใดมาช่วยชีวิตเราครั้งนี้ มีคุณต่อเราเป็นอันมาก เราจะดูให้รู้จักไว้ เมื่อสำเร็จราชการแล้วจะได้แทนคุณเขา”
กวนหินคิดดังนั้นแล้วจึงขี่ม้าไปทางทหารผู้นั้น แล้วเห็นทหารนั้นอยู่ในกลุ่มหมอกบางเบากลุ่มใหญ่กำลังขี่ม้าย้อนกลับมา สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พรรณนาว่ากวนหิน “เห็นรูปกวนอูหน้าแดง คิ้วขาว ห่มเสื้อเขียว ใส่เกราะทอง ขี่ม้าเซ็กเธาว์ มือขวาถือง้าว มือซ้ายลูบหนวด ลอยอยู่กลางอากาศ”
กวนหินเห็นดังนั้นก็ตื่นเต้นยินดี รู้ว่ากวนอูผู้บิดามาช่วยชีวิตในยามคับขัน จึงรีบลงจากหลังม้าก้มลงกราบคำนับกวนอู ละล่ำละลักกล่าวว่า ขอบคุณท่านพ่อที่มาช่วยชีวิต ท่านพ่อสบายดีหรือ
รูปกวนอูนั้นผายมือชี้ไปด้านทิศตะวันออก แล้วได้ยินเสียงลอยมาตามลมว่า “เจ้าเร่งออกไปทางนี้เถิด บิดาจะพาไปส่งให้ถึงค่าย”
สิ้นเสียงรูปกวนอูแลม้าเซ็กเธาว์ก็หายวับไปกับตา กวนหินเห็นดังนั้นก็ดีใจ คำนับขอบคุณกวนอูผู้บิดาอีกครั้งหนึ่งแล้วขึ้นม้าควบไปทางด้านตะวันออก ครู่หนึ่งก็เห็นเตียวเปาคุมทหารมาคอยรับ
ทันทีที่เห็นกวนหิน เตียวเปาก็ถามว่าได้พบกับท่านลุงกวนอูแล้วหรือไม่ กวนหินได้ยินก็ประหลาดใจ รีบถามกลับไปว่าเหตุไฉนท่านจึงรู้ความดังนี้เล่า
เตียวเปาจึงเล่าให้กวนหินฟังว่า เมื่อข้าพเจ้ากับม้าต้ายหนีออกจากแนวล้อมของรถรบเหล็กนั้น ทหารเมืองเสเกี๋ยงยังคงไล่ตามมาเป็นอันมาก ในทันใดนั้นท่านลุงกวนอูก็ปรากฏกายขึ้น แล้วไล่ฟันทหารเมืองเสเกี๋ยงแตกหนีไปจนหมดสิ้น ท่านลุงกวนอูบอกให้ข้าพเจ้ามาคอยรับท่านอยู่ที่นี่
กวนหินได้ฟังดังนั้นจึงเล่าความซึ่งกวนอูปรากฏกายออกมาช่วยชีวิตไว้ในยามคับขันให้เตียวเปาทราบทุกประการ แล้วชวนกันกลับไปที่ค่าย ปรึกษากับม้าต้ายว่าทหารเมืองเสเกี๋ยงแข็งแรงแกร่งกล้า กระบวนท่าการรบพุ่งก็ผิดแปลกกว่าทหารทั้งปวง และทหารเราก็มีน้อยตัวกว่า เห็นจะไม่สามารถตีทหารเมืองเสเกี๋ยงให้ล่าถอยไปได้
ม้าต้ายจึงว่า ด่านเสเป๋งนี้เป็นด่านสำคัญ จะนิ่งเฉยอยู่นั้นไม่ควร ขอให้กวนหินและเตียวเปารีบกลับไปหาขงเบ้งแล้วรายงานความให้ทราบ ตัวข้าพเจ้าจะคุมทหารรักษาค่ายอยู่ที่นี่เอง
กวนหินและเตียวเปาได้ฟังก็เห็นด้วย จึงรีบเดินทางกลับไปที่เขากิสาน แล้วรายงานความให้ขงเบ้งทราบทุกประการ
ขงเบ้งทราบความก็ตกใจ สั่งให้จูล่งกับอุยเอี๋ยนคุมทหารห้าพันเป็นกองทัพหน้ายกกลับไปช่วยด่านเสเป๋ง ส่วนขงเบ้งจัดทหารรักษาค่ายแล้ว พอค่ำลงก็ลอบคุมทหารสามหมื่นเป็นกองทัพหลวงยกตามไป
ครั้นขงเบ้งยกกองทัพไปถึงค่ายม้าต้าย จึงขึ้นไปสังเกตการศึกบนยอดเขา มองลงมาด้านล่างเห็นทหารเมืองเสเกี๋ยงมิได้ตั้งค่ายเหมือนกระบวนรบทั้งปวง แต่กลับเอารถรบโลหะล้อมวงทำเป็นค่ายก็ประหลาดใจ ขงเบ้งมองกระบวนค่ายของทหารเมืองเสเกี๋ยงอยู่ครู่หนึ่งก็รำพึงว่า กระบวนค่ายรถรบโลหะเพียงเท่านี้ เห็นทีจะไม่พ้นน้ำมือเรา
ขงเบ้งสังเกตการภูมิประเทศทั่วทั้งสมรภูมิเป็นอย่างดีแล้วจึงกลับไปที่ค่าย สั่งทหารว่าสองข้างทางด้านหลังค่ายที่จะตรงไปทางช่องเขานั้นมีทุ่งราบกว้างขวาง ให้ทำการขุดคูกว้างหกศอกลึกสี่ศอกเป็นแนวยาวขวางทางที่จะไปทางช่องเขา แล้วเอาไม้ไผ่มาขัดเป็นฟาก ใช้หญ้าและดินคลุมอย่าให้เห็นร่องรอย กำชับให้เสร็จก่อนสองยามวันนี้ แล้วสั่งม้าต้ายกับเตียวเอ๊กให้ยกทหารไปซุ่มอยู่ด้านหลังช่องเขา ให้กวนหินยกทหารไปซุ่มอยู่นอกค่ายด้านทิศเหนือ ให้เตียวเปาคุมทหารไปซุ่มอยู่นอกค่ายทางทิศใต้ ภายในค่ายให้ปักธงทิวไว้เป็นอันมาก นายทหารทั้งนั้นรับคำสั่งแล้วคำนับลาขงเบ้งกลับออกไปจัดแจงตามแผนการทุกประการ
ครั้นสั่งการเสร็จสิ้นแล้วขงเบ้งจึงถามเกียงอุยว่า ซึ่งจะเอาชนะทหารเมืองเสเกี๋ยงนั้น ท่านจะคิดอ่านกลอุบายประการใด
เกียงอุยเห็นขงเบ้งบัญชาการทหาร และได้ฟังคำถามดังนั้นก็ล่วงรู้ความคิดของขงเบ้ง จึงกล่าวว่าซึ่งอาจารย์มหาอุปราชคิดอ่านทั้งนี้เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง ด้วยทหารเมืองเสเกี๋ยงแม้จะมีพละกำลังกล้าหาญเข้มแข็ง แต่มิได้รู้กลอุบายและยุทธวิธีในการสงคราม
ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าเกียงอุยเข้าใจในแผนการอุบายจึงหัวเราะด้วยความยินดี แล้วกล่าวว่า เทศกาลนี้เป็นเดือนยี่ วันนี้ลมเหนือพัดมาอย่างรุนแรง อากาศหนาวเหน็บ หิมะจะลงหนักในค่ำวันนี้ ฟ้าเปิดโอกาสให้เผด็จศึกได้โดยเร็ว กองทัพเราส่วนหนึ่งยังตั้งอยู่ที่เขากิสาน จะทอดเวลาเนิ่นช้าไปไม่ได้
ในคืนวันนั้นหิมะลงหนักตามที่ขงเบ้งได้คาดการณ์ไว้ พอวันรุ่งขึ้นแนวคูทั้งปวงที่ขุดไว้ล้วนเห็นเป็นสีขาวโพลน สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “น้ำค้างลงแลไม่เห็นดินเหมือนที่นาเกลือ” ในขณะที่ความจริงก็คือหิมะลงหนักปกคลุมดินและหญ้าบนฟากซึ่งปิดคูไว้นั้นจนไม่เห็นร่องรอย เห็นแต่หิมะสีขาวเป็นแผ่นพื้น เวิ้งว้างกว้างไกล
ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็มีความยินดี ชวนเกียงอุยคุมทหารออกจากค่ายตรงไปที่กองทัพเมืองเสเกี๋ยงและให้เกียงอุยออกไปท้ารบ
ออดกิดแม่ทัพเมืองเสเกี๋ยงเห็นทหารเมืองเสฉวนยกออกมาท้ารบก็แปรขบวนรถรบโลหะออกไปรบตามคำท้า ออดกิดขี่ม้าเข้ารบกับเกียงอุยแล้วรบล่อจะให้เกียงอุยถลำลึกเข้าไปในแนวรถรบเหล็ก แต่เกียงอุยรู้ที ถอยม้าหนีพาทหารกลับไปค่าย ในขณะนั้นขงเบ้งและทหารได้ยกกลับเข้าค่ายไปก่อนแล้ว
ออดกิดเห็นเกียงอุยหนีกลับเข้าค่ายดังนั้นก็สั่งให้รถรบยกกำลังไล่ตามไปจนถึงหน้าค่าย ในทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกระจับปี่สีซอบรรเลงเป็นเพลงอ่อนหวานดังมาจากข้างในค่ายลอยมาตามสายลม ทั้งภายในค่ายก็เห็นธงทิวปลิวไสวเป็นอันมาก ออดกิดและทหารเห็นดังนั้นก็รู้สึกแปลกประหลาดใจคิดว่าคงเป็นกลอุบายประการใดประการหนึ่ง จึงพากันรั้งรออยู่ด้านนอกค่าย
แงตั๋นซึ่งเป็นหัวหน้าขุนนางฝ่ายพลเรือนและทำหน้าที่ปลัดทัพเมืองเสเกี๋ยง เห็นดังนั้นจึงกล่าวกับออดกิดว่า “อันการสงครามถ้าทหารมากจะลวงเอาชัยชนะข้าศึกก็ทำเงียบสงบไว้ดุจมีทหารน้อย ลวงเอาให้ข้าศึกไว้ใจ ถ้าทหารน้อยเห็นจะทำการเอาชัยชนะไม่ได้ ก็ทำสง่าดุจทหารมาก หวังจะให้ข้าศึกคร้ามมิให้ยกเข้าโหมทำอันตรายได้”
แล้วว่าซึ่งขงเบ้งทำกลอุบายเล่นดนตรีปี่กลองเอิกเกริกอยู่ภายในค่าย ทั้งตั้งธงทิวปลิวไสวทั่วทั้งค่ายดังนี้ก็เพราะมีทหารอยู่ในค่ายแต่น้อยคน เกรงว่าเราจะยกเข้าตามตี จึงทำการให้เป็นสง่าน่าเกรงขาม หวังจะลวงเราไม่ให้เข้าโจมตีนั่นเอง กระนั้นเลยท่านจงยกกองทัพหักเข้าตีค่ายขงเบ้งเถิด เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง
ออดกิดได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึงขี่ม้านำหน้าทหารเข้าไปในค่ายของขงเบ้ง แต่พอไปถึงประตูค่ายก็เห็นที่ปลายค่ายด้านหลังไกล ๆ นั้นขงเบ้งกำลังถือพิณขึ้นไปนั่งบนเกวียนน้อยและมีทหารขี่ม้าสิบกว่าคนกำลังจะหนีออกทางด้านหลังค่าย ออดกิดก็สำคัญว่าขงเบ้งรู้ว่าทหารเมืองเสเกี๋ยงจับกลอุบายได้ จึงรีบหนีไป
ออดกิดคิดดังนั้นจึงสั่งทหารให้ไล่ตามตี แต่พอไปใกล้ด้านหลังค่ายก็เห็นขงเบ้งซึ่งหนีพ้นหลังค่ายไปแล้วขี่เกวียนเลี้ยวหายเข้าไปในซอกเขา ซึ่งเป็นป่ารกชัฏเงียบครึ้มวังเวง
แงตั๋นซึ่งขี่ม้าตามออดกิดมาเห็นดังนั้นจึงกล่าวกับออดกิดว่า ขงเบ้งทำทั้งนี้เป็นอุบายแน่แล้ว แต่อุบายที่ใช้ทหารไม่เป็นขบวนรบฉะนี้ ไหนเลยจะต้านทานฝีมือของเราได้
ในทันใดนั้นเห็นเกียงอุยขี่ม้านำทหารจำนวนร้อยกว่าคนยกมาทางด้านหลังค่าย ออดกิดเห็นดังนั้นก็สำคัญว่าเกียงอุยยกมาเป็นกองระวังหลังให้ขงเบ้งหนีโดยสะดวก จึงขี่ม้าเข้ารบกับเกียงอุย ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้ห้าเพลง เกียงอุยก็พาทหารหนีไปทางช่องเขา ออดกิดไม่รู้กลก็สั่งให้รถรบเหล็กแปรขบวนเป็นหน้ากระดานไล่ตามทหารเกียงอุยไป
ทหารเมืองเสเกี๋ยงขับรถรบโลหะไล่ทหารเมืองเสฉวนไปทางทุ่งราบหลังค่ายเป็นขบวนหน้ากระดานเพื่อจะเตรียมล้อมข้าศึกไว้ในกำแพงเหล็ก ทหารรถรบโลหะดาหน้าเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่รู้ว่าภายใต้แผ่นพื้นหิมะอันราบเรียบนั้นมีคูลึกขวางกั้นเป็นแนวยาว ในทันใดนั้นรถรบโลหะซึ่งหนักและแล่นไปด้วยความเร็วก็พลัดตกลงไปในคูซึ่งขงเบ้งสั่งให้ขุดลวงไว้เกือบทั้งหมด ทหารซึ่งตามรถรบเสียหลักตกลงไปในคูเป็นจำนวนมาก เกิดโกลาหลแตกตื่นขึ้น
ออดกิดเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบสั่งทหารให้ล่าถอย ทหารเมืองเสเกี๋ยงไม่สามารถกู้รถรบโลหะขึ้นจากคูได้ก็พากันทิ้งรถรบแล้วล่าถอยกลับ ในทันใดนั้นเสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้น กองทัพเมืองเสฉวนของกวนหินและเตียวเปาได้ยกออกมาสกัดทหารเมืองเสเกี๋ยงไว้ แล้วระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์ ในขณะที่เกียงอุย ม้าต้ายและเตียวเอ๊กก็คุมทหารตีกระหนาบเข้ามาจากด้านช่องเขาเป็นสามสาย
ม้าต้ายเห็นแงตั๋นปีนป่ายขึ้นจากคูจะควบม้าหนี ก็ขี่ม้าเข้าไปหาแงตั๋นแล้วให้ทหารจับตัวแงตั๋นได้โดยละม่อม ในขณะเดียวกันนั้นกวนหินเห็นออดกิดกำลังจะป่ายปีนขึ้นจากคู จึงขี่ม้าพุ่งเข้าไปหาแล้วเอาง้าวฟันออดกิดศีรษะหลุดออกจากบ่า
ทหารเมืองเสฉวนเห็นได้ทีก็ล้อมโจมตีทหารเมืองเสเกี๋ยงบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก ทหารเมืองเสเกี๋ยงที่เหลือก็แตกตื่นหนีกระจัดกระจายไป
ทหารเมืองเสฉวนได้ชัยชนะทหารเมืองเสเกี๋ยงแล้วจึงพาทหารกลับเข้าค่าย ม้าต้ายได้คุมตัวแงตั๋นเอามามอบแก่ขงเบ้งที่ค่ายหลวง
ขงเบ้งเห็นแงตั๋นถูกม้าต้ายมัดตัวมาดังนั้น จึงสั่งให้แก้มัดแงตั๋นเสีย แล้วสั่งให้แต่งโต๊ะเอาสุรามาเลี้ยงดูเป็นอันดี ในระหว่างกินโต๊ะอยู่นั้นขงเบ้งได้ว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมแงตั๋นว่า เมืองเรากับเมืองท่านไม่เคยพิพาทบาดหมางกัน ไม่ชอบที่ท่านจะยกกองทัพมารุกรานเมืองเรา ท่านจงกลับไปเมืองแล้วบอกแก่เจ้าเมืองว่าอย่าพิพาทบาดหมางจองเวรแก่กันเลย ต่างคนต่างอยู่ย่อมเป็นสุขสันติดีแล้ว ให้ผูกพันไมตรีกันไว้สืบไปเถิด
แงตั๋นเห็นขงเบ้งไว้ชีวิตและถูกขงเบ้งเกลี้ยกล่อมดังนั้นก็คิดถึงคุณของขงเบ้ง จึงกล่าวว่าพระคุณของมหาอุปราชในครั้งนี้ข้าพเจ้าจะจดจำไว้ในใจ กลับไปแล้วจะว่ากล่าวเจ้าเมืองให้เป็นไมตรีกันสืบไป
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี สั่งให้คืนสินศึกและเชลยแก่แงตั๋นจนหมดสิ้น แล้วปล่อยให้แงตั๋นคุมทหารเชลยศึกเหล่านั้นกลับไปเมือง
เมื่อขงเบ้งแจ้งความให้นายด่านทราบแล้วจึงแต่งฎีการายงานความศึกให้ทหารถือไปทูลเกล้าฯ ถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยนที่เมืองเสฉวน แล้วยกทัพกลับไปที่เขากิสาน รั้งรออยู่จนเวลาค่ำจึงเคลื่อนทัพเข้าค่ายตามเดิม.