ตอนที่ 508. ศึกวุยก๊กครั้งที่หนึ่ง

ขงเบ้งตัดสินใจยกกองทัพไปตีวุยก๊กแล้ว จึงแต่งฎีกาขอรับพระบรมราชานุญาตซึ่งล้วนเป็นเนื้อความที่ตักเตือนพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้เสวนาด้วยบัณฑิต ไม่เสวนาด้วยคนพาล โดยเฉพาะพวกขันทีซึ่งทำให้บ้านเมืองล่มจม ดังที่เคยเกิดขึ้นในแผ่นดินพระเจ้าเลนเต้และพระเจ้าเหี้ยนเต้

            วันรุ่งขึ้นขงเบ้งได้เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนในท่ามกลางการประชุมขุนนางในท้องพระโรง ยื่นฎีกาขึ้นทูลเกล้าถวายแล้วขออาสายกกองทัพไปตีวุยก๊ก

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนทอดพระเนตรฎีกาของขงเบ้งและฟังคำกราบทูลแล้วจึงตรัสว่า ท่านพ่อมหาอุปราชเพิ่งยกกองทัพกลับจากการปราบปรามเบ้งเฮ็กยังไม่ทันหายเหนื่อย ชอบที่จะงดกองทัพไว้บำรุงทแกล้วทหารให้พร้อมมูลก่อนแล้วจึงค่อยยกไปเถิด

            ขงเบ้งจึงกราบทูลว่า การรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเป็นพระราชปณิธานเดิมของพระเจ้าเล่าปี่ที่ข้าพระองค์จะต้องทำนุบำรุงช่วยให้พระองค์ได้ประสบความสำเร็จให้จงได้ ข้าพระองค์คิดอ่านจะยกกองทัพไปตีวุยก๊กอยู่ช้านานแล้วแต่โอกาสยังไม่อำนวย ด้วยเกิดเหตุการณ์ไม่สงบในภาคใต้ ให้ห่วงหน้าพะวงหลังอยู่ บัดนี้หัวเมืองและชายแดนภาคใต้สงบราบคาบเป็นปกติแล้ว เป็นโอกาสอันควรที่จะยกไปตีวุยก๊ก ขอพระองค์ได้ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตเถิด

            เจาจิ๋วซึ่งเป็นโหรหลวงประจำสำนักราชเลขาธิการได้ฟังคำขงเบ้งกราบทูลแล้วจึงเข้าไปถวายบังคมกราบทูลต่อพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า “เพลาคืนนี้ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูฤกษ์บน เห็นดาวประจำเมืองฝ่ายเหนือมีรัศมีบริบูรณ์อยู่ มหาอุปราชก็มีสติปัญญาหลักแหลมรู้การทั้งปวง ซึ่งจะยกไปตีเมืองฮูโต๋นั้น เกลือกจะป่วยการเสียเปล่า”

            สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุว่า เจาจิ๋วซึ่งเป็นพระโหราจารย์ได้กราบบังคมทูลทัดทานต่อพระเจ้าเล่าเสี้ยนและท้วงติงต่อขงเบ้งว่า ข้าพระองค์เป็นโหรหลวงประจำราชสำนัก ทุกค่ำคืนได้เพ่งเพียรดูเดือนดาวในนภากาศมิได้ขาดเว้น เล็งเห็นดาวประจำเมืองแห่งวุยก๊กมีรัศมีสีสดใสรุ่งเรือง อันแสดงว่าวุยก๊กยังไม่ถึงคราดับสูญ ยังคงจำเริญรุ่งเรืองไปเบื้องหน้า มหาอุปราชก็เป็นผู้เรืองวิทยาการ รู้การแจ้งฟ้าจบดิน ย่อมรู้การในอากาศยิ่งกว่าข้าพระองค์มากนัก ไฉนเมื่อรู้ความจากเบื้องฟ้าว่าไม่อำนวยแล้วจึงยังฝ่าฝืนกระทำการเบื้องดินสืบไปเล่า จะมิเสียการเปล่าหรือ

            ขงเบ้งได้ฟังจึงกราบทูลแย้งว่า อันการในอากาศนั้นก็เป็นจริงดังเจาจิ๋วว่า แต่นี่เป็นการปัจจุบัน หากเมื่อใดที่โจมตีวุยก๊กให้ดับสูญแล้ว เมื่อนั้นดาวประจำเมืองที่เคยเปล่งประกายรัศมีเจิดจ้าก็ย่อมดับแสงลงไปเอง ฟ้าลิขิตกำหนดดินได้ ดินก็อาจลิขิตกำหนดฟ้าได้เช่นเดียวกัน เหตุนี้จะถือเอาความสุกใสมัวหมองแห่งดวงดาวบนอากาศแต่อย่างเดียวเป็นประมาณนั้นไม่ได้ หากจะต้องพินิจพิเคราะห์การบนภาคพื้นภูมิดลนี้เป็นประมาณด้วย ข้าพระองค์จะยกกองทัพไปตั้งอยู่ที่เมืองฮันต๋งก่อน เมื่อเห็นเป็นทีแล้วจึงค่อยกรีฑาทัพเข้าตีวุยก๊กต่อไป

            เจาจิ๋วได้ฟังคำกราบทูลของขงเบ้งก็ไม่เห็นด้วย จึงกราบทูลต่อพระเจ้าเล่าเสี้ยนเพื่อทัดทานเป็นหลายครั้ง แต่ขงเบ้งก็ยังคงกราบทูลยืนยันความเห็นเดิม พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงเกรงพระทัยขงเบ้งซึ่งทรงนับถือเป็นบิดาบุญธรรม และเป็นกุนซือคู่บุญของพระราชบิดา จึงตัดสินพระทัยพระราชทานพระบรมราชานุญาตตามฎีกาของขงเบ้ง

            เมื่อพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว ขงเบ้งจึงกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่าข้าพระองค์ยกทัพไปครั้งนี้เป็นระยะทางไกล อาจต้องใช้เวลานาน ดังนั้นการป้องกันดูแลรักษาเมืองเสฉวนไว้มิให้เป็นอันตรายย่อมจำเป็นต้องจัดแจงแต่งการไว้เป็นอันดี

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนกษัตริย์หนุ่มไม่คุ้นเคยกับการจัดแจงการบริหารราชการแผ่นดิน ได้ฟังคำทูลของขงเบ้งก็ทรงเห็นชอบ จึงตรัสว่าเมื่อท่านพ่อมหาอุปราชเห็นสมควรประการใดก็จงจัดแจงไปตามที่เห็นสมควรเถิด

            ขงเบ้งรับพระบรมราชานุญาตแล้วจึงออกคำสั่งให้ “กุยฮิวจี๋ บิฮุย ตันอุ๋น เอียทง ตันจิ๋น เจียวอ้วน เตียวฮี เตาเขง โตบี เอียวฮอง เบงกอง ไลบิน อินเบก ลิจวน ฮุยสี เจาจิ๋ว กับขุนนางผู้ใหญ่ร้อยเศษคุมทหารและอยู่รักษาเมืองเสฉวน” คอยถวายคำปรึกษาแนะนำและจัดแจงการบริหารราชการแผ่นดินภายในจ๊กก๊กให้เป็นปกติ และป้องกันรักษาเมืองไว้มิให้เป็นอันตราย แล้วขงเบ้งจึงถวายบังคมลากลับไปที่จวน

            ครั้นไปถึงจวนขงเบ้งจึงเรียกประชุมบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวง “จึงจัดแจงนายทหารสามสิบคน อุยเอี๋ยน เตียวเอ๊ก อองเป๋ง ลิอิ๋น ลิหงี ม้าต้าย เลียวฮัว ม้าตง  เตียวหงี เล่าตัน เปงจี๋ ม้าเจ๊ก อ้วนหลิม งออี้ โกเสียง งอปั้น เอียวหงี เล่าเป๋า เคาอิ้น เตงหัน เล่าปิ้น กัวหยง ออจี้ เงี้ยมอ้าน เหียนสิบ ตอหงี ตอกี๋ เซงฮู ฮวนกี๋ ฮวนเจี๋ยน ตังควด กวนหิน เตียวเปา” และแต่งตั้งให้แต่ละคนรับผิดชอบตำแหน่งต่าง ๆ ในขบวนทัพตามกระบวนศึกทุกประการ และให้เตรียมกำลังพร้อมที่จะเคลื่อนทัพตามฤกษ์ชัยที่กำหนด

            แล้วขงเบ้งจึงสั่งให้ลิเหยียมคุมทหารและรับผิดชอบรักษาค่ายตลอดจนด่านต่าง ๆ ที่ติดต่อกับแดนเมืองกังตั๋ง เพื่อป้องกันการรุกรานจากด้านกังตั๋ง ทั้งๆ ที่มั่นใจเต็มอกว่าได้ฟื้นฟูสัมพันธไมตรีเป็นพันธมิตรสนิทแน่นแฟ้นแล้ว

            ฝ่ายจูล่งยอดขุนพลคู่บุญของขงเบ้งซึ่งบัดนี้ล่วงเข้าสู่วัยชราตามกาลเวลาที่ผันแปรเปลี่ยนไป ทราบข่าวว่าขงเบ้งจัดแจงกองทัพใหญ่จะยกไปตีวุยก๊กแต่ไม่ได้รับหมายเกณฑ์เข้าร่วมกองทัพก็น้อยใจ คิดว่าขงเบ้งเห็นว่าตัวเราแก่ชราหาประโยชน์ในราชการสงครามมิได้ จึงมาหาขงเบ้งที่จวน เมื่อได้คำนับทักทายกันตามธรรมเนียมแล้ว จูล่งจึงกล่าวว่ามหาอุปราชจะยกกองทัพไปทำศึกครั้งใดก็เคยให้ข้าพเจ้าไปราชการด้วยทุกครั้ง แต่เหตุใดครั้งนี้เป็นศึกสำคัญจึงไม่ให้ข้าพเจ้าร่วมขบวนทัพไปด้วยเล่า หรือเห็นว่าข้าพเจ้าชราภาพแล้วจะมิได้ราชการ

            แล้วจูล่งจึงกล่าวด้วยความน้อยใจว่า “ตัวข้าพเจ้านี้แก่ก็แต่อายุแลความคิด อันกำลังฝีมือจะรบพุ่งยังกล้าหาญอยู่”

            ขงเบ้งได้ฟังก็มองหน้าจูล่งด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความรักวางใจและเอื้ออาทรแล้วกล่าวว่า “เราไปปราบเบ้งเฮ็กครั้งนี้ ม้าเฉียวตายเราคิดเสียดายนักเหมือนแขนหักข้างหนึ่ง ตัวท่านก็สูงอายุอยู่แล้ว เกลือกจะไปพลาดพลั้งในขณะรบจะเสียเกียรติยศในเมืองเสฉวนไป”

            จูล่งเข้าใจความรู้สึกของขงเบ้งจากสายตาที่มองมาเป็นอย่างดี จึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าทำศึกมาแต่หนุ่มจนอายุเพียงนี้ก็ยังไม่เพลี่ยงพล้ำเสียทีให้ข้าศึกดูหมิ่นได้ เกิดมาเป็นชาติทหารแล้วถึงจะตายก็ไม่เสียดายแก่ชีวิต จะให้ปรากฏชื่อไปภายหน้า ขอคุมทหารเป็นทัพหน้าไปด้วยท่าน”

            ขงเบ้งทัดทานไม่ให้จูล่งไปถึงสามครั้งสามหน แต่จูล่งก็ยังคงยืนกรานขอไปในกองทัพให้จงได้ ขงเบ้งนั้นน้ำใจเอื้ออาทรเมตตาและวางใจจูล่งมาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่อาจขัดใจได้ จำใจต้องอนุญาตและตั้งให้จูล่งเป็นแม่ทัพหน้า แล้วกล่าวว่าเราจะให้เตงจี๋ไปช่วยท่านเป็นเสนาธิการประจำกองทัพหน้า ขัดข้องสิ่งใดจะได้ปรึกษาหารือกัน

            ขงเบ้งกล่าวแล้วก็สั่งจัดทหารให้จูล่งห้าพัน พร้อมทหารเอกสิบคน และให้จูล่งยกกองทัพหน้าล่วงไปก่อน กองทัพหลวงจะยกไปตามเวลาฤกษ์

            จูล่งได้รับอนุญาตดังนั้นก็มีความยินดีเป็นอันมาก คำนับลาขงเบ้งกลับออกไปที่กองทหาร รับจัดสรรกำลังพลตามคำสั่งแล้วจึงยกกองทัพหน้าตรงไปที่เมืองฮันต๋ง

            พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบพรรษา เป็นปีที่ห้าที่พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราช เดือนเจ็ด ต้นฤดูฝน วันธาตุเสือไฟ เพลาเก้านาฬิกา กองทัพหลวงเตรียมการพร้อมสรรพที่จะเคลื่อนพล ขงเบ้งได้เข้าไปกราบถวายบังคมลาพระเจ้าเล่าเสี้ยนตามประเพณี พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสด็จออกมาส่งขงเบ้งถึงที่กองทัพหลวง ครั้นเวลาฤกษ์ดี  ขงเบ้งจึงสั่งให้เคลื่อนพลออกจากเมืองเสฉวน

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงอาลัยอาวรณ์ขงเบ้งเป็นอันมาก จึงเสด็จพระราชดำเนินพร้อมขบวนทหารองครักษ์และขุนนางจำนวนมากตามไปส่งขงเบ้งถึงนอกเมืองเป็นระยะทางห้าสิบเส้นจึงเสด็จกลับ

            กองทัพหลวงของขงเบ้งได้ตีม้าล่อฆ้องกลองเอาฤกษ์เอาชัยเสียงดังสนั่นหวั่นไหวประสานกับธงทิวปลิวไสวแน่นขนัด ออกแดนเมืองเสฉวนตรงไปที่เมืองฮันต๋ง และให้กองทัพตั้งมั่นอยู่ที่แดนเมืองฮันต๋งนั้น

            ฝ่ายหน่วยสอดแนมของวุยก๊กครั้นทราบข่าวศึกจึงรายงานความไปกราบบังคมทูลให้พระเจ้าโจยอยทราบว่า บัดนี้ขงเบ้งยกกองทัพสามสิบหมื่นมาตั้งอยู่ที่เมืองฮันต๋ง และให้จูล่งกับเตงจี๋เป็นกองทัพหน้า ขณะนี้กองทัพหน้ายกล่วงใกล้เข้าเขตแดนวุยก๊กแล้ว

            พระเจ้าโจยอยทราบความก็ตกพระทัย ตรัสสั่งให้เรียกประชุมขุนนางแม่ทัพนายกองทั้งปวง แล้วทรงปรึกษาว่าศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก จะคิดอ่านรับศึกประการใด

            แฮหัวหลิมขุนนางฝ่ายทหารซึ่งเป็นบุตรของแฮหัวตุ้นและเป็นบุตรเขยของโจโฉ ซึ่งคุมแค้นพยาบาทจ๊กก๊กเนื่องจากฮองตงขุนศึกเฒ่าของจ๊กก๊กได้สังหารแฮหัวเอี๋ยนผู้เป็นอา ได้ฟังพระราชปรารภแล้วจึงเข้าไปกราบบังคมทูลขออาสายกกองทัพไปรบกับขงเบ้ง แล้วกล่าวว่า “อาข้าพเจ้าตายยังมิได้แก้แค้นอ้ายพวกเสฉวน ข้าพเจ้าจะขออาสาคุมทหารเมืองเสเหลียงซึ่งมีฝีมือยกออกไปรบกับทหารเมืองเสฉวนเอาชัยชนะให้ได้”

            พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำอาสาของแฮหัวหลิมก็ทรงระลึกว่า แฮหัวหลิมนี้แม้ว่าจะเป็นคนเบาแก่ความและมักลุแก่โทสะ แต่ก็เป็นพระญาติสนิทซึ่งพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉก็ยกย่องนับถือว่ามีความซื่อสัตย์จงรักภักดี และเพราะเหตุที่ไม่เคยทรงประจักษ์ฝีมือและสติปัญญาของขงเบ้งมาแต่ก่อน จึงทรงเห็นว่าศึกครั้งนี้แฮหัวหลิมเหมาะสมที่จะเป็นแม่ทัพยกไปทำการได้ จึงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้แฮหัวหลิมเป็นแม่ทัพคุมทหารเมืองเสเหลียงทั้งทหารม้าและทหารราบยี่สิบหมื่นยกไปสกัดกองทัพเมืองเสฉวนที่ปลายแดนด้านเมืองฮันต๋ง

            ในทันใดนั้นอองลองซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ได้เข้าไปถวายบังคมพระเจ้าโจยอยแล้วท้วงว่า ซึ่งจะโปรดเกล้าให้แฮหัวหลิมเป็นแม่ทัพครั้งนี้ไม่สมควร เพราะแฮหัวหลิมเป็นผู้น้อย มากด้วยโทสะ ทั้งไม่เคยมีประสบการณ์ในการสงครามมาแต่ก่อน คู่ศึกในครั้งนี้ใช่ว่าจะเป็นคนไร้ฝีมือ หากเป็นกองทัพมหาอุปราชจูกัดเหลียงคุมมาเอง แลขงเบ้งนี้มีสติปัญญาในการสงครามเป็นอันมาก เมื่อครั้งพระเจ้าวุยอ๋องก็ยังทรงนับถือสติปัญญาของขงเบ้ง จึงเห็นว่าแฮหัวหลิมจะทานสติปัญญาและกลอุบายของขงเบ้งไม่ได้ จะเสียการใหญ่เป็นมั่นคง

            แฮหัวหลิมได้ยินคำกราบทูลของอองลองดังนั้นก็โกรธ ถือตนว่าเป็นพระญาติ ตวาดอองลองต่อหน้าพระที่นั่งว่า “เหตุใดท่านจึงมาเจรจาดูหมิ่นเราฉะนี้ ซึ่งท่านนับถือว่าขงเบ้งมีสติปัญญาก็จริงอยู่ อันฝีมือจะรบพุ่งหารู้ถึงเราไม่ เราจะออกไปสู้กับขงเบ้ง เอาชัยชนะให้จงได้ แม้ไม่สมคำเราว่า เราไม่กลับมาเฝ้าพระเจ้าโจยอยให้เห็นหน้าสืบไปเลย”

            แฮหัวหลิมตวาดแล้วก็ไม่รอฟังรับสั่งประการใดอีก สะบัดชายแขนเสื้อเดินหันหลังออกมาจากท้องพระโรง และให้ทหารองครักษ์ไปขอรับหมายรับสั่งเกณฑ์พลแล้วยกกองทัพยี่สิบหมื่นไปตั้งอยู่ที่เมืองเตียงอัน

            ฝ่ายกองทัพเมืองเสฉวนเมื่อพักอยู่ที่เมืองฮันต๋งสี่ห้าวัน ขงเบ้งก็สั่งให้เคลื่อนทัพรุดหน้าต่อไป ครั้นไปถึงเมืองไกเอี๋ยงก็สั่งให้หยุดกองทัพไว้ แล้วขงเบ้งจึงพาทหารองครักษ์พร้อมด้วยม้าต้ายคุมเครื่องเซ่นไหว้ไปที่สุสานฝังศพของม้าเฉียว และทำการเซ่นไหว้ตามธรรมเนียม เสร็จแล้วจึงกลับมาที่ค่ายหลวง

            ครั้นเวลาบ่ายหน่วยสอดแนมได้เข้ามารายงานขงเบ้งว่า บัดนี้พระเจ้าโจยอยได้ตั้งให้แฮหัวหลิมเป็นแม่ทัพคุมทหารยี่สิบหมื่นยกมาขัดตาทัพอยู่ที่เมืองเตียงอัน

            อุยเอี๋ยนได้ฟังรายงานจึงกล่าวกับขงเบ้งว่า “แฮหัวหลิมมีฝีมือกล้าหาญก็จริง แต่อ่อนความคิดหาเคยทำการใหญ่ไม่ ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายขอทหารห้าพันยกโอบไปตั้งอยู่ ณ ตำบลคอนจูงฝ่ายทิศตะวันออก สกัดทางเมืองเตียงอันจะไปทางเมืองลกเอี๋ยง แฮหัวหลิมรู้ก็จะยกทหารออกรบกับข้าพเจ้า ท่านจึงยกทหารกระหนาบหลังเข้าตีเอาเมืองเตียงอัน แฮหัวหลิมเหลือกำลังก็จะทิ้งเมืองเสียหนีไปเมืองลกเอี๋ยง เราจึงยกติดตามเข้าไปตีเอาเมืองลกเอี๋ยงก็จะได้โดยง่าย”.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘