ตอนที่ 50. บนเส้นทางแห่งความประมาท
อ้องอุ้นหลังจากครองอำนาจในเมืองหลวงแทนตั๋งโต๊ะแล้ว ยินดีในอำนาจนั้น ไม่คิดปล่อยวาง ทั้ง ๆ ที่การโค่นอำนาจของตั๋งโต๊ะได้ทำลายกลไกในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งตั๋งโต๊ะและพรรคพวกได้กุมไว้ลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว แต่ อ้องอุ้นก็มิได้จัดวางขุนนางลงตามตำแหน่งที่ว่างอยู่ คงกุมอำนาจทั้งสิ้นไว้ในมือแต่ผู้เดียว
ขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ว่างลงก็มิได้กราบบังคมทูลฯ เสนอแต่งตั้งผู้ใดครองตำแหน่งแทน ขุนนางฝ่ายบู๊อันเป็นฝ่ายทหารก็มิได้กราบบังคมทูลฯ เสนอแต่งตั้งผู้ใดครองตำแหน่งแทนเช่นกัน กิจการอันเป็นฝ่ายทหารก็อาศัยใช้สอยแต่ลิโป้ผู้เป็นบุตรเขย ในขณะที่ตัวเองครองอำนาจฝ่ายพลเรือนและครอบอำนาจฝ่ายทหารโดยผ่านลิโป้อีกชั้นหนึ่ง
อ้องอุ้นมิได้ตระหนักว่าอัศวินงูเห่าแบบลิโป้นั้นมีแต่กำลังฝีมือ แต่หาได้มีกำลังสติปัญญาไม่ ไม่สามารถอาศัยเป็นหลักชัยของบ้านเมืองได้ ส่วนตัวเองนั้นแม้จะเป็นขุนนางมานานถึงสี่แผ่นดิน แต่ความรับผิดชอบและประสบการณ์ที่ผ่านมาล้วนเป็นกิจการเฉพาะภายในราชสำนัก มิได้มีความรู้หรือประสบการณ์ในการบริหารราชการแผ่นดินโดยทั่วไป
ด้วยเหตุนี้ความเปราะบางและช่องว่างของเมืองหลวงจึงเกิดขึ้น ทั้งในด้านของการป้องกันพระนครและด้านบัญชาการหัวเมืองต่าง ๆ ตลอดจนการบำรุงทำนุแผ่นดินให้เป็นสุข
อ้องอุ้นวันนี้จึงตั้งอยู่ในความประมาท ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า “ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย” แม้ในยามใกล้ปรินิพพานก็ทรงย้ำเป็นปัจฉิมวาจาว่า “ท่านทั้งหลายจงยังการทั้งปวงให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด” เหตุนี้เมื่ออ้องอุ้นทำกรรมชนิดนี้ไว้ ก็ต้องรับวิบากแห่งกรรมนี้ ไม่แต่เท่านั้นยังจะทำให้บ้านเมืองแลราษฎรต้องรับชะตากรรมอันเกิดแต่ความประมาทของตนต่อไปอีกด้วย
การที่อ้องอุ้นกล่าวกับคนถือหนังสือของลิฉุย กุยกี เตียวเจ และหวนเตียว สี่ทหารเอกของตั๋งโต๊ะที่มาขอเข้าสวามิภักดิ์ว่า จะไม่ยอมรับการสวามิภักดิ์นั้น และยังขู่อาฆาตว่าจะต้องจับตัวมาฆ่าเสียดังนี้ จึงเป็นการประมาทต่อผู้ถืออาวุธ เท่ากับเป็นการเร่งและบังคับให้สี่ทหารเอกนั้นต้องหันมาต่อสู้ รักษาชีวิตรอดแบบหมาจนตรอก
เพราะเมื่อสี่ทหารเอกของตั๋งโต๊ะได้รับทราบความที่อ้องอุ้นปลงใจจะสังหารพวกตัวเสียจากคำบอกกล่าวรายงานของคนถือหนังสือแล้วก็ร้อนตัว จึงปรึกษาหารือกันว่าทำอย่างไรจึงจะรอดตายได้ บางคนเสนอว่าขืนรวมกันเช่นนี้ก็จะตายหมู่ ต้องกระจายแยกกันอยู่จึงจะรอดตัว ควรจะแยกกันหนีเอาตัวรอดเถิด
กาเซี่ยงซึ่งเป็นที่ปรึกษาของตั๋งโต๊ะอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ในที่นั้นได้ยินคำปรึกษาหารือตลอดแล้ว จึงว่ากับสี่ทหารเอกว่า “ควรคิดหนีก็ต่อเมื่อเห็นว่าต่อสู้แล้วไม่ชนะ ควรคิดรบก็ต่อเมื่อเห็นว่ารบแล้วชนะ” บัดนี้เรายังไม่เคยคิดจะต่อสู้ และยังไม่เคยต่อสู้ จะคิดหนีเสียทีเดียวก่อนย่อมไม่ชอบ ควรที่จะคิดอ่านต่อสู้เสียสักตั้งหนึ่งก่อน หากสู้ไม่ได้แล้วจึงค่อยคิดหนีก็ยังไม่สายเกินไป
แล้วว่าอ้องอุ้นนั้นเป็นขุนนางมาช้านานก็จริงอยู่ แต่ไม่เคยบัญชาการทหาร บัดนี้แม้ว่าสิ้นบุญตั๋งโต๊ะแล้ว แต่ความที่ครองอำนาจมานานปี ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เคยได้รับบุญคุณไมตรีและจงรักภักดีก็มีอยู่มาก อ้องอุ้นจึงน่าที่จะยังไม่สามารถควบคุมกำลังทหารไว้ให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวทั้งหมดได้
ทั้งเวลาที่อ้องอุ้น ครองอำนาจก็ยังสั้นนัก ย่อมไม่สามารถจัดการบริหารให้เข้ารูปเข้าที่ได้ หากเราคิดต่อสู้แล้วดีร้ายก็อาจได้รับชัยชนะ
ความจริงถ้าหากอ้องอุ้นจะรักษาความคิดเก่าของตัวไว้เพียงแค่กำจัดทรราชย์ แล้วรีบทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นปกติสุข ใช้เมตตาธรรมในการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ดื้อรั้นหัวชนฝาสร้างศัตรูรอบทิศ บ้านเมืองก็จะร่มเย็นเป็นสุข แต่ครั้นอ้องอุ้นหลงในอำนาจดื้อรั้นชนิดหัวชนฝาไม่ฟังใคร เชื่อแต่ฝีมือของมืออาชีพแบบลิโป้ที่ทรยศต่อผู้คนไม่เลือกหน้า แม้แต่เต๊งหงวนเจ้าเมืองฝ่ายเหนือผู้เป็นบิดาบุญธรรมก็ยังสังหารได้ลงคอและยังบีบคั้นบังคับผู้คนจนไม่มีทางออก จึงเท่ากับเป็นการบีบบังคับให้ผู้คนต้องยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อกำจัดอ้องอุ้นเสีย
ความเสี่ยงภัยของอ้องอุ้นจึงเกิดขึ้นตั้งแต่บัดนี้
สี่ทหารเอกฟังคำกาเซี่ยงแล้ว เห็นต้องด้วยเหตุผล จึงถามว่าท่านจะคิดอ่านประการใดเราจึงจะกำจัดอ้องอุ้นเสียได้
กาเซี่ยงจึงว่าท่านจงวางใจเถิด อันจะคิดการสร้างสรรค์ให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขนั่นสิจึงเป็นของยาก แต่การที่จะคิดอ่านเพื่อให้คนฆ่าฟันกันเป็นสงครามนั้นจะเป็นเรื่องยากอะไรเล่า ว่าแล้วจึงเสนอแผนการให้กับสี่ทหารเอกว่า ให้พวกท่านไปปล่อยข่าวลือในเมืองเชียงไสก่อนว่าอ้องอุ้นกล่าวหาว่าชาวเมืองเชียงไสนี้เป็นสมัครพรรคพวกของตั๋งโต๊ะจะยกทหารมาฆ่าเสียให้สิ้นเหมือนกับที่ฆ่าญาติและพรรคพวกของตั๋งโต๊ะที่เมืองหลวงแห่งที่สองนั้น จากนั้นจึงค่อยเกลี้ยกล่อมเข้ามาเป็นพวกด้วยเป็นหัวอกเดียวกัน เมื่อพร้อมกันแล้วจึงยกไปกำจัดอ้องอุ้นเสีย
สี่ทหารเอกเห็นด้วยกับแผนการและไปดำเนินการตามคำกาเซี่ยงทุกประการ ชาวเมืองเชียงไสได้ทราบข่าวก็ตกใจพากันมาเข้าด้วยลิฉุย กุยกี เตียวเจ และหวนเตียว รวบรวมกำลังพลได้ถึงสิบห้าหมื่น
กาเซี่ยงเห็นเช่นนั้นก็ยินดีแล้วว่ากับสี่ทหารเอกว่าเรารวบรวมกำลังพลได้เท่านี้เห็นจะพอทำการ และเสนอแผนยุทธการให้แบ่งกำลังพลออกเป็นสี่กอง ๆ ละเท่า ๆ กัน ยกออกจากเมืองเชียงไสไปเมืองหลวงเพื่อแก้แค้นอ้องอุ้น
ครั้นยกไปถึงกลางทางพบกับงิวฮูบุตรเขยของตั๋งโต๊ะ ซึ่งตั๋งโต๊ะสั่งให้รักษาเมืองซีหลงก่อนที่จะเดินทางเข้าเมืองหลวงตามหมายรับสั่งเมื่อครั้งโฮจิ๋น ครั้นงิวฮูได้ข่าวว่าตั๋งโต๊ะถูกอ้องอุ้นวางแผนฆ่าเสียแล้วและกำลังตามไล่ล่าสังหารสมัครพรรคพวกของตั๋งโต๊ะต่อไปอีกก็เกรงกลัว เมื่อได้ทราบข่าวว่าสี่ทหารเอกอยู่ที่เมืองเชียงไส จึงรีบยกทหารห้าพันหนีมาสมทบ
ดังนั้นสี่ทหารเอกจึงให้งิวฮูเป็นกองทัพหน้าเคลื่อนทัพต่อไปยังเมืองเตียงอัน
ฝ่ายอ้องอุ้นครั้นได้ข่าวสี่ทหารเอกยกทัพมาจึงหาลิโป้มาปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด ลิโป้จึงว่าอย่าได้วิตกเลยการเพียงเท่านี้ให้ลิซกยกทหารไปปราบก็คงจะได้ชัยชนะ อ้องอุ้นเห็นชอบด้วยจึงให้ลิซกยกทหารไปรับมือกับกองทัพของลิฉุย กุยกี
ลิซกยกทหารไปตั้งสกัดกองทัพสี่ทหารเอก ปะทะกับงิวฮูกองทัพหน้า งิวฮูสู้มิได้ก็ถอยหนี ลิซกได้ชัยชนะก็เกิดความประมาทให้ทหารตั้งค่ายมั่นไว้แล้วมิได้ระมัดระวังตรวจตราเวรยามตามธรรมเนียมศึก
หน่วยลาดตระเวนของงิวฮูจึงแจ้งให้งิวฮูทราบ ดังนั้นเพลาเที่ยงคืนงิวฮูจึงยกทหารเข้าปล้นค่ายของลิซก ทหารลิซกไม่ทันระวังตัวก็แตกหนี ถูกทหารงิวฮูฆ่าตายเสียเป็นอันมาก กองทัพลิซกก็แตก ตัวลิซกหนีเข้าเมืองเตียงอันไปได้
ลิโป้เห็นลิซกแตกทัพพ่ายศึกมาก็โกรธ สั่งให้ตัดศีรษะลิซกแล้วเสียบประจานไว้ที่ประตูเมืองมิให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป
ครั้นรุ่งเช้าลิโป้จึงจัดทหารยกออกไปรบด้วยกองทัพหน้าของงิวฮู ฝ่ายงิวฮูเห็น ลิโป้คุมทหารตีฝ่าเข้ามาก็ตกใจ เพราะรู้กิตติศัพท์ฝีมือของลิโป้เป็นอย่างดี เห็นว่าจะสู้ ลิโป้ไม่ได้ก็ถอยกลับเข้ามาค่าย ลิโป้เห็นงิวฮูถอยไปก็กลับเข้าเมืองเตียงอัน
ฝ่ายงิวฮูกลับมาถึงค่ายแล้วก็เรียกเอาซกยีทหารคนสนิทมาปรึกษาว่าลิโป้นี้มีฝีมือเข้มแข็งนัก ขืนต่อสู้ด้วยลิโป้ต่อไปก็จะพากันตายสิ้น ควรหาทางหลบหนีไปจะดีกว่า เอาซกยีเป็นเพียงคนสนิท ไร้สติปัญญาทั้งขี้ขลาดตาขาว เห็นแก่การเสพสุข ครั้นได้ฟังคำปรึกษาแล้วก็กลัวตายตาม จึงเห็นชอบกับงิวฮู
ครั้นค่ำลงงิวฮูจึงเก็บทรัพย์สินมีค่าลอบหนีไปกับเอาซกยีและคนสนิทอีกสี่ห้าคนบุกป่าฝ่าดงไปถึงริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง เอาซกยีประสบความยากลำบาก ทั้งรอบตัวก็มืดมิดมองไม่เห็นทางก็มีความกลัว จึงคิดขายนายตัวเองเพื่อหนีความกลัวนั้นและหวังเอาความชอบกับลิโป้เพื่อจะได้อยู่สุขสบายสืบไป จึงชวนทหารสี่ห้าคนที่ตามไปด้วยนั้นสังหารงิวฮูเสีย แล้วเอาศีรษะพร้อมด้วยทรัพย์สินของงิวฮูไปเมืองเตียงอัน
ไปถึงเมืองเตียงอันแล้วก็ขอเข้าพบลิโป้ ฝ่ายลิโป้เห็นเอาซกยีและทหารสี่ห้าคนนำศีรษะของงิวฮูมาก็สอบถามความเป็นมา เอาซกยีก็เล่าความให้ลิโป้ฟังทั้งสิ้น ลิโป้ฟังแล้วตวาดเอาซกยีว่า “เป็นข้าขายเจ้า บ่าวขายนาย” จะเลี้ยงไว้ก็เป็นจัญไร จึงให้ทหารคุมตัวเอาซกยีและทหารสี่ห้าคนนั้นไปฆ่าเสีย ตัดศีรษะเสียบประจานว่าเป็นคนจัญไร ทรยศหักหลังเจ้านายตัวเอง
ในเพลาสายวันนั้นลิโป้จึงจัดทหารยกกองทัพออกไปปราบสี่ทหารเอก พบกับกองทัพของลิฉุย กุยกี เตียวเจ และหวนเตียว ลิโป้ได้ขับม้าร่ายทวนฝ่าทหารเข้าไปโจมตีกองทัพของสี่ทหารเอกโดยมิทันได้ตั้งตัว กองทัพของสี่ทหารเอกก็แตกพ่าย หนีไปเป็นระยะทางประมาณห้าร้อยเส้น ลิโป้ขับไล่ไประยะหนึ่งก็ยกทัพกลับเข้าเมืองเตียงอัน
สี่ทหารเอกหนีลิโป้มาได้แล้วก็ร่วมกันปรึกษาหารือว่าจะจัดการกับลิโป้ประการใด ลิฉุยจึงว่าลิโป้นั้นมีฝีมือรบพุ่งกล้าหาญ แต่บ้าบิ่นไร้สติปัญญา จะต่อสู้ซึ่งหน้าแม้หากจะชนะก็จักสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย จำเป็นต้องเอาชนะด้วยอุบาย
ว่าแล้วลิฉุยจึงเสนอแผนการรบว่าให้แบ่งทหารออกเป็นสองส่วน ส่วนละสองกอง ตามที่ทหารเอกแต่ละคนคุมอยู่ ให้เตียวเจและหวนเตียวคุมทหารแยกกันไปซุ่มคอยทีอยู่ เมื่อได้รับสัญญาณแล้วจึงให้พร้อมกันเข้าตีเมืองเตียงอันทั้งสองด้าน ส่วนลิฉุย กุยกี คุมทหารคนละกอง ลิฉุยจะเป็นกองล่อรบกับลิโป้ แล้วจะถอยขึ้นไปบนเขา เมื่อลิฉุยถอยขึ้นบนเขาแล้วให้กุยกีตีตลบข้างหลัง ครั้นลิโป้เข้ารบด้วยกุยกีก็ให้กุยกีถอยเสีย ลิฉุยก็จะรบล่อต่อไปอีกสลับกันไป ก็จะเอาชัยชนะได้เป็นมั่นคง
ครั้นรุ่งขึ้นทหารเอกทั้งสี่กองก็ยกไปเตรียมการตามแผนการที่วางไว้ พอลิโป้ยกกองทัพมาลิฉุยก็เข้าไปล่อรบ พักหนึ่งลิฉุยก็ให้ตีกลองสัญญาณกองทัพของเตียวเจ หวนเตียวก็ยกออกจากที่ซุ่มรุดไปตีเมืองเตียงอันพร้อมกันทั้งสองด้าน ในขณะที่ลิฉุยก็ยกทหารหนีขึ้นเขา
ในขณะที่ลิโป้ยกทหารไล่ตามลิฉุยขึ้นเขาไปนั้น ลิฉุยก็ให้ทหารยิงเกาทัณฑ์และกลิ้งก้อนศิลาใส่ทหารของลิโป้เป็นห่าฝน ทันใดนั้นลิฉุยก็ให้ตีกลองสัญญาณอีกครั้งหนึ่ง กุยกีก็ยกทหารขึ้นมาจากเนินเขา ตีตลบหลังลิโป้
ลิโป้ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องมาทางด้านหลังก็สั่งทหารแปรขบวนกลับมารบด้วยกุยกี พอลิโป้ยกทหารเข้ามาใกล้กุยกีก็ให้ตีกลองสัญญาณให้ทหารของตัวถอยเสีย ฝ่ายลิฉุยได้ยินกลองสัญญาณของกุยกีก็ยกทหารลงมาตีตลบหลังลิโป้
ลิโป้ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องมาจากบนเนินเขาก็ชักม้ากลับมาเข้ารบด้วยลิฉุย แต่ไม่ทันได้รบกัน ลิฉุยก็ตีกลองสัญญาณแล้วยกทหารถอยขึ้นเขาอีก ลิโป้จะตามไปกุยกี ก็ยกทหารตีตลบหลังอีกครั้งหนึ่ง
ลิฉุย กุยกี ใช้ยุทธวิธีของสงครามจรยุทธ์ที่ว่า “เอ็งมาข้ามุด เอ็งหยุดข้าแหย่ เอ็งแย่ข้าตี เอ็งหนีข้าตาม” รบหลอกล่อด้วยลิโป้อยู่ถึงสามวันสามคืน ลิโป้อยู่ในระหว่างการรบกระหนาบของทหารลิฉุยกับกุยกีจนอ่อนแรงลงและคิดแก้กลไม่ตก จะรุกก็มิได้ จะถอยก็มิได้ เกิดพะวักพะวงจนไม่เป็นอันสู้รบ
ในขณะที่ลิโป้กำลังสาละวนอยู่กับการล่อรบของลิฉุย กุยกีนั้น ก็มีม้าเร็วเดินสารมาแจ้งความกับลิโป้ว่าบัดนี้กองทัพเตียวเจ หวนเตียว ได้ยกเข้าตีเมืองเตียงอันสถานการณ์อยู่ในภาวะคับขันยิ่งนัก.
ขุนนางฝ่ายบุ๋นที่ว่างลงก็มิได้กราบบังคมทูลฯ เสนอแต่งตั้งผู้ใดครองตำแหน่งแทน ขุนนางฝ่ายบู๊อันเป็นฝ่ายทหารก็มิได้กราบบังคมทูลฯ เสนอแต่งตั้งผู้ใดครองตำแหน่งแทนเช่นกัน กิจการอันเป็นฝ่ายทหารก็อาศัยใช้สอยแต่ลิโป้ผู้เป็นบุตรเขย ในขณะที่ตัวเองครองอำนาจฝ่ายพลเรือนและครอบอำนาจฝ่ายทหารโดยผ่านลิโป้อีกชั้นหนึ่ง
อ้องอุ้นมิได้ตระหนักว่าอัศวินงูเห่าแบบลิโป้นั้นมีแต่กำลังฝีมือ แต่หาได้มีกำลังสติปัญญาไม่ ไม่สามารถอาศัยเป็นหลักชัยของบ้านเมืองได้ ส่วนตัวเองนั้นแม้จะเป็นขุนนางมานานถึงสี่แผ่นดิน แต่ความรับผิดชอบและประสบการณ์ที่ผ่านมาล้วนเป็นกิจการเฉพาะภายในราชสำนัก มิได้มีความรู้หรือประสบการณ์ในการบริหารราชการแผ่นดินโดยทั่วไป
ด้วยเหตุนี้ความเปราะบางและช่องว่างของเมืองหลวงจึงเกิดขึ้น ทั้งในด้านของการป้องกันพระนครและด้านบัญชาการหัวเมืองต่าง ๆ ตลอดจนการบำรุงทำนุแผ่นดินให้เป็นสุข
อ้องอุ้นวันนี้จึงตั้งอยู่ในความประมาท ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า “ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย” แม้ในยามใกล้ปรินิพพานก็ทรงย้ำเป็นปัจฉิมวาจาว่า “ท่านทั้งหลายจงยังการทั้งปวงให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด” เหตุนี้เมื่ออ้องอุ้นทำกรรมชนิดนี้ไว้ ก็ต้องรับวิบากแห่งกรรมนี้ ไม่แต่เท่านั้นยังจะทำให้บ้านเมืองแลราษฎรต้องรับชะตากรรมอันเกิดแต่ความประมาทของตนต่อไปอีกด้วย
การที่อ้องอุ้นกล่าวกับคนถือหนังสือของลิฉุย กุยกี เตียวเจ และหวนเตียว สี่ทหารเอกของตั๋งโต๊ะที่มาขอเข้าสวามิภักดิ์ว่า จะไม่ยอมรับการสวามิภักดิ์นั้น และยังขู่อาฆาตว่าจะต้องจับตัวมาฆ่าเสียดังนี้ จึงเป็นการประมาทต่อผู้ถืออาวุธ เท่ากับเป็นการเร่งและบังคับให้สี่ทหารเอกนั้นต้องหันมาต่อสู้ รักษาชีวิตรอดแบบหมาจนตรอก
เพราะเมื่อสี่ทหารเอกของตั๋งโต๊ะได้รับทราบความที่อ้องอุ้นปลงใจจะสังหารพวกตัวเสียจากคำบอกกล่าวรายงานของคนถือหนังสือแล้วก็ร้อนตัว จึงปรึกษาหารือกันว่าทำอย่างไรจึงจะรอดตายได้ บางคนเสนอว่าขืนรวมกันเช่นนี้ก็จะตายหมู่ ต้องกระจายแยกกันอยู่จึงจะรอดตัว ควรจะแยกกันหนีเอาตัวรอดเถิด
กาเซี่ยงซึ่งเป็นที่ปรึกษาของตั๋งโต๊ะอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ในที่นั้นได้ยินคำปรึกษาหารือตลอดแล้ว จึงว่ากับสี่ทหารเอกว่า “ควรคิดหนีก็ต่อเมื่อเห็นว่าต่อสู้แล้วไม่ชนะ ควรคิดรบก็ต่อเมื่อเห็นว่ารบแล้วชนะ” บัดนี้เรายังไม่เคยคิดจะต่อสู้ และยังไม่เคยต่อสู้ จะคิดหนีเสียทีเดียวก่อนย่อมไม่ชอบ ควรที่จะคิดอ่านต่อสู้เสียสักตั้งหนึ่งก่อน หากสู้ไม่ได้แล้วจึงค่อยคิดหนีก็ยังไม่สายเกินไป
แล้วว่าอ้องอุ้นนั้นเป็นขุนนางมาช้านานก็จริงอยู่ แต่ไม่เคยบัญชาการทหาร บัดนี้แม้ว่าสิ้นบุญตั๋งโต๊ะแล้ว แต่ความที่ครองอำนาจมานานปี ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เคยได้รับบุญคุณไมตรีและจงรักภักดีก็มีอยู่มาก อ้องอุ้นจึงน่าที่จะยังไม่สามารถควบคุมกำลังทหารไว้ให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวทั้งหมดได้
ทั้งเวลาที่อ้องอุ้น ครองอำนาจก็ยังสั้นนัก ย่อมไม่สามารถจัดการบริหารให้เข้ารูปเข้าที่ได้ หากเราคิดต่อสู้แล้วดีร้ายก็อาจได้รับชัยชนะ
ความจริงถ้าหากอ้องอุ้นจะรักษาความคิดเก่าของตัวไว้เพียงแค่กำจัดทรราชย์ แล้วรีบทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นปกติสุข ใช้เมตตาธรรมในการบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ดื้อรั้นหัวชนฝาสร้างศัตรูรอบทิศ บ้านเมืองก็จะร่มเย็นเป็นสุข แต่ครั้นอ้องอุ้นหลงในอำนาจดื้อรั้นชนิดหัวชนฝาไม่ฟังใคร เชื่อแต่ฝีมือของมืออาชีพแบบลิโป้ที่ทรยศต่อผู้คนไม่เลือกหน้า แม้แต่เต๊งหงวนเจ้าเมืองฝ่ายเหนือผู้เป็นบิดาบุญธรรมก็ยังสังหารได้ลงคอและยังบีบคั้นบังคับผู้คนจนไม่มีทางออก จึงเท่ากับเป็นการบีบบังคับให้ผู้คนต้องยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อกำจัดอ้องอุ้นเสีย
ความเสี่ยงภัยของอ้องอุ้นจึงเกิดขึ้นตั้งแต่บัดนี้
สี่ทหารเอกฟังคำกาเซี่ยงแล้ว เห็นต้องด้วยเหตุผล จึงถามว่าท่านจะคิดอ่านประการใดเราจึงจะกำจัดอ้องอุ้นเสียได้
กาเซี่ยงจึงว่าท่านจงวางใจเถิด อันจะคิดการสร้างสรรค์ให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขนั่นสิจึงเป็นของยาก แต่การที่จะคิดอ่านเพื่อให้คนฆ่าฟันกันเป็นสงครามนั้นจะเป็นเรื่องยากอะไรเล่า ว่าแล้วจึงเสนอแผนการให้กับสี่ทหารเอกว่า ให้พวกท่านไปปล่อยข่าวลือในเมืองเชียงไสก่อนว่าอ้องอุ้นกล่าวหาว่าชาวเมืองเชียงไสนี้เป็นสมัครพรรคพวกของตั๋งโต๊ะจะยกทหารมาฆ่าเสียให้สิ้นเหมือนกับที่ฆ่าญาติและพรรคพวกของตั๋งโต๊ะที่เมืองหลวงแห่งที่สองนั้น จากนั้นจึงค่อยเกลี้ยกล่อมเข้ามาเป็นพวกด้วยเป็นหัวอกเดียวกัน เมื่อพร้อมกันแล้วจึงยกไปกำจัดอ้องอุ้นเสีย
สี่ทหารเอกเห็นด้วยกับแผนการและไปดำเนินการตามคำกาเซี่ยงทุกประการ ชาวเมืองเชียงไสได้ทราบข่าวก็ตกใจพากันมาเข้าด้วยลิฉุย กุยกี เตียวเจ และหวนเตียว รวบรวมกำลังพลได้ถึงสิบห้าหมื่น
กาเซี่ยงเห็นเช่นนั้นก็ยินดีแล้วว่ากับสี่ทหารเอกว่าเรารวบรวมกำลังพลได้เท่านี้เห็นจะพอทำการ และเสนอแผนยุทธการให้แบ่งกำลังพลออกเป็นสี่กอง ๆ ละเท่า ๆ กัน ยกออกจากเมืองเชียงไสไปเมืองหลวงเพื่อแก้แค้นอ้องอุ้น
ครั้นยกไปถึงกลางทางพบกับงิวฮูบุตรเขยของตั๋งโต๊ะ ซึ่งตั๋งโต๊ะสั่งให้รักษาเมืองซีหลงก่อนที่จะเดินทางเข้าเมืองหลวงตามหมายรับสั่งเมื่อครั้งโฮจิ๋น ครั้นงิวฮูได้ข่าวว่าตั๋งโต๊ะถูกอ้องอุ้นวางแผนฆ่าเสียแล้วและกำลังตามไล่ล่าสังหารสมัครพรรคพวกของตั๋งโต๊ะต่อไปอีกก็เกรงกลัว เมื่อได้ทราบข่าวว่าสี่ทหารเอกอยู่ที่เมืองเชียงไส จึงรีบยกทหารห้าพันหนีมาสมทบ
ดังนั้นสี่ทหารเอกจึงให้งิวฮูเป็นกองทัพหน้าเคลื่อนทัพต่อไปยังเมืองเตียงอัน
ฝ่ายอ้องอุ้นครั้นได้ข่าวสี่ทหารเอกยกทัพมาจึงหาลิโป้มาปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด ลิโป้จึงว่าอย่าได้วิตกเลยการเพียงเท่านี้ให้ลิซกยกทหารไปปราบก็คงจะได้ชัยชนะ อ้องอุ้นเห็นชอบด้วยจึงให้ลิซกยกทหารไปรับมือกับกองทัพของลิฉุย กุยกี
ลิซกยกทหารไปตั้งสกัดกองทัพสี่ทหารเอก ปะทะกับงิวฮูกองทัพหน้า งิวฮูสู้มิได้ก็ถอยหนี ลิซกได้ชัยชนะก็เกิดความประมาทให้ทหารตั้งค่ายมั่นไว้แล้วมิได้ระมัดระวังตรวจตราเวรยามตามธรรมเนียมศึก
หน่วยลาดตระเวนของงิวฮูจึงแจ้งให้งิวฮูทราบ ดังนั้นเพลาเที่ยงคืนงิวฮูจึงยกทหารเข้าปล้นค่ายของลิซก ทหารลิซกไม่ทันระวังตัวก็แตกหนี ถูกทหารงิวฮูฆ่าตายเสียเป็นอันมาก กองทัพลิซกก็แตก ตัวลิซกหนีเข้าเมืองเตียงอันไปได้
ลิโป้เห็นลิซกแตกทัพพ่ายศึกมาก็โกรธ สั่งให้ตัดศีรษะลิซกแล้วเสียบประจานไว้ที่ประตูเมืองมิให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป
ครั้นรุ่งเช้าลิโป้จึงจัดทหารยกออกไปรบด้วยกองทัพหน้าของงิวฮู ฝ่ายงิวฮูเห็น ลิโป้คุมทหารตีฝ่าเข้ามาก็ตกใจ เพราะรู้กิตติศัพท์ฝีมือของลิโป้เป็นอย่างดี เห็นว่าจะสู้ ลิโป้ไม่ได้ก็ถอยกลับเข้ามาค่าย ลิโป้เห็นงิวฮูถอยไปก็กลับเข้าเมืองเตียงอัน
ฝ่ายงิวฮูกลับมาถึงค่ายแล้วก็เรียกเอาซกยีทหารคนสนิทมาปรึกษาว่าลิโป้นี้มีฝีมือเข้มแข็งนัก ขืนต่อสู้ด้วยลิโป้ต่อไปก็จะพากันตายสิ้น ควรหาทางหลบหนีไปจะดีกว่า เอาซกยีเป็นเพียงคนสนิท ไร้สติปัญญาทั้งขี้ขลาดตาขาว เห็นแก่การเสพสุข ครั้นได้ฟังคำปรึกษาแล้วก็กลัวตายตาม จึงเห็นชอบกับงิวฮู
ครั้นค่ำลงงิวฮูจึงเก็บทรัพย์สินมีค่าลอบหนีไปกับเอาซกยีและคนสนิทอีกสี่ห้าคนบุกป่าฝ่าดงไปถึงริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง เอาซกยีประสบความยากลำบาก ทั้งรอบตัวก็มืดมิดมองไม่เห็นทางก็มีความกลัว จึงคิดขายนายตัวเองเพื่อหนีความกลัวนั้นและหวังเอาความชอบกับลิโป้เพื่อจะได้อยู่สุขสบายสืบไป จึงชวนทหารสี่ห้าคนที่ตามไปด้วยนั้นสังหารงิวฮูเสีย แล้วเอาศีรษะพร้อมด้วยทรัพย์สินของงิวฮูไปเมืองเตียงอัน
ไปถึงเมืองเตียงอันแล้วก็ขอเข้าพบลิโป้ ฝ่ายลิโป้เห็นเอาซกยีและทหารสี่ห้าคนนำศีรษะของงิวฮูมาก็สอบถามความเป็นมา เอาซกยีก็เล่าความให้ลิโป้ฟังทั้งสิ้น ลิโป้ฟังแล้วตวาดเอาซกยีว่า “เป็นข้าขายเจ้า บ่าวขายนาย” จะเลี้ยงไว้ก็เป็นจัญไร จึงให้ทหารคุมตัวเอาซกยีและทหารสี่ห้าคนนั้นไปฆ่าเสีย ตัดศีรษะเสียบประจานว่าเป็นคนจัญไร ทรยศหักหลังเจ้านายตัวเอง
ในเพลาสายวันนั้นลิโป้จึงจัดทหารยกกองทัพออกไปปราบสี่ทหารเอก พบกับกองทัพของลิฉุย กุยกี เตียวเจ และหวนเตียว ลิโป้ได้ขับม้าร่ายทวนฝ่าทหารเข้าไปโจมตีกองทัพของสี่ทหารเอกโดยมิทันได้ตั้งตัว กองทัพของสี่ทหารเอกก็แตกพ่าย หนีไปเป็นระยะทางประมาณห้าร้อยเส้น ลิโป้ขับไล่ไประยะหนึ่งก็ยกทัพกลับเข้าเมืองเตียงอัน
สี่ทหารเอกหนีลิโป้มาได้แล้วก็ร่วมกันปรึกษาหารือว่าจะจัดการกับลิโป้ประการใด ลิฉุยจึงว่าลิโป้นั้นมีฝีมือรบพุ่งกล้าหาญ แต่บ้าบิ่นไร้สติปัญญา จะต่อสู้ซึ่งหน้าแม้หากจะชนะก็จักสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย จำเป็นต้องเอาชนะด้วยอุบาย
ว่าแล้วลิฉุยจึงเสนอแผนการรบว่าให้แบ่งทหารออกเป็นสองส่วน ส่วนละสองกอง ตามที่ทหารเอกแต่ละคนคุมอยู่ ให้เตียวเจและหวนเตียวคุมทหารแยกกันไปซุ่มคอยทีอยู่ เมื่อได้รับสัญญาณแล้วจึงให้พร้อมกันเข้าตีเมืองเตียงอันทั้งสองด้าน ส่วนลิฉุย กุยกี คุมทหารคนละกอง ลิฉุยจะเป็นกองล่อรบกับลิโป้ แล้วจะถอยขึ้นไปบนเขา เมื่อลิฉุยถอยขึ้นบนเขาแล้วให้กุยกีตีตลบข้างหลัง ครั้นลิโป้เข้ารบด้วยกุยกีก็ให้กุยกีถอยเสีย ลิฉุยก็จะรบล่อต่อไปอีกสลับกันไป ก็จะเอาชัยชนะได้เป็นมั่นคง
ครั้นรุ่งขึ้นทหารเอกทั้งสี่กองก็ยกไปเตรียมการตามแผนการที่วางไว้ พอลิโป้ยกกองทัพมาลิฉุยก็เข้าไปล่อรบ พักหนึ่งลิฉุยก็ให้ตีกลองสัญญาณกองทัพของเตียวเจ หวนเตียวก็ยกออกจากที่ซุ่มรุดไปตีเมืองเตียงอันพร้อมกันทั้งสองด้าน ในขณะที่ลิฉุยก็ยกทหารหนีขึ้นเขา
ในขณะที่ลิโป้ยกทหารไล่ตามลิฉุยขึ้นเขาไปนั้น ลิฉุยก็ให้ทหารยิงเกาทัณฑ์และกลิ้งก้อนศิลาใส่ทหารของลิโป้เป็นห่าฝน ทันใดนั้นลิฉุยก็ให้ตีกลองสัญญาณอีกครั้งหนึ่ง กุยกีก็ยกทหารขึ้นมาจากเนินเขา ตีตลบหลังลิโป้
ลิโป้ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องมาทางด้านหลังก็สั่งทหารแปรขบวนกลับมารบด้วยกุยกี พอลิโป้ยกทหารเข้ามาใกล้กุยกีก็ให้ตีกลองสัญญาณให้ทหารของตัวถอยเสีย ฝ่ายลิฉุยได้ยินกลองสัญญาณของกุยกีก็ยกทหารลงมาตีตลบหลังลิโป้
ลิโป้ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องมาจากบนเนินเขาก็ชักม้ากลับมาเข้ารบด้วยลิฉุย แต่ไม่ทันได้รบกัน ลิฉุยก็ตีกลองสัญญาณแล้วยกทหารถอยขึ้นเขาอีก ลิโป้จะตามไปกุยกี ก็ยกทหารตีตลบหลังอีกครั้งหนึ่ง
ลิฉุย กุยกี ใช้ยุทธวิธีของสงครามจรยุทธ์ที่ว่า “เอ็งมาข้ามุด เอ็งหยุดข้าแหย่ เอ็งแย่ข้าตี เอ็งหนีข้าตาม” รบหลอกล่อด้วยลิโป้อยู่ถึงสามวันสามคืน ลิโป้อยู่ในระหว่างการรบกระหนาบของทหารลิฉุยกับกุยกีจนอ่อนแรงลงและคิดแก้กลไม่ตก จะรุกก็มิได้ จะถอยก็มิได้ เกิดพะวักพะวงจนไม่เป็นอันสู้รบ
ในขณะที่ลิโป้กำลังสาละวนอยู่กับการล่อรบของลิฉุย กุยกีนั้น ก็มีม้าเร็วเดินสารมาแจ้งความกับลิโป้ว่าบัดนี้กองทัพเตียวเจ หวนเตียว ได้ยกเข้าตีเมืองเตียงอันสถานการณ์อยู่ในภาวะคับขันยิ่งนัก.