ตอนที่ 507. ปรัชญาการปกครองของขงเบ้ง
ขงเบ้งเห็นชอบกับแผนอุบายของม้าเจ๊กที่จะยืมมือพระเจ้าโจยอยสังหารสุมาอี้ จึงสั่งทำใบปลิวและส่งไปปิดตามหัวเมืองต่าง ๆ ที่ขึ้นกับเมืองฮูโต๋ ยกเว้นก็แต่เฉพาะเมืองเสเหลียงและหัวเมืองชายแดนด้านตะวันตกของเมืองฮูโต๋เพื่อไม่ให้สุมาอี้ล่วงรู้ หลังจากนั้นไม่กี่วันใบปลิวที่ถูกทำขึ้นก็ถูกปิดตามหัวเมืองต่าง ๆ
ชั่วพริบตาที่ใบปลิวถูกปิด ทหารรักษาการณ์ของเมืองต่าง ๆ ก็รีบเก็บใบปลิวนั้นไปมอบแก่เจ้าเมืองและส่งเข้าเมืองฮูโต๋ และนำขึ้นทูลเกล้าถวายพระเจ้าโจยอย
พระเจ้าโจยอยทราบความตามใบปลิวนั้นก็ตกพระทัย รับสั่งเรียกบรรดาขุนนางที่สนิทมาปรึกษาว่า ซึ่งสุมาอี้ทำการทั้งนี้เป็นกบฏต่อแผ่นดิน จะคิดอ่านประการใดต่อไป
ฮัวหิมซึ่งเป็นสมุหนายกในรัชกาลของพระเจ้าโจยอยทราบความตามพระราชปรารภแล้วจึงกราบทูลว่า การที่สุมาอี้ขออาสาไปรักษาเมืองเสเหลียงและหัวเมืองชายแดนด้านตะวันตกนั้นก็ด้วยคิดแผนการกบฏไว้ก่อน และกราบทูลต่อไปว่า “เมื่อพระเจ้าวุยอ๋องยังมีพระชนม์อยู่ก็มิได้วางพระทัยสุมาอี้ ตรัสอยู่เนือง ๆ ว่าสุมาอี้คนนี้ถ้าชุบเลี้ยงให้คุมทหารเป็นใหญ่ขึ้นเมื่อใดจะเป็นขบถคิดร้ายต่อแผ่นดิน ซึ่งสุมาอี้คิดอุบายทำเรื่องราวเข้ากราบทูลพระองค์ขอไปอยู่รักษาเมืองเสเหลียงนั้น หวังจะซ่องสุมทหารขึ้นเป็นกำลังได้แล้วก็จะคิดขบถเป็นมั่นคง”
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่า สมุหนายกฮัวหิมได้กราบทูลว่า “สุมาอี้ถวายฎีกาขอไปเฝ้าเมืองเอียงและเสเหลียงก็ด้วยเรื่องนี้ ในครั้งก่อนไท้โจ๊บู๊ฮ่องเต้โจโฉทรงเคยรับสั่งกับข้าพระพุทธเจ้าว่า อันลักษณะของสุมาอี้นั้นใช้ตามองประดุจนกเหยี่ยว เวลาเหลือบหันมองประดุจสุนัขจิ้งจอก มิควรให้มีอำนาจในราชการกองทัพ แม้นานไปจะเป็นเภทภัยอันใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ วันนี้เรื่องคิดทรยศได้เกิดขึ้น ควรจะได้เร่งรีบบำราบปราบปราม”
อองลองซึ่งเป็นขุนนางอาวุโสได้ฟังคำกราบทูลของสมุหนายกดังนั้นก็เสริมว่า “สุมาอี้เป็นคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แล้วก็ชำนาญในการสงคราม เคยได้รบพุ่งเป็นอันมาก แม้สุมาอี้ตั้งตัวได้แล้วเห็นเราจะทำการขัดสน ขอพระองค์เร่งคิดอ่านยกทหารไปกำจัดเสียแต่กำลังยังอ่อนอยู่ฉะนี้จึงจะชอบ”
พระเจ้าโจยอยได้ฟังความเห็นของขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองแล้วจึงตรัสสั่งให้จัดแจงกองทัพใหญ่จะยกไปกำจัดสุมาอี้ด้วยพระองค์เอง
ในทันใดนั้นโจจิ๋นซึ่งเป็นขุนนางอาวุโสและถือเป็นพระญาติได้ลุกขึ้นถวายบังคมแล้วท้วงติงว่า “เมื่อพระเจ้าโจผีจะสิ้นพระชนม์นั้นก็ได้ฝากราชการแผ่นดินแก่สุมาอี้ เห็นสุมาอี้จะไม่อาจคิดขบถต่อพระองค์ ซึ่งเขียนหนังสือปิดไว้ฉะนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าจะเป็นกลของขงเบ้งแลซุนกวนแกล้งทำมาหวังจะให้เราเจ้าข้าคิดแคลงกัน ซึ่งพระองค์จะยกไปนั้นให้ดำริดูจงควรก่อน”
พระเจ้าโจยอยได้ฟังโจจิ๋นพระญาติอาวุโสทัดทานเช่นนั้นก็ยังไม่หายแคลงพระทัย จึงตรัสว่า ซึ่งท่านห้ามเรามิให้ยกกองทัพไปในขณะที่กำลังทหารของสุมาอี้ยังอ่อนอยู่ โดยเพียงแต่คาดคิดว่าสมเด็จพระราชบิดาได้ฝากฝังราชการแผ่นดินแล้วจะไม่ตั้งตนเป็นขบถ หากสุมาอี้ซ่องสุมผู้คนเป็นกำลังกล้าแข็งขึ้นแล้วก่อการกบฏเล่า จะคิดอ่านป้องกันแก้ไขประการใด
โจจิ๋นได้ฟังคำตรัสก็เกิดลังเล ไม่อาจรับรองค้ำประกันจิตใจของสุมาอี้ได้ว่าจะซื่อตรงจงรักภักดีหรือจะเป็นกบฏต่อแผ่นดิน จึงกราบทูลว่าซึ่งพระองค์ตรัสฉะนี้ก็ชอบด้วยการแผ่นดินอยู่ แต่ถ้าพระองค์ยกกองทัพใหญ่ไปด้วยพระองค์เอง สุมาอี้ทราบข่าวก็จะต่อสู้เห็นจะกำจัดได้ยาก
พระเจ้าโจยอยจึงตรัสถามว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ท่านจะให้เราทำการประการใด
โจจิ๋นจึงกราบทูลว่า ขอพระองค์โปรดยืมกลอุบายของพระเจ้าเล่าปังเมื่อครั้งที่ทรงแคลงใจฮั่นสิน แล้วทำทีเป็นเสด็จประพาสทางชลมารคไปตามแม่น้ำเมฆพลิ้ว เพื่อลวงให้ฮั่นสินมาเฝ้ารับเสด็จแล้วเข้าจับกุมได้โดยสะดวก ขออัญเชิญพระองค์เสด็จประพาสแดนเมืองเสเหลียง เมื่อสุมาอี้ทราบข่าวก็จะมารับเสด็จ แล้วค่อยสังเกตดูท่วงทีของสุมาอี้ หากเห็นว่าไม่ซื่อตรงแน่แล้ว เมื่อสุมาอี้มาเฝ้าหน้ารถพระที่นั่งก็ให้ทหารองครักษ์จับกุมตัวสุมาอี้เสีย
พระเจ้าโจยอยได้ฟังดังนั้นก็ทรงเห็นชอบ ตรัสสั่งให้จัดขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคกำลังพลสิบหมื่นไปประพาสชายแดนเมืองเสเหลียง ตามแผนการของโจจิ๋นทุกประการ
ฝ่ายสุมาอี้หลังจากได้มาเป็นผู้บัญชาการป้องกันรักษาเมืองเสเหลียงและชายแดนภาคตะวันตกแล้วก็ได้ซ่องสุมทหารฝึกปรือผู้คนเป็นอันมาก ครั้นได้ทราบข่าวว่าพระเจ้าโจยอยเสด็จประพาสหัวเมืองชายแดนเมืองเสเหลียง จึงเตรียมการไปถวายการต้อนรับตามประเพณี
สุมาอี้คิดว่าได้ซ่องสุมผู้คนเพื่อป้องกันรักษาชายแดนภาคตะวันตกเข้มแข็งแกร่งกล้าแล้ว สมควรจะแสดงแสนยานุภาพเพื่อให้พระเจ้าโจยอยได้ทอดพระเนตร จึงสั่งทหารม้าและทหารราบให้แต่งชุดพร้อมรบพร้อมอาวุธครบมือจำนวนห้าหมื่นนายยกออกจากเมืองเสเหลียงไปตั้งขบวนต้อนรับพระเจ้าโจยอยที่ชายแดน
หน่วยลาดตระเวนระยะไกลล่วงหน้าของพระเจ้าโจยอยทราบข่าวสุมาอี้จัดแจงทหารเป็นอันมากมาตั้งอยู่ที่ชายแดนจึงนำความเข้าไปกราบบังคมทูลให้พระเจ้าโจยอยทรงทราบ
พระเจ้าโจยอยและบรรดาแม่ทัพนายกองตลอดจนขุนนางที่ตามเสด็จ ครั้นทราบความว่าสุมาอี้เตรียมกองทัพเป็นอันมากก็ยิ่งเชื่อว่าสุมาอี้เป็นกบฏแน่แล้ว ต่างคนต่างกราบบังคมทูลพระเจ้าโจยอยว่าสุมาอี้คิดขบถจึงจัดเตรียมกองทัพใหญ่มารับมือกับกองทัพของพระองค์ พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำกราบบังคมทูลก็ทรงเชื่อตามความคิดเดิมว่าสุมาอี้เป็นขบถ จึงตรัสสั่งให้โจฮิวคุมทหารแปดหมื่นยกล่วงหน้าไปที่ชายแดนก่อน แล้วกองทัพหลวงจะยกตามไป
สุมาอี้เห็นกองทัพของโจฮิวก็สำคัญว่าเป็นขบวนเสด็จของพระเจ้าโจยอย จึงลงจากหลังม้าคุกเข่าหมอบอยู่ข้างทางเพื่อรับเสด็จ พอโจฮิวคุมทหารไปถึงเห็นสุมาอี้เตรียมต้อนรับเสด็จดังนั้นก็ลังเลว่าอาการดังนี้ไม่ใช่อาการที่เป็นกบฏต่อแผ่นดิน แต่ยังคงกล่าวกับสุมาอี้ว่า “ท่านก็เป็นขุนนางสัตย์ซื่อมาแต่ก่อน พระเจ้าโจผีก็ได้ฝากราชการแผ่นดินแก่ท่าน เหตุไฉนท่านจึงคิดกบฏต่อพระเจ้าโจยอย”
สุมาอี้ไม่ทราบความนัยมาก่อน พอได้ยินคำของโจฮิวก็ตกใจ รีบกล่าวว่าข้าพเจ้าตั้งใจทำราชการด้วยความจงรักภักดี ไม่มีแม้แต่น้อยนิดที่จะคิดทรยศเจ้า เหตุไฉนท่านจึงกล่าวความฉะนี้เล่า
โจฮิวจึงเล่าความที่มีใบปลิวปิดตามหัวเมืองต่าง ๆ อันเป็นเหตุให้พระเจ้าโจยอยแสร้งทำเป็นประพาสชายแดนเมืองเสเหลียงให้สุมาอี้ฟังทุกประการ
สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็ทอดถอนใจใหญ่ แล้วกล่าวว่าเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ข้าพเจ้าจะขอไปเฝ้าพระเจ้าโจยอย กราบบังคมทูลด้วยตนเองจึงจะพ้นผิด กล่าวแล้วสุมาอี้จึงสั่งทหารให้ยกกลับเข้าไปในเมืองเสเหลียง ตัวสุมาอี้และทหารองครักษ์ไม่กี่คนติดตามโจฮิว กลับไปเฝ้าพระเจ้าโจยอยที่กองทัพหลวง
ครั้นไปถึงกองทัพหลวง สุมาอี้สั่งให้ทหารองครักษ์ซึ่งติดตามมาคอยอยู่ในที่ไกล สุมาอี้แต่ผู้เดียวเดินตามโจฮิวเข้าไปเฝ้าพระเจ้าโจยอยถึงรถพระที่นั่ง คุกเข่าถวายบังคมแล้วร้องไห้ พลางกราบบังคมทูลว่า “เมื่อพระเจ้าโจผียังมีพระชนม์อยู่ ก็เห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินจึงฝากราชการทั้งปวง ข้าพเจ้าก็ตั้งใจทำราชการ ทำนุบำรุงพระองค์ มิได้คิดประทุษร้ายสิ่งใด ซึ่งเป็นเหตุทั้งนี้ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นกลอุบายของขงเบ้งและซุนกวน ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตีเอาเมืองเสฉวนแลเมืองกังตั๋งถวายให้เห็นความสัตย์จงได้”
ฮัวหิมสมุหนายกได้ฟังดังนั้นก็ถวายบังคมพระเจ้าโจยอย แล้วเข้าไปกระซิบว่าซึ่งสุมาอี้แก้ตัวฉะนี้ก็เพราะกำลังทหารยังอ่อนอยู่ จึงซื้อเวลาเพื่อซ่องสุมให้กำลังกล้าแข็งขึ้นแล้วก็จะเป็นกบฏดังที่พระเจ้าวุยอ๋องโจโฉได้ทรงตรัสไว้เนือง ๆ นั่นเอง ขอพระองค์อย่าได้วางพระทัยเป็นอันขาด ชอบที่พระองค์จะปฏิบัติตามความเห็นของพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉ อย่าให้สุมาอี้มีกำลังอำนาจทางการทหาร จะได้ไม่เป็นที่ระคายเคืองหรือทรงพระปริวิตกสืบไป
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำฮัวหิมก็ทรงเห็นชอบ จึงมีพระบรมราชโองการให้ปลดสุมาอี้ออกจากทุกตำแหน่ง ให้กลับไปทำมาหากินที่ภูมิลำเนาเดิม ให้ริบเอาเครื่องยศและตราตั้งเสียทั้งสิ้น
สุมาอี้จะกราบบังคมทูลแก้ตัวประการใดพระเจ้าโจยอยก็ไม่รับฟัง ฮัวหิมเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารให้เชิญตัวสุมาอี้ออกไปจากที่เฝ้า และกราบบังคมทูลเสนอให้แต่งตั้งโจฮิวเป็นผู้รักษาเมืองเสเหลียงและชายแดนภาคตะวันตกแทนสุมาอี้
พระเจ้าโจยอยทรงเห็นชอบและโปรดเกล้าแต่งตั้งโจฮิวให้เป็นผู้รักษาเมืองเสเหลียงและชายแดนภาคตะวันตกตามที่ฮัวหิมเสนอ ในขณะที่สุมาอี้ก็เดินคอตกกลับไปพาครอบครัวเดินทางกลับไปภูมิลำเนาเดิม
เมื่อพระเจ้าโจยอยจัดการปัญหาคลางแคลงในพระทัยเกี่ยวกับสุมาอี้เสร็จสิ้นแล้วจึงตรัสสั่งให้เลิกทัพกลับคืนเมืองฮูโต๋
ฝ่ายขงเบ้งตั้งแต่ทำกลอุบายตามแผนการของม้าเจ๊กแล้วก็ให้หน่วยสอดแนมติดตามความเคลื่อนไหวของเมืองฮูโต๋อย่างใกล้ชิด พอได้ทราบข่าวว่าพระเจ้าโจยอยถอดสุมาอี้ออกจากตำแหน่งทางทหาร และให้โจฮิวมาเป็นผู้รักษาเมืองเสเหลียงและชายแดนภาคตะวันตกก็มีความยินดีเป็นอันมาก รำพึงว่า “โจยอยแพ้กลเราแล้ว เราจะไปตีเอาเมืองลกเอี๋ยงให้จงได้”
ขงเบ้งเดินกลับเข้าไปที่ห้องหนังสือ แล้วแต่งฎีกาฉบับหนึ่งขอรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋ ความว่าข้าพระพุทธเจ้ามหาอุปราชจูกัดเหลียงขอกราบบังคมทูลพระกรุณาเพื่อทรงทราบว่า พระเจ้าเล่าปี่คิดจะรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง แต่ทำได้เพียงครึ่งทางก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน แผ่นดินยังคงแตกแยกเป็นสามก๊ก อันจ๊กก๊กของเรานี้เปรียบเทียบกับก๊กอื่นแล้วยังเล็กนัก เมืองเสฉวนเล่าก็มิได้อุดมสมบูรณ์พอที่จะตั้งเป็นเมืองหลวงถาวรได้ หาควรที่พระองค์จะนิ่งนอนพระทัยไม่ ภารกิจในการรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งซึ่งตกทอดมายังพระองค์ให้ข้าพระพุทธเจ้าสืบสานนั้นยังใหญ่หลวงนัก การแผ่นดินอันใหญ่หลวงจักสำเร็จได้ก็ด้วยการรู้จักส่งเสริมช่วงใช้ให้คนดีมีฝีมือมีอำนาจในบ้านเมือง กำจัดคนชั่วช้าเลวทรามออกไปจากวงจรแห่งอำนาจ ราชวงศ์ฮั่นเจริญรุ่งเรืองยาวนานในยุคต้น ก็เพราะดำเนินแนวทางปกครองดังกล่าวนี้ แต่ยุคหลังเสื่อมทรุดลงก็เพราะฝืนต่อแนวทางดังกล่าว ข้าพระพุทธเจ้าถวายความเห็นกับพระเจ้าเล่าปี่ในเรื่องนี้ครั้งใดก็ทรงทอดถอนพระทัยในพระจริยาวัตรของพระเจ้าเลนเต้และพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่เสพสุขหมกมุ่นอยู่กับเหล่าขันที ยกย่องฟังความเห็นของคนชั่วช้าเป็นหลักในการบริหารบ้านเมือง แผ่นดินจึงเป็นจลาจลอยู่จนถึงทุกวันนี้ กุยฮิวจี๋ บิฮุย ตันอุ๋น สามคนนี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ มีน้ำใจสนองพระคุณเจ้าโดยสุจริต ชอบที่พระองค์จะช่วงใช้ไว้ใจใกล้ชิด เอียทง ตันจิ๋น เจียวอ้วน สามคนนี้ก็เป็นขุนนางฝ่ายบู๊ มีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญ จงรักภักดี มีประสบการณ์ในราชการสงคราม ขุนนางฝ่ายทหารและพลเรือนรุ่นเก่าแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ล้วนมีประสบการณ์และซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยมาแต่ก่อน ควรที่พระองค์จะได้ทรงปรึกษาหารือเป็นเนืองนิจ ตัวข้าพระองค์นั้นเป็นชาวนาสามัญยากจนข้นแค้นแห่งเขาโงลังกั๋ง ไร้คุณค่าในสายตาผู้คน แต่พระเจ้าเล่าปี่ได้ถ่อมพระองค์เสด็จออกไปเชิญข้าพระพุทธเจ้าให้มาช่วยการแผ่นดินถึงกระท่อมน้อยถึงสามครั้งสามหน ทรงไว้วางพระราชหฤทัย แม้พลาดผิดสิ่งใดก็ไม่เคยเอาโทษ เป็นพระคุณล้นฟ้าเหนือเกล้าของข้าพระองค์ จึงตั้งหน้าถวายความจงรักภักดีจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ก่อนจะสวรรคตพระเจ้าเล่าปี่ก็ทรงฝากฝังการแผ่นดินให้ข้าพระพุทธเจ้าช่วยทำนุบำรุงพระองค์เสมอเหมือนดังแต่ก่อน สืบสานพระราชปณิธานกอบกู้พระราชวงศ์ฮั่นให้รุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้นอีกครั้งหนึ่ง บัดนี้หัวเมืองและชายแดนภาคใต้ราบคาบสงบสุขสันติเป็นปกติทุกประการแล้ว ได้เวลาอันสมควรที่จะดำเนินภารกิจที่มีเกียรติยิ่งใหญ่ตามที่ได้รับการฝากฝังจากพระเจ้าเล่าปี่ ข้าพระองค์จึงขอรับพระบรมราชานุญาตยกกองทัพไปตีวุยก๊ก เพื่อรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง พระองค์อยู่ข้างหลังขอได้โปรดเสวนาใกล้ชิดกับขุนนางผู้เป็นปราชญ์ อย่าเข้าใกล้เสวนากับเหล่าพาล ตามรอยพระบาทพระเจ้าเล่าปี่ บ้านเมืองก็จะร่มเย็นเป็นสุขสืบไป ขอได้โปรดพระราชทานพระบรมราชานุญาต.
ชั่วพริบตาที่ใบปลิวถูกปิด ทหารรักษาการณ์ของเมืองต่าง ๆ ก็รีบเก็บใบปลิวนั้นไปมอบแก่เจ้าเมืองและส่งเข้าเมืองฮูโต๋ และนำขึ้นทูลเกล้าถวายพระเจ้าโจยอย
พระเจ้าโจยอยทราบความตามใบปลิวนั้นก็ตกพระทัย รับสั่งเรียกบรรดาขุนนางที่สนิทมาปรึกษาว่า ซึ่งสุมาอี้ทำการทั้งนี้เป็นกบฏต่อแผ่นดิน จะคิดอ่านประการใดต่อไป
ฮัวหิมซึ่งเป็นสมุหนายกในรัชกาลของพระเจ้าโจยอยทราบความตามพระราชปรารภแล้วจึงกราบทูลว่า การที่สุมาอี้ขออาสาไปรักษาเมืองเสเหลียงและหัวเมืองชายแดนด้านตะวันตกนั้นก็ด้วยคิดแผนการกบฏไว้ก่อน และกราบทูลต่อไปว่า “เมื่อพระเจ้าวุยอ๋องยังมีพระชนม์อยู่ก็มิได้วางพระทัยสุมาอี้ ตรัสอยู่เนือง ๆ ว่าสุมาอี้คนนี้ถ้าชุบเลี้ยงให้คุมทหารเป็นใหญ่ขึ้นเมื่อใดจะเป็นขบถคิดร้ายต่อแผ่นดิน ซึ่งสุมาอี้คิดอุบายทำเรื่องราวเข้ากราบทูลพระองค์ขอไปอยู่รักษาเมืองเสเหลียงนั้น หวังจะซ่องสุมทหารขึ้นเป็นกำลังได้แล้วก็จะคิดขบถเป็นมั่นคง”
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่า สมุหนายกฮัวหิมได้กราบทูลว่า “สุมาอี้ถวายฎีกาขอไปเฝ้าเมืองเอียงและเสเหลียงก็ด้วยเรื่องนี้ ในครั้งก่อนไท้โจ๊บู๊ฮ่องเต้โจโฉทรงเคยรับสั่งกับข้าพระพุทธเจ้าว่า อันลักษณะของสุมาอี้นั้นใช้ตามองประดุจนกเหยี่ยว เวลาเหลือบหันมองประดุจสุนัขจิ้งจอก มิควรให้มีอำนาจในราชการกองทัพ แม้นานไปจะเป็นเภทภัยอันใหญ่หลวงต่อประเทศชาติ วันนี้เรื่องคิดทรยศได้เกิดขึ้น ควรจะได้เร่งรีบบำราบปราบปราม”
อองลองซึ่งเป็นขุนนางอาวุโสได้ฟังคำกราบทูลของสมุหนายกดังนั้นก็เสริมว่า “สุมาอี้เป็นคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แล้วก็ชำนาญในการสงคราม เคยได้รบพุ่งเป็นอันมาก แม้สุมาอี้ตั้งตัวได้แล้วเห็นเราจะทำการขัดสน ขอพระองค์เร่งคิดอ่านยกทหารไปกำจัดเสียแต่กำลังยังอ่อนอยู่ฉะนี้จึงจะชอบ”
พระเจ้าโจยอยได้ฟังความเห็นของขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองแล้วจึงตรัสสั่งให้จัดแจงกองทัพใหญ่จะยกไปกำจัดสุมาอี้ด้วยพระองค์เอง
ในทันใดนั้นโจจิ๋นซึ่งเป็นขุนนางอาวุโสและถือเป็นพระญาติได้ลุกขึ้นถวายบังคมแล้วท้วงติงว่า “เมื่อพระเจ้าโจผีจะสิ้นพระชนม์นั้นก็ได้ฝากราชการแผ่นดินแก่สุมาอี้ เห็นสุมาอี้จะไม่อาจคิดขบถต่อพระองค์ ซึ่งเขียนหนังสือปิดไว้ฉะนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าจะเป็นกลของขงเบ้งแลซุนกวนแกล้งทำมาหวังจะให้เราเจ้าข้าคิดแคลงกัน ซึ่งพระองค์จะยกไปนั้นให้ดำริดูจงควรก่อน”
พระเจ้าโจยอยได้ฟังโจจิ๋นพระญาติอาวุโสทัดทานเช่นนั้นก็ยังไม่หายแคลงพระทัย จึงตรัสว่า ซึ่งท่านห้ามเรามิให้ยกกองทัพไปในขณะที่กำลังทหารของสุมาอี้ยังอ่อนอยู่ โดยเพียงแต่คาดคิดว่าสมเด็จพระราชบิดาได้ฝากฝังราชการแผ่นดินแล้วจะไม่ตั้งตนเป็นขบถ หากสุมาอี้ซ่องสุมผู้คนเป็นกำลังกล้าแข็งขึ้นแล้วก่อการกบฏเล่า จะคิดอ่านป้องกันแก้ไขประการใด
โจจิ๋นได้ฟังคำตรัสก็เกิดลังเล ไม่อาจรับรองค้ำประกันจิตใจของสุมาอี้ได้ว่าจะซื่อตรงจงรักภักดีหรือจะเป็นกบฏต่อแผ่นดิน จึงกราบทูลว่าซึ่งพระองค์ตรัสฉะนี้ก็ชอบด้วยการแผ่นดินอยู่ แต่ถ้าพระองค์ยกกองทัพใหญ่ไปด้วยพระองค์เอง สุมาอี้ทราบข่าวก็จะต่อสู้เห็นจะกำจัดได้ยาก
พระเจ้าโจยอยจึงตรัสถามว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ท่านจะให้เราทำการประการใด
โจจิ๋นจึงกราบทูลว่า ขอพระองค์โปรดยืมกลอุบายของพระเจ้าเล่าปังเมื่อครั้งที่ทรงแคลงใจฮั่นสิน แล้วทำทีเป็นเสด็จประพาสทางชลมารคไปตามแม่น้ำเมฆพลิ้ว เพื่อลวงให้ฮั่นสินมาเฝ้ารับเสด็จแล้วเข้าจับกุมได้โดยสะดวก ขออัญเชิญพระองค์เสด็จประพาสแดนเมืองเสเหลียง เมื่อสุมาอี้ทราบข่าวก็จะมารับเสด็จ แล้วค่อยสังเกตดูท่วงทีของสุมาอี้ หากเห็นว่าไม่ซื่อตรงแน่แล้ว เมื่อสุมาอี้มาเฝ้าหน้ารถพระที่นั่งก็ให้ทหารองครักษ์จับกุมตัวสุมาอี้เสีย
พระเจ้าโจยอยได้ฟังดังนั้นก็ทรงเห็นชอบ ตรัสสั่งให้จัดขบวนพยุหยาตราทางสถลมารคกำลังพลสิบหมื่นไปประพาสชายแดนเมืองเสเหลียง ตามแผนการของโจจิ๋นทุกประการ
ฝ่ายสุมาอี้หลังจากได้มาเป็นผู้บัญชาการป้องกันรักษาเมืองเสเหลียงและชายแดนภาคตะวันตกแล้วก็ได้ซ่องสุมทหารฝึกปรือผู้คนเป็นอันมาก ครั้นได้ทราบข่าวว่าพระเจ้าโจยอยเสด็จประพาสหัวเมืองชายแดนเมืองเสเหลียง จึงเตรียมการไปถวายการต้อนรับตามประเพณี
สุมาอี้คิดว่าได้ซ่องสุมผู้คนเพื่อป้องกันรักษาชายแดนภาคตะวันตกเข้มแข็งแกร่งกล้าแล้ว สมควรจะแสดงแสนยานุภาพเพื่อให้พระเจ้าโจยอยได้ทอดพระเนตร จึงสั่งทหารม้าและทหารราบให้แต่งชุดพร้อมรบพร้อมอาวุธครบมือจำนวนห้าหมื่นนายยกออกจากเมืองเสเหลียงไปตั้งขบวนต้อนรับพระเจ้าโจยอยที่ชายแดน
หน่วยลาดตระเวนระยะไกลล่วงหน้าของพระเจ้าโจยอยทราบข่าวสุมาอี้จัดแจงทหารเป็นอันมากมาตั้งอยู่ที่ชายแดนจึงนำความเข้าไปกราบบังคมทูลให้พระเจ้าโจยอยทรงทราบ
พระเจ้าโจยอยและบรรดาแม่ทัพนายกองตลอดจนขุนนางที่ตามเสด็จ ครั้นทราบความว่าสุมาอี้เตรียมกองทัพเป็นอันมากก็ยิ่งเชื่อว่าสุมาอี้เป็นกบฏแน่แล้ว ต่างคนต่างกราบบังคมทูลพระเจ้าโจยอยว่าสุมาอี้คิดขบถจึงจัดเตรียมกองทัพใหญ่มารับมือกับกองทัพของพระองค์ พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำกราบบังคมทูลก็ทรงเชื่อตามความคิดเดิมว่าสุมาอี้เป็นขบถ จึงตรัสสั่งให้โจฮิวคุมทหารแปดหมื่นยกล่วงหน้าไปที่ชายแดนก่อน แล้วกองทัพหลวงจะยกตามไป
สุมาอี้เห็นกองทัพของโจฮิวก็สำคัญว่าเป็นขบวนเสด็จของพระเจ้าโจยอย จึงลงจากหลังม้าคุกเข่าหมอบอยู่ข้างทางเพื่อรับเสด็จ พอโจฮิวคุมทหารไปถึงเห็นสุมาอี้เตรียมต้อนรับเสด็จดังนั้นก็ลังเลว่าอาการดังนี้ไม่ใช่อาการที่เป็นกบฏต่อแผ่นดิน แต่ยังคงกล่าวกับสุมาอี้ว่า “ท่านก็เป็นขุนนางสัตย์ซื่อมาแต่ก่อน พระเจ้าโจผีก็ได้ฝากราชการแผ่นดินแก่ท่าน เหตุไฉนท่านจึงคิดกบฏต่อพระเจ้าโจยอย”
สุมาอี้ไม่ทราบความนัยมาก่อน พอได้ยินคำของโจฮิวก็ตกใจ รีบกล่าวว่าข้าพเจ้าตั้งใจทำราชการด้วยความจงรักภักดี ไม่มีแม้แต่น้อยนิดที่จะคิดทรยศเจ้า เหตุไฉนท่านจึงกล่าวความฉะนี้เล่า
โจฮิวจึงเล่าความที่มีใบปลิวปิดตามหัวเมืองต่าง ๆ อันเป็นเหตุให้พระเจ้าโจยอยแสร้งทำเป็นประพาสชายแดนเมืองเสเหลียงให้สุมาอี้ฟังทุกประการ
สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็ทอดถอนใจใหญ่ แล้วกล่าวว่าเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ข้าพเจ้าจะขอไปเฝ้าพระเจ้าโจยอย กราบบังคมทูลด้วยตนเองจึงจะพ้นผิด กล่าวแล้วสุมาอี้จึงสั่งทหารให้ยกกลับเข้าไปในเมืองเสเหลียง ตัวสุมาอี้และทหารองครักษ์ไม่กี่คนติดตามโจฮิว กลับไปเฝ้าพระเจ้าโจยอยที่กองทัพหลวง
ครั้นไปถึงกองทัพหลวง สุมาอี้สั่งให้ทหารองครักษ์ซึ่งติดตามมาคอยอยู่ในที่ไกล สุมาอี้แต่ผู้เดียวเดินตามโจฮิวเข้าไปเฝ้าพระเจ้าโจยอยถึงรถพระที่นั่ง คุกเข่าถวายบังคมแล้วร้องไห้ พลางกราบบังคมทูลว่า “เมื่อพระเจ้าโจผียังมีพระชนม์อยู่ ก็เห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินจึงฝากราชการทั้งปวง ข้าพเจ้าก็ตั้งใจทำราชการ ทำนุบำรุงพระองค์ มิได้คิดประทุษร้ายสิ่งใด ซึ่งเป็นเหตุทั้งนี้ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นกลอุบายของขงเบ้งและซุนกวน ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตีเอาเมืองเสฉวนแลเมืองกังตั๋งถวายให้เห็นความสัตย์จงได้”
ฮัวหิมสมุหนายกได้ฟังดังนั้นก็ถวายบังคมพระเจ้าโจยอย แล้วเข้าไปกระซิบว่าซึ่งสุมาอี้แก้ตัวฉะนี้ก็เพราะกำลังทหารยังอ่อนอยู่ จึงซื้อเวลาเพื่อซ่องสุมให้กำลังกล้าแข็งขึ้นแล้วก็จะเป็นกบฏดังที่พระเจ้าวุยอ๋องโจโฉได้ทรงตรัสไว้เนือง ๆ นั่นเอง ขอพระองค์อย่าได้วางพระทัยเป็นอันขาด ชอบที่พระองค์จะปฏิบัติตามความเห็นของพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉ อย่าให้สุมาอี้มีกำลังอำนาจทางการทหาร จะได้ไม่เป็นที่ระคายเคืองหรือทรงพระปริวิตกสืบไป
พระเจ้าโจยอยได้ฟังคำฮัวหิมก็ทรงเห็นชอบ จึงมีพระบรมราชโองการให้ปลดสุมาอี้ออกจากทุกตำแหน่ง ให้กลับไปทำมาหากินที่ภูมิลำเนาเดิม ให้ริบเอาเครื่องยศและตราตั้งเสียทั้งสิ้น
สุมาอี้จะกราบบังคมทูลแก้ตัวประการใดพระเจ้าโจยอยก็ไม่รับฟัง ฮัวหิมเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารให้เชิญตัวสุมาอี้ออกไปจากที่เฝ้า และกราบบังคมทูลเสนอให้แต่งตั้งโจฮิวเป็นผู้รักษาเมืองเสเหลียงและชายแดนภาคตะวันตกแทนสุมาอี้
พระเจ้าโจยอยทรงเห็นชอบและโปรดเกล้าแต่งตั้งโจฮิวให้เป็นผู้รักษาเมืองเสเหลียงและชายแดนภาคตะวันตกตามที่ฮัวหิมเสนอ ในขณะที่สุมาอี้ก็เดินคอตกกลับไปพาครอบครัวเดินทางกลับไปภูมิลำเนาเดิม
เมื่อพระเจ้าโจยอยจัดการปัญหาคลางแคลงในพระทัยเกี่ยวกับสุมาอี้เสร็จสิ้นแล้วจึงตรัสสั่งให้เลิกทัพกลับคืนเมืองฮูโต๋
ฝ่ายขงเบ้งตั้งแต่ทำกลอุบายตามแผนการของม้าเจ๊กแล้วก็ให้หน่วยสอดแนมติดตามความเคลื่อนไหวของเมืองฮูโต๋อย่างใกล้ชิด พอได้ทราบข่าวว่าพระเจ้าโจยอยถอดสุมาอี้ออกจากตำแหน่งทางทหาร และให้โจฮิวมาเป็นผู้รักษาเมืองเสเหลียงและชายแดนภาคตะวันตกก็มีความยินดีเป็นอันมาก รำพึงว่า “โจยอยแพ้กลเราแล้ว เราจะไปตีเอาเมืองลกเอี๋ยงให้จงได้”
ขงเบ้งเดินกลับเข้าไปที่ห้องหนังสือ แล้วแต่งฎีกาฉบับหนึ่งขอรับพระราชทานพระบรมราชานุญาตยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋ ความว่าข้าพระพุทธเจ้ามหาอุปราชจูกัดเหลียงขอกราบบังคมทูลพระกรุณาเพื่อทรงทราบว่า พระเจ้าเล่าปี่คิดจะรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง แต่ทำได้เพียงครึ่งทางก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน แผ่นดินยังคงแตกแยกเป็นสามก๊ก อันจ๊กก๊กของเรานี้เปรียบเทียบกับก๊กอื่นแล้วยังเล็กนัก เมืองเสฉวนเล่าก็มิได้อุดมสมบูรณ์พอที่จะตั้งเป็นเมืองหลวงถาวรได้ หาควรที่พระองค์จะนิ่งนอนพระทัยไม่ ภารกิจในการรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งซึ่งตกทอดมายังพระองค์ให้ข้าพระพุทธเจ้าสืบสานนั้นยังใหญ่หลวงนัก การแผ่นดินอันใหญ่หลวงจักสำเร็จได้ก็ด้วยการรู้จักส่งเสริมช่วงใช้ให้คนดีมีฝีมือมีอำนาจในบ้านเมือง กำจัดคนชั่วช้าเลวทรามออกไปจากวงจรแห่งอำนาจ ราชวงศ์ฮั่นเจริญรุ่งเรืองยาวนานในยุคต้น ก็เพราะดำเนินแนวทางปกครองดังกล่าวนี้ แต่ยุคหลังเสื่อมทรุดลงก็เพราะฝืนต่อแนวทางดังกล่าว ข้าพระพุทธเจ้าถวายความเห็นกับพระเจ้าเล่าปี่ในเรื่องนี้ครั้งใดก็ทรงทอดถอนพระทัยในพระจริยาวัตรของพระเจ้าเลนเต้และพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่เสพสุขหมกมุ่นอยู่กับเหล่าขันที ยกย่องฟังความเห็นของคนชั่วช้าเป็นหลักในการบริหารบ้านเมือง แผ่นดินจึงเป็นจลาจลอยู่จนถึงทุกวันนี้ กุยฮิวจี๋ บิฮุย ตันอุ๋น สามคนนี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ มีน้ำใจสนองพระคุณเจ้าโดยสุจริต ชอบที่พระองค์จะช่วงใช้ไว้ใจใกล้ชิด เอียทง ตันจิ๋น เจียวอ้วน สามคนนี้ก็เป็นขุนนางฝ่ายบู๊ มีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญ จงรักภักดี มีประสบการณ์ในราชการสงคราม ขุนนางฝ่ายทหารและพลเรือนรุ่นเก่าแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ล้วนมีประสบการณ์และซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยมาแต่ก่อน ควรที่พระองค์จะได้ทรงปรึกษาหารือเป็นเนืองนิจ ตัวข้าพระองค์นั้นเป็นชาวนาสามัญยากจนข้นแค้นแห่งเขาโงลังกั๋ง ไร้คุณค่าในสายตาผู้คน แต่พระเจ้าเล่าปี่ได้ถ่อมพระองค์เสด็จออกไปเชิญข้าพระพุทธเจ้าให้มาช่วยการแผ่นดินถึงกระท่อมน้อยถึงสามครั้งสามหน ทรงไว้วางพระราชหฤทัย แม้พลาดผิดสิ่งใดก็ไม่เคยเอาโทษ เป็นพระคุณล้นฟ้าเหนือเกล้าของข้าพระองค์ จึงตั้งหน้าถวายความจงรักภักดีจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ก่อนจะสวรรคตพระเจ้าเล่าปี่ก็ทรงฝากฝังการแผ่นดินให้ข้าพระพุทธเจ้าช่วยทำนุบำรุงพระองค์เสมอเหมือนดังแต่ก่อน สืบสานพระราชปณิธานกอบกู้พระราชวงศ์ฮั่นให้รุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้นอีกครั้งหนึ่ง บัดนี้หัวเมืองและชายแดนภาคใต้ราบคาบสงบสุขสันติเป็นปกติทุกประการแล้ว ได้เวลาอันสมควรที่จะดำเนินภารกิจที่มีเกียรติยิ่งใหญ่ตามที่ได้รับการฝากฝังจากพระเจ้าเล่าปี่ ข้าพระองค์จึงขอรับพระบรมราชานุญาตยกกองทัพไปตีวุยก๊ก เพื่อรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง พระองค์อยู่ข้างหลังขอได้โปรดเสวนาใกล้ชิดกับขุนนางผู้เป็นปราชญ์ อย่าเข้าใกล้เสวนากับเหล่าพาล ตามรอยพระบาทพระเจ้าเล่าปี่ บ้านเมืองก็จะร่มเย็นเป็นสุขสืบไป ขอได้โปรดพระราชทานพระบรมราชานุญาต.