ตอนที่ 505. เมฆหมอกที่บังตา
ขงเบ้งนำชัยชนะกลับคืนเมืองเสฉวนอย่างเอิกเกริกและได้นำของบรรณาการจากหัวเมืองซึ่งตีได้ถึงสามร้อยหัวเมืองขึ้นน้อมเกล้าถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยน และกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานยศและบำเหน็จแก่ทหาร ตลอดจนบุตรภรรยาของทหารซึ่งเสียชีวิตในสงคราม พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็โปรดพระราชทานตามขอทุกประการ
พระเจ้าเล่าเสี้ยนโปรดเกล้าพระราชทานยศและบำเหน็จแก่ทหารและบุตรภรรยาและครอบครัวของทหารซึ่งเสียชีวิตแล้ว ก็โปรดเกล้าให้จัดงานสันนิบาตสโมสรเลี้ยงฉลองชัยชนะแก่บรรดาทหารทั้งปวงด้วย
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “ทหารทั้งปวงก็มีความยินดี ตั้งใจทำราชการ ทำนุบำรุงพระเจ้าเล่าเสี้ยนโดยสุจริต”
ฝ่ายพระเจ้าโจผีซึ่งเสวยราชสมบัติอยู่ ณ เมืองฮูโต๋นั้น ครั้นได้เสวยราชย์แล้วทรงสถาปนานางเอียนซีซึ่งเป็นอดีตภรรยาของบุตรชายอ้วนเสี้ยว และได้รับอนุญาตจากโจโฉให้แต่งเป็นภรรยาตั้งแต่ครั้งที่โจโฉยกไปตีได้เมืองกิจิ๋ว ขึ้นเป็นที่พระมเหสี และมีพระราชโอรสองค์หนึ่งชื่อว่าโจยอย ต่อมาก็ทรงสถาปนานางกุยฮุยซึ่งเป็นบุตรีของกุยเฮงขุนนางขึ้นเป็นที่พระสนมเอก
พระนางกุยฮุยเป็นสตรีโฉมสะคราญ จึงเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าโจผี และได้รับพระราชทานข้าวของบำเหน็จ ตลอดจนข้าทาสบริวารเป็นอันมาก ฝ่ายกุยเฮงผู้เป็นพ่อตาของพระเจ้าโจผีก็มีความคิดกำเริบขึ้น ปรารถนาจะให้บุตรีของตนได้เป็นที่พระมเหสีแทนพระนางเอียนซี เพื่อหวังจะได้อาศัยใบบุญของบุตรีมีอำนาจวาสนาขึ้นในบ้านเมือง
วันหนึ่งกุยเฮงได้คิดว่าซึ่งจะคิดการใหญ่ทั้งนี้ หากไม่มีขันทีคนใกล้ชิดของพระเจ้าโจผีร่วมมือด้วยแล้วย่อมยากจะสำเร็จได้ เพราะการตัดสินใจใด ๆ ของผู้เป็นใหญ่ในบ้านเมืองนั้น แม้รูปการภายนอกจะเป็นอำนาจสิทธิขาดของผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ก็จริงอยู่ แต่ความคิดเห็นของผู้คนซึ่งใกล้ชิดก็มีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจของผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์นั้น บางครั้งยังมีฐานะที่สำคัญยิ่งกว่าความคิดเห็นของผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์เองเสียอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมจำเป็นที่จะต้องมีขันทีซึ่งเป็นที่ใกล้ชิดไว้วางพระราชหฤทัยของพระเจ้าโจผีร่วมคิดการจึงจะสำเร็จ กุยเฮงได้ไตร่ตรองดูแล้วเห็นว่าเตียวโถเป็นขันทีที่มีความเฉลียวฉลาดและหลักแหลมในการเพ็ดทูล จึงตัดสินใจเลือกเอาเตียวโถเข้าร่วมการ
กุยเฮงจึงไปปรึกษาหารือชักชวนให้เตียวโถขันทีเข้าร่วมขบวนการด้วย โดยเสนอผลประโยชน์และอำนาจวาสนาที่จะได้มาหลังจากพระนางกุยฮุยได้รับสถาปนาเป็นพระมเหสีแล้วแก่เตียวโถ เตียวโถซึ่งเป็นขันทีผู้มากด้วยความโลภในยศศักดิ์วาสนา ได้ฟังข้อเสนอของกุยเฮงตลอดจนไตร่ตรองดูลู่ทางความเป็นไปได้แล้วก็ตอบตกลง กล่าวกับกุยเฮงว่าเรื่องเพียงเท่านี้ท่านอย่าได้วิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดอ่านให้พระเจ้าโจผีโปรดเกล้าสถาปนาให้พระนางกุยฮุยเป็นที่พระมเหสีเอง ขอท่านได้จำคำมั่นสัญญาในวันนี้ไว้ให้มั่นคง
กุยเฮงได้ยินคำยืนยันของเตียวโถก็มีความยินดี คำนับขอบคุณเตียวโถแล้วว่าพระคุณของท่านครั้งนี้มีแก่ตระกูลกุยท่วมท้นนัก การสำเร็จแล้วจักไม่มีวันลืมพระคุณ ขอท่านได้ถือว่าการทั้งนี้เราต่างเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กันและกัน แล้วช่วยกันทำนุบำรุงเพื่อความรุ่งเรืองของเราสืบไป
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยหกสิบเก้าพรรษา เดือนหก พระเจ้าโจผีทรงพระประชวร เตียวโถเห็นเป็นโอกาสที่จะทำการตามแผนการจึงไปหากุยเฮงที่จวน แล้วแจ้งว่าครั้งนี้พระเจ้าโจผีทรงพระประชวร เป็นทีที่จะทำการตามแผนการให้สำเร็จแล้ว
กุยเฮงได้ฟังดังนั้นจึงถามว่าท่านกงกงมีแผนการประการใด เตียวโถจึงว่าพระเจ้าโจผีมีความเชื่อเรื่องคุณไสยและภูตผีปีศาจ ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายทำเป็นหุ่นคู่พระเจ้าโจผีและพระนางเอียนซีพระมเหสี เขียนชื่อของพระเจ้าโจผีและพระนางเอียนซีไว้ที่หุ่นนั้นนำไปฝังไว้ใต้พระตำหนักที่ประทับของพระนางเอียนซี เมื่อความปรากฏขึ้นว่าพระนางเอียนซีทำคุณไสยจนเป็นเหตุให้พระเจ้าโจผีทรงพระประชวร ความร้ายนั้นก็จะตกอยู่แก่พระนางเอียนซี และมีโทษสถานหนักถึงประหารชีวิต เมื่อพระนางเอียนซีถูกประหารชีวิตแล้ว พระเจ้าโจผีก็จะโปรดเกล้าสถาปนาพระนางกุยฮุยเป็นที่พระมเหสี
กุยเฮงได้ฟังแผนการอันลึกซึ้งก็เห็นชอบ เตียวโถจึงปั้นหุ่นคู่และทำการตามแผนการที่ได้ตกลงกันไว้กับกุยเฮงทุกประการ
ครั้นทำการฝังหุ่นตามแผนการเสร็จแล้ว เตียวโถจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าโจผี แล้วกราบทูลว่าซึ่งพระองค์ทรงพระประชวรในครั้งนี้ ข้าพระองค์ได้ไปสอบถามความจากนักพรตแล้ว แจ้งว่าหาได้ทรงพระประชวรเพราะสุขภาพอนามัยแต่ประการใดไม่ หากเกิดแต่การทำคุณไสยที่มุ่งหมายให้พระองค์เสด็จสวรรคต
พระเจ้าโจผีได้ฟังคำเตียวโถดังนั้นก็ทรงเชื่อ จึงตรัสว่าตัวเราก็แปลกใจว่าไฉนอายุเราก็อยู่ในวัยฉกรรจ์จึงมาป่วยเจ็บดังนี้ ท่านกล่าวความดังกล่าวต้องด้วยความสงสัยของเรา แต่ใครเล่าที่บังอาจคิดร้ายต่อตัวเราถึงปานนี้
เตียวโถจึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์ก็ไม่คาดคิดว่าจะเป็นไปได้ แต่วิชาคุณไสยนั้นลี้ลับ ข้าพระองค์ก็ไม่มั่นใจว่าจะเป็นจริงดังคำนักพรตหรือไม่ จึงยังไม่กล้ากราบบังคมทูลด้วยเกรงพระราชอาญา
พระเจ้าโจผีได้ฟังดังนั้นก็ทรงสงสัยว่าจะเป็นความใหญ่หลวง เพราะหากผู้คิดร้ายเป็นเพียงขุนนางธรรมดา ไหนเลยเตียวโถจะไม่กล้ากราบบังคมทูล จึงพยุงพระองค์ลุกขึ้นจากพระที่แล้วตรัสถามเร่งรัดแก่เตียวโถว่า เจ้าทราบความประการใด ให้แจ้งแก่เรา เราจะไม่เอาโทษ
เตียวโถได้ฟังดังนั้นก็คุกเข่าถวายบังคมอยู่กับพื้น แล้วกราบบังคมทูลว่านักพรตได้บอกว่า การทำคุณไสยครั้งนี้ได้ฝังหุ่นคู่ไว้ที่ใต้พระตำหนักของพระนางเอียนซี ขอได้ทรงพระราชทานอภัยโทษแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด
พระเจ้าโจผีได้ฟังดังนั้นก็ทรงคิดว่าชะรอยพระนางเอียนซีจะไม่พอพระทัยที่พระองค์ได้สถาปนาพระนางกุยฮุยเป็นที่พระสนมเอก จึงคิดการร้ายหมายให้สิ้นพระชนม์เพื่อที่โจยอยราชบุตรจะได้ขึ้นครองราชย์ แล้วพระนางจะทรงอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว เมื่อทรงคิดเช่นนั้นแล้วน้ำพระทัยก็โน้มไปในทางเชื่อคำของเตียวโถ จึงตรัสสั่งให้เตียวโถคุมทหารมหาดเล็กไปขุดค้นบริเวณใต้พระตำหนักของพระนางเอียนซี
เตียวโถแสร้งทำเป็นไม่กล้าเพราะการค้นพระตำหนักพระมเหสีนั้นผิดกฎมณเฑียรบาล มีโทษฐานประหารชีวิตเพียงสถานเดียว พระเจ้าโจผีจึงโปรดให้ตราพระบรมราชโองการให้เตียวโถเชิญพระบรมราชโองการนั้นไปดำเนินการตามรับสั่ง
เตียวโถได้รับพระบรมราชโองการแล้วก็มีความยินดี นำขันทีและทหารมหาดเล็กไปที่พระตำหนักของพระนางเอียนซี แล้วอ่านประกาศพระบรมราชโองการของพระเจ้าโจผีให้พระนางเอียนซีรับทราบ
พระนางเอียนซีไม่ทราบความก็แปลกพระทัย แต่เมื่อเป็นพระราชประสงค์จึงมีพระราชเสาวนีย์ให้เตียวโถทำการขุดค้นได้
เตียวโถพาคณะตรวจตราดูบริเวณพระตำหนักที่ประทับจนมาถึงที่ซึ่งได้ฝังหุ่นไว้ ก็เห็นร่องรอยปรากฏว่ามีรอยขุด จึงสั่งทหารให้ขุดค้นบริเวณนั้น ก็พบหุ่นคู่เป็นรูปคนสองคนประกบกัน มีตัวหนังสือจารึกอยู่ที่หุ่นผู้ชายว่าโจผี และมีตัวหนังสือจารึกอยู่ที่หุ่นผู้หญิงว่าเอียนซี มีกระดาษยันตร์ห่อหุ้มหุ่นทั้งคู่นี้ไว้ จึงเอาหุ่นนั้นเข้าไปถวายพระเจ้าโจผี
ฝ่ายพระเจ้าโจผีหลังจากพระราชทานพระบรมราชโองการให้เตียวโถแล้วก็ทรงเชื่อว่าเหตุที่ทรงพระประชวรเป็นเพราะการทำคุณไสย จึงโกรธแค้นพระนางเอียนซีเป็นอันมาก เสด็จประทับนั่งรอคอยผลการตรวจค้นอยู่ ในพระทัยก็ทรงคิดว่าถ้ามาตรแม้นพระนางเอียนซีคิดเอาชีวิตเราด้วยไสยศาสตร์แล้ว เราก็จะประหารชีวิตนางเสียก่อนโรคเราก็จะหาย
ครั้นพระเจ้าโจผีทอดพระเนตรเห็นเตียวโถนำหุ่นคู่เข้ามาถวาย และรับฟังคำกราบบังคมทูลรายงานของเตียวโถแล้วก็ทรงปักใจเชื่อว่าพระนางเอียนซีคิดร้ายต่อพระองค์ ทำคุณไสยให้ทรงพระประชวร และเสด็จสวรรคตเพื่อที่โจยอยราชบุตรจะได้ขึ้นครองราชย์ จึงโปรดเกล้าให้ทหารไปควบคุมตัวพระนางเอียนซีแล้วถอดออกจากที่พระมเหสี และให้สำเร็จโทษเสียแต่ในวันนั้น
หลังจากประหารชีวิตพระนางเอียนซีแล้วเตียวโถจึงกราบบังคมทูลพระเจ้าโจผีว่าอันตำแหน่งฮองเฮานั้นเป็นตำแหน่งสำคัญ เป็นความสมบูรณ์พูนสุขของบ้านเมือง หากว่างเว้นอยู่นานไปก็จะทำให้ราษฎรเสียขวัญและกำลังใจ ขอได้ทรงโปรดสถาปนาพระสนมเอกขึ้นเป็นที่พระมเหสีเถิด
พระเจ้าโจผีได้ฟังคำกราบบังคมทูลก็ทรงเห็นชอบ จึงโปรดเกล้าให้สถาปนาพระนางกุยฮุยพระสนมเอกขึ้นเป็นที่ฮองเฮาตั้งแต่บัดนั้น
พระนางกุยฮุยได้รับสถาปนาเป็นพระมเหสีแล้ว ก็ทรงพระวิตกว่าพระนางเองแม้จะมีรูปโฉมสะคราญและได้เป็นพระสนมเอกของพระเจ้าโจผีมาช้านานแล้วแต่ก็ไม่มีบุตรด้วยกัน หากนานวันไปพระเจ้าโจผีก็จะมีน้ำพระทัยเอนเอียงหาสตรีอื่นมาเป็นพระสนมเอก ทำให้เกิดการแก่งแย่งแข่งขันชิงอำนาจข้างฝ่ายในราชสำนักต่อไปอีก ทั้งบัดนี้ราชโอรสโจยอยก็เจริญพระชนม์ได้สิบห้าพรรษา รอบรู้ศิลปศาสตร์ ชำนาญในการทหารและการใช้อาวุธทั้งปวง วันหนึ่งก็จะได้เป็นรัชทายาทแล้วครองราชสมบัติ หากเรารับเอาโจยอยมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ทำคุณไว้กับโจยอยเสียตั้งแต่บัดนี้ โจยอยเป็นฮ่องเต้ขึ้นวันใดตัวเราก็จะได้เป็นที่ฮองไทเฮาหรือพระราชชนนีวันนั้น เป็นทั้งการป้องกันคู่แข่งและเป็นทั้งการปูลู่ทางสู่อำนาจยิ่งใหญ่ในวันหน้า เมื่อดำริดังนี้แล้วพระมเหสีกุยฮุยจึงเข้าไปกราบบังคมทูลพระเจ้าโจผีขอรับเอาโจยอยราชบุตรเป็นบุตรบุญธรรมของพระนาง
พระเจ้าโจผีเห็นนางผู้เป็นแม่เลี้ยงมีน้ำใจเมตตาต่อผู้เป็นลูกเลี้ยงผิดจากคนทั้งปวงก็มีความยินดี สรรเสริญน้ำใจของพระนางกุยฮุยเป็นอันมากและโปรดเกล้าพระราชทานให้พระราชบุตรโจยอยเป็นบุตรบุญธรรมของพระนางกุยฮุยตั้งแต่บัดนั้นมา
เดือนหกข้างแรมของปีเดียวกันนั้น พระเจ้าโจผีค่อยทุเลาจากอาการพระประชวร จึงมีพระราชประสงค์จะเสด็จประพาสป่าล่าสัตว์เพื่อหวังให้หายจากพระประชวรโดยเร็วและเพื่อบำรุงน้ำใจทหารทั้งปวงว่าฮ่องเต้ยังมีพระพลานามัยอันแข็งแรงสมบูรณ์ จึงโปรดเกล้าให้จัดขบวนเสด็จประพาสป่าล่าสัตว์ และตรัสชวนให้พระราชบุตรโจยอยร่วมขบวนไปด้วยเพื่อจะได้ทรงทอดพระเนตรถึงวิทยาการที่พระราชบุตรโจยอยได้ทรงเล่าเรียนมา
ครั้นขบวนประพาสป่าล่าสัตว์ยกไปถึงทุ่งราบซึ่งจัดเตรียมไว้ตามประเพณี เจ้าพนักงานก็ต้อนฝูงกวางและเก้งให้วิ่งผ่านหน้าพลับพลาพระที่นั่ง
พระเจ้าโจผีทอดพระเนตรเห็นกวางแม่ลูกกำลังวิ่งผ่านมาหน้าพระที่นั่ง จึงทรงพระแสงเกาทัณฑ์ยิงไปที่แม่กวางถูกที่คอล้มลงถึงแก่ความตาย ลูกน้อยเห็นแม่กวางล้มลงก็วิ่งเข้าไปหาแม่ พระเจ้าโจผีทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงตรัสสั่งให้โจยอยยิงลูกกวางตัวนั้น
พระราชบุตรโจยอยทอดพระเนตรเห็นลูกกวางน้อยดมดอมอยู่ที่ซากแม่ก็มีน้ำพระทัยสงสาร ไม่อาจตัดพระทัยยิงลูกกวางได้ จึงทรงวางเกาทัณฑ์และนิ่งอึ้งอยู่
พระเจ้าโจผีเห็นดังนั้นจึงตรัสถามว่า เหตุไฉนเจ้าจึงไม่ยิงลูกกวางเล่า
พระราชบุตรโจยอยจึงกราบทูลว่า “เนื้อสองตัวแม่ลูก พระองค์ยิงแม่นั้นตายแล้ว ข้าพเจ้าเห็นลูกเนื้อเป็นกำพร้า คิดสงสารนักจึงมิได้ทำอันตราย”
ในขณะที่พระเจ้าโจผีตรัสถามพระราชบุตรโจยอยก็ทรงเล็งเกาทัณฑ์จะยิงลูกกวาง แต่พอได้ฟังคำกราบบังคมทูลของโจยอยราชบุตร ก็ทรงรำลึกถึงชะตาชีวิตของพระราชบุตรว่าเป็นกำพร้าแม่เหมือนกับลูกกวางตัวนี้ เพราะพระนางเอียนซีผู้เป็นพระมารดาก็ถูกลงโทษประหารไปแล้ว จึงทรงสังเวชพระทัย สงสารโจยอยราชบุตรเป็นอันมาก จากนั้นจึงทรงวางเกาทัณฑ์ลง.
พระเจ้าเล่าเสี้ยนโปรดเกล้าพระราชทานยศและบำเหน็จแก่ทหารและบุตรภรรยาและครอบครัวของทหารซึ่งเสียชีวิตแล้ว ก็โปรดเกล้าให้จัดงานสันนิบาตสโมสรเลี้ยงฉลองชัยชนะแก่บรรดาทหารทั้งปวงด้วย
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “ทหารทั้งปวงก็มีความยินดี ตั้งใจทำราชการ ทำนุบำรุงพระเจ้าเล่าเสี้ยนโดยสุจริต”
ฝ่ายพระเจ้าโจผีซึ่งเสวยราชสมบัติอยู่ ณ เมืองฮูโต๋นั้น ครั้นได้เสวยราชย์แล้วทรงสถาปนานางเอียนซีซึ่งเป็นอดีตภรรยาของบุตรชายอ้วนเสี้ยว และได้รับอนุญาตจากโจโฉให้แต่งเป็นภรรยาตั้งแต่ครั้งที่โจโฉยกไปตีได้เมืองกิจิ๋ว ขึ้นเป็นที่พระมเหสี และมีพระราชโอรสองค์หนึ่งชื่อว่าโจยอย ต่อมาก็ทรงสถาปนานางกุยฮุยซึ่งเป็นบุตรีของกุยเฮงขุนนางขึ้นเป็นที่พระสนมเอก
พระนางกุยฮุยเป็นสตรีโฉมสะคราญ จึงเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าโจผี และได้รับพระราชทานข้าวของบำเหน็จ ตลอดจนข้าทาสบริวารเป็นอันมาก ฝ่ายกุยเฮงผู้เป็นพ่อตาของพระเจ้าโจผีก็มีความคิดกำเริบขึ้น ปรารถนาจะให้บุตรีของตนได้เป็นที่พระมเหสีแทนพระนางเอียนซี เพื่อหวังจะได้อาศัยใบบุญของบุตรีมีอำนาจวาสนาขึ้นในบ้านเมือง
วันหนึ่งกุยเฮงได้คิดว่าซึ่งจะคิดการใหญ่ทั้งนี้ หากไม่มีขันทีคนใกล้ชิดของพระเจ้าโจผีร่วมมือด้วยแล้วย่อมยากจะสำเร็จได้ เพราะการตัดสินใจใด ๆ ของผู้เป็นใหญ่ในบ้านเมืองนั้น แม้รูปการภายนอกจะเป็นอำนาจสิทธิขาดของผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ก็จริงอยู่ แต่ความคิดเห็นของผู้คนซึ่งใกล้ชิดก็มีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจของผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์นั้น บางครั้งยังมีฐานะที่สำคัญยิ่งกว่าความคิดเห็นของผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์เองเสียอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมจำเป็นที่จะต้องมีขันทีซึ่งเป็นที่ใกล้ชิดไว้วางพระราชหฤทัยของพระเจ้าโจผีร่วมคิดการจึงจะสำเร็จ กุยเฮงได้ไตร่ตรองดูแล้วเห็นว่าเตียวโถเป็นขันทีที่มีความเฉลียวฉลาดและหลักแหลมในการเพ็ดทูล จึงตัดสินใจเลือกเอาเตียวโถเข้าร่วมการ
กุยเฮงจึงไปปรึกษาหารือชักชวนให้เตียวโถขันทีเข้าร่วมขบวนการด้วย โดยเสนอผลประโยชน์และอำนาจวาสนาที่จะได้มาหลังจากพระนางกุยฮุยได้รับสถาปนาเป็นพระมเหสีแล้วแก่เตียวโถ เตียวโถซึ่งเป็นขันทีผู้มากด้วยความโลภในยศศักดิ์วาสนา ได้ฟังข้อเสนอของกุยเฮงตลอดจนไตร่ตรองดูลู่ทางความเป็นไปได้แล้วก็ตอบตกลง กล่าวกับกุยเฮงว่าเรื่องเพียงเท่านี้ท่านอย่าได้วิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดอ่านให้พระเจ้าโจผีโปรดเกล้าสถาปนาให้พระนางกุยฮุยเป็นที่พระมเหสีเอง ขอท่านได้จำคำมั่นสัญญาในวันนี้ไว้ให้มั่นคง
กุยเฮงได้ยินคำยืนยันของเตียวโถก็มีความยินดี คำนับขอบคุณเตียวโถแล้วว่าพระคุณของท่านครั้งนี้มีแก่ตระกูลกุยท่วมท้นนัก การสำเร็จแล้วจักไม่มีวันลืมพระคุณ ขอท่านได้ถือว่าการทั้งนี้เราต่างเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กันและกัน แล้วช่วยกันทำนุบำรุงเพื่อความรุ่งเรืองของเราสืบไป
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยหกสิบเก้าพรรษา เดือนหก พระเจ้าโจผีทรงพระประชวร เตียวโถเห็นเป็นโอกาสที่จะทำการตามแผนการจึงไปหากุยเฮงที่จวน แล้วแจ้งว่าครั้งนี้พระเจ้าโจผีทรงพระประชวร เป็นทีที่จะทำการตามแผนการให้สำเร็จแล้ว
กุยเฮงได้ฟังดังนั้นจึงถามว่าท่านกงกงมีแผนการประการใด เตียวโถจึงว่าพระเจ้าโจผีมีความเชื่อเรื่องคุณไสยและภูตผีปีศาจ ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายทำเป็นหุ่นคู่พระเจ้าโจผีและพระนางเอียนซีพระมเหสี เขียนชื่อของพระเจ้าโจผีและพระนางเอียนซีไว้ที่หุ่นนั้นนำไปฝังไว้ใต้พระตำหนักที่ประทับของพระนางเอียนซี เมื่อความปรากฏขึ้นว่าพระนางเอียนซีทำคุณไสยจนเป็นเหตุให้พระเจ้าโจผีทรงพระประชวร ความร้ายนั้นก็จะตกอยู่แก่พระนางเอียนซี และมีโทษสถานหนักถึงประหารชีวิต เมื่อพระนางเอียนซีถูกประหารชีวิตแล้ว พระเจ้าโจผีก็จะโปรดเกล้าสถาปนาพระนางกุยฮุยเป็นที่พระมเหสี
กุยเฮงได้ฟังแผนการอันลึกซึ้งก็เห็นชอบ เตียวโถจึงปั้นหุ่นคู่และทำการตามแผนการที่ได้ตกลงกันไว้กับกุยเฮงทุกประการ
ครั้นทำการฝังหุ่นตามแผนการเสร็จแล้ว เตียวโถจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าโจผี แล้วกราบทูลว่าซึ่งพระองค์ทรงพระประชวรในครั้งนี้ ข้าพระองค์ได้ไปสอบถามความจากนักพรตแล้ว แจ้งว่าหาได้ทรงพระประชวรเพราะสุขภาพอนามัยแต่ประการใดไม่ หากเกิดแต่การทำคุณไสยที่มุ่งหมายให้พระองค์เสด็จสวรรคต
พระเจ้าโจผีได้ฟังคำเตียวโถดังนั้นก็ทรงเชื่อ จึงตรัสว่าตัวเราก็แปลกใจว่าไฉนอายุเราก็อยู่ในวัยฉกรรจ์จึงมาป่วยเจ็บดังนี้ ท่านกล่าวความดังกล่าวต้องด้วยความสงสัยของเรา แต่ใครเล่าที่บังอาจคิดร้ายต่อตัวเราถึงปานนี้
เตียวโถจึงกราบทูลว่า ข้าพระองค์ก็ไม่คาดคิดว่าจะเป็นไปได้ แต่วิชาคุณไสยนั้นลี้ลับ ข้าพระองค์ก็ไม่มั่นใจว่าจะเป็นจริงดังคำนักพรตหรือไม่ จึงยังไม่กล้ากราบบังคมทูลด้วยเกรงพระราชอาญา
พระเจ้าโจผีได้ฟังดังนั้นก็ทรงสงสัยว่าจะเป็นความใหญ่หลวง เพราะหากผู้คิดร้ายเป็นเพียงขุนนางธรรมดา ไหนเลยเตียวโถจะไม่กล้ากราบบังคมทูล จึงพยุงพระองค์ลุกขึ้นจากพระที่แล้วตรัสถามเร่งรัดแก่เตียวโถว่า เจ้าทราบความประการใด ให้แจ้งแก่เรา เราจะไม่เอาโทษ
เตียวโถได้ฟังดังนั้นก็คุกเข่าถวายบังคมอยู่กับพื้น แล้วกราบบังคมทูลว่านักพรตได้บอกว่า การทำคุณไสยครั้งนี้ได้ฝังหุ่นคู่ไว้ที่ใต้พระตำหนักของพระนางเอียนซี ขอได้ทรงพระราชทานอภัยโทษแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด
พระเจ้าโจผีได้ฟังดังนั้นก็ทรงคิดว่าชะรอยพระนางเอียนซีจะไม่พอพระทัยที่พระองค์ได้สถาปนาพระนางกุยฮุยเป็นที่พระสนมเอก จึงคิดการร้ายหมายให้สิ้นพระชนม์เพื่อที่โจยอยราชบุตรจะได้ขึ้นครองราชย์ แล้วพระนางจะทรงอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว เมื่อทรงคิดเช่นนั้นแล้วน้ำพระทัยก็โน้มไปในทางเชื่อคำของเตียวโถ จึงตรัสสั่งให้เตียวโถคุมทหารมหาดเล็กไปขุดค้นบริเวณใต้พระตำหนักของพระนางเอียนซี
เตียวโถแสร้งทำเป็นไม่กล้าเพราะการค้นพระตำหนักพระมเหสีนั้นผิดกฎมณเฑียรบาล มีโทษฐานประหารชีวิตเพียงสถานเดียว พระเจ้าโจผีจึงโปรดให้ตราพระบรมราชโองการให้เตียวโถเชิญพระบรมราชโองการนั้นไปดำเนินการตามรับสั่ง
เตียวโถได้รับพระบรมราชโองการแล้วก็มีความยินดี นำขันทีและทหารมหาดเล็กไปที่พระตำหนักของพระนางเอียนซี แล้วอ่านประกาศพระบรมราชโองการของพระเจ้าโจผีให้พระนางเอียนซีรับทราบ
พระนางเอียนซีไม่ทราบความก็แปลกพระทัย แต่เมื่อเป็นพระราชประสงค์จึงมีพระราชเสาวนีย์ให้เตียวโถทำการขุดค้นได้
เตียวโถพาคณะตรวจตราดูบริเวณพระตำหนักที่ประทับจนมาถึงที่ซึ่งได้ฝังหุ่นไว้ ก็เห็นร่องรอยปรากฏว่ามีรอยขุด จึงสั่งทหารให้ขุดค้นบริเวณนั้น ก็พบหุ่นคู่เป็นรูปคนสองคนประกบกัน มีตัวหนังสือจารึกอยู่ที่หุ่นผู้ชายว่าโจผี และมีตัวหนังสือจารึกอยู่ที่หุ่นผู้หญิงว่าเอียนซี มีกระดาษยันตร์ห่อหุ้มหุ่นทั้งคู่นี้ไว้ จึงเอาหุ่นนั้นเข้าไปถวายพระเจ้าโจผี
ฝ่ายพระเจ้าโจผีหลังจากพระราชทานพระบรมราชโองการให้เตียวโถแล้วก็ทรงเชื่อว่าเหตุที่ทรงพระประชวรเป็นเพราะการทำคุณไสย จึงโกรธแค้นพระนางเอียนซีเป็นอันมาก เสด็จประทับนั่งรอคอยผลการตรวจค้นอยู่ ในพระทัยก็ทรงคิดว่าถ้ามาตรแม้นพระนางเอียนซีคิดเอาชีวิตเราด้วยไสยศาสตร์แล้ว เราก็จะประหารชีวิตนางเสียก่อนโรคเราก็จะหาย
ครั้นพระเจ้าโจผีทอดพระเนตรเห็นเตียวโถนำหุ่นคู่เข้ามาถวาย และรับฟังคำกราบบังคมทูลรายงานของเตียวโถแล้วก็ทรงปักใจเชื่อว่าพระนางเอียนซีคิดร้ายต่อพระองค์ ทำคุณไสยให้ทรงพระประชวร และเสด็จสวรรคตเพื่อที่โจยอยราชบุตรจะได้ขึ้นครองราชย์ จึงโปรดเกล้าให้ทหารไปควบคุมตัวพระนางเอียนซีแล้วถอดออกจากที่พระมเหสี และให้สำเร็จโทษเสียแต่ในวันนั้น
หลังจากประหารชีวิตพระนางเอียนซีแล้วเตียวโถจึงกราบบังคมทูลพระเจ้าโจผีว่าอันตำแหน่งฮองเฮานั้นเป็นตำแหน่งสำคัญ เป็นความสมบูรณ์พูนสุขของบ้านเมือง หากว่างเว้นอยู่นานไปก็จะทำให้ราษฎรเสียขวัญและกำลังใจ ขอได้ทรงโปรดสถาปนาพระสนมเอกขึ้นเป็นที่พระมเหสีเถิด
พระเจ้าโจผีได้ฟังคำกราบบังคมทูลก็ทรงเห็นชอบ จึงโปรดเกล้าให้สถาปนาพระนางกุยฮุยพระสนมเอกขึ้นเป็นที่ฮองเฮาตั้งแต่บัดนั้น
พระนางกุยฮุยได้รับสถาปนาเป็นพระมเหสีแล้ว ก็ทรงพระวิตกว่าพระนางเองแม้จะมีรูปโฉมสะคราญและได้เป็นพระสนมเอกของพระเจ้าโจผีมาช้านานแล้วแต่ก็ไม่มีบุตรด้วยกัน หากนานวันไปพระเจ้าโจผีก็จะมีน้ำพระทัยเอนเอียงหาสตรีอื่นมาเป็นพระสนมเอก ทำให้เกิดการแก่งแย่งแข่งขันชิงอำนาจข้างฝ่ายในราชสำนักต่อไปอีก ทั้งบัดนี้ราชโอรสโจยอยก็เจริญพระชนม์ได้สิบห้าพรรษา รอบรู้ศิลปศาสตร์ ชำนาญในการทหารและการใช้อาวุธทั้งปวง วันหนึ่งก็จะได้เป็นรัชทายาทแล้วครองราชสมบัติ หากเรารับเอาโจยอยมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ทำคุณไว้กับโจยอยเสียตั้งแต่บัดนี้ โจยอยเป็นฮ่องเต้ขึ้นวันใดตัวเราก็จะได้เป็นที่ฮองไทเฮาหรือพระราชชนนีวันนั้น เป็นทั้งการป้องกันคู่แข่งและเป็นทั้งการปูลู่ทางสู่อำนาจยิ่งใหญ่ในวันหน้า เมื่อดำริดังนี้แล้วพระมเหสีกุยฮุยจึงเข้าไปกราบบังคมทูลพระเจ้าโจผีขอรับเอาโจยอยราชบุตรเป็นบุตรบุญธรรมของพระนาง
พระเจ้าโจผีเห็นนางผู้เป็นแม่เลี้ยงมีน้ำใจเมตตาต่อผู้เป็นลูกเลี้ยงผิดจากคนทั้งปวงก็มีความยินดี สรรเสริญน้ำใจของพระนางกุยฮุยเป็นอันมากและโปรดเกล้าพระราชทานให้พระราชบุตรโจยอยเป็นบุตรบุญธรรมของพระนางกุยฮุยตั้งแต่บัดนั้นมา
เดือนหกข้างแรมของปีเดียวกันนั้น พระเจ้าโจผีค่อยทุเลาจากอาการพระประชวร จึงมีพระราชประสงค์จะเสด็จประพาสป่าล่าสัตว์เพื่อหวังให้หายจากพระประชวรโดยเร็วและเพื่อบำรุงน้ำใจทหารทั้งปวงว่าฮ่องเต้ยังมีพระพลานามัยอันแข็งแรงสมบูรณ์ จึงโปรดเกล้าให้จัดขบวนเสด็จประพาสป่าล่าสัตว์ และตรัสชวนให้พระราชบุตรโจยอยร่วมขบวนไปด้วยเพื่อจะได้ทรงทอดพระเนตรถึงวิทยาการที่พระราชบุตรโจยอยได้ทรงเล่าเรียนมา
ครั้นขบวนประพาสป่าล่าสัตว์ยกไปถึงทุ่งราบซึ่งจัดเตรียมไว้ตามประเพณี เจ้าพนักงานก็ต้อนฝูงกวางและเก้งให้วิ่งผ่านหน้าพลับพลาพระที่นั่ง
พระเจ้าโจผีทอดพระเนตรเห็นกวางแม่ลูกกำลังวิ่งผ่านมาหน้าพระที่นั่ง จึงทรงพระแสงเกาทัณฑ์ยิงไปที่แม่กวางถูกที่คอล้มลงถึงแก่ความตาย ลูกน้อยเห็นแม่กวางล้มลงก็วิ่งเข้าไปหาแม่ พระเจ้าโจผีทอดพระเนตรเห็นดังนั้นจึงตรัสสั่งให้โจยอยยิงลูกกวางตัวนั้น
พระราชบุตรโจยอยทอดพระเนตรเห็นลูกกวางน้อยดมดอมอยู่ที่ซากแม่ก็มีน้ำพระทัยสงสาร ไม่อาจตัดพระทัยยิงลูกกวางได้ จึงทรงวางเกาทัณฑ์และนิ่งอึ้งอยู่
พระเจ้าโจผีเห็นดังนั้นจึงตรัสถามว่า เหตุไฉนเจ้าจึงไม่ยิงลูกกวางเล่า
พระราชบุตรโจยอยจึงกราบทูลว่า “เนื้อสองตัวแม่ลูก พระองค์ยิงแม่นั้นตายแล้ว ข้าพเจ้าเห็นลูกเนื้อเป็นกำพร้า คิดสงสารนักจึงมิได้ทำอันตราย”
ในขณะที่พระเจ้าโจผีตรัสถามพระราชบุตรโจยอยก็ทรงเล็งเกาทัณฑ์จะยิงลูกกวาง แต่พอได้ฟังคำกราบบังคมทูลของโจยอยราชบุตร ก็ทรงรำลึกถึงชะตาชีวิตของพระราชบุตรว่าเป็นกำพร้าแม่เหมือนกับลูกกวางตัวนี้ เพราะพระนางเอียนซีผู้เป็นพระมารดาก็ถูกลงโทษประหารไปแล้ว จึงทรงสังเวชพระทัย สงสารโจยอยราชบุตรเป็นอันมาก จากนั้นจึงทรงวางเกาทัณฑ์ลง.