ตอนที่ 515. กล "ล้อมกายผูกใจ"

เกียงอุยคิดจะจับตัวขงเบ้งหวังเผด็จศึก ในขณะที่ขงเบ้งก็วางกลเพื่อจะได้ตัวเกียงอุยไว้เป็นกำลัง และเพื่อเผด็จศึกไปในคราวเดียว จึงแต่งกลอุบาย “ลากหนามข้างปลาย” หลายหลากเพื่อจะยึดเอาเมืองเอ๊กก๋วนและเมืองเทียนซุย และเพื่อให้ได้ตัวเกียงอุยพร้อมกันในคราวเดียว

            แฮหัวหลิมเห็นเกียงอุยตัวปลอมกล่าวดังนั้นก็โกรธ ร้องด่าตอบกลับไปว่า “ตัวเป็นทหารอยู่ในแผ่นดิน มิได้คิดถึงคุณพระเจ้าโจยอย คิดขบถไปเข้าด้วยขงเบ้ง แล้วยังเจรจาเอาร้ายมาใส่เราว่ากลับกลอกอีกเล่า”

            เกียงอุยตัวปลอมจึงโต้กลับมาอีกว่า “ท่านเขียนหนังสือไปถึงเราว่าให้มาสมัครเข้าด้วยขงเบ้ง เราสำคัญว่าจริงก็มา มิได้แจ้งว่าท่านจะลวงเราแต่พอเอาตัวรอดพ้นความตายฉะนี้ บัดนี้ขงเบ้งก็ชุบเลี้ยงให้เราเป็นขุนนางผู้ใหญ่ แลเรารับอาสามาว่าจะตีเอาเมืองนี้ให้ขงเบ้งจงได้”

            กล่าวดังนั้นแล้วเกียงอุยตัวปลอมก็สั่งทหารให้หักเข้าตีเมือง ทหารเมืองเสฉวนก็โห่ร้องทำทีเป็นหักเข้าตีเมืองพร้อมกันทุกด้าน แต่พอแฮหัวหลิมและม้าจุ้นต้านทานไว้เป็นสามารถ เกียงอุยตัวปลอมก็สั่งทหารเมืองเสฉวนให้ถอยทัพกลับไปหาขงเบ้ง

            ขงเบ้งเห็นกลอุบายดำเนินไปด้วยดี มั่นใจว่าแฮหัวหลิมและม้าจุ้นหลงกลว่าเกียงอุยเป็นขบถแน่แล้วจึงสั่งให้เคลื่อนทัพไปที่เมืองเอ๊กก๋วน และสั่งให้สลับเอากองเสบียงจากกองหลังไปไว้ในกองหน้า เพื่อให้ข้าศึกทราบข่าวแล้วจะได้ยกเข้าตีชิงเอาเสบียง

            พอกองทัพขงเบ้งไปใกล้เมืองเอ๊กก๋วน หน่วยสอดแนมก็นำความเข้าไปรายงานให้เกียงอุยทราบ เกียงอุยจึงคุมทหารสามพันยกออกจากเมืองจะไปชิงเอาเสบียงของขงเบ้ง

            กองทัพของเกียงอุยยกออกนอกเมืองไปพักใหญ่ อุยเอี๋ยนซึ่งซุ่มกองทัพอยู่ในป่าใกล้เมืองก็ยกกองทัพเข้ายึดเอาเมืองเอ๊กก๋วน ทหารในเมืองเหลืออยู่แต่เบาบางและไม่ทันระวังตัวด้วยสำคัญว่าเกียงอุยเพิ่งนำกองทัพออกไปตีข้าศึก ย่อมไม่มีข้าศึกยกเข้ามาใกล้เมือง ดังนั้นเมื่อถูกโจมตีโดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวจึงพากันแตกตื่นหนีออกจากเมือง อุยเอี๋ยนจึงเข้ายึดเมืองเอ๊กก๋วนได้โดยง่าย

            เมื่อยึดเมืองเอ๊กก๋วนได้แล้ว อุยเอี๋ยนจึงให้ทหารในเมืองเอ๊กก๋วนไปสืบหามารดาของเกียงอุย แล้วไปเยี่ยมมารดาของเกียงอุยด้วยตนเอง เกลี้ยกล่อมว่าโจยอยเป็นกบฏต่อราชวงศ์ฮั่น ทำให้แผ่นดินวุ่นวายไม่เป็นสุข ขงเบ้งถือรับสั่งของพระเจ้าเล่าปี่ ทำนุบำรุงพระเจ้าเล่าเสี้ยน หวังจะสืบสานปณิธานของพระเจ้าเล่าปี่ที่ให้ฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่นให้รุ่งเรืองเฟื่องฟูสืบไป มหาอุปราชขงเบ้งทราบว่าแม่เฒ่าพำนักอยู่ในเมืองนี้ จึงสั่งให้มาคำนับด้วยนับถือสติปัญญาของเกียงอุยผู้บุตร ใคร่ได้ตัวไปทำราชการสนองคุณราชวงศ์ฮั่นสืบไป

            มารดาของเกียงอุยเป็นคนเก่าความคิดเก่า ติดยึดอยู่ในราชวงศ์ฮั่นมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ เคยได้ยินกิตติศัพท์ของเล่าปี่ว่าเมตตาต่อคนทั้งปวง และนึกเลื่อมใสมานานแล้ว ครั้นได้ยินว่าเชื้อสายของพระเจ้าเล่าปี่จะกอบกู้พระราชวงศ์ฮั่นก็มีความยินดี และอาสาจะเกลี้ยกล่อมเกียงอุยให้เข้าด้วยขงเบ้ง

            อุยเอี๋ยนได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี เชิญแม่เฒ่าเข้าไปอยู่ที่จวนเจ้าเมืองเพื่อเตรียมจะนำไปพบขงเบ้ง

            ฝ่ายเกียงอุยเมื่อยกกองทัพออกไปถึงปลายแดนเมืองเอ๊กก๋วนก็ปะทะกับกองหน้าของกองทัพขงเบ้ง ทหารในกองหน้าแสร้งแตกหนี เกียงอุยจึงนำทหารเข้าชิงเอาเกวียนเสบียงได้เป็นจำนวนมาก และสั่งทหารให้คุมเสบียงจะรีบกลับเข้าเมือง

            พอเกียงอุยคุมทหารกลับตามเส้นทางเดิมไม่ถึงร้อยเส้นก็พบกับเตียวเอ๊กคุมทหารสกัดขวางทางอยู่ เกียงอุยเห็นดังนั้นจึงเข้ารบกับเตียวเอ๊ก พอรบกันได้ห้าเพลงเกียงอุยก็ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องหนุนเนื่องเข้ามาอีก เหลียวไปดูเห็นเป็นทหารจ๊กก๊ก มีธงประจำตัวนายทัพชื่ออองเป๋ง

            เกียงอุยเห็นข้าศึกกำลังมากนักจะต้านทานไม่ได้ก็รีบตีฝ่าแนวล้อมจะกลับเข้าไปในเมือง แต่พอเข้าไปใกล้ประตูเมืองก็รู้สึกตกใจ เพราะบนเชิงเทินและแนวกำแพงเมืองได้ปักไว้ด้วยธงประจำกองทัพจ๊กก๊กทั้งสิ้น ก็รู้ว่าต้องกลเสียทีแก่ขงเบ้งแล้ว จึงรีบพาทหารหนีไปทางเมืองเทียนซุย

            เกียงอุยพาทหารหนีไปได้เพียงห้าสิบเส้นก็พบกับเตียวเปาคุมทหารสกัดทางอยู่ และสั่งทหารให้ตีวงล้อมเกียงอุยและทหารไว้จนแน่นหนา เกียงอุยเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบตีฝ่าออกจากวงล้อม

            เกียงอุยมีฝีมือเชิงทวนเข้มแข็งแกร่งกล้า จึงตีฝ่าวงล้อมของทหารเตียวเปาออกไปได้ แต่ทหารของเกียงอุยไม่สามารถตีฝ่าออกไปได้ จึงถูกทหารจ๊กก๊กฆ่าฟันและจับเป็นเชลยจนหมดสิ้น

            เกียงอุยแต่ตัวผู้เดียวขี่ม้าหนีไปจนถึงหน้าประตูเมืองเทียนซุย โดยที่ไม่รู้ความนัยที่ขงเบ้งแต่งกลลวงให้ข้างในเมืองสำคัญผิดคิดว่าเป็นกบฏไปเข้าด้วยขงเบ้งแล้ว จึงร้องบอกทหารบนเชิงเทินให้รีบเปิดประตูเมืองรับ

            นายทหารที่รักษาเชิงเทินเห็นดังนั้นจึงนำความไปรายงานกับม้าจุ้น ม้าจุ้นพอทราบรายงานก็โกรธ สำคัญว่าเกียงอุยวางกลอุบายมาล่อลวงให้เปิดประตูเมือง แล้วทหารเสฉวนก็จะยกบุกเข้าเมืองตามมา จึงสั่งให้ทหารบนเชิงเทินและกำแพงเมืองระดมยิงเกียงอุยด้วยเกาทัณฑ์

            เกียงอุยยืนม้าคอยท่าอยู่ที่หน้าประตูเมือง แต่จู่ ๆ ทหารบนเชิงเทินและกำแพงเมืองได้ยิงเกาทัณฑ์มาราวห่าฝนแล้วร้องด่าว่าไอ้กบฏก็ตกใจเพราะไม่ทราบว่ามีเรื่องร้ายประการใดเกิดขึ้นจึงถูกตราหน้าหาว่าเป็นกบฏ แต่เกรงว่าจะเป็นอันตรายจากเกาทัณฑ์ เกียงอุยจึงรีบชักม้าหนีออกมาจนพ้นรัศมีเกาทัณฑ์ แล้วคิดว่าในเมื่อม้าจุ้นสำคัญผิดฉะนี้จำจะหนีเอาชีวิตรอดก่อน คิดดังนั้นแล้วเกียงอุยจึงขับม้าจะไปหาเลี้ยงเขียนที่เมืองเซียงเท้ง

            ฝ่ายอุยเอี๋ยนเมื่อควบคุมสถานการณ์ภายในเมืองเอ๊กก๋วนได้แล้ว จึงเชิญตัวแม่เฒ่ามารดาของเกียงอุยไปพบกับขงเบ้งและแจ้งความให้ทราบทุกประการ ขงเบ้งทราบความแล้วมีความยินดี รีบพามารดาเกียงอุยและทหารยกกลับไปที่เมืองเทียนซุย แล้วสั่งกวนหินให้นำทหารอ้อมไปซุ่มอยู่ในป่าข้างทางที่จะไปยังเมืองเตียงอัน สั่งว่าเกียงอุยมีเส้นทางหนีไปเมืองเตียงอันเส้นทางเดียวเท่านั้น ให้ท่านเอาทหารไปซุ่มแล้วจับเป็นเกียงอุย อย่าให้บาดเจ็บหรือโลหิตไหลแม้เพียงเท่าแมลงวันกินอิ่มเป็นอันขาด ส่วน  ขงเบ้งจะยกตามไป

            กวนหินรับคำสั่งขงเบ้งแล้วจึงจัดแจงทหารรีบยกล่วงหน้าไปตั้งซุ่มอยู่ในป่าตามคำสั่งของขงเบ้งทุกประการ

            เกียงอุยขี่ม้าหนีไปถึงประตูเมืองเซียงเท้ง ก็ร้องเรียกให้เลี้ยงเขียนซึ่งขณะนั้นอยู่บนเชิงเทินให้เปิดประตูเมืองรับ เลี้ยงเขียนได้รับทราบข่าวจากเมืองเทียนซุยก่อนแล้วว่า เกียงอุยเป็นกบฏ แปรพักตร์เข้ากับขงเบ้งแล้ว พอเห็นเกียงอุยก็โกรธ สำคัญว่าเกียงอุยแต่งกลอุบายมาล่อลวงให้เปิดประตูเมืองแล้วจะยกทหารเสฉวนเข้ายึดเอาเมือง จึงให้ทหารร้องด่าเกียงอุยว่าไอ้กบฏ มึงไปเข้าด้วยขงเบ้งแล้วยังคิดจะมาหลอกลวงเราอีกหรือ แล้วสั่งทหารบนเชิงเทินและกำแพงเมืองให้ระดมยิงเกาทัณฑ์ใส่เกียงอุยเป็นอันมาก

            เกียงอุยเห็นเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมก็ตกใจและเสียใจจนร้องไห้ แต่เพื่อรักษาชีวิตรอดจึงจำต้องชักม้าหนีออกจากระยะเกาทัณฑ์ แล้วคิดว่าในเมื่อผู้รักษาเมืองเทียนซุยและเมืองเซียงเท้งเข้าใจตัวเราผิดฉะนี้ จำจะต้องหนีไปที่เมืองเตียงอันเพื่อรายงานความจริงและแสดงความบริสุทธิ์ของตัว คิดดังนั้นแล้วเกียงอุยจึงชักม้าควบไปตามเส้นทางที่จะไปยังเมืองเตียงอัน

            ครั้นมาถึงป่าทึบแห่งหนึ่ง เกียงอุยสังเกตเห็นเงียบผิดปกติ ไม่มีเสียงนกกาหรือสัตว์ป่าใด ๆ ก็สังหรณ์ใจว่าชะรอยข้าศึกจะซุ่มทหารไว้ในป่าสองข้างทาง สัตว์ทั้งปวงจึงหนีไปไกลก่อนที่จะมาถึง คิดดังนั้นแล้วเกียงอุยจึงชักม้าหันหลังกลับ

            ในทันใดนั้นเสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวไปทั้งแนวป่าสองข้างทางและทั้งด้านหน้าด้านหลัง ทหารจ๊กก๊กได้โห่ร้องยกออกมาจากแนวป่าเป็นอันมาก มีธงประจำตัวนายทัพชื่อกวนหิน แล้วเข้าล้อมเกียงอุยไว้อย่างแน่นหนาทุกด้าน

            เกียงอุยเห็นดังนั้นก็รู้สึกแค้นใจเป็นอันมาก ขับม้าเข้ารบกับกวนหิน ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันเป็นสามารถ แต่เกียงอุยได้รบพุ่งต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน ไม่ได้หยุดพักผ่อนหลับนอน ครั้นต่อสู้กันได้ไม่นานเกียงอุยก็อ่อนกำลังลงและสังเกตเห็นว่าทหารเสฉวนซึ่งล้อมอยู่ด้านปากทางลัดอันเป็นซอกเขานั้นเบาบางน่าจะตีฝ่าออกไปได้

            เกียงอุยเล็งการแม่นยำแล้ว พอได้โอกาสก็ผละม้าจากกวนหินตีฝ่าออกไปทางแนวล้อมที่เบาบางนั้นเข้าไปในซอกเขาที่เป็นทางลัด แต่พอเข้าไปได้เพียงเส้นเศษกลายเป็นทุ่งกว้าง ทหารเมืองเสฉวนตั้งขบวนล้อมไว้โดยรอบอย่างหนาแน่น พอเกียงอุยพ้นซอกเขาเข้าสู่ทุ่งราบ ทหารเสฉวนก็ปิดกั้นทางถอยไว้จนหมดสิ้น

            เกียงอุยซึ่งสิ้นกำลังและตกอยู่ในวงล้อมอย่างแน่นหนาดังนั้นก็อับจนแก่ความคิด มองไปข้างหน้าเห็นเกวียนน้อยสองเกวียน เกวียนหนึ่งอยู่ภายใต้ธงประจำตัวนายทัพชื่อจูกัดเหลียง-ขงเบ้ง เห็นคนในเกวียนแต่งตัวแบบนักพรต สวมหมวกผ้าไหมสีน้ำเงิน ในมือถือพัดขนนกโบกไปมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แต่เกวียนอีกเล่มหนึ่งอยู่ด้านหลัง มองไม่เห็นว่าคนที่นั่งในเกวียนเป็นผู้ใด เกียงอุยเห็นดังนั้นก็รู้ว่าตกอยู่ในเงื้อมมือของแม่ทัพใหญ่ฝ่ายจ๊กก๊ก เห็นทีจะไม่อาจหนีรอดไปได้ ก็หยุดม้ายืนนิ่งอึ้งอยู่

            ในทันใดนั้นขงเบ้งก็ได้ร้องกล่าวกับเกียงอุยด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็นว่า “ท่านก็สิ้นคิด ได้ความลำบากถึงเพียงนี้แล้ว เหตุไฉนจึงไม่มาอ่อนน้อมต่อเรา”

            เกียงอุยได้ยินคำขงเบ้งก็รู้สึกอดสูที่เสียรู้ต้องกลขงเบ้ง และเข้าตาจนถึงเพียงนี้ เสียทีที่ได้ร่ำเรียนวิทยาการมาเป็นอันมาก ชั่วชีวิตไม่เคยเพลี่ยงพล้ำให้แก่ผู้ใดเลย คิดในใจว่า “ตัวเราบัดนี้อยู่ในระหว่างศึก เข้าตาจนอยู่แล้ว จะถอยหลังไปกวนหินก็ตั้งสกัดทางอยู่ ครั้นจะเข้าหาขงเบ้งบัดนี้เล่าก็จะสมร้าย ซึ่งคนนินทาว่าเป็นขบถต่อเจ้า ตัวกูเป็นชาติทหาร จะให้ปรากฏชื่อจงได้”

            คิดดังนั้นแล้วเกียงอุยจึงกระโดดลงจากหลังม้า ชักกระบี่ออกจะเชือดคอตาย ในทันใดนั้นทหารเมืองเสฉวนซึ่งรับคำสั่งขงเบ้งเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว ได้ตรูกันเข้ามาแย่งยึดเอาดาบจากมือของเกียงอุยอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา และเข้าล้อมประชิดตัวเกียงอุยไว้แต่มิได้ควบคุมหรือจับกุมแต่ประการใด

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าขงเบ้งเห็นเกียงอุยชักดาบจะเชือดคอตายก็ตกใจ ลงจากเกวียน วิ่งเข้ายึดกระบี่ของเกียงอุยไว้ แต่ดูไปแล้วไม่เห็นสม จึงถือความตามฉบับวิจารณ์บางฉบับดังแสดงไว้ข้างต้นนี้

            เกียงอุยยืนนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ขงเบ้งก็ลงจากเกวียนเดินเข้ามาหา และปลอบว่า “ตัวเรานี้แต่พระเจ้าเล่าปี่ยังไม่ชุบเลี้ยงเป็นคนเข็ญใจอยู่นั้น เราก็พอใจคบเพื่อนแสวงหาวิชา ก็มิได้เห็นผู้ใดที่จะมีสติปัญญาหลักแหลมเหมือนท่าน บัดนี้เรามาพบท่านก็มีความยินดีนัก ท่านไปอยู่กับเราเถิด จะได้ช่วยกันคิดอ่านทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุขสืบไป อย่าให้เสียทีที่ได้เรียนวิชาไว้”

            สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุว่า ขงเบ้งเดินลงมาจากเกวียนเข้าไปจับสองแขนของเกียงอุยอย่างเอื้ออาทรแล้วกล่าวว่า เรามีความยินดียิ่งนักที่ได้พบกับท่าน หลายปีมานี้ท่านเป็นเพียงคนเดียวที่มีสติปัญญาลึกซึ้งหลักแหลมสามารถล่วงรู้ความคิดเรา เมื่อครั้งที่เรายังยากจนเข็ญใจอยู่ที่เขามังกรหลับนั้น ทุกวันคืนได้ขวนขวายแสวงหาศึกษาวิทยาการทั้งปวง ได้ร่ำเรียนสรรพวิทยาวิชาการเป็นอันมาก เวลานี้อายุขัยเราล่วงวัยแล้ว หวังจะหาผู้มีปัญญาสักคนหนึ่งเป็นผู้รับถ่ายทอดวิชาความรู้ของเรา แต่ไม่เคยพานพบ เป็นเรื่องที่เราวิตกหนักใจตลอดมา ตัวท่านนี้มีสติปัญญาแลฝีมือ ทั้งมีความกตัญญูต่อมารดาเป็นที่นับถือของคนทั้งปวง ประกอบด้วยกำลังฝีมือรบพุ่งเข้มแข็งกล้าหาญนัก จงมาอยู่กับเราเถิด เราจะถ่ายทอดวิชาความรู้ทั้งปวงให้ แล้วจะได้ช่วยกันคิดอ่านทำนุบำรุงแผ่นดินแลราษฎรให้เป็นสุขสืบไป.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘