ตอนที่ 518. กลศึกอันยอกย้อน
อองลองมหาบัณฑิตแห่งราชสำนักเว่ย เห็นว่าขงเบ้งมีจุดแข็งในการบัญชาการรบพุ่ง ไม่รู้ว่าขงเบ้งมีความแหลมคมจัดจ้านในเชิงวาทศิลป์ ก็คิดว่าจะเอาชนะขงเบ้งด้วยวาจายุทธ์ จึงเสนอโจจิ๋นให้เปิดศึกครั้งแรกกับจ๊กก๊กด้วยศึกวาทศิลป์ และอองลองอาสาเป็นขุนพลออกไปประคารมกับขงเบ้งด้วยตนเอง
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาถ้อยร้อยวาจาของอองลองอย่างไพเราะว่า “อันประเพณีการแผ่นดิน จะยึดเอาเป็นเที่ยงนั้นไม่ได้ ผู้ใดมีวาสนามากได้สมบัติก็เรียกว่าเป็นกษัตริย์ ประการหนึ่งวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้นี้แผ่นดินก็เป็นอันตรายเกิดจลาจลเนือง ๆ มา เมื่อครั้งพระเจ้าเลนเต้ได้สมบัตินั้น ก็เกิดโจรโพกผ้าเหลืองทำจลาจลขึ้น ราษฎรทั้งปวงก็ได้ความเดือดร้อน ครั้งพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ครองราชสมบัติเล่า ตั๋งโต๊ะทำหยาบช้าต่าง ๆ แล้วก็เกิดรบกันกับลิฉุย กุยกี ขึ้นกลางเมือง อ้วนสุดหนึ่ง อ้วนเสี้ยวหนึ่ง เล่าเปียวหนึ่ง ลิโป้หนึ่ง ก็เป็นขบถ ตั้งตัวเป็นเจ้าเมืองแข็งเมืองขึ้นสิ้น ราษฎรทั้งปวงก็ไม่มีความสุข ครั้งนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้เหมือนไข่ตั้งอยู่บนศิลา หากว่าพระเจ้าวุยอ๋องเจ้าเรามีบุญมาก กำจัดศัตรูให้ล่าหนีได้ พระเจ้าเหี้ยนเต้แลราษฎรทั้งปวงจึงได้หลับตานอนเป็นสุขมากขึ้น ฝนตกตามเทศกาลฤดู เสบียงอาหารก็บริบูรณ์มิได้ขัดสน”
อองลองกล่าวเช่นนั้นแล้วก็จ้องมองหน้าขงเบ้ง เห็นขงเบ้งนิ่งฟังด้วยอาการอันสงบ จึงกล่าวสืบไปว่า “อนึ่งคำโบราณกล่าวไว้ว่า เกิดเป็นคนในแผ่นดินให้พิเคราะห์ดูการ ถ้าเห็นผู้ใดมีบุญสมภารมากก็ให้เข้านอบนบเป็นข้าอยู่ด้วย ผู้นั้นจึงจะได้ความสุข แม้นขืนคำโบราณก็จะฉิบหายจนตัวตาย บัดนี้พระเจ้าโจยอยมีรับสั่งให้เราคุมทหารเอกพันหนึ่ง ทหารเลวยี่สิบหมื่น ยกออกมาเหมือนเพลิงไหม้ป่า พิเคราะห์ดูกองทัพท่านเหมือนหิ่งห้อยติดปลายหญ้า ถ้าจะรบพุ่งกันเข้าก็เห็นจะเป็นอันตรายยับเยินไปข้างเดียว ตัวท่านเป็นคนมีปัญญาหลักแหลม สารพัดจะรู้ขนบธรรมเนียมการทั้งปวง แม้รู้จักโทษตัวซึ่งคิดผิดไปเข้ากับเล่าปี่นั้นแล้ว ยอมอ่อนน้อมต่อเราโดยดี เราจะกราบทูลพระเจ้าโจยอยให้ตั้งท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ก็จะดีกว่าอยู่กับเล่าเสี้ยนอีก ทแกล้วทหารทั้งปวงก็จะได้ความสุขด้วย”
เมื่ออองลองได้กล่าวความแสดงความชอบธรรมตามลิขิตสวรรค์ว่าโจโฉได้ทำคุณต่อแผ่นดินในการปราบปรามบ้านเมืองให้สงบราบคาบเป็นลำดับมา จนกระทั่งราชบัลลังก์ตกแก่โจยอย และชี้ให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของกองทัพเว่ยที่มีอานุภาพประดุจเพลิงป่าในขณะที่กองทัพของขงเบ้งเปรียบได้เพียงหิ่งห้อยที่ยอดหญ้า ทั้งเกลี้ยกล่อมขงเบ้งให้ยอมอ่อนน้อมแต่โดยดีแล้ว ยังคงเห็นขงเบ้งนั่งนิ่งอยู่บนเกวียนน้อย ก็สำคัญว่าขงเบ้งจำนนต่อเหตุและผล ไม่สามารถแก้ความซึ่งได้รุกจู่โจมระลอกแล้วระลอกเล่าได้ จึงจ้องหน้ามองขงเบ้งแล้วกวาดสายตาไปโดยรอบ แล้วตั้งใจคอยฟังว่าขงเบ้งจะว่ากล่าวประการใด
ขงเบ้งเห็นอองลองกล่าวสิ้นความแล้วก็หัวเราะ มือหนึ่งลูบหนวดที่พลิ้วไสวตามสายลม มือหนึ่งถือพัดขนนก แล้วกล่าวเกริ่นว่า “ตัวท่านก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ อยู่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ก่อน ควรเจรจาให้เป็นธรรมตามธรรมเนียม เหตุใดจึงมาว่าฉะนี้ ท่านจงนิ่งฟังเถิด เราจะว่าบ้างสักคำหนึ่ง”
อองลองคิดว่าขงเบ้งจะจำนนต่อถ้อยคำ แต่พลันที่ได้ยินคำเกริ่นของขงเบ้งก็รู้ว่าแม้เพียงคำเกริ่นเท่านั้น ก็มีพลานุภาพจากพลังแห่งโลกนิติ กระแทกเข้าสู่หัวใจแปลบปลาบขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาแต่ก่อน สีหน้าก็ตกตะลึง
ขงเบ้งเห็นอองลองตะลึง สมคะเนว่าวาจายุทธ์ได้ตรงเป้าเข้าจุดกลางใจของอองลองแล้ว จึงกวาดสายตาไปทั่วบริเวณแล้วกล่าวสืบไปว่า “เมื่อครั้งพระเจ้าเลนเต้ได้เสวยราชสมบัตินั้น พวกขันทียุยงต่าง ๆ แผ่นดินจึงเป็นจลาจล เกิดโจรโพกผ้าเหลืองขึ้น มาภายหลังตั๋งโต๊ะแลลิฉุย กุยกี คิดกำเริบทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน จนพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ความเดือดร้อน เพราะพระเจ้าเหี้ยนเต้มิได้พิเคราะห์เอาคนชาติต่ำช้าซึ่งมิได้มีความคิดมาตั้งเป็นขุนนาง”
ขงเบ้งกล่าวดังนั้นแล้วก็เอาพัดขนนกชี้ไปที่อองลอง ในขณะเดียวกันอองลองก็รู้สึกกริ่งว่าคนชั่วช้าสารเลวที่พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงตั้งเป็นขุนนางนั้นอาจหมายถึงตัวเอง ก็รู้สึกครั่นคร้ามอยู่ในใจ และรู้สึกเสียวปลาบขึ้นที่ทรวงอกด้านซ้าย
เสียงขงเบ้งกระชากเสียงแบบประชดประชันและเสียดสีดังก้องท้องสนามขึ้นอีกว่า “ตัวท่านนี้เราก็รู้จักอยู่ เดิมเป็นลูกตระกูลอยู่บ้านกังไฮ คนทั้งปวงนับถือท่านว่ามีสติปัญญา รู้จักคุณบิดามารดา”
ขงเบ้งกล่าวแล้วก็แสร้งหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะที่สายตาก็จ้องมองอองลองด้วยท่าทางที่รู้สึกผิดหวัง ในขณะนั้นสีหน้าอองลองเริ่มซีดเผือดลง
ขงเบ้งจึงกล่าวสืบต่อไปว่า เพราะเหตุนั้น “พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ควรท่านจะทำการสนองคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้โดยสุจริต ช่วยกันยกย่องเชื้อพระวงศ์ขึ้นครองสมบัติจึงจะชอบ แลท่านคบคิดเข้าด้วยอ้ายโจรชิงเอาราชสมบัติฉะนี้ โทษก็ผิดอยู่เป็นอันมาก คนทั้งปวงซึ่งสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินก็คิดแค้นท่านนัก จะใคร่ฉีกเนื้อกินเสียทั้งเป็น ถึงเทพยดาในชั้นฟ้าก็จะสังหารท่าน บัดนี้เราพิเคราะห์เห็นว่าบุญแซ่เชื้อพระเจ้าเหี้ยนเต้ยังมากอยู่ พระเจ้าเล่าปี่จึงได้เป็นใหญ่ขึ้นในเมืองเสฉวนต่อพระวงศ์กันมา ตัวเราถือรับสั่งพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้ยกกองทัพมาปราบอ้ายโจรราชสมบัติ”
ขงเบ้งประณามอองลองว่าเป็นวิญญูชนจอมปลอม สร้างภาพให้คนหลงเชื่อว่าเป็นคนมีคุณธรรม แต่แท้จริงเป็นคนเนรคุณต่อเจ้า อกตัญญูต่อข้าวแดงแกงร้อนของท่านแล้ว เห็นใบหน้าอองลองเปลี่ยนจากซีดเป็นคล้ำหมอง จึงเอาพัดขนนกชี้หน้าอองลองซ้ำแล้วกล่าวสืบไปว่า “ตัวท่านเป็นคนอกตัญญู เร่งหนีซุกซ่อนไปเอาตัวรอดให้พ้นความตายเถิด อย่ามาฝืนหน้าพูดถึงการแผ่นดินเลย ให้เร่งคิดถึงตัวด้วยแก่ชราถึงเพียงนี้แล้ว จะตายไปดูหน้าวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้กระไรได้”
อองลองฟังคำขงเบ้งแล้วรู้สึกเนื้อตัวเบาหวิวราวกับจะลอยขึ้นไปบนอากาศ แต่หน้าอกเบื้องซ้ายนั้นแน่นหนักราวกับถูกอัดไว้ด้วยภูเขา อึดอัดนิ่งขึงอยู่บนหลังม้าราวกับว่าจะทรงตัวไว้ไม่ได้ ขงเบ้งเห็นอาการอองลองดังนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “อ้ายโจรเฒ่า มึงเร่งกลับไปบอกอ้ายพวกขบถให้ยกกองทัพมารบ จะได้เห็นฝีมือว่าผู้ใดจะแพ้แลชนะ”
สิ้นคำของขงเบ้งอองลองซึ่งอึดอัดปวดร้าวที่ทรวงอกเบื้องซ้ายถึงขีดสุดด้วยความคับแค้นและละอายใจสุดประมาณ ร้องโอยได้เพียงคำเดียวสายบังเหียนม้าที่ถืออยู่ก็หลุดออกจากมือ โลหิตไหลออกจากปาก อองลองพลัดตกลงจากหลังม้าถึงแก่ความตาย ท่ามกลางความตกใจและตกตะลึงของโจจิ๋นและเหล่าทหารวุยก๊ก
ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็รู้สึกสลดใจ จึงเอาพัดขนนกชี้ไปที่โจจิ๋นแม่ทัพใหญ่ของวุยก๊กแล้วกล่าวว่า ผู้เฒ่าอองลองไม่อาจทนทานต่อพลังอำนาจแห่งสัจธรรมได้ จึงถึงแก่ความตายไปต่อหน้าต่อตา วันนี้เราอย่าเพิ่งรบกันเลย ท่านจงเอาศพอองลองกลับไป จัดเตรียมทหารให้พร้อมแล้วค่อยยกมารบกันใหม่ กล่าวแล้วขงเบ้งก็สั่งทหารให้กลับเข้าค่าย
โจจิ๋นหายตะลึงแล้วจึงสั่งทหารให้ไปนำศพอองลองกลับเข้าไปในค่าย แล้วต่อโลงบรรจุศพส่งกลับไปเมืองหลวง
บ่ายวันนั้นกุยห้วยปลัดทัพได้เสนอแก่โจจิ๋นว่า อองลองเสียทีแก่ขงเบ้งถึงแก่ความตายแล้ว ขงเบ้งย่อมกำเริบใจ คิดว่ากองทัพเราจะสาละวนวุ่นวายอยู่กับการศพของอองลอง ในเวลาค่ำวันนี้เห็นว่ากองทัพขงเบ้งจะยกมาปล้นค่ายเราเป็นมั่นคง ขอให้ท่านแต่งทหารเป็นสามกอง กองหนึ่งยกอ้อมหลังเขากิสานไปซุ่มอยู่ในป่าหลังค่ายขงเบ้ง เมื่อขงเบ้งยกมาปล้นค่ายเรา ก็ให้ยกเข้าชิงเอาค่ายของขงเบ้งเสีย อีกกองหนึ่งแยกเป็นสองสาย ซุ่มอยู่ในป่าหน้าค่ายทั้งสองด้าน เมื่อขงเบ้งยกทหารมาถึงก็ให้ล้อมตีกระหนาบเข้ามา และอีกกองหนึ่งให้อยู่รักษาค่าย เมื่อทหารหน้าค่ายทั้งสองสายเข้าตีกองทัพขงเบ้งแล้ว ก็ให้ยกทหารออกจากค่ายตีกระหนาบไปพร้อมกัน เห็นขงเบ้งจะพ่ายแพ้เป็นแม่นมั่น
โจจิ๋นได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งความคิดท่านเห็นว่าขงเบ้งจะยกมาปล้นค่ายเราคืนนี้ต้องด้วยความคิดของเรา แต่แผนการของท่านลึกซึ้งหลักแหลมนัก เห็นจะได้ตัวขงเบ้งในค่ำนี้เป็นแน่แท้ กล่าวแล้วโจจิ๋นจึงเรียกบรรดาแม่ทัพนายกองเข้ามาพร้อมกัน สั่งให้โจจุ้นกับจูจ้านยกทหารวกอ้อมไปด้านหลังเขากิสาน ตั้งซุ่มอยู่ในป่าด้านหลังค่ายของขงเบ้ง กำชับว่าเมื่อขงเบ้งยกทหารออกจากค่ายแล้ว ก็ให้จู่โจมเข้ายึดค่ายขบเบ้งให้จงได้ แล้วให้ทหารอีกกองหนึ่งยกออกไปซุ่มอยู่นอกค่ายทั้งซ้ายขวาคอยตีกระหนาบกองทัพขงเบ้งเมื่อยกมาปล้นค่าย ตัวโจจิ๋นคุมทหารอีกกองหนึ่งอยู่รักษาค่าย และให้ทหารในค่ายขนเอาเชื้อเพลิงและฟืนมาสุมไว้ในค่ายเป็นอันมาก สั่งว่าเมื่อกองทัพขงเบ้งยกมาปล้นค่ายก็ให้จุดเพลิงสัญญาณขึ้นเป็นสำคัญ ให้ทหารทุกกองถือสัญญาณเพลิงจากค่ายแล้วยกเข้าตีพร้อมกัน
พอเวลาพลบค่ำทหารของโจจิ๋นทุกกองก็ยกออกไปทำการตามคำสั่งทุกประการ
ฝ่ายขงเบ้งครั้นยกทหารกลับเข้าค่ายแล้วก็เรียกแม่ทัพนายกองเข้ามาพร้อมกัน แล้วปรารภว่า เราจะยกกองทัพเข้าปล้นเอาค่ายของโจจิ๋นในค่ำวันนี้ และสั่งให้จูล่งกับอุยเอี๋ยนคุมทหารออกไปปล้นค่ายของโจจิ๋นให้ได้
อุยเอี๋ยนได้ยินดังนั้นก็รีบท้วงว่า “โจจิ๋นเป็นคนมีสติปัญญาเคยทำศึกอยู่ ซึ่งเราจะดูหมิ่นเห็นว่าโจจิ๋นสาละวนอยู่ด้วยการศพอองลอง จะยกไปปล้นเอาค่ายนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าโจจิ๋นจะรู้ถึงตระเตรียมไว้พร้อมแล้ว”
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่ายิ่งโจจิ๋นคิดว่าเราจะยกไปปล้นค่ายแล้วเตรียมการไว้พร้อมนั้นก็จะยิ่งทำให้เราทำการได้ถนัด อันการสงครามนั้นการรู้เขารู้เราเป็นเพียงบทเบื้องต้นแห่งคัมภีร์พิชัยสงครามเท่านั้น การหยั่งรู้ว่าเขารู้เราอย่างไรและเขารู้ว่าเราหยั่งรู้เขาอย่างไรยิ่งล้ำลึกกว่า
แล้วขงเบ้งจึงกล่าวสืบไปว่า “เราพิเคราะห์ดูในความคิดโจจิ๋นนั้น เห็นจะเกณฑ์ทหารมาตั้งซุ่มอยู่หลังเขากิสาน คอยชิงค่ายเราเป็นมั่นคง เราจึงให้ท่านทั้งสองยกทหารไปแต่พอให้ทหารโจจิ๋นเห็น แม้ถึงค่ายแล้วก็หยุดทหารตั้งซุ่มอยู่แต่ไกล ถ้าเห็นเราจุดเพลิงสำคัญขึ้นเมื่อใด ท่านจงคุมทหารออกสกัดทางไว้ แม้ทหารโจจิ๋นแตกหนีเราไป ก็ให้เปิดทางไล่ฆ่าฟันไปกว่าจะถึงค่าย โจจิ๋นก็จะเสียทีแก่เราเป็นมั่นคง”
สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุว่า ขงเบ้งได้กล่าวอรรถาธิบายแก่บรรดาแม่ทัพนายกองว่าโจจิ๋นนั้นชำนาญการสงคราม คิดว่าเราจะคิดว่ากองทัพเว่ยจะสาละวนอยู่กับการศพของอองลอง แล้วจะยกไปปล้นค่ายในคืนวันนี้ ก็จะแต่งทหารยกมาตั้งซุ่มอยู่ที่ด้านหลังเขากิสาน คอยยึดค่ายเราอยู่ทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งก็จะจัดทหารซุ่มไว้ด้านหน้าค่าย เมื่อเรายกทหารไปปล้นค่ายก็จะยกตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน ความคิดของโจจิ๋นจึงคาดหวังจะได้ชัยชนะในการศึกครั้งนี้ เมื่อเราคะเนความคิดของโจจิ๋นดังนี้แล้วก็จะอาศัยความคิดและแผนอุบายของโจจิ๋นเองทำลายกองทัพเว่ยให้ยับเยิน เราจึงแสร้งคล้อยตามความคิดของโจจิ๋น ทำทีเป็นยกทหารจะไปปล้นค่าย แต่ให้ยกไปตั้งซุ่มอยู่ระหว่างทางแล้วจะยกทหารออกไปโจมตีทหารของโจจิ๋นซึ่งมาซุ่มอยู่ด้านหลังเขากิสาน ให้แตกหนีกลับไปที่ค่าย ทหารของโจจิ๋นซึ่งซุ่มอยู่หน้าค่ายสำคัญว่าเป็นทหารเรายกไปปล้นค่ายก็จะยกออกมาฆ่าฟันกันเอง เราจุดเพลิงสัญญาณขึ้นในค่ายเมื่อใดก็ให้ทหารซึ่งทำทีจะยกไปปล้นค่ายนั้นไล่ตามตี เห็นจะได้ชัยชนะแก่ข้าศึกในทุกด้าน
บรรดาแม่ทัพนายกองได้ฟังแผนการความคิดของขงเบ้งอันซับซ้อนยอกย้อนซ่อนเงื่อนยิ่งนักก็เห็นว่าจะได้ชัยชนะโดยแทบไม่ต้องเปลืองกำลังทหาร ต่างพากันสรรเสริญความคิดของขงเบ้งเป็นอันมาก.
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาถ้อยร้อยวาจาของอองลองอย่างไพเราะว่า “อันประเพณีการแผ่นดิน จะยึดเอาเป็นเที่ยงนั้นไม่ได้ ผู้ใดมีวาสนามากได้สมบัติก็เรียกว่าเป็นกษัตริย์ ประการหนึ่งวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้นี้แผ่นดินก็เป็นอันตรายเกิดจลาจลเนือง ๆ มา เมื่อครั้งพระเจ้าเลนเต้ได้สมบัตินั้น ก็เกิดโจรโพกผ้าเหลืองทำจลาจลขึ้น ราษฎรทั้งปวงก็ได้ความเดือดร้อน ครั้งพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ครองราชสมบัติเล่า ตั๋งโต๊ะทำหยาบช้าต่าง ๆ แล้วก็เกิดรบกันกับลิฉุย กุยกี ขึ้นกลางเมือง อ้วนสุดหนึ่ง อ้วนเสี้ยวหนึ่ง เล่าเปียวหนึ่ง ลิโป้หนึ่ง ก็เป็นขบถ ตั้งตัวเป็นเจ้าเมืองแข็งเมืองขึ้นสิ้น ราษฎรทั้งปวงก็ไม่มีความสุข ครั้งนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้เหมือนไข่ตั้งอยู่บนศิลา หากว่าพระเจ้าวุยอ๋องเจ้าเรามีบุญมาก กำจัดศัตรูให้ล่าหนีได้ พระเจ้าเหี้ยนเต้แลราษฎรทั้งปวงจึงได้หลับตานอนเป็นสุขมากขึ้น ฝนตกตามเทศกาลฤดู เสบียงอาหารก็บริบูรณ์มิได้ขัดสน”
อองลองกล่าวเช่นนั้นแล้วก็จ้องมองหน้าขงเบ้ง เห็นขงเบ้งนิ่งฟังด้วยอาการอันสงบ จึงกล่าวสืบไปว่า “อนึ่งคำโบราณกล่าวไว้ว่า เกิดเป็นคนในแผ่นดินให้พิเคราะห์ดูการ ถ้าเห็นผู้ใดมีบุญสมภารมากก็ให้เข้านอบนบเป็นข้าอยู่ด้วย ผู้นั้นจึงจะได้ความสุข แม้นขืนคำโบราณก็จะฉิบหายจนตัวตาย บัดนี้พระเจ้าโจยอยมีรับสั่งให้เราคุมทหารเอกพันหนึ่ง ทหารเลวยี่สิบหมื่น ยกออกมาเหมือนเพลิงไหม้ป่า พิเคราะห์ดูกองทัพท่านเหมือนหิ่งห้อยติดปลายหญ้า ถ้าจะรบพุ่งกันเข้าก็เห็นจะเป็นอันตรายยับเยินไปข้างเดียว ตัวท่านเป็นคนมีปัญญาหลักแหลม สารพัดจะรู้ขนบธรรมเนียมการทั้งปวง แม้รู้จักโทษตัวซึ่งคิดผิดไปเข้ากับเล่าปี่นั้นแล้ว ยอมอ่อนน้อมต่อเราโดยดี เราจะกราบทูลพระเจ้าโจยอยให้ตั้งท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ก็จะดีกว่าอยู่กับเล่าเสี้ยนอีก ทแกล้วทหารทั้งปวงก็จะได้ความสุขด้วย”
เมื่ออองลองได้กล่าวความแสดงความชอบธรรมตามลิขิตสวรรค์ว่าโจโฉได้ทำคุณต่อแผ่นดินในการปราบปรามบ้านเมืองให้สงบราบคาบเป็นลำดับมา จนกระทั่งราชบัลลังก์ตกแก่โจยอย และชี้ให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของกองทัพเว่ยที่มีอานุภาพประดุจเพลิงป่าในขณะที่กองทัพของขงเบ้งเปรียบได้เพียงหิ่งห้อยที่ยอดหญ้า ทั้งเกลี้ยกล่อมขงเบ้งให้ยอมอ่อนน้อมแต่โดยดีแล้ว ยังคงเห็นขงเบ้งนั่งนิ่งอยู่บนเกวียนน้อย ก็สำคัญว่าขงเบ้งจำนนต่อเหตุและผล ไม่สามารถแก้ความซึ่งได้รุกจู่โจมระลอกแล้วระลอกเล่าได้ จึงจ้องหน้ามองขงเบ้งแล้วกวาดสายตาไปโดยรอบ แล้วตั้งใจคอยฟังว่าขงเบ้งจะว่ากล่าวประการใด
ขงเบ้งเห็นอองลองกล่าวสิ้นความแล้วก็หัวเราะ มือหนึ่งลูบหนวดที่พลิ้วไสวตามสายลม มือหนึ่งถือพัดขนนก แล้วกล่าวเกริ่นว่า “ตัวท่านก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ อยู่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ก่อน ควรเจรจาให้เป็นธรรมตามธรรมเนียม เหตุใดจึงมาว่าฉะนี้ ท่านจงนิ่งฟังเถิด เราจะว่าบ้างสักคำหนึ่ง”
อองลองคิดว่าขงเบ้งจะจำนนต่อถ้อยคำ แต่พลันที่ได้ยินคำเกริ่นของขงเบ้งก็รู้ว่าแม้เพียงคำเกริ่นเท่านั้น ก็มีพลานุภาพจากพลังแห่งโลกนิติ กระแทกเข้าสู่หัวใจแปลบปลาบขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาแต่ก่อน สีหน้าก็ตกตะลึง
ขงเบ้งเห็นอองลองตะลึง สมคะเนว่าวาจายุทธ์ได้ตรงเป้าเข้าจุดกลางใจของอองลองแล้ว จึงกวาดสายตาไปทั่วบริเวณแล้วกล่าวสืบไปว่า “เมื่อครั้งพระเจ้าเลนเต้ได้เสวยราชสมบัตินั้น พวกขันทียุยงต่าง ๆ แผ่นดินจึงเป็นจลาจล เกิดโจรโพกผ้าเหลืองขึ้น มาภายหลังตั๋งโต๊ะแลลิฉุย กุยกี คิดกำเริบทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน จนพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ความเดือดร้อน เพราะพระเจ้าเหี้ยนเต้มิได้พิเคราะห์เอาคนชาติต่ำช้าซึ่งมิได้มีความคิดมาตั้งเป็นขุนนาง”
ขงเบ้งกล่าวดังนั้นแล้วก็เอาพัดขนนกชี้ไปที่อองลอง ในขณะเดียวกันอองลองก็รู้สึกกริ่งว่าคนชั่วช้าสารเลวที่พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงตั้งเป็นขุนนางนั้นอาจหมายถึงตัวเอง ก็รู้สึกครั่นคร้ามอยู่ในใจ และรู้สึกเสียวปลาบขึ้นที่ทรวงอกด้านซ้าย
เสียงขงเบ้งกระชากเสียงแบบประชดประชันและเสียดสีดังก้องท้องสนามขึ้นอีกว่า “ตัวท่านนี้เราก็รู้จักอยู่ เดิมเป็นลูกตระกูลอยู่บ้านกังไฮ คนทั้งปวงนับถือท่านว่ามีสติปัญญา รู้จักคุณบิดามารดา”
ขงเบ้งกล่าวแล้วก็แสร้งหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะที่สายตาก็จ้องมองอองลองด้วยท่าทางที่รู้สึกผิดหวัง ในขณะนั้นสีหน้าอองลองเริ่มซีดเผือดลง
ขงเบ้งจึงกล่าวสืบต่อไปว่า เพราะเหตุนั้น “พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ควรท่านจะทำการสนองคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้โดยสุจริต ช่วยกันยกย่องเชื้อพระวงศ์ขึ้นครองสมบัติจึงจะชอบ แลท่านคบคิดเข้าด้วยอ้ายโจรชิงเอาราชสมบัติฉะนี้ โทษก็ผิดอยู่เป็นอันมาก คนทั้งปวงซึ่งสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินก็คิดแค้นท่านนัก จะใคร่ฉีกเนื้อกินเสียทั้งเป็น ถึงเทพยดาในชั้นฟ้าก็จะสังหารท่าน บัดนี้เราพิเคราะห์เห็นว่าบุญแซ่เชื้อพระเจ้าเหี้ยนเต้ยังมากอยู่ พระเจ้าเล่าปี่จึงได้เป็นใหญ่ขึ้นในเมืองเสฉวนต่อพระวงศ์กันมา ตัวเราถือรับสั่งพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้ยกกองทัพมาปราบอ้ายโจรราชสมบัติ”
ขงเบ้งประณามอองลองว่าเป็นวิญญูชนจอมปลอม สร้างภาพให้คนหลงเชื่อว่าเป็นคนมีคุณธรรม แต่แท้จริงเป็นคนเนรคุณต่อเจ้า อกตัญญูต่อข้าวแดงแกงร้อนของท่านแล้ว เห็นใบหน้าอองลองเปลี่ยนจากซีดเป็นคล้ำหมอง จึงเอาพัดขนนกชี้หน้าอองลองซ้ำแล้วกล่าวสืบไปว่า “ตัวท่านเป็นคนอกตัญญู เร่งหนีซุกซ่อนไปเอาตัวรอดให้พ้นความตายเถิด อย่ามาฝืนหน้าพูดถึงการแผ่นดินเลย ให้เร่งคิดถึงตัวด้วยแก่ชราถึงเพียงนี้แล้ว จะตายไปดูหน้าวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้กระไรได้”
อองลองฟังคำขงเบ้งแล้วรู้สึกเนื้อตัวเบาหวิวราวกับจะลอยขึ้นไปบนอากาศ แต่หน้าอกเบื้องซ้ายนั้นแน่นหนักราวกับถูกอัดไว้ด้วยภูเขา อึดอัดนิ่งขึงอยู่บนหลังม้าราวกับว่าจะทรงตัวไว้ไม่ได้ ขงเบ้งเห็นอาการอองลองดังนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “อ้ายโจรเฒ่า มึงเร่งกลับไปบอกอ้ายพวกขบถให้ยกกองทัพมารบ จะได้เห็นฝีมือว่าผู้ใดจะแพ้แลชนะ”
สิ้นคำของขงเบ้งอองลองซึ่งอึดอัดปวดร้าวที่ทรวงอกเบื้องซ้ายถึงขีดสุดด้วยความคับแค้นและละอายใจสุดประมาณ ร้องโอยได้เพียงคำเดียวสายบังเหียนม้าที่ถืออยู่ก็หลุดออกจากมือ โลหิตไหลออกจากปาก อองลองพลัดตกลงจากหลังม้าถึงแก่ความตาย ท่ามกลางความตกใจและตกตะลึงของโจจิ๋นและเหล่าทหารวุยก๊ก
ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็รู้สึกสลดใจ จึงเอาพัดขนนกชี้ไปที่โจจิ๋นแม่ทัพใหญ่ของวุยก๊กแล้วกล่าวว่า ผู้เฒ่าอองลองไม่อาจทนทานต่อพลังอำนาจแห่งสัจธรรมได้ จึงถึงแก่ความตายไปต่อหน้าต่อตา วันนี้เราอย่าเพิ่งรบกันเลย ท่านจงเอาศพอองลองกลับไป จัดเตรียมทหารให้พร้อมแล้วค่อยยกมารบกันใหม่ กล่าวแล้วขงเบ้งก็สั่งทหารให้กลับเข้าค่าย
โจจิ๋นหายตะลึงแล้วจึงสั่งทหารให้ไปนำศพอองลองกลับเข้าไปในค่าย แล้วต่อโลงบรรจุศพส่งกลับไปเมืองหลวง
บ่ายวันนั้นกุยห้วยปลัดทัพได้เสนอแก่โจจิ๋นว่า อองลองเสียทีแก่ขงเบ้งถึงแก่ความตายแล้ว ขงเบ้งย่อมกำเริบใจ คิดว่ากองทัพเราจะสาละวนวุ่นวายอยู่กับการศพของอองลอง ในเวลาค่ำวันนี้เห็นว่ากองทัพขงเบ้งจะยกมาปล้นค่ายเราเป็นมั่นคง ขอให้ท่านแต่งทหารเป็นสามกอง กองหนึ่งยกอ้อมหลังเขากิสานไปซุ่มอยู่ในป่าหลังค่ายขงเบ้ง เมื่อขงเบ้งยกมาปล้นค่ายเรา ก็ให้ยกเข้าชิงเอาค่ายของขงเบ้งเสีย อีกกองหนึ่งแยกเป็นสองสาย ซุ่มอยู่ในป่าหน้าค่ายทั้งสองด้าน เมื่อขงเบ้งยกทหารมาถึงก็ให้ล้อมตีกระหนาบเข้ามา และอีกกองหนึ่งให้อยู่รักษาค่าย เมื่อทหารหน้าค่ายทั้งสองสายเข้าตีกองทัพขงเบ้งแล้ว ก็ให้ยกทหารออกจากค่ายตีกระหนาบไปพร้อมกัน เห็นขงเบ้งจะพ่ายแพ้เป็นแม่นมั่น
โจจิ๋นได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งความคิดท่านเห็นว่าขงเบ้งจะยกมาปล้นค่ายเราคืนนี้ต้องด้วยความคิดของเรา แต่แผนการของท่านลึกซึ้งหลักแหลมนัก เห็นจะได้ตัวขงเบ้งในค่ำนี้เป็นแน่แท้ กล่าวแล้วโจจิ๋นจึงเรียกบรรดาแม่ทัพนายกองเข้ามาพร้อมกัน สั่งให้โจจุ้นกับจูจ้านยกทหารวกอ้อมไปด้านหลังเขากิสาน ตั้งซุ่มอยู่ในป่าด้านหลังค่ายของขงเบ้ง กำชับว่าเมื่อขงเบ้งยกทหารออกจากค่ายแล้ว ก็ให้จู่โจมเข้ายึดค่ายขบเบ้งให้จงได้ แล้วให้ทหารอีกกองหนึ่งยกออกไปซุ่มอยู่นอกค่ายทั้งซ้ายขวาคอยตีกระหนาบกองทัพขงเบ้งเมื่อยกมาปล้นค่าย ตัวโจจิ๋นคุมทหารอีกกองหนึ่งอยู่รักษาค่าย และให้ทหารในค่ายขนเอาเชื้อเพลิงและฟืนมาสุมไว้ในค่ายเป็นอันมาก สั่งว่าเมื่อกองทัพขงเบ้งยกมาปล้นค่ายก็ให้จุดเพลิงสัญญาณขึ้นเป็นสำคัญ ให้ทหารทุกกองถือสัญญาณเพลิงจากค่ายแล้วยกเข้าตีพร้อมกัน
พอเวลาพลบค่ำทหารของโจจิ๋นทุกกองก็ยกออกไปทำการตามคำสั่งทุกประการ
ฝ่ายขงเบ้งครั้นยกทหารกลับเข้าค่ายแล้วก็เรียกแม่ทัพนายกองเข้ามาพร้อมกัน แล้วปรารภว่า เราจะยกกองทัพเข้าปล้นเอาค่ายของโจจิ๋นในค่ำวันนี้ และสั่งให้จูล่งกับอุยเอี๋ยนคุมทหารออกไปปล้นค่ายของโจจิ๋นให้ได้
อุยเอี๋ยนได้ยินดังนั้นก็รีบท้วงว่า “โจจิ๋นเป็นคนมีสติปัญญาเคยทำศึกอยู่ ซึ่งเราจะดูหมิ่นเห็นว่าโจจิ๋นสาละวนอยู่ด้วยการศพอองลอง จะยกไปปล้นเอาค่ายนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าโจจิ๋นจะรู้ถึงตระเตรียมไว้พร้อมแล้ว”
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่ายิ่งโจจิ๋นคิดว่าเราจะยกไปปล้นค่ายแล้วเตรียมการไว้พร้อมนั้นก็จะยิ่งทำให้เราทำการได้ถนัด อันการสงครามนั้นการรู้เขารู้เราเป็นเพียงบทเบื้องต้นแห่งคัมภีร์พิชัยสงครามเท่านั้น การหยั่งรู้ว่าเขารู้เราอย่างไรและเขารู้ว่าเราหยั่งรู้เขาอย่างไรยิ่งล้ำลึกกว่า
แล้วขงเบ้งจึงกล่าวสืบไปว่า “เราพิเคราะห์ดูในความคิดโจจิ๋นนั้น เห็นจะเกณฑ์ทหารมาตั้งซุ่มอยู่หลังเขากิสาน คอยชิงค่ายเราเป็นมั่นคง เราจึงให้ท่านทั้งสองยกทหารไปแต่พอให้ทหารโจจิ๋นเห็น แม้ถึงค่ายแล้วก็หยุดทหารตั้งซุ่มอยู่แต่ไกล ถ้าเห็นเราจุดเพลิงสำคัญขึ้นเมื่อใด ท่านจงคุมทหารออกสกัดทางไว้ แม้ทหารโจจิ๋นแตกหนีเราไป ก็ให้เปิดทางไล่ฆ่าฟันไปกว่าจะถึงค่าย โจจิ๋นก็จะเสียทีแก่เราเป็นมั่นคง”
สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุว่า ขงเบ้งได้กล่าวอรรถาธิบายแก่บรรดาแม่ทัพนายกองว่าโจจิ๋นนั้นชำนาญการสงคราม คิดว่าเราจะคิดว่ากองทัพเว่ยจะสาละวนอยู่กับการศพของอองลอง แล้วจะยกไปปล้นค่ายในคืนวันนี้ ก็จะแต่งทหารยกมาตั้งซุ่มอยู่ที่ด้านหลังเขากิสาน คอยยึดค่ายเราอยู่ทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งก็จะจัดทหารซุ่มไว้ด้านหน้าค่าย เมื่อเรายกทหารไปปล้นค่ายก็จะยกตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน ความคิดของโจจิ๋นจึงคาดหวังจะได้ชัยชนะในการศึกครั้งนี้ เมื่อเราคะเนความคิดของโจจิ๋นดังนี้แล้วก็จะอาศัยความคิดและแผนอุบายของโจจิ๋นเองทำลายกองทัพเว่ยให้ยับเยิน เราจึงแสร้งคล้อยตามความคิดของโจจิ๋น ทำทีเป็นยกทหารจะไปปล้นค่าย แต่ให้ยกไปตั้งซุ่มอยู่ระหว่างทางแล้วจะยกทหารออกไปโจมตีทหารของโจจิ๋นซึ่งมาซุ่มอยู่ด้านหลังเขากิสาน ให้แตกหนีกลับไปที่ค่าย ทหารของโจจิ๋นซึ่งซุ่มอยู่หน้าค่ายสำคัญว่าเป็นทหารเรายกไปปล้นค่ายก็จะยกออกมาฆ่าฟันกันเอง เราจุดเพลิงสัญญาณขึ้นในค่ายเมื่อใดก็ให้ทหารซึ่งทำทีจะยกไปปล้นค่ายนั้นไล่ตามตี เห็นจะได้ชัยชนะแก่ข้าศึกในทุกด้าน
บรรดาแม่ทัพนายกองได้ฟังแผนการความคิดของขงเบ้งอันซับซ้อนยอกย้อนซ่อนเงื่อนยิ่งนักก็เห็นว่าจะได้ชัยชนะโดยแทบไม่ต้องเปลืองกำลังทหาร ต่างพากันสรรเสริญความคิดของขงเบ้งเป็นอันมาก.