ตอนที่ 514. กล "ลากหนามข้างปลาย"

จูกัดเหลียง-ขงเบ้งยอดเสนาธิการผู้ชำนาญการสงคราม ไม่ได้คาดคิดว่าเมืองเทียนซุยหัวเมืองน้อยจะมียอดขุนพลผู้มีปัญญาปฏิภาณสถิตอยู่ จึงถูกบัณฑิตสงครามหน้าใหม่ที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อนนามเกียงอุยวางกลอุบายล้อมโจมตีโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

           กวนหินและเตียวเปาคุมทหารจะตีหักวงล้อมไปทางด้านตะวันออกตามคำสั่งของ ขงเบ้งที่เห็นว่าการที่ข้าศึกจุดไฟสุมไว้ทางด้านตะวันออกเป็นกลลวง และจะมีทหารจำนวนน้อยเท่านั้น แต่ปรากฏว่าเมื่อยกไปถึงก็เผชิญหน้ากับเกียงอุยคุมทหารจำนวนมากออกมาสกัดไว้

           ขงเบ้งจึงสั่งให้กวนหินและเตียวเปาหลีกเลี่ยงการปะทะ รีบพาทหารไปตามทางลัดแล้วยกกลับไปค่ายเดิม

           เมื่อกลับไปถึงค่ายแล้วขงเบ้งจึงเรียกทหารเมืองอันต๋งที่รู้จักประวัติความเป็นมาของเกียงอุยมาสอบถามว่า “เกียงอุยคนนี้มีสติปัญญาหลักแหลมนัก บิดามารดาอยู่ตำบลใด ทำไฉนเราจะได้ตัวมาไว้ด้วย”

           พญามังกรแห่งโงลังกั๋งกำลังตอบโต้ความคิดของบัณฑิตนิรนามหน้าใหม่แห่ง วงการยุทธศิลป์นามเกียงอุยอย่างล้ำลึก เกียงอุยนั้นกำหนดแผนการอุบายแต่ละประการไว้ที่การจับกุมตัวขงเบ้งให้ได้ก็จะสามารถเผด็จศึกเมืองเสฉวนได้ ซึ่งเป็นไปตามคัมภีร์พิชัยสงครามว่าด้วยการจับโจรต้องจับหัวหน้าโจรให้ได้เสียก่อน ส่วนความคิดของขงเบ้งในครั้งนี้ก็เป็นไปตามนัยยะแห่งพิชัยสงครามบทเดียวกัน นั่นคือจะต้องคิดกลอุบายเอาเกียงอุยมาเป็นพวก เพื่อเป็นกำลังศึกในภายหน้าอย่างหนึ่ง และเมื่อได้ตัวเกียงอุยแล้วก็จะได้เมืองเทียนซุยโดยง่ายอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้นแม้การใช้กลอุบายจะคล้ายคลึงกัน แต่เมื่อใช้โดยบุคคลที่ต่างกันก็ย่อมมีเป้าหมายและผลที่แตกต่างกัน ดังที่คัมภีร์พิชัยสงครามได้ระบุไว้ว่า รสแม้มีอยู่เพียงห้า แต่พ่อครัวที่สามารถก็อาจปรุงรสได้นับหมื่นแสน สีแม้มีอยู่เพียงห้า แต่จิตรกรผู้สามารถก็อาจปรุงแต่งสีได้ไม่มีที่สิ้นสุด

           ทหารเมืองอันต๋งซึ่งรู้ประวัติเกียงอุยมาแต่ก่อนได้รายงานแก่ขงเบ้งว่า  “บิดา  เกียงอุยตายแล้ว ยังแต่มารดาอยู่ ณ เมืองเอ๊กก๋วน” และรายงานด้วยว่าเกียงอุยผู้นี้มีความกตัญญูต่อมารดายิ่งนัก ได้รับการยกย่องว่าเป็นบุตรกตัญญู ตามแบบอย่างบุตรกตัญญูในประวัติศาสตร์ มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าไทสู้จู้ ทั้งเชื่อฟังคำมารดาเป็นอย่างยิ่ง

           ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็รำพึงว่าได้การแล้ว จากนั้นจึงเรียกอุยเอี๋ยนมาสั่งให้จัดแจงทหารห้าพัน ยกไปตั้งค่ายประชิดเมืองเอ๊กก๋วนไว้ เกียงอุยมีความกตัญญูต่อมารดา เมื่อทราบความแล้วก็จะต้องหาทางยกทหารไปช่วยเมืองเอ๊กก๋วน ให้อุยเอี๋ยนทำเป็นพ่ายแพ้แล้วทิ้งค่ายเสีย แล้วยกทหารไปซุ่มไว้ในป่าใกล้ตัวเมือง ปล่อยให้เกียงอุยเข้าไปในเมืองโดยสะดวก และเมื่อใดที่เกียงอุยยกทหารออกจากเมืองเอ๊กก๋วนก็ให้อุยเอี๋ยนยกทหารเข้าชิงเอาเมืองเอ๊กก๋วนในทันที แล้วให้แต่งทหารปลอมเป็นชาวเมืองเอ๊กก๋วนหนีมาทางเมืองเทียนซุย บอกกล่าวกับคนทั้งปวงว่าเกียงอุยแปรพักตร์ไปเข้าด้วยขงเบ้ง และยกเมืองเอ๊กก๋วนให้แก่ขงเบ้งแล้ว

           อุยเอี๋ยนรับคำสั่งขงเบ้งแล้วคำนับลาออกไปจัดแจงทหารยกไปเมืองเอ๊กก๋วนตั้งแต่เพลานั้น

           เมื่ออุยเอี๋ยนยกไปแล้วขงเบ้งจึงเรียกทหารเมืองลำอั๋นซึ่งเข้าเกลี้ยกล่อมมาสอบถามว่า เมืองเทียนซุยเป็นแต่หัวเมืองน้อย ได้อาศัยเสบียงจากหัวเมืองใดในการหล่อเลี้ยงบำรุงราษฎร

           ทหารเมืองลำอั๋นก็รายงานว่า เมืองเซียงเท้งซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองเทียนซุยเป็นแหล่งเสบียงอาหารสำคัญ หากท่านได้เมืองเซียงเท้งแล้วเมืองเทียนซุยก็จะขาดเสบียงอาหาร ราษฎรก็จะได้รับความยากลำบาก

           ขงเบ้งได้ทราบดังนั้นก็มีความยินดี สั่งให้จูล่งคุมทหารห้าพันยกไปตีเมืองเซียงเท้ง ส่วนขงเบ้งสั่งให้ล่าทัพยกออกมาตั้งห่างจากเมืองเทียนซุยพันห้าร้อยเส้น

           ฝ่ายหน่วยสอดแนมของเมืองเทียนซุยครั้นเห็นเหตุการณ์ที่ทหารเมืองเสฉวนแยกย้ายออกเป็นสามทาง และถอนค่ายออกจากที่ตั้งเดิม จึงนำความไปรายงานแก่ม้าจุ้นเจ้าเมืองว่า บัดนี้กองทัพเมืองเสฉวนได้จัดกำลังเป็นสามสาย สายหนึ่งไปตีเมืองเอ๊กก๋วน สายหนึ่งไปตีเมืองเซียงเท้ง กองทัพหลวงถอยออกไปตั้งห่างเมืองเทียนซุยพันห้าร้อยเส้น

           ม้าจุ้นได้ฟังก็สงสัยว่าเหตุใดกองทัพเสฉวนจึงปฏิบัติการเช่นนั้น แต่เกียงอุยพอได้ฟังก็สะดุ้งขึ้นทั้งตัว เกรงว่าหากเมืองเอ๊กก๋วนเสียแก่ข้าศึกแล้วมารดาจักเป็นอันตราย จึงกล่าวกับม้าจุ้นว่า “บัดนี้ขงเบ้งยกทหารไปตีเมืองเอ๊กก๋วน มารดาข้าพเจ้าอยู่ในนั้น เกลือกจะเป็นอันตราย ข้าพเจ้าจะลาท่านขอทหารกองหนึ่งยกไปช่วยป้องกันมารดา ณ เมืองเอ๊กก๋วน”

           ม้าจุ้นได้ฟังดังนั้นก็สั่งให้จัดทหารสามพันให้เกียงอุยยกไปป้องกันเมืองเอ๊กก๋วน ครั้นเกียงอุยออกไปแล้วม้าจุ้นก็คิดว่าเมืองเทียนซุยนี้ตั้งรับศึกได้ก็เพราะอาศัยเสบียงจากเมืองเซียงเท้ง หากเสียเมืองเซียงเท้งแล้วก็จะเสียเมืองเทียนซุยด้วย ม้าจุ้นจึงสั่งให้เลี้ยงเขียนคุมทหารสามพันยกไปช่วยเมืองเซียงเท้ง โดยหาได้เฉลียวใจไม่ว่าเป็นคำสั่งที่ทำให้ทหารเมืองเทียนซุยถูกแบ่งแยกเป็นสามส่วน และทำให้แต่ละส่วนเหลือกำลังเพียงน้อยนิดเท่านั้น

           เกียงอุยยกไปถึงแดนเมืองเอ๊กก๋วน เห็นอุยเอี๋ยนคุมกองทัพเมืองเสฉวนสกัดอยู่ จึงยกทหารเข้ารบกับอุยเอี๋ยน แต่พอรบกันได้เก้าเพลงอุยเอี๋ยนก็ทำทีเป็นสู้ไม่ได้ พาทหารหนีไป เกียงอุยกำลังพะวงด้วยมารดาจึงไม่ติดตาม และพาทหารเข้าไปในเมืองเอ๊กก๋วน แล้วสั่งทหารให้ขึ้นรักษาเชิงเทินค่ายคูประตูหอรบไว้ให้มั่นคง ในขณะที่อุยเอี๋ยนก็พาทหารไปซุ่มอยู่ในป่านอกเมือง

           ฝ่ายจูล่งได้รับคำสั่งจากขงเบ้งให้ปฏิบัติการตามแผนการอย่างเดียวกับเกียงอุย ครั้นตั้งค่ายแล้วต่อมาเห็นเลี้ยงเขียนนายทหารของม้าจุ้นยกทหารไปช่วยเมืองเซียงเท้ง จูล่งก็ยกทหารเข้าขวางทางไว้แล้วทำทีเป็นสู้ไม่ได้ เลี้ยงเขียนจึงตีฝ่าพาทหารเข้าไปตั้งอยู่ในเมือง  เซียงเท้งได้โดยสะดวก จูล่งก็ยกทหารออกไปซุ่มไว้ในป่านอกเมือง

           ทางค่ายหลวงของเมืองเสฉวน ครั้นจูล่งและอุยเอี๋ยนยกทหารไปตามแผนการแล้ว ขงเบ้งจึงสั่งให้ผู้คุมคุมตัวแฮหัวหลิมเข้ามาหา แล้วแจ้งแก่แฮหัวหลิมว่าบัดนี้ท่านตกเป็นเชลยของเรา การศึกกำลังติดพันอยู่ฉะนี้ ยากที่จะควบคุมตัวท่านสืบไป จึงจำใจต้องประหารท่านตามประเพณีศึก ท่านจะคิดเห็นเป็นประการใด

           แฮหัวหลิมผู้เป็นบุตรเขยของโจโฉ มากด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์และสมบัติพัสถาน ได้ฟังคำขงเบ้งดังนั้นก็รักตัวกลัวตาย เพราะมีความไม่อยากตายยิ่งกว่าคนทั่วไป จึงคุกเข่าลงกราบขงเบ้งแล้วอ้อนวอนว่า ขอให้มหาอุปราชไว้ชีวิตสักครั้งหนึ่ง จะ ยินดีรับใช้สนองคุณไปตลอดชีวิต

           ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ทำหน้าเฉยเมย แล้วกล่าวว่า “เกียงอุยทหารม้าจุ้นซึ่งไปอยู่รักษาเมืองเอ๊กก๋วน บัดนี้ให้หนังสือมาว่า ให้เอาท่านเลี้ยงไว้ แล้วเกียงอุยก็สมัครมาอยู่ด้วย ท่านจะอาสาเราไปพาเกียงอุยมาจะได้หรือมิได้”

           แฮหัวหลิมได้ฟังคำขงเบ้งดังนั้นก็เห็นทางรอดตายเพราะเป็นช่องทางที่จะหลุดพ้นไปจากเงื้อมมือของขงเบ้ง ทั้งยังได้ทราบความนัยว่าเกียงอุยบัดนี้ได้แปรพักตร์เข้ากับขงเบ้งแล้ว จึงรีบรับคำขงเบ้ง แล้วแสร้งอาสาว่าการเพียงเท่านี้มหาอุปราชโปรดวางใจ ข้าพเจ้าจะไปพาเกียงอุยมาหามหาอุปราชให้จงได้

           ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็ทำเป็นยินดี สั่งทหารให้เอาเสื้อผ้าอย่างดีมาเปลี่ยนให้กับแฮหัวหลิมแล้วให้แต่งโต๊ะเลี้ยงจนอิ่มหนำสำราญ เสร็จแล้วจึงจัดม้าให้แฮหัวหลิม ให้แฮหัวหลิมรีบเดินทางไปเมืองเอ๊กก๋วน โดยขงเบ้งจัดทหารติดตามไปสามสิบคน

           แฮหัวหลิมจะหนีไปทางเมืองลำอั๋นก็เกรงว่าทหารของขงเบ้งจะทำอันตราย จึงจำใจเดินทางไปเมืองเอ๊กก๋วน พอไปถึงกลางทางแฮหัวหลิมก็สวนทางกับทหารของอุยเอี๋ยนที่ปลอมตัวเป็นชาวเมืองเอ๊กก๋วนกำลังทำทีอพยพสวนทางมาเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละห้าคนถึงเจ็ดคนบ้าง กลุ่มละยี่สิบถึงสามสิบคนบ้าง

           แฮหัวหลิมเห็นดังนั้นก็ประหลาดใจ กริ่งว่าเมืองเอ๊กก๋วนจะเสียแก่ขงเบ้งแล้ว จึงถามชาวเมืองปลอมเหล่านั้นว่าพวกท่านเดินทางมาจากเมืองไหน

           ชาวเมืองปลอมได้แจ้งความแก่แฮหัวหลิมว่า เกียงอุยได้แปรพักตร์เข้ากับขงเบ้งแล้ว อุยเอี๋ยนจึงยกกองทัพเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองเอ๊กก๋วน ข่มเหงอาณาประชาราษฎรให้ได้รับความเดือดร้อน พวกเราจึงจำเป็นต้องอพยพไปเมืองเซียงเท้ง

           แฮหัวหลิมได้ฟังใจหนึ่งก็เชื่อว่าเป็นความจริง ใจหนึ่งก็ยังลังเลสงสัย ครั้นพบชาวบ้านอีกหลายกลุ่มก็สอบถามและได้รับคำตอบเป็นอย่างเดียวกัน แฮหัวหลิมจึงปักใจเชื่อว่าเกียงอุยเป็นกบฏ ยอมสวามิภักดิ์กับขงเบ้งแล้ว และคิดว่าเมื่อเมืองเอ๊กก๋วนเสียแก่อุยเอี๋ยนแล้ว ซึ่งจะไปเมืองเอ๊กก๋วนก็ป่วยการ จำจะคิดอ่านไปอาศัยเมืองเทียนซุย จึงถามชาวเมืองเหล่านั้นว่าขณะนี้มีผู้ใดเป็นผู้รักษาเมืองเทียนซุย

           ชาวเมืองได้แจ้งความแก่แฮหัวหลิมว่า ม้าจุ้นยังคงรักษาเมืองเทียนซุยอยู่อย่างเก่า ดังนั้นพอค่ำลงแฮหัวหลิมจึงแสร้งทำเป็นหลับ ทหารของขงเบ้งซึ่งตามมารู้ทีก็แสร้งทำเป็นหลับตาม เปิดโอกาสให้แฮหัวหลิมลอบหนีไปเมืองเทียนซุยได้โดยสะดวก

           แฮหัวหลิมขี่ม้าหนีไปถึงประตูเมืองเทียนซุยโดยสะดวก ในขณะนั้นกองทัพของขงเบ้งได้ถอยออกไปตั้งห่างไกลตัวเมืองแล้ว ข้างในเมืองเทียนซุยพอทราบว่าเป็นแฮหัวหลิมพระญาติของพระเจ้าโจยอย ม้าจุ้นผู้เป็นเจ้าเมืองก็รีบลนลานเปิดประตูเมืองแล้วออกมาต้อนรับแฮหัวหลิมด้วยตนเอง

           ม้าจุ้นคำนับแฮหัวหลิมแล้วกล่าวว่า ได้ทราบข่าวว่าท่านถูกจับตัวไป เห็นท่านกลับมาครั้งนี้มีความยินดีนัก และเห็นว่าพระบารมีของพระเจ้าโจยอยจะรุ่งเรืองสืบไปในภายหน้า

           แฮหัวหลิมเพิ่งพ้นสภาพเชลยศึกได้ฟังคำกล่าวอันระรื่นหูตามแบบฉบับขุนนางยอดชะเลียก็ปลาบปลื้มใจ แล้วกล่าวกับม้าจุ้นว่าท่านทราบหรือไม่ว่าเกียงอุยได้แปรพักตร์เข้ากับขงเบ้ง ยกเมืองเอ๊กก๋วนให้กับอุยเอี๋ยนและอุยเอี๋ยนได้เข้ายึดครองเมืองเอ๊กก๋วนไว้แล้ว

           ม้าจุ้นได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ พลางทอดถอนใจใหญ่แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าเสียรู้ไอ้คนหน้าซื่อเสียแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาคนทั้งปวงเชื่อถือว่าเกียงอุยนี้สัตย์ซื่อจงรักภักดียิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าจะบังอาจเป็นกบฏต่อพระเจ้าอยู่หัว

           ฝ่ายเลงชีนายทหารที่ปรึกษาของม้าจุ้นได้ฟังดังนั้นก็ท้วงว่า “ซึ่งเกียงอุยจะไปเข้าด้วยขงเบ้งโดยจริงนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ดีร้ายเกียงอุยจะคิดกลอุบายลวงขงเบ้งดอก”

           ม้าจุ้นชำเลืองมองแฮหัวหลิม เห็นแฮหัวหลิมได้ยินคำของเลงชีแล้วมีสีหน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธ ก็คิดว่าแฮหัวหลิมเป็นญาติวงศ์ของพระเจ้าโจยอย จะพูดจาประการใดย่อมน่าเชื่อถือยิ่งกว่าความคาดคิดของเลงชี ซึ่งเลงชีกล่าวทั้งนี้เป็นการหักหน้าแฮหัวหลิมโดยตรง ม้าจุ้นเกรงว่าแฮหัวหลิมจะผูกพยาบาทจึงทำเป็นตวาดเลงชีว่า “ท่านว่านี้เราไม่เห็นด้วย เกียงอุยเป็นขบถ เข้าด้วยขงเบ้งมั่นคงแล้ว จึงรับอุยเอี๋ยนเข้าอยู่ในเมืองจนราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อนทิ้งบ้านเรือนเสีย เที่ยวหนีเอาตัวรอด”

           ค่ำวันนั้นขงเบ้งได้เคลื่อนกองทัพเข้าประชิดเมืองเทียนซุย แล้วแต่งทหารคนหนึ่งซึ่งหน้าตารูปลักษณะคล้ายคลึงกับเกียงอุย ขี่ม้าถือทวนเข้าไปที่หน้าประตูเมือง แล้วร้องบอกขึ้นไปบนเชิงเทินว่า ให้แฮหัวหลิมโผล่หน้าออกมาเจรจากันสักหน่อยหนึ่ง

           ในขณะนั้นแฮหัวหลิมและม้าจุ้นยืนบัญชาการอยู่บนเชิงเทิน แฮหัวหลิมได้ยินเสียงร้องดังนั้นจึงโผล่หน้าออกไปนอกใบเสมากำแพงเมือง เกียงอุยปลอมเห็นแฮหัวหลิมเยี่ยมหน้าออกมาจึงร้องด่าแฮหัวหลิมว่า “ซึ่งเราเข้าด้วยขงเบ้งนี้เพราะแฮหัวหลิม เหตุไฉนท่านมากลับถ้อยคืนคำดังนี้”

           กลลากหนามข้างปลายของขงเบ้งกำลังจะสำแดงอานุภาพแล้ว!

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘