ตอนที่ 517. ศึกวาทศิลป์ริมแม่น้ำอุยโห

ขงเบ้งบรรลุผลสำเร็จตามแผนการ เมื่อได้ตัวเกียงอุยแล้วก็ได้ทั้งเมืองเอ๊กก๋วน เมืองเทียนซุย และเมืองเซียงเท้งด้วย หลังจากจัดแจงบ้านเมืองเป็นปกติแล้ว จึงยกกองทัพล่วงลึกเข้าแดนวุยก๊กถึงเขากิสาน และตั้งค่ายอยู่ที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำอุยโห

            ในขณะนั้นพระเจ้าโจยอยเสวยราชสมบัติได้ครึ่งปี ตรงกับปีพุทธศักราชเจ็ดร้อยเจ็ดสิบ เดือนอ้าย พระเจ้าโจยอยเสด็จประทับอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง แล้วเสด็จออกท้องพระโรงว่าราชการท่ามกลางขุนนางทั้งปวง เจ้ากรมข่าวได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลว่า “แฮหัวหลิมไปทำการครั้งนี้เสียทีแก่ขงเบ้ง หนีมาอยู่ ณ เมืองเกียงเสีย บัดนี้ขงเบ้งก็ยกทัพมาถึงเขากิสาน กองหน้าล่วงเข้ามาตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำอุยโหฟากตะวันตก จำเราจะยกทหารออกไปต้านทานแต่ไกลจึงจะได้”

            พระเจ้าโจยอยทราบความดังนั้นก็ตกพระทัย ตรัสถามขุนนางทั้งปวงว่าศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก กองทัพจ๊กก๊กยกล่วงลึกเข้ามาถึงแดนเรา จะคิดอ่านประการใด จึงจะยันกองทัพจ๊กก๊กให้ถอยกลับไปได้

            อองลองซึ่งเป็นกุนซืออาวุโสประจำสำนักราชเลขาธิการได้ฟังพระราชปรารภเกี่ยวกับการศึกดังนั้นจึงกราบทูลพระเจ้าโจยอยว่า ในบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงที่ชำนาญการสงครามยาวนานมาแต่ครั้งแผ่นดินพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉนั้น เห็นโจจิ๋นแต่ผู้เดียวที่มีสติปัญญาและฝีมือลือชายิ่งกว่าผู้ใด ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งให้โจจิ๋นเป็นแม่ทัพใหญ่ไปรับศึกขงเบ้ง เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง

            พระเจ้าโจยอยทรงรำลึกได้ว่าโจจิ๋นเป็นพระญาติวงศ์และเป็นขุนนางฝ่ายทหารชั้นผู้ใหญ่มาแต่ครั้งโจโฉ ครั้นได้ฟังคำทูลดังนั้นก็ทรงเห็นชอบ จึงรับสั่งให้หาโจจิ๋นมาเฝ้า แล้วตรัสว่าก่อนพระเจ้าโจผีจะสิ้นพระชนม์นั้นได้ฝากฝังการแผ่นดินไว้กับท่าน ให้ช่วยทำนุบำรุงบ้านเมืองและราษฎรให้เป็นสุข บัดนี้ขงเบ้งนำกองทัพจ๊กก๊กยกลึกเข้ามาถึงเขากิสานแล้ว ไฉนท่านจึงนิ่งเฉยอยู่ได้ เราดำริจะตั้งให้ท่านเป็นแม่ทัพยกไปยันกองทัพของขงเบ้ง ท่านจะเห็นเป็นประการใด

            โจจิ๋นจึงกราบทูลว่า ซึ่งจะไม่ทุกข์ร้อนด้วยการแผ่นดินนั้นหามิได้ ข้าพระองค์ยังคงรำลึกถึงพระคุณของพระเจ้าวุยอ๋องและยังจำมั่นคงถึงคำสั่งเสียของพระเจ้าโจผีไม่เคยลืมเลือนเลย แต่ที่นิ่งอยู่ก็เพราะรู้ตัวดีว่ามีสติปัญญาน้อย เห็นจะทำการสนองพระคุณไม่ตลอดรอดฝั่ง

            อองลองได้ฟังก็ถวายคำนับพระเจ้าโจยอยแล้วหันมากล่าวกับโจจิ๋นว่า “ท่านเป็นคนผู้ใหญ่ เคยทำราชการมาแต่ครั้งพระเจ้าวุยอ๋อง ซึ่งเจรจาถ่อมตัวเป็นเชิงอยู่ฉะนี้ไม่ชอบ เราช่วยกันทำการอาสาแผ่นดินเถิด ตัวข้าพเจ้าคนแก่นี้ อายุเจ็ดสิบหกปีแล้วก็จะยอมไปกับท่าน”

            โจจิ๋นถูกอองลองต่อว่าดังนั้นก็รีบกราบทูลว่า ข้าพระองค์หาได้บิดพลิ้วตามคำของ อองลองประการใดไม่ และพร้อมที่จะรับพระราชโองการ สนองพระเดชพระคุณไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต ในการศึกครั้งนี้ข้าพระองค์ขอตัวกุยห้วยไปช่วยราชการด้วย มีสิ่งใดจะได้ร่วมกันปรึกษาหารือ

            พระเจ้าโจยอยเห็นโจจิ๋นเต็มใจอาสาไปทัพก็มีพระทัยยินดี มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้โจจิ๋นเป็นแม่ทัพใหญ่ บังคับบัญชาทั้งทหารและพลเรือนทั่วแคว้น และให้กุยห้วยเป็นปลัดทัพไปกับโจจิ๋นด้วย ส่วนอองลองนั้นโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นเสนาธิการและที่ปรึกษาของกองทัพ ให้จัดทหารยี่สิบหมื่นแก่โจจิ๋น ยกไปตั้งรับกองทัพขงเบ้งที่ริมแม่น้ำอุยโห

            พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบพรรษา เดือนอ้าย ปลายข้างแรม โจจิ๋นแม่ทัพใหญ่จัดแจงกองทัพตามรับสั่งและตั้งให้โจจุ้นน้องร่วมแซ่เป็นแม่ทัพกองทัพหน้า ให้จูจ้านเป็นปลัดทัพกองทัพหน้า ตัวโจจิ๋นคุมกองทัพหลวง ชุมนุมไพร่พลพร้อมที่หน้าประตูเมือง กองทัพหลวงแต่งขบวนแบบทัพกษัตริย์ตามอิสริยยศของโจจิ๋นซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ของพระเจ้าโจยอย

            พระเจ้าโจยอยเสด็จออกไปส่งกองทัพถึงนอกเมือง ครั้นได้เวลาฤกษ์ดี โจจิ๋นจึงสั่งให้เคลื่อนทัพ ทหารวุยก๊กตีม้าล่อฆ้องกลองเป่าแตรเขาควายดังกระหึ่มกึกก้อง บรรดาทหารโห่ร้องและโบกธงทิวปลิวไสว กองทัพใหญ่ของโจจิ๋นได้เคลื่อนออกจากแดนเมืองลกเอี๋ยง ตรงไปที่ริมแม่น้ำอุยโห และยกข้ามแม่น้ำไปตั้งค่ายอยู่ฟากตะวันตกฝั่งเดียวกันกับกองทัพของขงเบ้ง

            เมื่อตั้งค่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โจจิ๋นจึงปรึกษากับอองลอง กุยห้วย และแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่า เราจะคิดอ่านการศึกประการใดจึงจะได้ชัยชนะแก่ขงเบ้ง

            อองลองจึงว่าอันการทำศึกสงครามนั้นใช่ว่าจะกระทำกันด้วยการรบพุ่งแต่ประการเดียวก็หาไม่ หากอาจกระทำด้วยกลพยุหะ หรือวาจายุทธ์ได้ด้วย ขงเบ้งนั้นทะนงตนว่ามีสติปัญญาในการสงคราม ขอให้ท่านประเดิมศึกด้วยสงครามวาจายุทธ์ ข้าพเจ้าจะอาสาออกไปประฝีปากกับขงเบ้งให้ได้อายต่อหน้าทหารทั้งปวงเอง แม้ขงเบ้งปราชัยในศึกวาทศิลป์แล้วเห็นจะได้รับความอัปยศแล้วเลิกทัพกลับไปเมืองเสฉวนเอง

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าอองลองเสนอทำศึกวาทศิลป์กับขงเบ้งด้วยตนเองว่า “ท่านอย่าวิตกเลย เวลาพรุ่งนี้ท่านจงให้ทหารยกธงเทียวตั้งสง่าออกจากค่าย ข้าพเจ้าจะออกหน้าไปพูดจากับขงเบ้ง ตีแต่ด้วยลมปากให้ขงเบ้งพนมมือเข้าอ่อนน้อมต่อเรา แล้วให้ยกกลับไปเมืองเสฉวน มิให้ไพร่พลได้ความลำบากเลย”

            อองลองบัณฑิตเฒ่าแห่งวุยก๊กไม่เคยรับรู้ข้อมูลข่าวสารว่าขงเบ้งนั้นหาใช่จะรู้แต่การศึกสงครามประการเดียวไม่ แม้ในศึกวาทศิลป์ก็เคยประฝีปากกับเหล่าบัณฑิตแห่งกังตั๋งในยุคสงครามเซ็กเพ็กให้ปรากฏมาแล้ว จึงคิดว่าขงเบ้งเป็นคนรักหน้ารักตา หากได้พลิกพลิ้วชิวหาเป็นอาวุธด้วยสุดยอดวิชาขันที สาขาใช้วาจาเป็นอาวุธฆ่าคน ซึ่งตนเองมีความชำนาญจัดจ้านยิ่งนักแล้ว ก็จะได้ชัยชนะแก่กองทัพจ๊กก๊กโดยง่าย จึงขันอาสาเป็นแม่ทัพทำศึกวาทศิลป์กับขงเบ้ง นี่แล้วที่เรียกว่าไม่รู้เขา รู้แต่เรา อันเป็นลักษณะปราชัยแห่งพิชัยสงคราม

            โจจิ๋นได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี เพราะรู้เป็นอย่างดีว่าอองลองเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น เป็นผู้รอบรู้ในศาสตร์และศิลป์ทั้งปวง โดยเฉพาะเชิงชั้นเจรจาคมกล้าหลักแหลมประดุจดังใบมีดโกนที่สามารถทำลายทำร้ายผู้คนให้ป่นปี้ได้ดังใจ คิดดังนั้นแล้วจึงเขียนหนังสือให้ทหารถือไปส่งแก่ขงเบ้งว่าในวันพรุ่งนี้ขอเชิญแม่ทัพทั้งสองฝ่ายออกมาเจรจาโต้ตอบกัน ให้เป็นขวัญหูขวัญตาแก่ทหารทั้งปวง

            ครั้นจัดส่งหนังสือแล้วโจจิ๋นจึงสั่งทหารให้จัดเตรียมธงทิวและแต่งกายเต็มยศแบบพร้อมรบให้เป็นสง่าราศี หวังจะสร้างเกียรติยศให้แก่อองลองขุนนางเฒ่าวัยเจ็ดสิบหกปีที่จะได้รับชัยชนะในศึกวาทศิลป์ต่อขงเบ้ง และหวังให้ขงเบ้งได้อายแก่ผู้คนทั้งปวงแล้วไม่กล้าสู้หน้า ต้องเลิกทัพกลับไปเมืองเสฉวนตามแผนการของอองลอง และยังกำชับทหารให้หุงข้าวกินอาหารให้เสร็จก่อนเวลาสว่าง จะได้ยกออกไปรบกับขงเบ้งตั้งแต่เวลาเช้าตรู่

            ครั้นฟ้าเริ่มสาง กองทัพของจ๊กก๊กและวุยก๊กได้ยกมาเผชิญหน้ากันที่ทุ่งราบริมแม่น้ำอุยโห ต่างฝ่ายต่างตั้งขบวนประกอบด้วยธงทิวพลิ้วไสวงามตาทั่วทั้งท้องทุ่ง ลั่นกลองรบบำรุงบำเรอขวัญสะเทือนเลื่อนลั่น ขงเบ้งและโจจิ๋นตั้งขบวนแล้วต่างออกไปอยู่หน้าของขบวนทหาร ขงเบ้งขี่เกวียนน้อยภายใต้ธงมหาอุปราชจ๊กก๊ก-จูกัดเหลียง ตามด้วยทหารองครักษ์แปดคน และแม่ทัพนายกองเป็นแถวหลั่นกันไป ในขณะที่โจจิ๋นก็ขี่ม้าเคียงคู่อยู่กับอองลองซึ่งหนวดเครายาวขาวโพลนปลิวพลิ้วตามสายลมยามเช้า อยู่ด้านหน้าขบวนทหาร

            ครู่หนึ่งเสียงม้าล่อฆ้องกลองของทั้งสองฝ่ายก็หยุดลง อองลองชักม้าออกไปกลางลานโดยมีโจจิ๋นขี่ม้ากระหนาบอยู่ด้านขวา และกุยห้วยขี่ม้ากระหนาบอยู่ด้านซ้าย แล้วกล่าวว่า ขอเชิญท่านแม่ทัพฝ่ายจ๊กก๊กออกมาเถิด เราจะเจรจาว่ากล่าวด้วยสักหน่อยหนึ่ง

            ขงเบ้งเห็นอองลองหนวดเคราขาวโพลน มีอายุสูงวัย แต่น้ำเสียงและท่วงท่าเจรจาปรากฏชัดเจนว่าเป็นคนช่างเจรจา ครั้นทอดสายตากวาดไปทั่วขบวนของทหารวุยก๊กแล้ว ก็รู้ว่าซึ่งอองลองออกมาท้าทายเช่นนี้เป็นการท้าทายทำศึกวาทศิลป์แก่กัน ขงเบ้งจึงคิดว่าอองลองถือตัวว่าเป็นนักปราชญ์ใหญ่แห่งวุยก๊ก คิดจะข่มเราด้วยศึกวาทศิลป์กระนั้นหรือ ดีแล้วเราจะได้ทำการให้ประจักษ์แก่สายตาทหารทั้งปวง

            ขงเบ้งคิดดังนั้นแล้วจึงโบกพัดขนนกเป็นสัญญาณ ทหารประจำเกวียนก็เข็นเกวียนของขงเบ้งออกไปเผชิญหน้ากับอองลองที่กลางลาน โดยมีกวนหินและเตียวเปาติดตามไปยืนม้ากระหนาบข้างซ้ายขวา ส่วนจูล่งและบรรดาแม่ทัพก็ชักม้าออกมาตั้งขบวนเป็นแถวอยู่หน้าขบวนทหารเพื่อเตรียมระมัดระวังป้องกันการจู่โจมของข้าศึก

            อองลองเห็นขงเบ้งนั่งเกวียนออกมาดังนั้นจึงขี่ม้าตรงเข้าไปหา สองมหาบัณฑิตของทั้งสองแคว้น หนึ่งนั่งเกวียน หนึ่งขี่ม้า เผชิญหน้ากันท่ามกลางสายตาทหารที่ยืนจ้องมองนิ่งสงบแน่นขนัดไปทั่วท้องทุ่ง

            เมื่อต่างคำนับไต่ถามชื่อแซ่กันตามธรรมเนียมการรบแบบจีนแล้วอองลองจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ท่านมาเป็นเวลาช้านานว่าเป็นผู้ทรงวิชา รู้ขนบธรรมเนียมการแผ่นดิน แต่ไฉนจึงเข้าด้วยคนพาลชาติต่ำ ทำการเป็นกบฏ แล้วยังยกกองทัพมารุกรานดินแดนเมืองเราเล่า

            ขงเบ้งก็ตอบว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนเป็นเชื้อสายของพระเจ้าฮั่นโกโจปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น มีพระบรมราชโองการให้ข้าพเจ้ายกกองทัพมาปราบปรามโจรกบฏ ตัวท่านในระหว่างที่รับราชการกินข้าวแดงแกงร้อนในแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็มีกิตติศัพท์ว่าทรงภูมิปัญญาและคุณธรรม ไฉนเล่าจึงไปเข้าด้วยโจรกบฏที่ทรยศต่อเชื้อวงศ์ของพระเจ้าฮั่นโกโจ

            อองลองจึงโต้ตอบขงเบ้ง ซึ่งสามก๊กฉบับสมบูรณ์พรรณนาว่า “ชะตาสวรรค์มีการเปลี่ยนแปลง บัลลังก์จักรพรรดิมีการโยกย้าย และจะนิวัติสู่ผู้มีคุณธรรม นี่ย่อมเป็นเหตุผลแห่งกฎธรรมชาติ ในอดีตที่ผ่านมาตั้งแต่ยุคพระเจ้าเหี้ยนเต้ เลนเต้ พวกโจรโพกผ้าเหลืองได้กำเริบเสิบสานก่อการจลาจล ทั่วทั้งแผ่นดินเกิดการช่วงชิงดุลอำนาจ ต่ำลงมาถึงเริ่มจะมีสันติ ในช่วงเจี้ยนอันศกตั๋งโต๊ะทรราชก่อการกบฏ ลิฉุย กุยกี กระทำการหฤโหดทารุณติดต่อกันมา อ้วนสุดได้อาจเอื้อมสถาปนาตนขึ้นเป็นฮ่องเต้ ณ เมืองลำหยง อ้วนเสี้ยวยกย่องตนเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแดนเงียบกุ๋น เล่าเปียวยึดครองแคว้นเกงจิ๋ว ลิโป้กระทำการประดุจเสือร้ายกลืนเมืองชีจิ๋ว บรรดาโจรผู้ร้ายลุกฮือประดุจผึ้งแตกรัง เหล่าบุรุษผู้เหี้ยมหาญต่างกระพือพัดสำแดงฤทธิ์พญาเหยี่ยว ยามนี้ประเทศชาติคับขันอุปมาดั่งกองไข่ ประชาราษฎร์อยู่ในสภาวะอันตรายดั่งแขวนหัวลง พระเจ้าวุยอ๋องโจโฉของข้าได้ปฏิบัติการกวาดล้างจักรวาล รวบรวมดินแดนอันทุรกันดารทั้งแปดทิศ ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ล้วนมีจิตใจโน้มเอียงทั่วทั้งสี่ทิศ ล้วนเคารพบูชาในคุณธรรม หามิใช่เป็นการใช้อำนาจอิทธิพลบุกยึด แท้จริงเป็นชะตาสวรรค์กลับคืนมา พระเจ้าโจผีทรงมีวิชาบุ๋นบู๊ดุจเทพยดา เพื่อการได้รับแต่งตั้งขึ้นครองราชบัลลังก์ สนองรับโองการสวรรค์และเหมาะสมเป็นที่ยินดีของมนุษย์ ใช้แบบแผนและวิธีการแห่งพระเจ้าเงี้ยวเต้ที่ทรงสละราชสมบัติมอบให้พระเจ้าซุนเต้สืบแทน ทรงอาศัยประเทศจีนปกครองเป็นหมื่นรัฐ ไฉนจะมิใช่จิตสวรรค์ ใจมนุษย์เห็นพ้องต้องกันหรืออย่างไร บัดนี้ท่านได้สั่งสมสติปัญญาที่เปี่ยมล้น ได้อุ้มชูปัญหาอันสำคัญของชาติ หมายจะเอาตัวไปเปรียบเสมือนขวัญต๋ง งักเย ท่านเหตุใดจึงแข็งกระด้าง ต้องการจะฝ่าฝืนหลักธรรมสวรรค์ ทรยศต่อน้ำใจผู้คนมาดำเนินการต่อต้าน ไฉนมิเคยได้ยินคนโบราณกล่าวไว้ว่า ผู้คล้อยตามสวรรค์นั้นย่อมรุ่งเรือง ผู้ฝ่าฝืนสวรรค์นั้นย่อมดับสูญ บัดนี้กองทัพอันเกรียงไกรแห่งวุยก๊กของข้ามีจำนวนไพร่พลเป็นร้อยหมื่น มีนายพล  แม่ทัพนายกองที่วิเศษนับพัน เชื่อว่าพวกแสงหิ่งห้อยในหญ้าเน่าทำไมจะสามารถเทียบเท่าแสงจันทร์อันเงางามในท้องนภาได้ ท่านจงถอดเสื้อเกราะ ทิ้งอาวุธโดยมารยาท มาอ่อนน้อมสวามิภักดิ์ จะได้มิต้องสูญเสียตำแหน่งยศฐาบรรดาศักดิ์เจ้าพระยา ประเทศเกิดสงบสุข อาณาประชาราษฎร์ได้ปรีดาปราโมทย์ ไยจะมิเป็นเรื่องดีงามสวยจริง”.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘