ตอนที่ 504. คนหลอกผี
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยหกสิบแปดพรรษา เดือนยี่ ข้างแรม ขงเบ้งสยบเบ้งเฮ็กได้ทั้งกายและใจ ให้โอวาทในการปกครองบ้านเมืองและราษฎรให้เป็นสุขแล้วจึงเลิกทัพจะกลับไปเมืองเสฉวน ในขณะที่เดินทัพถึงแม่น้ำลกซุยก็ถูกภูตผีหลอกหลอนจนเกิดวิปริตอาเพศไม่สามารถข้ามแม่น้ำลกซุยได้
ขงเบ้งยืนเพ่งพินิจอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำลกซุยด้วยใจที่เป็นสมาธิมั่นอยู่พักใหญ่จึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พลางรำพึงแต่แผ่วเบาว่า จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรและกรรมซึ่งกันและกันเลย จงรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ ครู่หนึ่งขงเบ้งจึงเดินกลับไปที่ค่ายพัก
รุ่งขึ้นเช้าขงเบ้งจึงให้หาชาวบ้านในแถบนั้นมาไต่ถามอีกว่า ซึ่งความวิปริตที่แม่น้ำลกซุยนี้มีมาแต่เหตุประการใด
ชาวบ้านได้กล่าวตรงกันว่า นับตั้งแต่วันที่มหาอุปราชยกกองทัพข้ามแม่น้ำลกซุยไปแล้ว ก็เกิดเหตุอาเพศดังที่เห็นนี้ตลอดมาติดต่อทุกวัน ราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อน ไม่อาจข้ามแม่น้ำหรือทำมาหากินจับปูปลาในแม่น้ำได้เลย
ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งเกิดอาเพศฉะนี้เป็นเพราะความประมาทพลั้งพลาดของเราเอง “เมื่อครั้งเราให้ม้าต้ายคุมทหารพันหนึ่งยกมานั้น ทหารทั้งปวงก็ตายอยู่ในแม่น้ำนี้สิ้น แล้วเมื่อทำศึกอยู่นั้น ทหารเบ้งเฮ็กก็ล้มตายอยู่ในที่นี้เป็นอันมาก ปีศาจทั้งปวงผูกเวรเรา จึงบันดาลให้เป็นเหตุต่าง ๆ เราจะคิดอ่านทำการคำนับให้หายเป็นปกติจงได้”
ชาวบ้านทั้งนั้นจึงว่า อาเพศวิปริตเช่นนี้เคยมีมาแต่ก่อน ขอมหาอุปราชได้ตั้งการพิธีบวงสรวงตัดศีรษะคนสี่สิบเก้าศีรษะ และเชือดม้าเผือก กระบือดำ เอาเลือดเซ่นสังเวยที่ริมแม่น้ำ ความวิปริตก็จะหายไป
ขงเบ้งได้ฟังเห็นเป็นวิธีการเช่นเดียวกันกับที่เบ้งเฮ็กบอก จึงว่าพวกท่านอย่าได้วิตกเลย เราจะคิดอ่านวิธีเซ่นสรวงบวงกล่าว โดยไม่ต้องฆ่าฟันผู้คนอีกต่อไป ชาวบ้านเหล่านั้นได้ฟังก็มีความยินดี พากันคำนับลาขงเบ้งกลับไป
ขงเบ้งจึงเรียกทหารฝ่ายพลาเข้ามาสั่งว่า ให้เอาแป้งมาปั้นเป็นรูปศีรษะคนจำนวนสี่สิบเก้าศีรษะ ให้แล้วเสร็จในก่อนค่ำวันนี้ และให้จัดเตรียมม้าขาว กระบือดำอย่างละห้าตัว ทหารฝ่ายพลารับคำสั่งแล้วคำนับลาขงเบ้งออกไปจัดแจงตามคำสั่ง ทั้งม้าเผือกและกระบือดำ แล้วเอาแป้งมาปั้นเป็นรูปศีรษะคนจำนวนสี่สิบเก้าศีรษะนึ่งจนสุก และเรียกว่าหมั่นโถ ซึ่งกลายเป็นอาหารประจำของชาวจีนแต่นั้นมา
ค่ำลงขงเบ้งก็ตั้งการพิธีบวงสรวงภูตผีปีศาจพเนจรอันเป็นวิญญาณสัมพะเวสี ณ ที่ริมแม่น้ำลกซุย เอาศีรษะคนเทียมที่ทำขึ้นสี่สิบเก้าศีรษะและฆ่าม้าเผือก กระบือดำที่เตรียมไว้นั้นวางรายเรียงที่ริมแม่น้ำ แต่งโต๊ะพิธีจุดธูปเทียนอย่างละสี่สิบเก้า พร้อมจอกสุราสี่สิบเก้าจอก ตัวขงเบ้งแต่งชุดนักพรตในลัทธิเต๋า สวมหมวกฟาง ถือกระบี่อาญาสิทธิ์ประจำตัวแม่ทัพ จุดธูปเทียนแล้วยืนสงบนิ่ง ให้ทหารองครักษ์อ่านโองการความว่า
“บัดนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนครองราชสมบัติได้สามปี ตรงกับปีพุทธศักราชเจ็ดร้อยหกสิบแปด มีรับสั่งใช้เราผู้เป็นอุปราชให้ยกทหารมาปราบปรามข้าศึกต่างประเทศ เราก็ตั้งใจสนองพระคุณ มิได้คิดความลำบากจนสำเร็จราชการได้ชัยชนะข้าศึกแล้ว แลทหารทั้งปวงซึ่งมีความสัตย์ตั้งใจมากับเรา หวังจะทำนุบำรุงพระเจ้าเล่าเสี้ยนยังไม่ทันสำเร็จ ท่านตายเสียบ้างก็มี ท่านทั้งปวงจงกลับไปเมืองกับเราเถิด ลูกหลานจะได้เซ่นตามธรรมเนียม เราจะกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้พระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่สมัครพรรคพวกพี่น้องท่านให้ถึงขนาด ฝ่ายทหารเบ้งเฮ็กซึ่งตายอยู่ในที่นี้ก็ดี ให้เร่งหาความชอบ อย่ามาวนเวียนทำให้เราลำบากเลย จงคิดถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนซึ่งครองราชสมบัติเป็นธรรมประเพณีกษัตริย์แต่ก่อน แลเห็นแก่เราผู้มีความสัตย์ จงรับเครื่องเซ่นเราแล้วกลับไปอยู่ที่ถิ่นฐานเถิด”
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ ได้ระบุความว่า ขงเบ้งมีบัญชาให้ตั๋งเขียกอ่านบทบวงสรวงเป็นใจความตอนหนึ่งว่า “จึงขอวิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พวกท่านคงได้ฟัง จงติดตามธงสดุดีของข้า ติดตามกองทัพเราพร้อมกันกลับไปยังประเทศที่เจริญด้วยอารยธรรมของเรา ต่างจดจำบ้านเกิดเมืองเดิมของตน ได้ลิ้มรสการทำอาหารจากเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน รับการเซ่นสรวงบูชาจากคนในครอบครัว มิควรเป็นผีเมืองอื่น ดวงวิญญาณอย่าอาศัยอยู่ต่างแดนโดยไร้ประโยชน์ ข้าจะรับเป็นธุระกราบทูลแด่องค์จักรพรรดิให้ครอบครัวของท่านทั้งหลายล้วนได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ให้อาหารเครื่องนุ่งห่มตลอดปี ทุกเดือนมีพระราชทานเบี้ยหวัดให้กิน อาศัยยึดถือหลักการมิไกลจากนี้ ผู้ที่เกิดในแดนอานุภาพแห่งสวรรค์ ผู้ที่ตายไปก็ควรคืนสู่อารยธรรมของประเทศ สมควรคำนึงถึงความสงบสุขที่ชดเชยให้ อย่าได้เป็นเหตุร่ำไห้เสียงโห่ ข้าเพียงแต่ขอแสดงน้ำใจอันซื่อสัตย์สุจริต ขอเคารพแถลงการณ์เซ่นสรวงคารวะ โอ้อนิจจาน่าเศร้าสลดยิ่งนัก ขอก้มหมอบเซ่นวิญญาณด้วยความเคารพบูชา”
ครั้นอ่านโองการจบแล้ว ขงเบ้งจึงให้ทหารตีม้าล่อฆ้องกลองจุดประทัดดังสนั่นนับพันดอก ตัวขงเบ้งร้องไห้รักทหารซึ่งได้เสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ พลางยกป้านสุรารินใส่จอกบูชาแล้วเอาป้านสุราราดลงกับพื้นสามรอบ บรรดาทหารทั้งปวงก็พากันร่ำไห้อาลัยและแสดงความเคารพแก่ดวงวิญญาณของทหารทั้งสองฝ่ายโดยพร้อมเพรียงกัน
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “ฝ่ายทหารขงเบ้งแลทหารเบ้งเฮ็กทั้งปวงซึ่งตายนั้น เห็นขงเบ้งโศกเศร้าดังนั้นก็คิดสงสารร้องไห้รักพร้อมกันขึ้นทั้งสิ้น พายุแลคลื่นระลอกซึ่งเกิดนั้นก็สงบเป็นปกติ”
ขงเบ้งคำนับและรินสุราราดลงกับพื้นอีกครั้งหนึ่งด้วยความยินดีที่อาเพศผิดปกติทั้งหลายได้สงบลง เสร็จพิธีแล้วจึงสั่งทหารให้เอาเครื่องเซ่นสังเวยทั้งปวงลอยไปตามแม่น้ำ
วันรุ่งขึ้นขงเบ้งจึงให้ทหารเคลื่อนทัพข้ามแม่น้ำลกซุย เข้าสู่เขตแดนเมืองจีนและเดินทัพไปที่เมืองเองเฉียงซึ่งเป็นหัวเมืองชายแดน
ครั้นถึงเมืองเองเฉียงแล้ว ขงเบ้งจึงกล่าวกับเบ้งเฮ็กว่าท่านตามมาส่งเราไกลมากแล้ว อย่าได้ลำบากอีกเลย พบกันก็ต้องมีวันพราก วันหน้าคงจะได้พบกันใหม่ ขอให้ท่านกลับไปแต่เวลานี้เถิด
เบ้งเฮ็กร่ำไห้ขอบคุณขงเบ้ง คุกเข่าลงคำนับลา ขงเบ้งก็ก้มประคองให้เบ้งเฮ็กลุกขึ้น กุมมือทั้งสองของเบ้งเฮ็กไว้แล้วว่าท่านสู้ยากลำบากเดินทางไกลมาส่งเรา ขอบใจนัก ท่านจงกลับไปปกครองบ้านเมืองและราษฎร อย่าให้เบียดเบียนกัน ให้มีความร่มเย็นเป็นสุขสืบไปเถิด
เบ้งเฮ็กคำนับลาขงเบ้งเป็นครั้งสุดท้ายแล้วพาพรรคพวกกลับไปเมืองงินแข ขงเบ้งตรวจตราจัดแจงเมืองเองเฉียง เห็นเป็นปกติดีแล้วจึงตั้งให้ลิคีเป็นผู้รักษาเมือง เสร็จแล้วจึงสั่งให้เคลื่อนทัพกลับไปเมืองเสฉวน และสั่งให้ม้าเร็วนำความไปกราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้ทรงทราบล่วงหน้า
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้นทราบว่าขงเบ้งมีชัยชนะแก่ข้าศึกและกำลังยกทัพกลับเมืองเสฉวน ก็มีความยินดีในพระทัยเป็นอันมาก ตรัสสั่งให้จัดขบวนกองเกียรติยศออกไปรับขงเบ้งถึงนอกประตูเมือง ตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนเองเสด็จประทับรถพระที่นั่ง แวดล้อมด้วยทหารองครักษ์และขันทีจำนวนมาก นำขบวนไปด้วยพระองค์เอง
พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสด็จออกไปตั้งขบวนรอต้อนรับขงเบ้งอยู่ที่นอกเมืองเสฉวนเป็นระยะทางถึงสามร้อยเส้น ครั้นเห็นกองทัพของขงเบ้งเคลื่อนใกล้เข้ามา พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงเสด็จลงจากรถพระที่นั่ง ประทับยืนคอยต้อนรับอยู่ที่ข้างทาง
เมื่อขงเบ้งนำกองทัพเข้ามาใกล้เห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสด็จประทับยืนคอยต้อนรับอยู่ข้างทางก็ตกใจ รีบลงจากเกวียนตรงเข้าไปถวายบังคม แล้วกราบทูลว่าข้าพระองค์นำกองทัพจ๊กก๊กไปปราบปรามกบฏและข้าศึกที่รุกรานแดนใต้ของเมืองเราสงบราบคาบสิ้นแล้ว แต่การทำศึกครั้งนี้ล่าช้าเสียเวลาไปมาก ขอให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้พระราชทานอภัยโทษด้วยเถิด
พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงตรัสตอบว่า ท่านพ่อมหาอุปราชนำทัพไปทางไกล ได้รับความยากลำบากเป็นอันมาก เป็นบุญคุณแก่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง สุขภาพของท่านพ่อมหาอุปราชสุขสบายดีหรือไฉน
ขงเบ้งจึงกราบทูลว่า ด้วยพระบารมีของพระเจ้าเล่าปี่คอยคุ้มครอง สุขภาพอนามัยของข้าพระองค์เป็นปกติดีทุกอย่าง บ้านเมืองแต่นี้ไปจะสงบสุขราบคาบ จะไม่เป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทอีกต่อไป
ขงเบ้งกราบทูลแล้วก็เงยหน้ามองพระพักตร์พระเจ้าเล่าเสี้ยน เห็นสีหน้ากล่ำไปด้วยสุราและมีท่วงท่าอ่อนอิดโรย ก็รู้ว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงพระเกษมสำราญเป็นอันมาก ก็รู้สึกรันทดใจ ครั้นกวาดสายตาไปที่บรรดาขันทีและผู้คนซึ่งแวดล้อม ขงเบ้งก็รู้สึกตื่นตกใจ
เพราะภาพที่ปรากฏนั้นคือเหล่าขันทีมีจำนวนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก และบรรดาผู้แวดล้อมใกล้ชิดองค์พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ล้วนแต่เป็นคนใหม่มากหน้าหลายตา ล้วนเป็นพวกหน้าตาหลุกหลิก ดูไปแล้วบ่งบอกอุปนิสัยที่ชอบฉกฉวยโอกาสและแสวงหาซึ่งอำนาจโดยการสร้างความชอบมากกว่าการสร้างผลงานและคุณความดี ส่วนบรรดาขุนนางเก่าก่อนตั้งแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ล้วนยืนอยู่ในที่ห่างไกลทั้งสิ้น
ขงเบ้งเห็นภาพเช่นนั้นก็ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ในใจก็รำพึงว่าอำนาจนั้นเป็นทั้งคุณแลโทษ ขึ้นอยู่กับผู้ถืออำนาจว่าจะใช้อำนาจนั้นไปในทางที่เป็นคุณหรือเป็นโทษทั้งแก่ตนและแก่ท่าน อำนาจนั้นอาจทำให้ได้มาซึ่งคนดีมีฝีมือ ซึ่งเป็นกำลังหลักของบ้านเมืองในอันที่จะทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรให้ร่มเย็นเป็นสุข สร้างสรรค์บ้านเมืองให้เรืองรุ่งโรจน์ มีความก้าวหน้าอ่าอำไพ แต่อำนาจนั้นก็อาจทำให้ได้มาซึ่งคนชั่วช้าเลวทรามที่แสวงหาลาภยศวาสนาส่วนตน กลายเป็นตัวบ่อนทำลายบ้านเมืองให้ย่อยยับอับจน ทำให้ราษฎรต้องทุกข์ร้อนทุกหย่อมหญ้า เพราะเมื่อบุคคลใดมีอำนาจวาสนาขึ้นแล้ว อำนาจวาสนานั้นก็จะหอมหวานดึงดูดใจให้บรรดานักแสวงหาโชคทั้งปวงพากันวิ่งเข้าหาจนสุดคณานับ ยิ่งกว่าคลื่นในพระมหาสมุทรที่ซัดสาดเข้าสู่ฝั่ง ทุกผู้คนล้วนอวดอ้างโอ่อิงสรรพคุณนานัปการ แต่ทั้งนั้นย่อมมีเป้าหมายอยู่ที่ลาภยศศักดิ์และวาสนาทั้งสิ้น ที่จะถือเอาผลประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎรนั้นมีอยู่น้อยนัก เหตุนี้เติ้งเสี่ยวผิงจึงกล่าวว่า เป็นธรรมดาของบ้านเมื่อเปิดหน้าต่างแล้วแมลงวันก็จะบินเข้ามา ผู้มีอำนาจวาสนาก็ย่อมมีคนเข้าหามากหลาย ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถเลือกเฟ้นคนดีมีสติปัญญาเข้ามาช่วงใช้การงาน และกลั่นกรองไม่ให้คนชั่วช้าเลวทรามแฝงฝังเข้ามาใกล้ตัวได้หรือไม่ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงตรัสว่าแม้พระสุริยันจันทราอันมีฤทธิ์และทรงความบริสุทธิ์ก็อาจมัวหมองได้ด้วยเมฆและหมอกฉันใด การสรรหาคนแวดล้อมใกล้ตัวก็ย่อมมีผลต่อความบริสุทธิ์ ความเจริญรุ่งเรือง หรือความไม่บริสุทธิ์ ความเสื่อมทรุดฉันนั้น
ขงเบ้งตื่นจากตะลึงแล้วก็รู้สึกรันทดใจ แต่เพื่อไม่ให้เสียประเพณี ขงเบ้งจึงกราบทูลเชิญเสด็จพระเจ้าเล่าเสี้ยนกลับเข้าไปในเมือง พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงเสด็จขึ้นรถพระที่นั่งนำหน้าเกวียนของขงเบ้งและขบวนเกียรติยศตลอดจนกองทัพทั้งปวงกลับเข้าไปในเมืองเสฉวน
บรรดาชาวเมืองทราบข่าวว่ามหาอุปราชมีชัยชนะแก่ข้าศึก และพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสด็จออกไปต้อนรับกลับเข้าเมือง ต่างมีความชื่นชมยินดี ตั้งเครื่องบูชาตามหน้าบ้านและคอยเฝ้าต้อนรับสองข้างทางอย่างเนืองแน่น จนขบวนของพระเจ้าเล่าเสี้ยนกลับเข้าไปในพระราชวังแล้ว ขงเบ้งจึงสั่งให้แม่ทัพนายกองแยกย้ายกันกลับเข้ากรมกอง
วันรุ่งขึ้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสด็จออกท้องพระโรงว่าราชการท่ามกลางขุนนางทั้งปวง ขงเบ้งได้พาแม่ทัพนายกองซึ่งกลับจากการศึกเข้าไปกราบบังคมทูลถวายรายงานการสงครามให้ทรงทราบทุกประการ และนำเอาของบรรณาการที่ได้รับจากบรรดาหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองหมั่นอ๋องซึ่งสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า ของบรรณาการจากหัวเมืองขึ้นครั้งนี้มาจากหัวเมืองถึงสามร้อยหัวเมือง ขึ้นน้อมเกล้าถวายเป็นอันมาก.
ขงเบ้งยืนเพ่งพินิจอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำลกซุยด้วยใจที่เป็นสมาธิมั่นอยู่พักใหญ่จึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พลางรำพึงแต่แผ่วเบาว่า จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรและกรรมซึ่งกันและกันเลย จงรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ ครู่หนึ่งขงเบ้งจึงเดินกลับไปที่ค่ายพัก
รุ่งขึ้นเช้าขงเบ้งจึงให้หาชาวบ้านในแถบนั้นมาไต่ถามอีกว่า ซึ่งความวิปริตที่แม่น้ำลกซุยนี้มีมาแต่เหตุประการใด
ชาวบ้านได้กล่าวตรงกันว่า นับตั้งแต่วันที่มหาอุปราชยกกองทัพข้ามแม่น้ำลกซุยไปแล้ว ก็เกิดเหตุอาเพศดังที่เห็นนี้ตลอดมาติดต่อทุกวัน ราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อน ไม่อาจข้ามแม่น้ำหรือทำมาหากินจับปูปลาในแม่น้ำได้เลย
ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งเกิดอาเพศฉะนี้เป็นเพราะความประมาทพลั้งพลาดของเราเอง “เมื่อครั้งเราให้ม้าต้ายคุมทหารพันหนึ่งยกมานั้น ทหารทั้งปวงก็ตายอยู่ในแม่น้ำนี้สิ้น แล้วเมื่อทำศึกอยู่นั้น ทหารเบ้งเฮ็กก็ล้มตายอยู่ในที่นี้เป็นอันมาก ปีศาจทั้งปวงผูกเวรเรา จึงบันดาลให้เป็นเหตุต่าง ๆ เราจะคิดอ่านทำการคำนับให้หายเป็นปกติจงได้”
ชาวบ้านทั้งนั้นจึงว่า อาเพศวิปริตเช่นนี้เคยมีมาแต่ก่อน ขอมหาอุปราชได้ตั้งการพิธีบวงสรวงตัดศีรษะคนสี่สิบเก้าศีรษะ และเชือดม้าเผือก กระบือดำ เอาเลือดเซ่นสังเวยที่ริมแม่น้ำ ความวิปริตก็จะหายไป
ขงเบ้งได้ฟังเห็นเป็นวิธีการเช่นเดียวกันกับที่เบ้งเฮ็กบอก จึงว่าพวกท่านอย่าได้วิตกเลย เราจะคิดอ่านวิธีเซ่นสรวงบวงกล่าว โดยไม่ต้องฆ่าฟันผู้คนอีกต่อไป ชาวบ้านเหล่านั้นได้ฟังก็มีความยินดี พากันคำนับลาขงเบ้งกลับไป
ขงเบ้งจึงเรียกทหารฝ่ายพลาเข้ามาสั่งว่า ให้เอาแป้งมาปั้นเป็นรูปศีรษะคนจำนวนสี่สิบเก้าศีรษะ ให้แล้วเสร็จในก่อนค่ำวันนี้ และให้จัดเตรียมม้าขาว กระบือดำอย่างละห้าตัว ทหารฝ่ายพลารับคำสั่งแล้วคำนับลาขงเบ้งออกไปจัดแจงตามคำสั่ง ทั้งม้าเผือกและกระบือดำ แล้วเอาแป้งมาปั้นเป็นรูปศีรษะคนจำนวนสี่สิบเก้าศีรษะนึ่งจนสุก และเรียกว่าหมั่นโถ ซึ่งกลายเป็นอาหารประจำของชาวจีนแต่นั้นมา
ค่ำลงขงเบ้งก็ตั้งการพิธีบวงสรวงภูตผีปีศาจพเนจรอันเป็นวิญญาณสัมพะเวสี ณ ที่ริมแม่น้ำลกซุย เอาศีรษะคนเทียมที่ทำขึ้นสี่สิบเก้าศีรษะและฆ่าม้าเผือก กระบือดำที่เตรียมไว้นั้นวางรายเรียงที่ริมแม่น้ำ แต่งโต๊ะพิธีจุดธูปเทียนอย่างละสี่สิบเก้า พร้อมจอกสุราสี่สิบเก้าจอก ตัวขงเบ้งแต่งชุดนักพรตในลัทธิเต๋า สวมหมวกฟาง ถือกระบี่อาญาสิทธิ์ประจำตัวแม่ทัพ จุดธูปเทียนแล้วยืนสงบนิ่ง ให้ทหารองครักษ์อ่านโองการความว่า
“บัดนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนครองราชสมบัติได้สามปี ตรงกับปีพุทธศักราชเจ็ดร้อยหกสิบแปด มีรับสั่งใช้เราผู้เป็นอุปราชให้ยกทหารมาปราบปรามข้าศึกต่างประเทศ เราก็ตั้งใจสนองพระคุณ มิได้คิดความลำบากจนสำเร็จราชการได้ชัยชนะข้าศึกแล้ว แลทหารทั้งปวงซึ่งมีความสัตย์ตั้งใจมากับเรา หวังจะทำนุบำรุงพระเจ้าเล่าเสี้ยนยังไม่ทันสำเร็จ ท่านตายเสียบ้างก็มี ท่านทั้งปวงจงกลับไปเมืองกับเราเถิด ลูกหลานจะได้เซ่นตามธรรมเนียม เราจะกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้พระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่สมัครพรรคพวกพี่น้องท่านให้ถึงขนาด ฝ่ายทหารเบ้งเฮ็กซึ่งตายอยู่ในที่นี้ก็ดี ให้เร่งหาความชอบ อย่ามาวนเวียนทำให้เราลำบากเลย จงคิดถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนซึ่งครองราชสมบัติเป็นธรรมประเพณีกษัตริย์แต่ก่อน แลเห็นแก่เราผู้มีความสัตย์ จงรับเครื่องเซ่นเราแล้วกลับไปอยู่ที่ถิ่นฐานเถิด”
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ ได้ระบุความว่า ขงเบ้งมีบัญชาให้ตั๋งเขียกอ่านบทบวงสรวงเป็นใจความตอนหนึ่งว่า “จึงขอวิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พวกท่านคงได้ฟัง จงติดตามธงสดุดีของข้า ติดตามกองทัพเราพร้อมกันกลับไปยังประเทศที่เจริญด้วยอารยธรรมของเรา ต่างจดจำบ้านเกิดเมืองเดิมของตน ได้ลิ้มรสการทำอาหารจากเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน รับการเซ่นสรวงบูชาจากคนในครอบครัว มิควรเป็นผีเมืองอื่น ดวงวิญญาณอย่าอาศัยอยู่ต่างแดนโดยไร้ประโยชน์ ข้าจะรับเป็นธุระกราบทูลแด่องค์จักรพรรดิให้ครอบครัวของท่านทั้งหลายล้วนได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ให้อาหารเครื่องนุ่งห่มตลอดปี ทุกเดือนมีพระราชทานเบี้ยหวัดให้กิน อาศัยยึดถือหลักการมิไกลจากนี้ ผู้ที่เกิดในแดนอานุภาพแห่งสวรรค์ ผู้ที่ตายไปก็ควรคืนสู่อารยธรรมของประเทศ สมควรคำนึงถึงความสงบสุขที่ชดเชยให้ อย่าได้เป็นเหตุร่ำไห้เสียงโห่ ข้าเพียงแต่ขอแสดงน้ำใจอันซื่อสัตย์สุจริต ขอเคารพแถลงการณ์เซ่นสรวงคารวะ โอ้อนิจจาน่าเศร้าสลดยิ่งนัก ขอก้มหมอบเซ่นวิญญาณด้วยความเคารพบูชา”
ครั้นอ่านโองการจบแล้ว ขงเบ้งจึงให้ทหารตีม้าล่อฆ้องกลองจุดประทัดดังสนั่นนับพันดอก ตัวขงเบ้งร้องไห้รักทหารซึ่งได้เสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ พลางยกป้านสุรารินใส่จอกบูชาแล้วเอาป้านสุราราดลงกับพื้นสามรอบ บรรดาทหารทั้งปวงก็พากันร่ำไห้อาลัยและแสดงความเคารพแก่ดวงวิญญาณของทหารทั้งสองฝ่ายโดยพร้อมเพรียงกัน
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “ฝ่ายทหารขงเบ้งแลทหารเบ้งเฮ็กทั้งปวงซึ่งตายนั้น เห็นขงเบ้งโศกเศร้าดังนั้นก็คิดสงสารร้องไห้รักพร้อมกันขึ้นทั้งสิ้น พายุแลคลื่นระลอกซึ่งเกิดนั้นก็สงบเป็นปกติ”
ขงเบ้งคำนับและรินสุราราดลงกับพื้นอีกครั้งหนึ่งด้วยความยินดีที่อาเพศผิดปกติทั้งหลายได้สงบลง เสร็จพิธีแล้วจึงสั่งทหารให้เอาเครื่องเซ่นสังเวยทั้งปวงลอยไปตามแม่น้ำ
วันรุ่งขึ้นขงเบ้งจึงให้ทหารเคลื่อนทัพข้ามแม่น้ำลกซุย เข้าสู่เขตแดนเมืองจีนและเดินทัพไปที่เมืองเองเฉียงซึ่งเป็นหัวเมืองชายแดน
ครั้นถึงเมืองเองเฉียงแล้ว ขงเบ้งจึงกล่าวกับเบ้งเฮ็กว่าท่านตามมาส่งเราไกลมากแล้ว อย่าได้ลำบากอีกเลย พบกันก็ต้องมีวันพราก วันหน้าคงจะได้พบกันใหม่ ขอให้ท่านกลับไปแต่เวลานี้เถิด
เบ้งเฮ็กร่ำไห้ขอบคุณขงเบ้ง คุกเข่าลงคำนับลา ขงเบ้งก็ก้มประคองให้เบ้งเฮ็กลุกขึ้น กุมมือทั้งสองของเบ้งเฮ็กไว้แล้วว่าท่านสู้ยากลำบากเดินทางไกลมาส่งเรา ขอบใจนัก ท่านจงกลับไปปกครองบ้านเมืองและราษฎร อย่าให้เบียดเบียนกัน ให้มีความร่มเย็นเป็นสุขสืบไปเถิด
เบ้งเฮ็กคำนับลาขงเบ้งเป็นครั้งสุดท้ายแล้วพาพรรคพวกกลับไปเมืองงินแข ขงเบ้งตรวจตราจัดแจงเมืองเองเฉียง เห็นเป็นปกติดีแล้วจึงตั้งให้ลิคีเป็นผู้รักษาเมือง เสร็จแล้วจึงสั่งให้เคลื่อนทัพกลับไปเมืองเสฉวน และสั่งให้ม้าเร็วนำความไปกราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้ทรงทราบล่วงหน้า
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้นทราบว่าขงเบ้งมีชัยชนะแก่ข้าศึกและกำลังยกทัพกลับเมืองเสฉวน ก็มีความยินดีในพระทัยเป็นอันมาก ตรัสสั่งให้จัดขบวนกองเกียรติยศออกไปรับขงเบ้งถึงนอกประตูเมือง ตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนเองเสด็จประทับรถพระที่นั่ง แวดล้อมด้วยทหารองครักษ์และขันทีจำนวนมาก นำขบวนไปด้วยพระองค์เอง
พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสด็จออกไปตั้งขบวนรอต้อนรับขงเบ้งอยู่ที่นอกเมืองเสฉวนเป็นระยะทางถึงสามร้อยเส้น ครั้นเห็นกองทัพของขงเบ้งเคลื่อนใกล้เข้ามา พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงเสด็จลงจากรถพระที่นั่ง ประทับยืนคอยต้อนรับอยู่ที่ข้างทาง
เมื่อขงเบ้งนำกองทัพเข้ามาใกล้เห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสด็จประทับยืนคอยต้อนรับอยู่ข้างทางก็ตกใจ รีบลงจากเกวียนตรงเข้าไปถวายบังคม แล้วกราบทูลว่าข้าพระองค์นำกองทัพจ๊กก๊กไปปราบปรามกบฏและข้าศึกที่รุกรานแดนใต้ของเมืองเราสงบราบคาบสิ้นแล้ว แต่การทำศึกครั้งนี้ล่าช้าเสียเวลาไปมาก ขอให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้พระราชทานอภัยโทษด้วยเถิด
พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงตรัสตอบว่า ท่านพ่อมหาอุปราชนำทัพไปทางไกล ได้รับความยากลำบากเป็นอันมาก เป็นบุญคุณแก่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง สุขภาพของท่านพ่อมหาอุปราชสุขสบายดีหรือไฉน
ขงเบ้งจึงกราบทูลว่า ด้วยพระบารมีของพระเจ้าเล่าปี่คอยคุ้มครอง สุขภาพอนามัยของข้าพระองค์เป็นปกติดีทุกอย่าง บ้านเมืองแต่นี้ไปจะสงบสุขราบคาบ จะไม่เป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทอีกต่อไป
ขงเบ้งกราบทูลแล้วก็เงยหน้ามองพระพักตร์พระเจ้าเล่าเสี้ยน เห็นสีหน้ากล่ำไปด้วยสุราและมีท่วงท่าอ่อนอิดโรย ก็รู้ว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงพระเกษมสำราญเป็นอันมาก ก็รู้สึกรันทดใจ ครั้นกวาดสายตาไปที่บรรดาขันทีและผู้คนซึ่งแวดล้อม ขงเบ้งก็รู้สึกตื่นตกใจ
เพราะภาพที่ปรากฏนั้นคือเหล่าขันทีมีจำนวนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก และบรรดาผู้แวดล้อมใกล้ชิดองค์พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ล้วนแต่เป็นคนใหม่มากหน้าหลายตา ล้วนเป็นพวกหน้าตาหลุกหลิก ดูไปแล้วบ่งบอกอุปนิสัยที่ชอบฉกฉวยโอกาสและแสวงหาซึ่งอำนาจโดยการสร้างความชอบมากกว่าการสร้างผลงานและคุณความดี ส่วนบรรดาขุนนางเก่าก่อนตั้งแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ล้วนยืนอยู่ในที่ห่างไกลทั้งสิ้น
ขงเบ้งเห็นภาพเช่นนั้นก็ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ในใจก็รำพึงว่าอำนาจนั้นเป็นทั้งคุณแลโทษ ขึ้นอยู่กับผู้ถืออำนาจว่าจะใช้อำนาจนั้นไปในทางที่เป็นคุณหรือเป็นโทษทั้งแก่ตนและแก่ท่าน อำนาจนั้นอาจทำให้ได้มาซึ่งคนดีมีฝีมือ ซึ่งเป็นกำลังหลักของบ้านเมืองในอันที่จะทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรให้ร่มเย็นเป็นสุข สร้างสรรค์บ้านเมืองให้เรืองรุ่งโรจน์ มีความก้าวหน้าอ่าอำไพ แต่อำนาจนั้นก็อาจทำให้ได้มาซึ่งคนชั่วช้าเลวทรามที่แสวงหาลาภยศวาสนาส่วนตน กลายเป็นตัวบ่อนทำลายบ้านเมืองให้ย่อยยับอับจน ทำให้ราษฎรต้องทุกข์ร้อนทุกหย่อมหญ้า เพราะเมื่อบุคคลใดมีอำนาจวาสนาขึ้นแล้ว อำนาจวาสนานั้นก็จะหอมหวานดึงดูดใจให้บรรดานักแสวงหาโชคทั้งปวงพากันวิ่งเข้าหาจนสุดคณานับ ยิ่งกว่าคลื่นในพระมหาสมุทรที่ซัดสาดเข้าสู่ฝั่ง ทุกผู้คนล้วนอวดอ้างโอ่อิงสรรพคุณนานัปการ แต่ทั้งนั้นย่อมมีเป้าหมายอยู่ที่ลาภยศศักดิ์และวาสนาทั้งสิ้น ที่จะถือเอาผลประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎรนั้นมีอยู่น้อยนัก เหตุนี้เติ้งเสี่ยวผิงจึงกล่าวว่า เป็นธรรมดาของบ้านเมื่อเปิดหน้าต่างแล้วแมลงวันก็จะบินเข้ามา ผู้มีอำนาจวาสนาก็ย่อมมีคนเข้าหามากหลาย ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถเลือกเฟ้นคนดีมีสติปัญญาเข้ามาช่วงใช้การงาน และกลั่นกรองไม่ให้คนชั่วช้าเลวทรามแฝงฝังเข้ามาใกล้ตัวได้หรือไม่ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงตรัสว่าแม้พระสุริยันจันทราอันมีฤทธิ์และทรงความบริสุทธิ์ก็อาจมัวหมองได้ด้วยเมฆและหมอกฉันใด การสรรหาคนแวดล้อมใกล้ตัวก็ย่อมมีผลต่อความบริสุทธิ์ ความเจริญรุ่งเรือง หรือความไม่บริสุทธิ์ ความเสื่อมทรุดฉันนั้น
ขงเบ้งตื่นจากตะลึงแล้วก็รู้สึกรันทดใจ แต่เพื่อไม่ให้เสียประเพณี ขงเบ้งจึงกราบทูลเชิญเสด็จพระเจ้าเล่าเสี้ยนกลับเข้าไปในเมือง พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงเสด็จขึ้นรถพระที่นั่งนำหน้าเกวียนของขงเบ้งและขบวนเกียรติยศตลอดจนกองทัพทั้งปวงกลับเข้าไปในเมืองเสฉวน
บรรดาชาวเมืองทราบข่าวว่ามหาอุปราชมีชัยชนะแก่ข้าศึก และพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสด็จออกไปต้อนรับกลับเข้าเมือง ต่างมีความชื่นชมยินดี ตั้งเครื่องบูชาตามหน้าบ้านและคอยเฝ้าต้อนรับสองข้างทางอย่างเนืองแน่น จนขบวนของพระเจ้าเล่าเสี้ยนกลับเข้าไปในพระราชวังแล้ว ขงเบ้งจึงสั่งให้แม่ทัพนายกองแยกย้ายกันกลับเข้ากรมกอง
วันรุ่งขึ้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสด็จออกท้องพระโรงว่าราชการท่ามกลางขุนนางทั้งปวง ขงเบ้งได้พาแม่ทัพนายกองซึ่งกลับจากการศึกเข้าไปกราบบังคมทูลถวายรายงานการสงครามให้ทรงทราบทุกประการ และนำเอาของบรรณาการที่ได้รับจากบรรดาหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองหมั่นอ๋องซึ่งสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า ของบรรณาการจากหัวเมืองขึ้นครั้งนี้มาจากหัวเมืองถึงสามร้อยหัวเมือง ขึ้นน้อมเกล้าถวายเป็นอันมาก.