ตอนที่ 513. บัณฑิตนิรนาม
ม้าจุ้นหลงกลของขงเบ้งจะยกกองทัพไปช่วยเมืองลำอั๋น แต่เกียงอุยทหารชั้นผู้น้อยแห่งเมืองลำอั๋นซึ่งไร้ชื่อเสียงเรียงนามในการ สงครามมาแต่ก่อน หากเปี่ยมด้วยภูมิวิทยาการด้านการสงครามหลักแหลมลึกซึ้ง เห็นเป็นเรื่องผิดปกติจึงเข้าไปหาม้าจุ้นผู้เป็นเจ้าเมือง
เมื่อ เกียงอุยคำนับม้าจุ้นตามธรรมเนียมแล้วจึงท้วงว่า ซึ่งท่านเจ้าเมืองเชื่อถือทหารที่มาส่งข่าวแล้วจะยกกองทัพไปช่วยเมืองลำอั๋น นั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ก็แลกองทัพเมืองเสฉวนได้ล้อมเมืองลำอั๋นไว้แน่นหนาทุกด้านดังนี้ แม้นกหนูยังรอดออกมาไม่ได้ ไฉนทหารเมืองลำอั๋นจึงเล็ดลอดออกมาส่งข่าวถึงท่านได้เล่า อันมหาอุปราชจูกัดเหลียงนั้นทั้งเนื้อตัวเต็มไปด้วยกลอุบาย และมีสติปัญญาในการสงครามหลักแหลมลึกซึ้ง เห็นจะเป็นกลอุบายของขงเบ้งแต่งทหารมาลวงท่าน อันทหารที่มาส่งข่าวเล่าก็ไม่แน่ชัดว่ามีแหล่งสังกัดแห่งหนใด แม้ฝีมือลือชาประการใดก็ไม่แจ้ง ซึ่งทหารไม่กี่คนจะรบราตีฝ่าวงล้อมมาถึงเมืองเทียนซุยนั้นเห็นเกินจริงนัก หากท่านยกกองทัพไปแล้วขงเบ้งแต่งทหารมาซุ่มไว้กลางทาง จะมิเสียทีแก่ข้าศึกดอกหรือ
ม้าจุ้นได้ฟังก็ได้คิด พลางทอดถอนใจใหญ่แล้วกล่าวว่าเสียทีที่เรามีอายุมาก ประสบการณ์มากเสียเปล่า มิได้เฉลียวใจคิดถึงเรื่องนี้เลย หากท่านไม่ท้วงติงไว้คงจะเสียทีแก่ขงเบ้งเป็นแน่แท้ เมื่อเป็นดังนี้จะคิดอ่านประการใด
เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่าจะทำประการใดนั้นสุดแท้แต่น้ำหนักความเชื่อถือที่ท่านวางใจ ข้าพเจ้า หากท่านวางใจแล้ว ข้าพเจ้าก็จะซ้อนกลขงเบ้ง ตีทัพเมืองเสฉวนให้ถอยกลับไปจงได้
ม้าจุ้นได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงกล่าวว่าเราจะวางใจให้ท่านคิดอ่านซ้อนกลขงเบ้ง จงทำการให้เต็มกำลังสติปัญญาความสามารถเถิด
เกียงอุยจึงว่า “ซึ่ง ขงเบ้งทำกลมาทั้งนี้เห็นจะยกทหารมาซุ่มอยู่เป็นมั่นคง ข้าพเจ้าจะขอทหารสามพันยกอ้อมไปตามทางน้อย สกัดต้นทางขงเบ้งไว้ ภายหลังท่านจึงยกทหารออกจากเมืองทางร้อยห้าสิบเส้นก็ให้ยกกองทัพไปตั้งรอ อยู่ ข้าพเจ้าจะจุดเพลิงขึ้นเป็นสำคัญ แล้วเห็นกองทัพใหญ่ยกมาก็ขับทหารล้อมจับตัวขงเบ้งให้จงได้”
บัณฑิต สงครามผู้นิรนามที่ไม่เคยมีชื่อเสียงเรียงนามในการศึกสงครามมาแต่ก่อน กำลังคิดการใหญ่ หวังจะจับตัวพญามังกรแห่งโงลังกั๋งซึ่งขึ้นชื่อลือชาว่าเนื้อตัวเต็มไปด้วย กลอุบายหลายหลาก โดยวางแผนที่มิได้ลึกซึ้งเท่าใดนัก หากแต่เป็นแผนการที่ขงเบ้งไม่เคยรู้ว่าเมืองเทียนซุยหัวเมืองน้อยจะมีผู้มี สติปัญญาในการสงครามทำราชการอยู่ด้วย ทำให้สภาพของขงเบ้งในขณะนี้ตกอยู่ในสภาพที่รู้เราแต่ไม่รู้เขา อันเอื้อประโยชน์แก่เกียงอุยที่จะกระทำการโดยที่ขงเบ้งไม่ได้คาดคิดถึงไว้ ก่อน นี่แล้วที่โบราณได้เตือนว่าสี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
ม้าจุ้นได้ฟังแผนการของเกียงอุยก็เห็นชอบ จึงจัดทหารสามพันให้เกียงอุยเพื่อดำเนินการตามแผนการที่วางไว้ หลังจากเกียงอุยยกทหารออกไปแล้ว ม้าจุ้นก็คุมกองทัพยกตามไป
แต่ขงเบ้งนั้นก็ยังคงเป็นพญามังกรที่โดดเด่นเป็นเอกแต่ผู้เดียวในแดนดิน แม้จะไม่ได้คาดคิดว่าเมืองเทียนซุยมีคนดีมีสติปัญญาและฝีมืออย่างเกียงอุย แต่ในการจัดแจงกองทัพยังคงรัดกุม และป้องกันอันตรายไว้อย่างหนาแน่น ขงเบ้งได้สั่งให้จูล่งคุมทหารเป็นหน่วยลาดตระเวนระยะไกล ยกไปตั้งซุ่มอยู่ในป่านอกเมืองเทียนซุย และให้เตียวเอ๊กกับ งออี้ยกหนุนตามไปช่วยจูล่ง คอยดูท่วงทีในเมืองเทียนซุยก่อนที่กองทัพหน้าของอุยเอี๋ยนจะยกไปถึง
ฝ่าย จูล่งเมื่อได้ทราบว่าเกียงอุยคุมทหารออกจากเมืองเทียนซุย ก็สำคัญว่าเป็นกองทัพม้าจุ้นหลงกลของขงเบ้งแล้วยกทหารออกไปช่วยเมืองลำอั๋น จึงให้ทหารไปส่งข่าวแก่เตียวเอ๊กและงออี้ให้เตรียมสกัดจับม้าจุ้นให้จงได้ ตัวจูล่งคุมทหารห้าพันยกเข้าประชิดเมืองเทียนซุย แล้วร้องประกาศแก่ผู้รักษาเมืองว่าม้าจุ้นหลงกลขงเบ้งยกออกนอกเมืองไปแล้ว ตัวเราชื่อจูล่งได้รับคำสั่งขงเบ้งให้มายึดเมืองเทียนซุย ให้ยอมอ่อนน้อมแต่โดยดีก็จะไว้ชีวิต
ทหารซึ่งรักษาเชิงเทินและกำแพงเมืองเทียนซุย เห็นจูล่งคุมทหารมาร้องบอกดังนั้นก็พากันหัวเราะขึ้นพร้อมกัน แล้วร้องตอบกลับมาว่า “ท่านอย่าเจรจาทะนงไปเลย ท่านแพ้ความคิดเกียงอุยแล้วยังไม่รู้สึกตัวอีกเล่า”
จู ล่งได้ยินดังนั้นก็โกรธ สั่งทหารให้หักเข้าตีเมือง ในขณะนั้นเกียงอุยก็สำคัญว่ากองทัพซึ่งยกไปตีเมืองเทียนซุยเป็นกองทัพของ ขงเบ้ง คิดว่าแผนการครั้งนี้คงจะได้ตัวขงเบ้งเป็นมั่นคง จึงมีความยินดีเป็นอันมาก สั่งทหารให้จุดเพลิงสัญญาณขึ้นเป็นสำคัญ เกียงอุยก็คุมทหารตีม้าล่อฆ้องกลองโห่ร้องรุกกระหนาบกระทบเข้ามา ในขณะที่ม้าจุ้นซึ่งคุมทหารซุ่มอยู่นอกเมืองเห็นสัญญาณเพลิงของเกียงอุยก็ยก ทหารออกจากที่ซุ่มตีกระหนาบเข้าไปพร้อมกัน
จูล่งตกอยู่ในวงล้อมดังนั้นก็รู้ตัวว่าต้องกลของข้าศึก สั่งทหารให้ปักหลักสู้เพื่อคอยท่ากองทัพของเตียวเอ๊กและงออี้มาช่วย ตัวจูล่งสอดส่องสายตาหาตัวแม่ทัพข้าศึกหวังจะกำจัดตัวแม่ทัพข้าศึกเพื่อเป็น ทางออกแห่งชัยชนะ
ฝ่ายเกียงอุยเห็นจูล่งซึ่งเป็นตัวแม่ทัพคุมทหารเมืองเสฉวนปักหลักมั่นอยู่ใน วงล้อมก็รู้สึกประหลาดใจว่าทหารเฒ่าผู้นี้แม้ตกอยู่ในท่ามกลางวงล้อมแน่นหนา แต่หาได้มีความประหวั่นพรั่นพรึงหรือลนลานให้เห็นแม้แต่น้อยนิด แล้วคิดว่าทหารเฒ่าผู้นี้ถ้าหากแม้นมี ฝีมือ กำลังวังชาย่อมสู้เราซึ่งเป็นหนุ่มกว่าไม่ได้
เกียงอุยคิดดังนั้นจึงขี่ม้าถือทวนตรงเข้าไปหาจูล่ง แล้วร้องบอกว่า “เราชื่อเกียงอุยชาวเมืองเทียนซุย” ท่านต้องกลอุบายตกอยู่ในเงื้อมมือของเราแล้ว จงยอมจำนนเสียแต่โดยดี เราจะไว้ชีวิต ให้ใช้ชีวิตบั้นปลายโดยสงบ
จู ล่งได้ยินดังนั้นก็โกรธ ขี่ม้าเข้ารบกับเกียงอุย แต่พอประทวนกันได้เก้าเพลง จูล่งก็รู้สึกประหลาดใจว่าไฉนเมืองเทียนซุยหัว เมืองน้อยเท่านี้ จึงมีนายทหารฝีมือเข้มแข็ง รุกรบรวดเร็วว่องไวคล้ายกับตัวเราเมื่อวัยหนุ่มฉะนี้ จูล่งจึงรู้สึกเลื่อมใสในผีมือของเกียงอุย แล้วคิดว่าตัวเราแม้เคยมีฝีมือมาแต่ก่อน แต่บัดนี้ความชราได้เข้าครอบงำแล้ว กำลังวังชาสู้คนหนุ่มไม่ได้ จำจะถนอมกำลังไว้ก่อน ดังนั้นพอได้โอกาสจูล่งจึงชักม้าผละออกจากเกียงอุย ควบม้าตีฝ่าวงล้อมออกไป
เกียงอุยเห็นได้ทีก็สั่งทหารให้ไล่ตามตีจูล่ง ในขณะที่จูล่งก็พาทหารหนีไปทางด้านที่กองทัพของเตียวเอ๊กและงออี้จะยกหนุน มา
ฝ่ายเตียวเอ๊กและงออี้ซึ่งยกทหารหนุนจูล่งมาตามคำสั่งของขงเบ้ง ครั้นได้ทราบข่าวจากจูล่งแล้วจึงรีบคุมทหารยกหนุนมาช่วย และสวนทางกับจูล่งซึ่งพาทหารหนีเกียงอุยมา จึงรีบสั่งทหารให้จู่โจมเข้าตีทหารของเกียงอุย
เกียง อุยเห็นทหารเมืองเสฉวนยกหนุนเนื่องมาดังนั้นก็สำคัญว่าขงเบ้งแต่งกลอุบายจัด ทหารมาซุ่มทำร้าย จึงสั่งทหารให้ถอยทัพ และยกกลับเข้าไปในเมือง
จูล่งได้แจ้งความให้เตียวเอ๊กและงออี้ทราบ งออี้จึงแจ้งว่าขงเบ้งกำลังยกกองทัพหนุนเนื่องมา ดังนั้นทหารเมืองเสฉวนจึงรั้งทัพไว้ ณ ที่นั้น พอขงเบ้งยกกองทัพมาถึงจูล่งจึงเข้าไปรายงานความศึกให้ขงเบ้งทราบทุกประการ
ขงเบ้งได้ฟังรายงานก็ประหลาดใจ ด้วยคิดไม่ถึงว่าหัวเมืองน้อยอย่างเมืองเทียนซุยนี้จะมียอดขุนพลผู้มีสติ ปัญญาในการสงคราม และมีกำลังฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญ จึงปรารภว่า “ทหารคนนี้ชื่อใด มีสติปัญญานัก ล่วงรู้ความคิดเราได้”
ทหารเมืองลำอั๋นซึ่งเข้าสวามิภักดิ์ต่อกองทัพของจ๊กก๊ก ได้ทราบปรารภของขงเบ้งดังนั้นจึงรายงานว่า “คนนี้ชื่อเกียงอุย เป็นแซ่เกียง มีปัญญาหลักแหลม รู้การสงครามเป็นอันมาก”
จูล่งได้ฟังรายงานก็กล่าวเสริมว่า “เกียงอุยคนนี้ท่วงทีจะรบพุ่งก็ประหลาดกว่าคนทั้งปวง แล้วก็รำเพลงทวนอย่างเกียงอุยให้ขงเบ้งดู”
ขงเบ้ง ได้ฟังคำจูล่งและดูการร่ายรำกระบวนท่าเพลงทวนของเกียงอุย ซึ่งจูล่งร่ายรำให้ดูแล้ว ก็สรรเสริญว่าทหารเมืองเทียนซุยผู้นี้ควรที่จะเป็นนายทหารเอก ในขณะที่ในใจก็คิดว่าเราจะต้องคิดอ่านกลอุบายเอาตัวเกียงอุยให้ได้ก่อนจึงจะ ได้เมืองเทียนซุยโดยง่าย
ขงเบ้งกล่าวสรรเสริญเกียงอุยแล้วก็สั่งให้ยกกองทัพไปที่เมืองเทียนซุย
ฝ่ายเกียงอุยครั้นกลับเข้าเมืองแล้วได้เข้าไปรายงานความศึกให้ม้าจุ้นทราบ ทุกประการแล้วเสนอว่า จูล่งเสียทีแก่เราครั้งนี้เห็นจะรายงานความแก่ขงเบ้ง แล้วขงเบ้งก็จะยกกองทัพมาตีเมืองเราเป็นมั่นคง
ม้าจุ้นได้ทราบรายงานจากเกียงอุยก็มีความยินดี แต่พอได้ยินว่าขงเบ้งจะยกกองทัพมาตีเมืองเทียนซุยก็ตกใจ รีบถามเกียงอุยว่าจะรับมือกับขงเบ้งประการใด
เกียงอุยจึงว่า ขงเบ้งคงจะรีบรุดยกกองทัพมามิได้คิดว่าเราจะแต่งกลอุบายรับศึก เป็นโอกาสดีที่จะตีกองทัพของขงเบ้งให้แตกพ่ายไป
เกียงอุยเห็นม้าจุ้นยังมีสีหน้าสงสัยจึงไขความสืบไปว่า “จำ เราจะแยกทหารออกซุ่มอยู่นอกเมือง ข้าพเจ้าจะอยู่ทิศตะวันออก ให้เลี้ยงเขียนกับอินชงคุมทหารซุ่มอยู่ทิศตะวันตก ให้เลี้ยงชีคุมทหารอยู่รักษาเมือง ตัวท่านจงไปซุ่มอยู่ทางทิศใต้ ถ้าขงเบ้งยกทหารมาเห็นเพลิงสัญญาณข้าพเจ้าแล้วก็ให้ล้อมรบเข้าจับเอาตัว ขงเบ้งให้ได้”
เกียงอุยตระหนักดี ว่ากองทัพเสฉวนนั้นใหญ่หลวงนัก แต่อานุภาพของกองทัพที่แท้จริงหาได้อยู่ที่กองทหารไม่ กลับอยู่ที่ตัวผู้บัญชาการทัพคือจูกัดเหลียง-ขงเบ้ง ซึ่งคัมภีร์พิชัยสงครามก็ได้กำหนดว่าการจับโจรต้องจับหัวหน้า แลสุดยอดวิชากระบี่ก็บัญญัติชัดเจนว่าการจู่โจมที่มีอานุภาพสูงสุดคือการจู่ โจมที่ใจ ดังนั้นการอาศัยกำลังทหารน้อยกว่าอย่างเมืองเทียนซุยเข้ารับมือกับกำลังทหาร ที่มากกว่าของจ๊กก๊ก จึงมีแต่ต้องจับตัวแม่ทัพคือขงเบ้งให้ได้ก่อน ดังนั้นแผนการและหลักคิดในการศึกของเกียงอุยจึงมุ่งต่อการจับตัวขงเบ้งทั้ง สิ้น
ม้าจุ้นได้ฟังแผนการของเกียงอุยก็เห็นชอบ สั่งการทหารให้จัดแจงตามแผนการของเกียงอุยทุกประการ
ฝ่ายขงเบ้งเมื่อยกกองทัพมาใกล้เมืองเทียนซุยก็เป็นเวลาปลายยามแรกของกลางคืน แสงแห่งพระจันทร์รำไร เมื่อทอดสายตาไปที่กำแพงเมืองก็เห็นปักธงทิวอยู่บนแนวกำแพงเป็นอันมาก แต่มั่นใจว่ากองทัพเสฉวนมีกำลังพลมากมายมหาศาล จึงสั่งทหารให้หักเข้าตีเมือง
ทหารเมืองเสฉวน กำลังหักเข้าตีเมืองอย่างดุเดือด แต่พอใกล้สองยามก็เห็นแสงเพลิงลุกโชติช่วงทาบท้องฟ้าด้านทิศตะวันออก และประทัดสัญญาณก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวฝ่าความมืดแห่งราตรีดังก้องมาจากทั้ง สามด้าน แล้วได้ยินเสียงทหารเป็นอันมากโห่ร้องรุกเข้ามาทั้งจากด้านหลังและด้านซ้าย ขวา ในขณะที่ในตัวเมืองก็ตีม้าล่อฆ้องกลองดังกึกก้องท่ามกลางความมืด ทหารเมืองเทียนซุยที่ซุ่มอยู่นอกเมืองทั้งสามด้านได้อาศัยความมืดไม่อาจมอง ได้ชัดว่ามีกำลังมากแลน้อยเท่าใด โห่ร้องตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน
ขงเบ้ง เห็นดังนั้นก็ตกใจรู้ว่าต้องกลของข้าศึก แล้วคิดว่าซึ่งข้าศึกจุดเพลิงไว้ทางด้านตะวันออกก็เพราะมีกำลังน้อย จึงแสร้งจุดเพลิงลวงไม่ให้ตีฝ่าออกไปทางด้านนั้น ขงเบ้งคิดดังนั้นแล้วจึงสั่งทหารให้ตีหักวงล้อมกลับออกไปทางด้านตะวันออก กวนหินและเตียวเปาจึงคุมทหารเป็นกองหน้าตีฝ่าออกไปตามคำสั่งของขงเบ้ง.
เมื่อ เกียงอุยคำนับม้าจุ้นตามธรรมเนียมแล้วจึงท้วงว่า ซึ่งท่านเจ้าเมืองเชื่อถือทหารที่มาส่งข่าวแล้วจะยกกองทัพไปช่วยเมืองลำอั๋น นั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ก็แลกองทัพเมืองเสฉวนได้ล้อมเมืองลำอั๋นไว้แน่นหนาทุกด้านดังนี้ แม้นกหนูยังรอดออกมาไม่ได้ ไฉนทหารเมืองลำอั๋นจึงเล็ดลอดออกมาส่งข่าวถึงท่านได้เล่า อันมหาอุปราชจูกัดเหลียงนั้นทั้งเนื้อตัวเต็มไปด้วยกลอุบาย และมีสติปัญญาในการสงครามหลักแหลมลึกซึ้ง เห็นจะเป็นกลอุบายของขงเบ้งแต่งทหารมาลวงท่าน อันทหารที่มาส่งข่าวเล่าก็ไม่แน่ชัดว่ามีแหล่งสังกัดแห่งหนใด แม้ฝีมือลือชาประการใดก็ไม่แจ้ง ซึ่งทหารไม่กี่คนจะรบราตีฝ่าวงล้อมมาถึงเมืองเทียนซุยนั้นเห็นเกินจริงนัก หากท่านยกกองทัพไปแล้วขงเบ้งแต่งทหารมาซุ่มไว้กลางทาง จะมิเสียทีแก่ข้าศึกดอกหรือ
ม้าจุ้นได้ฟังก็ได้คิด พลางทอดถอนใจใหญ่แล้วกล่าวว่าเสียทีที่เรามีอายุมาก ประสบการณ์มากเสียเปล่า มิได้เฉลียวใจคิดถึงเรื่องนี้เลย หากท่านไม่ท้วงติงไว้คงจะเสียทีแก่ขงเบ้งเป็นแน่แท้ เมื่อเป็นดังนี้จะคิดอ่านประการใด
เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่าจะทำประการใดนั้นสุดแท้แต่น้ำหนักความเชื่อถือที่ท่านวางใจ ข้าพเจ้า หากท่านวางใจแล้ว ข้าพเจ้าก็จะซ้อนกลขงเบ้ง ตีทัพเมืองเสฉวนให้ถอยกลับไปจงได้
ม้าจุ้นได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงกล่าวว่าเราจะวางใจให้ท่านคิดอ่านซ้อนกลขงเบ้ง จงทำการให้เต็มกำลังสติปัญญาความสามารถเถิด
เกียงอุยจึงว่า “ซึ่ง ขงเบ้งทำกลมาทั้งนี้เห็นจะยกทหารมาซุ่มอยู่เป็นมั่นคง ข้าพเจ้าจะขอทหารสามพันยกอ้อมไปตามทางน้อย สกัดต้นทางขงเบ้งไว้ ภายหลังท่านจึงยกทหารออกจากเมืองทางร้อยห้าสิบเส้นก็ให้ยกกองทัพไปตั้งรอ อยู่ ข้าพเจ้าจะจุดเพลิงขึ้นเป็นสำคัญ แล้วเห็นกองทัพใหญ่ยกมาก็ขับทหารล้อมจับตัวขงเบ้งให้จงได้”
บัณฑิต สงครามผู้นิรนามที่ไม่เคยมีชื่อเสียงเรียงนามในการศึกสงครามมาแต่ก่อน กำลังคิดการใหญ่ หวังจะจับตัวพญามังกรแห่งโงลังกั๋งซึ่งขึ้นชื่อลือชาว่าเนื้อตัวเต็มไปด้วย กลอุบายหลายหลาก โดยวางแผนที่มิได้ลึกซึ้งเท่าใดนัก หากแต่เป็นแผนการที่ขงเบ้งไม่เคยรู้ว่าเมืองเทียนซุยหัวเมืองน้อยจะมีผู้มี สติปัญญาในการสงครามทำราชการอยู่ด้วย ทำให้สภาพของขงเบ้งในขณะนี้ตกอยู่ในสภาพที่รู้เราแต่ไม่รู้เขา อันเอื้อประโยชน์แก่เกียงอุยที่จะกระทำการโดยที่ขงเบ้งไม่ได้คาดคิดถึงไว้ ก่อน นี่แล้วที่โบราณได้เตือนว่าสี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง
ม้าจุ้นได้ฟังแผนการของเกียงอุยก็เห็นชอบ จึงจัดทหารสามพันให้เกียงอุยเพื่อดำเนินการตามแผนการที่วางไว้ หลังจากเกียงอุยยกทหารออกไปแล้ว ม้าจุ้นก็คุมกองทัพยกตามไป
แต่ขงเบ้งนั้นก็ยังคงเป็นพญามังกรที่โดดเด่นเป็นเอกแต่ผู้เดียวในแดนดิน แม้จะไม่ได้คาดคิดว่าเมืองเทียนซุยมีคนดีมีสติปัญญาและฝีมืออย่างเกียงอุย แต่ในการจัดแจงกองทัพยังคงรัดกุม และป้องกันอันตรายไว้อย่างหนาแน่น ขงเบ้งได้สั่งให้จูล่งคุมทหารเป็นหน่วยลาดตระเวนระยะไกล ยกไปตั้งซุ่มอยู่ในป่านอกเมืองเทียนซุย และให้เตียวเอ๊กกับ งออี้ยกหนุนตามไปช่วยจูล่ง คอยดูท่วงทีในเมืองเทียนซุยก่อนที่กองทัพหน้าของอุยเอี๋ยนจะยกไปถึง
ฝ่าย จูล่งเมื่อได้ทราบว่าเกียงอุยคุมทหารออกจากเมืองเทียนซุย ก็สำคัญว่าเป็นกองทัพม้าจุ้นหลงกลของขงเบ้งแล้วยกทหารออกไปช่วยเมืองลำอั๋น จึงให้ทหารไปส่งข่าวแก่เตียวเอ๊กและงออี้ให้เตรียมสกัดจับม้าจุ้นให้จงได้ ตัวจูล่งคุมทหารห้าพันยกเข้าประชิดเมืองเทียนซุย แล้วร้องประกาศแก่ผู้รักษาเมืองว่าม้าจุ้นหลงกลขงเบ้งยกออกนอกเมืองไปแล้ว ตัวเราชื่อจูล่งได้รับคำสั่งขงเบ้งให้มายึดเมืองเทียนซุย ให้ยอมอ่อนน้อมแต่โดยดีก็จะไว้ชีวิต
ทหารซึ่งรักษาเชิงเทินและกำแพงเมืองเทียนซุย เห็นจูล่งคุมทหารมาร้องบอกดังนั้นก็พากันหัวเราะขึ้นพร้อมกัน แล้วร้องตอบกลับมาว่า “ท่านอย่าเจรจาทะนงไปเลย ท่านแพ้ความคิดเกียงอุยแล้วยังไม่รู้สึกตัวอีกเล่า”
จู ล่งได้ยินดังนั้นก็โกรธ สั่งทหารให้หักเข้าตีเมือง ในขณะนั้นเกียงอุยก็สำคัญว่ากองทัพซึ่งยกไปตีเมืองเทียนซุยเป็นกองทัพของ ขงเบ้ง คิดว่าแผนการครั้งนี้คงจะได้ตัวขงเบ้งเป็นมั่นคง จึงมีความยินดีเป็นอันมาก สั่งทหารให้จุดเพลิงสัญญาณขึ้นเป็นสำคัญ เกียงอุยก็คุมทหารตีม้าล่อฆ้องกลองโห่ร้องรุกกระหนาบกระทบเข้ามา ในขณะที่ม้าจุ้นซึ่งคุมทหารซุ่มอยู่นอกเมืองเห็นสัญญาณเพลิงของเกียงอุยก็ยก ทหารออกจากที่ซุ่มตีกระหนาบเข้าไปพร้อมกัน
จูล่งตกอยู่ในวงล้อมดังนั้นก็รู้ตัวว่าต้องกลของข้าศึก สั่งทหารให้ปักหลักสู้เพื่อคอยท่ากองทัพของเตียวเอ๊กและงออี้มาช่วย ตัวจูล่งสอดส่องสายตาหาตัวแม่ทัพข้าศึกหวังจะกำจัดตัวแม่ทัพข้าศึกเพื่อเป็น ทางออกแห่งชัยชนะ
ฝ่ายเกียงอุยเห็นจูล่งซึ่งเป็นตัวแม่ทัพคุมทหารเมืองเสฉวนปักหลักมั่นอยู่ใน วงล้อมก็รู้สึกประหลาดใจว่าทหารเฒ่าผู้นี้แม้ตกอยู่ในท่ามกลางวงล้อมแน่นหนา แต่หาได้มีความประหวั่นพรั่นพรึงหรือลนลานให้เห็นแม้แต่น้อยนิด แล้วคิดว่าทหารเฒ่าผู้นี้ถ้าหากแม้นมี ฝีมือ กำลังวังชาย่อมสู้เราซึ่งเป็นหนุ่มกว่าไม่ได้
เกียงอุยคิดดังนั้นจึงขี่ม้าถือทวนตรงเข้าไปหาจูล่ง แล้วร้องบอกว่า “เราชื่อเกียงอุยชาวเมืองเทียนซุย” ท่านต้องกลอุบายตกอยู่ในเงื้อมมือของเราแล้ว จงยอมจำนนเสียแต่โดยดี เราจะไว้ชีวิต ให้ใช้ชีวิตบั้นปลายโดยสงบ
จู ล่งได้ยินดังนั้นก็โกรธ ขี่ม้าเข้ารบกับเกียงอุย แต่พอประทวนกันได้เก้าเพลง จูล่งก็รู้สึกประหลาดใจว่าไฉนเมืองเทียนซุยหัว เมืองน้อยเท่านี้ จึงมีนายทหารฝีมือเข้มแข็ง รุกรบรวดเร็วว่องไวคล้ายกับตัวเราเมื่อวัยหนุ่มฉะนี้ จูล่งจึงรู้สึกเลื่อมใสในผีมือของเกียงอุย แล้วคิดว่าตัวเราแม้เคยมีฝีมือมาแต่ก่อน แต่บัดนี้ความชราได้เข้าครอบงำแล้ว กำลังวังชาสู้คนหนุ่มไม่ได้ จำจะถนอมกำลังไว้ก่อน ดังนั้นพอได้โอกาสจูล่งจึงชักม้าผละออกจากเกียงอุย ควบม้าตีฝ่าวงล้อมออกไป
เกียงอุยเห็นได้ทีก็สั่งทหารให้ไล่ตามตีจูล่ง ในขณะที่จูล่งก็พาทหารหนีไปทางด้านที่กองทัพของเตียวเอ๊กและงออี้จะยกหนุน มา
ฝ่ายเตียวเอ๊กและงออี้ซึ่งยกทหารหนุนจูล่งมาตามคำสั่งของขงเบ้ง ครั้นได้ทราบข่าวจากจูล่งแล้วจึงรีบคุมทหารยกหนุนมาช่วย และสวนทางกับจูล่งซึ่งพาทหารหนีเกียงอุยมา จึงรีบสั่งทหารให้จู่โจมเข้าตีทหารของเกียงอุย
เกียง อุยเห็นทหารเมืองเสฉวนยกหนุนเนื่องมาดังนั้นก็สำคัญว่าขงเบ้งแต่งกลอุบายจัด ทหารมาซุ่มทำร้าย จึงสั่งทหารให้ถอยทัพ และยกกลับเข้าไปในเมือง
จูล่งได้แจ้งความให้เตียวเอ๊กและงออี้ทราบ งออี้จึงแจ้งว่าขงเบ้งกำลังยกกองทัพหนุนเนื่องมา ดังนั้นทหารเมืองเสฉวนจึงรั้งทัพไว้ ณ ที่นั้น พอขงเบ้งยกกองทัพมาถึงจูล่งจึงเข้าไปรายงานความศึกให้ขงเบ้งทราบทุกประการ
ขงเบ้งได้ฟังรายงานก็ประหลาดใจ ด้วยคิดไม่ถึงว่าหัวเมืองน้อยอย่างเมืองเทียนซุยนี้จะมียอดขุนพลผู้มีสติ ปัญญาในการสงคราม และมีกำลังฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญ จึงปรารภว่า “ทหารคนนี้ชื่อใด มีสติปัญญานัก ล่วงรู้ความคิดเราได้”
ทหารเมืองลำอั๋นซึ่งเข้าสวามิภักดิ์ต่อกองทัพของจ๊กก๊ก ได้ทราบปรารภของขงเบ้งดังนั้นจึงรายงานว่า “คนนี้ชื่อเกียงอุย เป็นแซ่เกียง มีปัญญาหลักแหลม รู้การสงครามเป็นอันมาก”
จูล่งได้ฟังรายงานก็กล่าวเสริมว่า “เกียงอุยคนนี้ท่วงทีจะรบพุ่งก็ประหลาดกว่าคนทั้งปวง แล้วก็รำเพลงทวนอย่างเกียงอุยให้ขงเบ้งดู”
ขงเบ้ง ได้ฟังคำจูล่งและดูการร่ายรำกระบวนท่าเพลงทวนของเกียงอุย ซึ่งจูล่งร่ายรำให้ดูแล้ว ก็สรรเสริญว่าทหารเมืองเทียนซุยผู้นี้ควรที่จะเป็นนายทหารเอก ในขณะที่ในใจก็คิดว่าเราจะต้องคิดอ่านกลอุบายเอาตัวเกียงอุยให้ได้ก่อนจึงจะ ได้เมืองเทียนซุยโดยง่าย
ขงเบ้งกล่าวสรรเสริญเกียงอุยแล้วก็สั่งให้ยกกองทัพไปที่เมืองเทียนซุย
ฝ่ายเกียงอุยครั้นกลับเข้าเมืองแล้วได้เข้าไปรายงานความศึกให้ม้าจุ้นทราบ ทุกประการแล้วเสนอว่า จูล่งเสียทีแก่เราครั้งนี้เห็นจะรายงานความแก่ขงเบ้ง แล้วขงเบ้งก็จะยกกองทัพมาตีเมืองเราเป็นมั่นคง
ม้าจุ้นได้ทราบรายงานจากเกียงอุยก็มีความยินดี แต่พอได้ยินว่าขงเบ้งจะยกกองทัพมาตีเมืองเทียนซุยก็ตกใจ รีบถามเกียงอุยว่าจะรับมือกับขงเบ้งประการใด
เกียงอุยจึงว่า ขงเบ้งคงจะรีบรุดยกกองทัพมามิได้คิดว่าเราจะแต่งกลอุบายรับศึก เป็นโอกาสดีที่จะตีกองทัพของขงเบ้งให้แตกพ่ายไป
เกียงอุยเห็นม้าจุ้นยังมีสีหน้าสงสัยจึงไขความสืบไปว่า “จำ เราจะแยกทหารออกซุ่มอยู่นอกเมือง ข้าพเจ้าจะอยู่ทิศตะวันออก ให้เลี้ยงเขียนกับอินชงคุมทหารซุ่มอยู่ทิศตะวันตก ให้เลี้ยงชีคุมทหารอยู่รักษาเมือง ตัวท่านจงไปซุ่มอยู่ทางทิศใต้ ถ้าขงเบ้งยกทหารมาเห็นเพลิงสัญญาณข้าพเจ้าแล้วก็ให้ล้อมรบเข้าจับเอาตัว ขงเบ้งให้ได้”
เกียงอุยตระหนักดี ว่ากองทัพเสฉวนนั้นใหญ่หลวงนัก แต่อานุภาพของกองทัพที่แท้จริงหาได้อยู่ที่กองทหารไม่ กลับอยู่ที่ตัวผู้บัญชาการทัพคือจูกัดเหลียง-ขงเบ้ง ซึ่งคัมภีร์พิชัยสงครามก็ได้กำหนดว่าการจับโจรต้องจับหัวหน้า แลสุดยอดวิชากระบี่ก็บัญญัติชัดเจนว่าการจู่โจมที่มีอานุภาพสูงสุดคือการจู่ โจมที่ใจ ดังนั้นการอาศัยกำลังทหารน้อยกว่าอย่างเมืองเทียนซุยเข้ารับมือกับกำลังทหาร ที่มากกว่าของจ๊กก๊ก จึงมีแต่ต้องจับตัวแม่ทัพคือขงเบ้งให้ได้ก่อน ดังนั้นแผนการและหลักคิดในการศึกของเกียงอุยจึงมุ่งต่อการจับตัวขงเบ้งทั้ง สิ้น
ม้าจุ้นได้ฟังแผนการของเกียงอุยก็เห็นชอบ สั่งการทหารให้จัดแจงตามแผนการของเกียงอุยทุกประการ
ฝ่ายขงเบ้งเมื่อยกกองทัพมาใกล้เมืองเทียนซุยก็เป็นเวลาปลายยามแรกของกลางคืน แสงแห่งพระจันทร์รำไร เมื่อทอดสายตาไปที่กำแพงเมืองก็เห็นปักธงทิวอยู่บนแนวกำแพงเป็นอันมาก แต่มั่นใจว่ากองทัพเสฉวนมีกำลังพลมากมายมหาศาล จึงสั่งทหารให้หักเข้าตีเมือง
ทหารเมืองเสฉวน กำลังหักเข้าตีเมืองอย่างดุเดือด แต่พอใกล้สองยามก็เห็นแสงเพลิงลุกโชติช่วงทาบท้องฟ้าด้านทิศตะวันออก และประทัดสัญญาณก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวฝ่าความมืดแห่งราตรีดังก้องมาจากทั้ง สามด้าน แล้วได้ยินเสียงทหารเป็นอันมากโห่ร้องรุกเข้ามาทั้งจากด้านหลังและด้านซ้าย ขวา ในขณะที่ในตัวเมืองก็ตีม้าล่อฆ้องกลองดังกึกก้องท่ามกลางความมืด ทหารเมืองเทียนซุยที่ซุ่มอยู่นอกเมืองทั้งสามด้านได้อาศัยความมืดไม่อาจมอง ได้ชัดว่ามีกำลังมากแลน้อยเท่าใด โห่ร้องตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน
ขงเบ้ง เห็นดังนั้นก็ตกใจรู้ว่าต้องกลของข้าศึก แล้วคิดว่าซึ่งข้าศึกจุดเพลิงไว้ทางด้านตะวันออกก็เพราะมีกำลังน้อย จึงแสร้งจุดเพลิงลวงไม่ให้ตีฝ่าออกไปทางด้านนั้น ขงเบ้งคิดดังนั้นแล้วจึงสั่งทหารให้ตีหักวงล้อมกลับออกไปทางด้านตะวันออก กวนหินและเตียวเปาจึงคุมทหารเป็นกองหน้าตีฝ่าออกไปตามคำสั่งของขงเบ้ง.