ตอนที่ 519. กองทัพรถรบโลหะ
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบพรรษา เดือนอ้าย ขงเบ้ง กระทำศึกวาทศิลป์เอาชนะอองลองมหาบัณฑิตแห่งวุยก๊ก และวางกลอุบายที่ยอกย้อนซ่อนเงื่อน แก้กลอุบายของฝ่ายวุยก๊กที่คิดว่าขงเบ้งจะยกกองทัพเข้าปล้นค่าย และอธิบายแผนการให้แม่ทัพนายกองทั้งปวงทราบ
เมื่อทหารทั้งปวงเห็นพ้องต้องกันแล้ว ขงเบ้งจึงให้จูล่งและอุยเอี๋ยนคุมทหารทำทีจะยกไปปล้นค่ายของโจจิ๋น แต่ให้ยกไปตั้งซุ่มอยู่กลางทาง เมื่อทหารโจจิ๋นซึ่งยกมาจะชิงค่ายขงเบ้งแตกกลับไปก็ให้เปิดทางให้กลับไปค่ายโดยสะดวกก่อนแล้วค่อยยกตามตีในภายหลัง และสั่งให้กวนหินกับเตียวเปายกทหารออกไปตั้งซุ่มอยู่ด้านหลังเขากิสาน ถ้าทหารโจจิ๋นที่มาปล้นค่ายแตกกลับไปแล้ว ก็ให้ไล่ตามตีไปจนถึงค่ายของโจจิ๋น และให้ม้าต้าย เตียวเอ๊ก เตียวหงีและอองเป๋ง คุมทหารไปซุ่มอยู่ด้านนอกค่ายทั้งสี่ทิศ เมื่อทหารโจจิ๋นเข้ามาปล้นค่ายและเห็นสัญญาณเพลิงที่จุดขึ้นในค่ายแล้ว ให้ม้าต้าย เตียวเอ๊ก เตียวหงีและอองเป๋ง คุมทหารตีกระหนาบทหารของโจจิ๋นซึ่งยกมาปล้นค่ายนั้นพร้อมกัน
นายทหารทั้งปวงไต่ถามแผนการโดยละเอียดแล้วจึงคำนับลาขงเบ้งกลับออกไปจัดแจงทหารและยกไปตามแผนการของขงเบ้งทุกประการ เมื่อนายทหารเหล่านั้นกลับออกไปแล้ว ขงเบ้งจึงสั่งให้ขนฟืนและเชื้อเพลิงเตรียมไว้ในค่ายเป็นอันมาก
คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด พอถึงเวลายามแรกจูล่งและอุยเอี๋ยนก็คุมทหารยกออกจากค่ายทำทีจะไปปล้นค่ายของโจจิ๋น ฝ่ายโจจุ้นและจูจ้านซึ่งรับคำสั่งของโจจิ๋นให้ยกกำลังมาซุ่มอยู่ด้านหลังเขากิสาน เมื่อได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่าทหารเสฉวนยกออกจากค่ายจะไปปล้นค่ายของโจจิ๋นแล้ว ก็สรรเสริญความคิดของกุยห้วยผู้เป็นปลัดทัพเว่ยว่ามีสติปัญญาหลักแหลม คาดการสงครามได้แม่นยำราวกับตาเห็น และคิดว่าการครั้งนี้จะสมคะเนและเห็นจะได้ชัยชนะแก่กองทัพเมืองเสฉวนโดยง่ายตามแผนการที่วางไว้นั้น
โจจุ้นและจูจ้านคิดดังนั้นแล้วจึงสั่งให้เคลื่อนพลออกจากที่ซ่อนยกไปที่ค่ายของขงเบ้ง แต่พอยกไปใกล้ค่ายก็เห็นทหารเบาบาง สำคัญว่ากองทัพเมืองเสฉวนยกไปปล้นค่ายโจจิ๋นจนเกือบหมดสิ้น ทิ้งทหารไว้แต่น้อยเพื่อรักษาค่ายก็ประมาท สั่งทหารให้จู่โจมเข้ายึดค่ายขงเบ้ง
ครั้นทหารของโจจุ้นและจูจ้านจู่โจมเข้าไปถึงประตูค่ายก็รู้สึกผิดสังเกต เพราะในค่ายนั้นเงียบสงัดวังเวง ก็ได้คิดว่าเป็นเหตุการณ์ผิดปกติ อาจต้องกลขงเบ้ง จึงสั่งทหารให้ถอยไกลออกจากค่าย
ในทันใดนั้นแสงเพลิงในค่ายก็ลุกโชติช่วงขึ้นทาบท้องฟ้า เสียงประทัดสัญญาณดังขานรับจากด้านนอกสนั่นหวั่นไหวทั้งสี่ด้าน แล้วทหารเมืองเสฉวนพากันโห่ร้องยกตรงเข้ามาที่ทหารของโจจุ้นและจูจ้านซึ่งกำลังเข้าตีค่ายของขงเบ้งนั้นอย่างรวดเร็ว
โจจุ้นและจูจ้านเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็รู้ตัวว่าต้องกลขงเบ้งเป็นแน่แล้ว จึงตกใจเป็นอันมาก ในขณะที่ทหารวุยก๊กที่รู้ตัวว่าต้องกลและถูกล้อมตีกระหนาบเข้ามาก็พากันแตกตื่นตกใจ โจจุ้นเห็นดังนั้นจึงรีบออกคำสั่งให้ทหารรีบตีฝ่าล่าถอยกลับไปตามเส้นทางเดิม หลังจากรบตีฝ่าประปรายชั่วครู่หนึ่ง โจจุ้นและจูจ้านก็พาทหารหนีพ้นวงล้อมออกมา
ทหารเมืองเสฉวนเห็นโจจุ้นและจูจ้านพาทหารหนีไปดังนั้นก็ไล่ตามตี จนโจจุ้นและ จูจ้านพาทหารหนีมาถึงแนวซุ่มของกองทัพจูล่งและอุยเอี๋ยน
ทั้งจูล่งและอุยเอี๋ยนเห็นโจจุ้นและจูจ้านพาทหารหนีมาตามที่ขงเบ้งได้คาดการณ์ก็สรรเสริญความคิดของขงเบ้งว่าเล็งการแม่นยำดุจเทพยดา จึงสั่งทหารให้จู่โจมฆ่าฟันทหารวุยก๊กบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก แล้วแกล้งปล่อยให้ทหารวุยก๊กหนีกลับไปค่าย
พอโจจุ้นและจูจ้านคุมทหารหนีไปครู่หนึ่ง ทหารของม้าต้าย ม้าเอ๊ก เตียวหงี ก็ยกมาถึง จูล่งและอุยเอี๋ยนก็ยกทหารเข้าสมทบแล้วยกตามไป
ฝ่ายทหารของโจจิ๋นซึ่งซุ่มอยู่นอกค่าย ได้ยินเสียงทหารยกมาเป็นอันมาก ไม่รู้ว่าเป็นทหารเหล่าใดเพราะเป็นเวลาเดือนมืด จึงสำคัญว่าเป็นทหารของขงเบ้งที่ยกมาปล้นค่ายตามแผนการของโจจิ๋นก็เตรียมพร้อมที่จะจู่โจม พอโจจุ้นและจูจ้านคุมทหารหนีเข้าไปใกล้ค่าย ทหารข้างในค่ายก็สำคัญว่าเป็นทหารเมืองเสฉวนยกมาปล้นค่าย จึงจุดเพลิงสัญญาณขึ้น
ทหารของโจจิ๋นที่ซุ่มอยู่นอกค่ายทั้งสี่ด้านเห็นสัญญาณเพลิงตามแผนการก็ยกเข้าฆ่าฟันทหารซึ่งยกมาหน้าค่าย โจจิ๋นและกุยห้วยซึ่งรักษาค่ายก็คุมทหารยกออกมาตีกระหนาบเข้ามาเป็นสามด้าน ในขณะที่โจจุ้นและจูจ้านก็สำคัญว่าทหารเมืองเสฉวนยึดค่ายได้แล้ว และวางกลอุบายตีกระหนาบ ก็สั่งทหารให้สู้ตาย
ทหารวุยก๊กจึงรบราฆ่าฟันกันเอง บาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก พักหนึ่งทหารซึ่งต่อสู้กันใกล้ค่ายเห็นหน้าค่าตาและเครื่องแต่งตัวกันและกันว่าเป็นพวกเดียวกัน ก็ร้องบอกต่อ ๆ กันว่าอย่าหลงกลขงเบ้งต่อไป ให้หยุดรบพุ่งในทันที
ฝ่ายจูล่ง อุยเอี๋ยน ม้าต้าย เตียวเอ๊ก เตียวหงีและอองเป๋ง ซึ่งยกทหารไล่ตามตีมาถึงหน้าค่ายของโจจิ๋น เห็นทหารวุยก๊กฆ่าฟันกันเองก็สั่งทหารให้กระหน่ำซ้ำตีเป็นสามทาง เข้าฆ่าฟันทหารวุยก๊กบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
ขณะนั้นทหารในค่ายของโจจิ๋นทราบว่ามีการสู้รบกันนอกค่ายเป็นชุลมุน ก็ยกหนุนออกจากค่ายทุกค่ายพร้อมกัน จูล่งเห็นทหารวุยก๊กหนุนเนื่องออกมาดังนั้นจึงเห็นว่าแผนการของขงเบ้งบรรลุผลแล้ว ซึ่งจะรบพุ่งต่อไปก็จะสูญเสียทหารโดยเปล่าประโยชน์ จึงสั่งทหารให้ถอยทัพกลับไปค่าย แล้วรายงานความทั้งปวงให้ขงเบ้งทราบ
วันรุ่งขึ้นโจจิ๋นได้เรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวง แล้วปรารภว่าเราทำศึกกับขงเบ้งสองยกก็เสียทีแก่ข้าศึก ได้รับความอัปยศเป็นอันมาก จะคิดอ่านประการใดจึงจะตีกองทัพเมืองเสฉวนให้ล่าถอยกลับไปได้
กุยห้วยซึ่งเป็นปลัดทัพเห็นโจจิ๋นผู้เป็นแม่ทัพปรารภเป็นทำนองท้อถอย จึงกล่าวว่า “อันการสงครามจะหมายชนะฝ่ายเดียวนั้นไม่ได้ ถึงจะมีฝีมือแลความคิดสักเท่าใดก็จำจะแพ้บ้าง ชนะบ้าง ท่านอย่าเพ่อเสียใจ ข้าพเจ้าจะให้ขงเบ้งถอยไปจนได้”
โจจิ๋นจึงถามว่าท่านมีแผนการประการใดจึงมั่นใจฉะนี้
กุยห้วยจึงว่า “เมืองเสเกี๋ยงนอกแดนเราข้างทิศตะวันตกนี้ แต่พระเจ้าวุยอ๋องยังมีพระชนม์อยู่ย่อมมีไมตรีต่อกัน เคยไปนบนอบถวายเครื่องบรรณาการแก่เตียดลิเกียดเจ้าเมืองเสเกี๋ยงทุกปีมิได้ขาด ขอให้ท่านแต่งหนังสือไปถึงเตียดลิเกียดว่าให้ยกทหารวกหลังมาตีเอาเมืองเสฉวน เมื่อสำเร็จราชการแล้วเราจะแต่งเครื่องบรรณาการไปแทนคุณให้ถึงขนาด”
โจจิ๋นได้ฟังแผนการของกุยห้วยก็ดีใจ รีบแต่งหนังสือถึงเตียดลิเกียดและจัดเตรียมของบรรณาการเป็นจำนวนมาก ให้ทหารซึ่งรับผิดชอบการทูตถือหนังสือและคุมเครื่องบรรณาการไปเมืองเสเกี๋ยง แล้วมอบหนังสือและของบรรณาการทั้งนั้นให้แก่เจ้าเมืองเสเกี๋ยง
เตียดลิเกียดเจ้าเมืองเสเกี๋ยงทราบความแล้วจึงว่า เมืองวุยก๊กกับเมืองเรามีมิตรไมตรีกันมาช้านาน เมื่อถูกข่มเหงรังแกจากเมืองอื่นฉะนี้เราจะนิ่งเฉยดูดายย่อมไม่ชอบ ว่าแล้วจึงสั่งแงตั๋นซึ่งเป็นหัวหน้าขุนนางฝ่ายพลเรือนและออดกิดซึ่งเป็นหัวหน้าขุนนางฝ่ายทหาร ให้คุมทหารยี่สิบห้าหมื่นพร้อมเครื่องศาสตราวุธประจำกายครบทุกคน และรถรบโลหะสำหรับทำศึก พร้อมทั้งเสบียงอาหารยกไปตีด่านเสเป๋ง ซึ่งเป็นด่านต่อแดนกับเมืองเสฉวนตามที่โจจิ๋นได้บอกมานั้น
ฝ่ายอันเจ๋งซึ่งเป็นนายด่านเสเป๋งปลายแดนจ๊กก๊ก พอได้ทราบข่าวศึกก็ให้ทหารถือใบบอกรีบไปแจ้งความแก่ขงเบ้ง
ขงเบ้งทราบข่าวดังนั้นก็พรั่นใจ คิดว่าเรายกล่วงลึกเข้ามาในแดนวุยก๊กเป็นอันมาก หากข้าศึกเข้าตีสกัดหลังก็จะขัดสน แต่ครั้งนี้ข้าศึกไม่ได้ตีสกัดหลัง กลับยกเข้าตีด่านเสเป๋งซึ่งเป็นด่านมั่นคงแข็งแรง แต่ครั้นจะไม่ยกทหารไปช่วยหากเสียด่านเสเป๋งแล้ว ก็จะเกิดการห่วงหน้าพะวงหลัง
ขงเบ้งคิดดังนั้นจึงถามว่าจะมีผู้ใดอาสายกทหารไปช่วยด่านเสเป๋งบ้าง กวนหินและเตียวเปาได้ฟังปรารภของขงเบ้งจึงขออาสานำทหารไปช่วยป้องกันรักษาด่าน
ขงเบ้งเห็นบุตรกวนอูและเตียวหุยอาสาดังนั้นก็มีความยินดี แต่เห็นว่าทั้งกวนหินและเตียวเปาไม่คุ้นเคยภูมิประเทศ จึงกล่าวว่า “เจ้าทั้งสองยังไม่เคยไปทางด่านเสเป๋ง เราจะให้ม้าต้ายไปด้วย ม้าต้ายชำนาญทางนั้นเคยไปมาเนือง ๆ แล้วก็รู้ท่วงทีเมืองเสเกี๋ยง”
ขงเบ้งกล่าวแล้วจึงจัดทหารห้าหมื่นให้กวนหิน เตียวเปา และม้าต้ายยกไปช่วยด่านเสเป๋ง สามนายทหารรับคำสั่งแล้วคำนับลาขงเบ้งออกไปจัดแจงทหารแล้วยกไปแต่เพลานั้น
เมื่อกวนหิน เตียวเปา และม้าต้ายยกมาใกล้ด่านเสเป๋ง จึงให้ทหารตั้งค่ายไว้แล้วขึ้นไปสังเกตการณ์บนยอดเขา เห็นกองทัพเมืองเสเกี๋ยงเพิ่งยกมาถึง แต่ไม่ได้ตั้งค่ายตามปกติ กลับใช้รถรบโลหะล้อมวงทำเป็นค่ายจำนวนหลายค่าย ส่วนบรรดา ศาสตราวุธทั้งปวงล้วนปักไว้บนหลังคารถรบเป็นที่ประหลาดนัก
กวนหินยืนมาพิเคราะห์กระบวนการตั้งค่ายของทหารเมืองเสเกี๋ยงเป็นเวลาช้านานก็ไม่เห็นจุดอ่อนที่จะเข้าตีค่ายเมืองเสเกี๋ยงได้ จึงขี่ม้ากลับมาที่ค่ายแล้วปรึกษากับม้าต้ายและเตียวเปาว่าจะคิดอ่านประการใด
ทั้งม้าต้ายและเตียวเปาไม่เคยทราบเกียรติประวัติและกระบวนรบของทหารเมืองเสเกี๋ยงมาแต่ก่อน ก็ไม่เห็นทางว่าจะตีกองทัพเมืองเสเกี๋ยงให้ถอยกลับไปได้ แต่ม้าต้ายนั้นใคร่จะลองกำลังศึกแล้วค่อยคิดอ่านวางแผนต่อไป จึงเสนอให้ยกไปรบกับทหารเมืองเสเกี๋ยงสักครั้งหนึ่งก่อน กวนหินและเตียวเปาก็เห็นด้วย
วันรุ่งขึ้นกวนหิน เตียวเปา และม้าต้ายจึงยกทหารออกจากค่ายเป็นสามทาง ม้าต้ายเป็นปีกซ้าย เตียวเปาเป็นปีกขวา กวนหินเป็นกองกลาง ยกไปที่กองทัพเมืองเสเกี๋ยง
ฝ่ายออดกิดแม่ทัพเมืองเสเกี๋ยง ครั้นเห็นทหารเมืองเสฉวนยกมาดังนั้นจึงสั่งให้ทหารแปรขบวนรบ ทหารเมืองเสเกี๋ยงจึงคุมรถรบโลหะแยกเป็นแนวยาวสองแนวเข้าเผชิญหน้ากับทหารเมืองเสฉวนทั้งสามทาง ตัวออดกิดขี่ม้าถือฆ้อนเหล็กใหญ่นำหน้าทหารออกไป
กวนหินเห็นดังนั้นจึงขี่ม้าเข้ารบกับออดกิด หลังจากรบกันได้สามเพลงออดกิดก็รบล่อให้กวนหินถลำเข้าไปกลางแนวรถรบ พอกวนหินเข้าไปถึงกลางแนว รถรบทั้งสองสายก็แปรขบวนล้อมเป็นวง เตียวเปาและม้าต้ายเห็นกระบวนรบแปลกประหลาดก็สังหรณ์ใจ จึงขี่ม้าพาทหารส่วนหนึ่งออกมานอกแนวล้อม แต่กวนหินนั้นยังคงต่อสู้กับออดกิด จึงถูกขบวนรถรบโลหะปิดล้อมไว้เป็นวง โดยมีหนองน้ำขวางกั้นอยู่อีกด้านหนึ่ง
กวนหินเห็นดังนั้นก็สั่งทหารให้ตีฝ่าหักแนวล้อมแต่ไม่สามารถตีฝ่าออกไปได้ เพราะรถรบโลหะสามารถต้านทานการตีฝ่าได้อย่างเหนียวแน่นราวกับเป็นผนังทองแดง และทหารในรถรบก็คอยใช้อาวุธแทงไม่ให้เข้าไปใกล้ได้ กวนหินยิ่งตีฝ่าทหารเมืองเสเกี๋ยงก็คุมรถรบล้อมวงเป็นชั้นที่สองกระชับแน่นเข้ามา กวนหินเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงขี่ม้าพาทหารไปทางด้านทิศเหนือของแนวล้อม ออดกิดเห็นดังนั้นจึงขี่ม้าถือฆ้อนเหล็กภายใต้ธงดำใหญ่ประจำตัวแม่ทัพพร้อมกับทหารเป็นขบวนไล่ตามไป
พอไล่กวนหินใกล้จะทัน ออดกิดจึงตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “อ้ายทหารลูกเล็ก มึงจะหนีไปไหน”
กวนหินเห็นดังนั้นก็ตกใจ ชักม้าพาทหารหนีไปทางด้านตะวันตก พอดีเป็นเวลาค่ำกวนหินหนีไปถึงริมหนองน้ำ จะขี่ม้าลุยน้ำไปก็ไม่ได้ เพราะหนองน้ำนั้นไม่รู้ตื้นลึกประการใด กวนหินจึงจำใจชักม้ากลับเข้ารบกับออดกิด แต่สู้กันได้เพียงสิบเพลงกวนหินเห็นออดกิดทรงพลังแข็งแรง และทหารของออดกิดก็หนุนเนื่องตามมา กวนหินจึงขับม้าหนีไปตามริมหนองน้ำ ออดกิดก็ขี่ม้าไล่ตามไป
ม้าซึ่งออดกิดขี่นั้นเป็นม้าใหญ่พันธุ์ดีของภาคตะวันตกจึงมีฝีเท้าเร็วจัด ชั่วพริบตาออดกิดก็ขี่ม้าไล่ทันกวนหิน ออดกิดจึงเงื้อฆ้อนใหญ่หวังจะทุบหลังกวนหินให้แหลกรานคามือ.
เมื่อทหารทั้งปวงเห็นพ้องต้องกันแล้ว ขงเบ้งจึงให้จูล่งและอุยเอี๋ยนคุมทหารทำทีจะยกไปปล้นค่ายของโจจิ๋น แต่ให้ยกไปตั้งซุ่มอยู่กลางทาง เมื่อทหารโจจิ๋นซึ่งยกมาจะชิงค่ายขงเบ้งแตกกลับไปก็ให้เปิดทางให้กลับไปค่ายโดยสะดวกก่อนแล้วค่อยยกตามตีในภายหลัง และสั่งให้กวนหินกับเตียวเปายกทหารออกไปตั้งซุ่มอยู่ด้านหลังเขากิสาน ถ้าทหารโจจิ๋นที่มาปล้นค่ายแตกกลับไปแล้ว ก็ให้ไล่ตามตีไปจนถึงค่ายของโจจิ๋น และให้ม้าต้าย เตียวเอ๊ก เตียวหงีและอองเป๋ง คุมทหารไปซุ่มอยู่ด้านนอกค่ายทั้งสี่ทิศ เมื่อทหารโจจิ๋นเข้ามาปล้นค่ายและเห็นสัญญาณเพลิงที่จุดขึ้นในค่ายแล้ว ให้ม้าต้าย เตียวเอ๊ก เตียวหงีและอองเป๋ง คุมทหารตีกระหนาบทหารของโจจิ๋นซึ่งยกมาปล้นค่ายนั้นพร้อมกัน
นายทหารทั้งปวงไต่ถามแผนการโดยละเอียดแล้วจึงคำนับลาขงเบ้งกลับออกไปจัดแจงทหารและยกไปตามแผนการของขงเบ้งทุกประการ เมื่อนายทหารเหล่านั้นกลับออกไปแล้ว ขงเบ้งจึงสั่งให้ขนฟืนและเชื้อเพลิงเตรียมไว้ในค่ายเป็นอันมาก
คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด พอถึงเวลายามแรกจูล่งและอุยเอี๋ยนก็คุมทหารยกออกจากค่ายทำทีจะไปปล้นค่ายของโจจิ๋น ฝ่ายโจจุ้นและจูจ้านซึ่งรับคำสั่งของโจจิ๋นให้ยกกำลังมาซุ่มอยู่ด้านหลังเขากิสาน เมื่อได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่าทหารเสฉวนยกออกจากค่ายจะไปปล้นค่ายของโจจิ๋นแล้ว ก็สรรเสริญความคิดของกุยห้วยผู้เป็นปลัดทัพเว่ยว่ามีสติปัญญาหลักแหลม คาดการสงครามได้แม่นยำราวกับตาเห็น และคิดว่าการครั้งนี้จะสมคะเนและเห็นจะได้ชัยชนะแก่กองทัพเมืองเสฉวนโดยง่ายตามแผนการที่วางไว้นั้น
โจจุ้นและจูจ้านคิดดังนั้นแล้วจึงสั่งให้เคลื่อนพลออกจากที่ซ่อนยกไปที่ค่ายของขงเบ้ง แต่พอยกไปใกล้ค่ายก็เห็นทหารเบาบาง สำคัญว่ากองทัพเมืองเสฉวนยกไปปล้นค่ายโจจิ๋นจนเกือบหมดสิ้น ทิ้งทหารไว้แต่น้อยเพื่อรักษาค่ายก็ประมาท สั่งทหารให้จู่โจมเข้ายึดค่ายขงเบ้ง
ครั้นทหารของโจจุ้นและจูจ้านจู่โจมเข้าไปถึงประตูค่ายก็รู้สึกผิดสังเกต เพราะในค่ายนั้นเงียบสงัดวังเวง ก็ได้คิดว่าเป็นเหตุการณ์ผิดปกติ อาจต้องกลขงเบ้ง จึงสั่งทหารให้ถอยไกลออกจากค่าย
ในทันใดนั้นแสงเพลิงในค่ายก็ลุกโชติช่วงขึ้นทาบท้องฟ้า เสียงประทัดสัญญาณดังขานรับจากด้านนอกสนั่นหวั่นไหวทั้งสี่ด้าน แล้วทหารเมืองเสฉวนพากันโห่ร้องยกตรงเข้ามาที่ทหารของโจจุ้นและจูจ้านซึ่งกำลังเข้าตีค่ายของขงเบ้งนั้นอย่างรวดเร็ว
โจจุ้นและจูจ้านเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็รู้ตัวว่าต้องกลขงเบ้งเป็นแน่แล้ว จึงตกใจเป็นอันมาก ในขณะที่ทหารวุยก๊กที่รู้ตัวว่าต้องกลและถูกล้อมตีกระหนาบเข้ามาก็พากันแตกตื่นตกใจ โจจุ้นเห็นดังนั้นจึงรีบออกคำสั่งให้ทหารรีบตีฝ่าล่าถอยกลับไปตามเส้นทางเดิม หลังจากรบตีฝ่าประปรายชั่วครู่หนึ่ง โจจุ้นและจูจ้านก็พาทหารหนีพ้นวงล้อมออกมา
ทหารเมืองเสฉวนเห็นโจจุ้นและจูจ้านพาทหารหนีไปดังนั้นก็ไล่ตามตี จนโจจุ้นและ จูจ้านพาทหารหนีมาถึงแนวซุ่มของกองทัพจูล่งและอุยเอี๋ยน
ทั้งจูล่งและอุยเอี๋ยนเห็นโจจุ้นและจูจ้านพาทหารหนีมาตามที่ขงเบ้งได้คาดการณ์ก็สรรเสริญความคิดของขงเบ้งว่าเล็งการแม่นยำดุจเทพยดา จึงสั่งทหารให้จู่โจมฆ่าฟันทหารวุยก๊กบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก แล้วแกล้งปล่อยให้ทหารวุยก๊กหนีกลับไปค่าย
พอโจจุ้นและจูจ้านคุมทหารหนีไปครู่หนึ่ง ทหารของม้าต้าย ม้าเอ๊ก เตียวหงี ก็ยกมาถึง จูล่งและอุยเอี๋ยนก็ยกทหารเข้าสมทบแล้วยกตามไป
ฝ่ายทหารของโจจิ๋นซึ่งซุ่มอยู่นอกค่าย ได้ยินเสียงทหารยกมาเป็นอันมาก ไม่รู้ว่าเป็นทหารเหล่าใดเพราะเป็นเวลาเดือนมืด จึงสำคัญว่าเป็นทหารของขงเบ้งที่ยกมาปล้นค่ายตามแผนการของโจจิ๋นก็เตรียมพร้อมที่จะจู่โจม พอโจจุ้นและจูจ้านคุมทหารหนีเข้าไปใกล้ค่าย ทหารข้างในค่ายก็สำคัญว่าเป็นทหารเมืองเสฉวนยกมาปล้นค่าย จึงจุดเพลิงสัญญาณขึ้น
ทหารของโจจิ๋นที่ซุ่มอยู่นอกค่ายทั้งสี่ด้านเห็นสัญญาณเพลิงตามแผนการก็ยกเข้าฆ่าฟันทหารซึ่งยกมาหน้าค่าย โจจิ๋นและกุยห้วยซึ่งรักษาค่ายก็คุมทหารยกออกมาตีกระหนาบเข้ามาเป็นสามด้าน ในขณะที่โจจุ้นและจูจ้านก็สำคัญว่าทหารเมืองเสฉวนยึดค่ายได้แล้ว และวางกลอุบายตีกระหนาบ ก็สั่งทหารให้สู้ตาย
ทหารวุยก๊กจึงรบราฆ่าฟันกันเอง บาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก พักหนึ่งทหารซึ่งต่อสู้กันใกล้ค่ายเห็นหน้าค่าตาและเครื่องแต่งตัวกันและกันว่าเป็นพวกเดียวกัน ก็ร้องบอกต่อ ๆ กันว่าอย่าหลงกลขงเบ้งต่อไป ให้หยุดรบพุ่งในทันที
ฝ่ายจูล่ง อุยเอี๋ยน ม้าต้าย เตียวเอ๊ก เตียวหงีและอองเป๋ง ซึ่งยกทหารไล่ตามตีมาถึงหน้าค่ายของโจจิ๋น เห็นทหารวุยก๊กฆ่าฟันกันเองก็สั่งทหารให้กระหน่ำซ้ำตีเป็นสามทาง เข้าฆ่าฟันทหารวุยก๊กบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
ขณะนั้นทหารในค่ายของโจจิ๋นทราบว่ามีการสู้รบกันนอกค่ายเป็นชุลมุน ก็ยกหนุนออกจากค่ายทุกค่ายพร้อมกัน จูล่งเห็นทหารวุยก๊กหนุนเนื่องออกมาดังนั้นจึงเห็นว่าแผนการของขงเบ้งบรรลุผลแล้ว ซึ่งจะรบพุ่งต่อไปก็จะสูญเสียทหารโดยเปล่าประโยชน์ จึงสั่งทหารให้ถอยทัพกลับไปค่าย แล้วรายงานความทั้งปวงให้ขงเบ้งทราบ
วันรุ่งขึ้นโจจิ๋นได้เรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวง แล้วปรารภว่าเราทำศึกกับขงเบ้งสองยกก็เสียทีแก่ข้าศึก ได้รับความอัปยศเป็นอันมาก จะคิดอ่านประการใดจึงจะตีกองทัพเมืองเสฉวนให้ล่าถอยกลับไปได้
กุยห้วยซึ่งเป็นปลัดทัพเห็นโจจิ๋นผู้เป็นแม่ทัพปรารภเป็นทำนองท้อถอย จึงกล่าวว่า “อันการสงครามจะหมายชนะฝ่ายเดียวนั้นไม่ได้ ถึงจะมีฝีมือแลความคิดสักเท่าใดก็จำจะแพ้บ้าง ชนะบ้าง ท่านอย่าเพ่อเสียใจ ข้าพเจ้าจะให้ขงเบ้งถอยไปจนได้”
โจจิ๋นจึงถามว่าท่านมีแผนการประการใดจึงมั่นใจฉะนี้
กุยห้วยจึงว่า “เมืองเสเกี๋ยงนอกแดนเราข้างทิศตะวันตกนี้ แต่พระเจ้าวุยอ๋องยังมีพระชนม์อยู่ย่อมมีไมตรีต่อกัน เคยไปนบนอบถวายเครื่องบรรณาการแก่เตียดลิเกียดเจ้าเมืองเสเกี๋ยงทุกปีมิได้ขาด ขอให้ท่านแต่งหนังสือไปถึงเตียดลิเกียดว่าให้ยกทหารวกหลังมาตีเอาเมืองเสฉวน เมื่อสำเร็จราชการแล้วเราจะแต่งเครื่องบรรณาการไปแทนคุณให้ถึงขนาด”
โจจิ๋นได้ฟังแผนการของกุยห้วยก็ดีใจ รีบแต่งหนังสือถึงเตียดลิเกียดและจัดเตรียมของบรรณาการเป็นจำนวนมาก ให้ทหารซึ่งรับผิดชอบการทูตถือหนังสือและคุมเครื่องบรรณาการไปเมืองเสเกี๋ยง แล้วมอบหนังสือและของบรรณาการทั้งนั้นให้แก่เจ้าเมืองเสเกี๋ยง
เตียดลิเกียดเจ้าเมืองเสเกี๋ยงทราบความแล้วจึงว่า เมืองวุยก๊กกับเมืองเรามีมิตรไมตรีกันมาช้านาน เมื่อถูกข่มเหงรังแกจากเมืองอื่นฉะนี้เราจะนิ่งเฉยดูดายย่อมไม่ชอบ ว่าแล้วจึงสั่งแงตั๋นซึ่งเป็นหัวหน้าขุนนางฝ่ายพลเรือนและออดกิดซึ่งเป็นหัวหน้าขุนนางฝ่ายทหาร ให้คุมทหารยี่สิบห้าหมื่นพร้อมเครื่องศาสตราวุธประจำกายครบทุกคน และรถรบโลหะสำหรับทำศึก พร้อมทั้งเสบียงอาหารยกไปตีด่านเสเป๋ง ซึ่งเป็นด่านต่อแดนกับเมืองเสฉวนตามที่โจจิ๋นได้บอกมานั้น
ฝ่ายอันเจ๋งซึ่งเป็นนายด่านเสเป๋งปลายแดนจ๊กก๊ก พอได้ทราบข่าวศึกก็ให้ทหารถือใบบอกรีบไปแจ้งความแก่ขงเบ้ง
ขงเบ้งทราบข่าวดังนั้นก็พรั่นใจ คิดว่าเรายกล่วงลึกเข้ามาในแดนวุยก๊กเป็นอันมาก หากข้าศึกเข้าตีสกัดหลังก็จะขัดสน แต่ครั้งนี้ข้าศึกไม่ได้ตีสกัดหลัง กลับยกเข้าตีด่านเสเป๋งซึ่งเป็นด่านมั่นคงแข็งแรง แต่ครั้นจะไม่ยกทหารไปช่วยหากเสียด่านเสเป๋งแล้ว ก็จะเกิดการห่วงหน้าพะวงหลัง
ขงเบ้งคิดดังนั้นจึงถามว่าจะมีผู้ใดอาสายกทหารไปช่วยด่านเสเป๋งบ้าง กวนหินและเตียวเปาได้ฟังปรารภของขงเบ้งจึงขออาสานำทหารไปช่วยป้องกันรักษาด่าน
ขงเบ้งเห็นบุตรกวนอูและเตียวหุยอาสาดังนั้นก็มีความยินดี แต่เห็นว่าทั้งกวนหินและเตียวเปาไม่คุ้นเคยภูมิประเทศ จึงกล่าวว่า “เจ้าทั้งสองยังไม่เคยไปทางด่านเสเป๋ง เราจะให้ม้าต้ายไปด้วย ม้าต้ายชำนาญทางนั้นเคยไปมาเนือง ๆ แล้วก็รู้ท่วงทีเมืองเสเกี๋ยง”
ขงเบ้งกล่าวแล้วจึงจัดทหารห้าหมื่นให้กวนหิน เตียวเปา และม้าต้ายยกไปช่วยด่านเสเป๋ง สามนายทหารรับคำสั่งแล้วคำนับลาขงเบ้งออกไปจัดแจงทหารแล้วยกไปแต่เพลานั้น
เมื่อกวนหิน เตียวเปา และม้าต้ายยกมาใกล้ด่านเสเป๋ง จึงให้ทหารตั้งค่ายไว้แล้วขึ้นไปสังเกตการณ์บนยอดเขา เห็นกองทัพเมืองเสเกี๋ยงเพิ่งยกมาถึง แต่ไม่ได้ตั้งค่ายตามปกติ กลับใช้รถรบโลหะล้อมวงทำเป็นค่ายจำนวนหลายค่าย ส่วนบรรดา ศาสตราวุธทั้งปวงล้วนปักไว้บนหลังคารถรบเป็นที่ประหลาดนัก
กวนหินยืนมาพิเคราะห์กระบวนการตั้งค่ายของทหารเมืองเสเกี๋ยงเป็นเวลาช้านานก็ไม่เห็นจุดอ่อนที่จะเข้าตีค่ายเมืองเสเกี๋ยงได้ จึงขี่ม้ากลับมาที่ค่ายแล้วปรึกษากับม้าต้ายและเตียวเปาว่าจะคิดอ่านประการใด
ทั้งม้าต้ายและเตียวเปาไม่เคยทราบเกียรติประวัติและกระบวนรบของทหารเมืองเสเกี๋ยงมาแต่ก่อน ก็ไม่เห็นทางว่าจะตีกองทัพเมืองเสเกี๋ยงให้ถอยกลับไปได้ แต่ม้าต้ายนั้นใคร่จะลองกำลังศึกแล้วค่อยคิดอ่านวางแผนต่อไป จึงเสนอให้ยกไปรบกับทหารเมืองเสเกี๋ยงสักครั้งหนึ่งก่อน กวนหินและเตียวเปาก็เห็นด้วย
วันรุ่งขึ้นกวนหิน เตียวเปา และม้าต้ายจึงยกทหารออกจากค่ายเป็นสามทาง ม้าต้ายเป็นปีกซ้าย เตียวเปาเป็นปีกขวา กวนหินเป็นกองกลาง ยกไปที่กองทัพเมืองเสเกี๋ยง
ฝ่ายออดกิดแม่ทัพเมืองเสเกี๋ยง ครั้นเห็นทหารเมืองเสฉวนยกมาดังนั้นจึงสั่งให้ทหารแปรขบวนรบ ทหารเมืองเสเกี๋ยงจึงคุมรถรบโลหะแยกเป็นแนวยาวสองแนวเข้าเผชิญหน้ากับทหารเมืองเสฉวนทั้งสามทาง ตัวออดกิดขี่ม้าถือฆ้อนเหล็กใหญ่นำหน้าทหารออกไป
กวนหินเห็นดังนั้นจึงขี่ม้าเข้ารบกับออดกิด หลังจากรบกันได้สามเพลงออดกิดก็รบล่อให้กวนหินถลำเข้าไปกลางแนวรถรบ พอกวนหินเข้าไปถึงกลางแนว รถรบทั้งสองสายก็แปรขบวนล้อมเป็นวง เตียวเปาและม้าต้ายเห็นกระบวนรบแปลกประหลาดก็สังหรณ์ใจ จึงขี่ม้าพาทหารส่วนหนึ่งออกมานอกแนวล้อม แต่กวนหินนั้นยังคงต่อสู้กับออดกิด จึงถูกขบวนรถรบโลหะปิดล้อมไว้เป็นวง โดยมีหนองน้ำขวางกั้นอยู่อีกด้านหนึ่ง
กวนหินเห็นดังนั้นก็สั่งทหารให้ตีฝ่าหักแนวล้อมแต่ไม่สามารถตีฝ่าออกไปได้ เพราะรถรบโลหะสามารถต้านทานการตีฝ่าได้อย่างเหนียวแน่นราวกับเป็นผนังทองแดง และทหารในรถรบก็คอยใช้อาวุธแทงไม่ให้เข้าไปใกล้ได้ กวนหินยิ่งตีฝ่าทหารเมืองเสเกี๋ยงก็คุมรถรบล้อมวงเป็นชั้นที่สองกระชับแน่นเข้ามา กวนหินเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงขี่ม้าพาทหารไปทางด้านทิศเหนือของแนวล้อม ออดกิดเห็นดังนั้นจึงขี่ม้าถือฆ้อนเหล็กภายใต้ธงดำใหญ่ประจำตัวแม่ทัพพร้อมกับทหารเป็นขบวนไล่ตามไป
พอไล่กวนหินใกล้จะทัน ออดกิดจึงตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “อ้ายทหารลูกเล็ก มึงจะหนีไปไหน”
กวนหินเห็นดังนั้นก็ตกใจ ชักม้าพาทหารหนีไปทางด้านตะวันตก พอดีเป็นเวลาค่ำกวนหินหนีไปถึงริมหนองน้ำ จะขี่ม้าลุยน้ำไปก็ไม่ได้ เพราะหนองน้ำนั้นไม่รู้ตื้นลึกประการใด กวนหินจึงจำใจชักม้ากลับเข้ารบกับออดกิด แต่สู้กันได้เพียงสิบเพลงกวนหินเห็นออดกิดทรงพลังแข็งแรง และทหารของออดกิดก็หนุนเนื่องตามมา กวนหินจึงขับม้าหนีไปตามริมหนองน้ำ ออดกิดก็ขี่ม้าไล่ตามไป
ม้าซึ่งออดกิดขี่นั้นเป็นม้าใหญ่พันธุ์ดีของภาคตะวันตกจึงมีฝีเท้าเร็วจัด ชั่วพริบตาออดกิดก็ขี่ม้าไล่ทันกวนหิน ออดกิดจึงเงื้อฆ้อนใหญ่หวังจะทุบหลังกวนหินให้แหลกรานคามือ.