ตอนที่ 503. เสียงเจ้ากรรมนายเวร

ขงเบ้งได้ใช้พลังจักรวาลธาตุไฟเผาผลาญทหารนักรบเกราะหวายของลุดตัดกุดซึ่งอยู่ยงคงกระพัน ศาสตราวุธทั้งปวงไม่อาจระคายเกราะหวายนั้นได้จนวายวอดสิ้นทั้งสามหมื่นคน และจับเป็นเบ้งเฮ็กได้เป็นครั้งที่เจ็ด แต่ก็ทำให้ขงเบ้งต้องปลงอายุสังขารตัวเองว่าการผลาญชีวิตคนจำนวนมากจะทำให้อายุขัยแห่งตัวไม่อาจยืนยาวได้สืบไป จากนั้นจึงแต่งโต๊ะเลี้ยงเบ้งเฮ็กและพรรคพวก

            ในขณะที่กินโต๊ะอยู่นั้นทหารคนหนึ่งซึ่งขงเบ้งได้สอนไว้ได้เข้าไปกล่าวกับเบ้งเฮ็กว่า “บัดนี้มหาอุปราชจะให้ปล่อยท่านเสีย ถ้าท่านจะใคร่ทำศึกกับมหาอุปราชดูฝีมือความคิดอีก เราจะปล่อยท่านไปซ่องสุมทหารยกมารบให้สิ้นฝีมือ จะได้เห็นประจักษ์ว่าผู้ใดแพ้แลชนะ”

            เบ้งเฮ็กในขณะที่กินโต๊ะนั้น ในใจก็ครุ่นคิดถึงคำสัตย์ที่ได้ให้กับขงเบ้งว่า ถ้าถูกจับตัวได้อีกครั้งหนึ่งก็จะยอมแพ้ด้วยใจ แต่ใจหนึ่งก็คิดว่าขงเบ้งจะถือเอาคำสัตย์นั้นเป็นสำคัญ จะไม่ยอมปล่อยตัวกลับไปให้ซ่องสุมผู้คนกลับมาต่อสู้กันอีก หากคิดที่จะต่อสู้ก็จะต้องถูกประหารชีวิต ไม่เคยคิดเลยว่าขงเบ้งจะมีน้ำใจปล่อยกลับไปอีกครั้งหนึ่ง

            ดังนั้นพอได้ฟังคำของทหารซึ่งขงเบ้งเสี้ยมสอนให้มาว่ากล่าวก็ผิดคิดผิดคาด เบ้งเฮ็กแม้จะเป็นคนแข็งกร้าว แปลกเพศภาษาวัฒนธรรมกับชาวจีน แต่ไม่อาจทนทานต่อน้ำใจดังกล่าวได้อีกต่อไป

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “เบ้งเฮ็กได้ฟังดังนั้นก็คิดน้อยใจ น้ำตาตก จึงว่าแต่ก่อนมาก็ยังไม่เคยได้ยินว่าทำการศึกกันเขาจับได้แล้วปล่อยเสียถึงเจ็ดครั้ง ด้วยเราเป็นคนต่างแดนกับท่านก็จริง แต่รู้จักผิดแลชอบ มีความอายอยู่บ้าง ตัวเรากับภรรยาแลสมัครพรรคพวกทั้งปวงควรจะไปกราบลงกับตีนมหาอุปราชขอชีวิตจึงจะชอบ”

            ความในใจของเบ้งเฮ็กดังกล่าวนี้เป็นที่ปราศจากสงสัยใดๆ อีกแล้วว่าน้ำใจอันแกร่งกร้าวได้ถูกทรมานด้วยความใจกว้างอย่างเต็มที่ของขงเบ้งจนอ่อนลง เป็นบทพิสูจน์ว่าน้ำใจคนนั้นถึงแม้จะแข็งดังเหล็กเพชรก็หาใช่ว่าจะง้างให้อ่อนได้ด้วยอำนาจน้ำเงินแต่เพียงประการเดียวไม่ หากสามารถง้างให้อ่อนลงได้อย่างยั่งยืนด้วยน้ำใจอันประเสริฐอีกด้วย

            เบ้งเฮ็กกล่าวดังนั้นแล้วจึงลุกขึ้นจากโต๊ะ พาเบ้งฮิว ตั้วไหล และนางจกหยงผู้เป็นภรรยาเดินเข้าไปหาขงเบ้งในท่ามกลางสายตาจ้องมองของบรรดาทหารทั้งปวง แล้วคุกเข่าคำนับก้มศีรษะแนบกับพื้น และกล่าวว่า “ตัวข้าพเจ้าได้กระทำความผิด มหาอุปราชไว้ชีวิตปล่อยไปมิเอาโทษข้าพเจ้าถึงหกครั้ง มหาอุปราชจงอดโทษข้าพเจ้าเถิด แต่นี้ไปเมื่อหน้าข้าพเจ้ามิได้คิดคดต่อมหาอุปราชสืบไปเลย”

            เบ้งเฮ็กกลัวว่าขงเบ้งจะพูดจาว่ากล่าวปล่อยตัวกลับไปแล้วยกมารบกันใหม่ จึงรีบชิงอ้อนวอนขออภัยโทษและขอยอมจำนนด้วยใจ ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ยิ้มให้ด้วยความเมตตาแล้วกล่าวว่า ท่านยอมอ่อนน้อมต่อเราแล้วหรือ

            เบ้งเฮ็กได้ยินดังนั้นก็สะเทือนใจ ร้องไห้โฮดังลั่น แล้วกล่าวสืบไปว่าข้าพเจ้าจะขอยอมเป็นข้าของมหาอุปราชไปตลอดชั่วลูกหลาน ขอเทพยดาฟ้าดินจงเป็นพยานให้แก่คำปฏิญาณนี้เถิด

            ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ลุกออกมาจากโต๊ะ ก้มประคองเบ้งเฮ็กให้ลุกขึ้น แล้วเชิญเบ้งเฮ็กเข้าไปนั่งที่โต๊ะเดียวกัน เชิญเบ้งเฮ็กเสพสุราเพื่อความเป็นมิตรไมตรีกันสืบไป แล้วกล่าวว่าการตัดสินใจของท่านครั้งนี้จะนำมาซึ่งความสงบสุขของบ้านเมืองและราษฎรทั้งปวง

            แล้วขงเบ้งจึงกล่าวประกาศแต่งตั้งเบ้งเฮ็กเป็นเจ้าเมืองหมั่นอ๋องตามเดิม บรรดาเชลยศึกและสินศึกทั้งปวงก็ให้คืนกลับแก่เบ้งเฮ็กจนหมดสิ้น แล้วกำชับว่าให้เบ้งเฮ็กท่านปกบ้านครองเมืองด้วยน้ำใจเมตตาอาทรแก่ราษฎรทั้งปวง กำจัดคนชั่ว  ส่งเสริมคนดีให้มีอำนาจ ทำการสิ่งไรต้องเห็นแก่ความสงบสุข และความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง อย่าได้เห็นแก่ประโยชน์ตนหรือหมู่คณะเป็นเด็ดขาด อำนาจนั้นจักสำแดงอานุภาพได้ก็ต่อเมื่อการใช้อำนาจนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชน จนก่อตัวเป็นบารมีเป็นที่นับถือศรัทธาของคนทั้งปวง แต่หากอำนาจนั้นได้ใช้ไปเพียงเพื่อแสวงหาประโยชน์แก่ตนหรือคณะของตนแล้ว ย่อมเป็นการบังคับเบียดเบียนท่านให้ได้รับความเดือดร้อนและความไม่ยุติธรรม จะก่อเกิดศัตรูและความเคียดแค้นให้แก่มหาชน ถึงแม้อำนาจนั้นจะยิ่งใหญ่สักเพียงไหนก็จะต้องถูกโค่นล้มลง ไม่ก็จะต้องถูกอำนาจนั้นกัดกร่อนทำลายลง ขอจงจำคำเราไว้ให้มั่น สันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองจะบังเกิดแก่ท่านและบ้านเมืองสืบไป

            เบ้งเฮ็กได้ฟังโอวาทของขงเบ้งดังนั้นก็คำนับรับคำ แล้วกล่าวว่าคำสอนของมหาอุปราชลึกซึ้งกินใจข้าพเจ้านัก จักให้จารึกไว้บูชาทุกวันคืน และจะถือเอาโอวาทนี้เป็นหลักชัยในการบริหารบ้านเมืองสืบไป

            ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี มีความเบิกบานปรีดาปราโมทย์ยิ่งนัก ในใจก็รำพึงว่าไม่เสียแรงที่เราสู้ยากลำบาก การได้ทั้งกายทั้งใจของเบ้งเฮ็กในครั้งนี้จะทำให้ภาคใต้สงบสุขปราศจากการศึกสงครามอีกต่อไป แต่นี้ไปจะได้ทำการกับวุยก๊กได้ถนัดมือ

            ครั้นงานเลี้ยงเสร็จสิ้นลงแล้ว ปีฮุยซึ่งเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการ เห็นขงเบ้งปล่อยเบ้งเฮ็กและแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองดังเก่าจึงเข้าไปทักท้วงกับขงเบ้งว่า “มหาอุปราชมาทำการครั้งนี้ก็ลำบากไพร่พลนัก เบ้งเฮ็กจึงสมัครอ่อนน้อมด้วย ซึ่งมหาอุปราชจะให้แต่เบ้งเฮ็กอยู่รักษาเมืองแต่ผู้เดียวนั้น เกลือกเบ้งเฮ็กกลับกลอก นานไปจะได้ความเดือดร้อน ขอให้มหาอุปราชตั้งขุนนางไว้กำกับด้วย”

            ขงเบ้งได้ฟังจึงแก้ว่า ซึ่งจะตั้งขุนนางเมืองเราไว้กำกับราชการด้วยนั้นจะประสบความยากลำบากสามสถาน สถานหนึ่งชาวเมืองหมั่นอ๋องการกินการอยู่แตกต่างกับชาวจีน หากตั้งขุนนางจีนไว้กำกับก็จะต้องมีกองทัพมาคอยสนับสนุน จะต้องลำเลียงข้าวปลาอาหารมาแต่เมืองเสฉวนเป็นทางไกล ได้ยากลำบากนัก สถานหนึ่งกองทัพเรายกลงใต้ครั้งนี้ได้ฆ่าฟันลูกหลานชาวเมืองหมั่นอ๋องเสียเป็นอันมาก หากมีกองทหารและขุนนางอยู่กำกับ ความพยาบาทก็จะคุกรุ่นขึ้นกลายเป็นความขัดแย้ง และอาจนำไปสู่ศึกสงครามในอนาคต อีกสถานหนึ่งเราทำการกับเบ้งเฮ็กอย่างยากลำบากก็เพราะหวังให้ยอมอ่อนน้อมทั้งกายแลใจ เบ้งเฮ็กนั้นแม้เป็นคนป่าเถื่อนแต่ถือศักดิ์ศรีและความสัตย์อยู่ ยอมอ่อนน้อมต่อเราแล้วเห็นจะไม่บิดพลิ้วกลับกลอก หากให้ขุนนางและทหารจีนกำกับอยู่ก็เหมือนก่อแผลเป็นไว้กับใจ เหมือนก่อสนิมไว้ในเนื้อเหล็ก นานไปก็จะพิพาทบาดหมางกัน นี่เป็นความยากลำบากสามสถาน อนึ่งเล่าตัวเราวางใจเบ้งเฮ็กว่าถือมั่นในคำสัตย์ ท่านอย่าได้ระแวงเลย

            เบ้งเฮ็กและพรรคพวกได้ฟังคำขงเบ้งโดยตลอดให้รู้สึกซาบซึ้งและปิติที่ขงเบ้งให้เกียรติและวางใจ จึงพากันคุกเข่าคำนับขอบคุณแล้วลากลับไปที่อยู่

            วันรุ่งขึ้นเบ้งเฮ็กเรียกประชุมขุนนางทั้งปวง แล้วประกาศยอมเป็นประเทศราช ขึ้นต่อขอบขัณฑสีมาแห่งเมืองเสฉวน ให้นับถือขงเบ้งเป็นเทพบิดรของชาวเมืองทั้งปวง และให้ตั้งศาลเทพารักษ์ขึ้นศาลหนึ่ง ปั้นรูปขงเบ้งไว้ในศาล จารึกชื่อว่า “จูฮู” ซึ่งหมายความว่าเป็นเทพบิดรแห่งเมืองหมั่นอ๋อง และกล่าวย้ำว่านับแต่นี้ไปชาวเมืองหมั่นอ๋องจะซื่อตรงจงรักภักดีต่อเมืองเสฉวนชั่วลูกหลาน หากผู้ใดทรยศไม่ปฏิบัติก็จะลงโทษประหารชีวิต

            ชาวเมืองทั้งปวงซึ่งพ่อหรือพี่น้องเป็นทหารและได้รับน้ำใจจากขงเบ้ง จับได้แล้วปล่อยตัวกลับมาต่างรู้สึกนึกถึงคุณของขงเบ้ง จึงพากันสนับสนุนชื่นชมการกระทำของเบ้งเฮ็กถ้วนหน้ากัน

            เบ้งเฮ็กจึงให้จัดแก้วแหวนเงินทอง พลอย เสื้อผ้าอาภรณ์อันมีค่าที่มีอยู่ในเมืองหมั่นอ๋องเป็นจำนวนมากใส่เกวียนเอาไปมอบแก่ขงเบ้งที่ค่ายหลวง แล้วกล่าวว่า “ตัวข้าพเจ้านี้เป็นข้าอยู่ในมหาอุปราช แม้มหาอุปราชจะมีกิจธุระสิ่งใด ก็ให้แต่ทหารเลวถือหนังสือมาถึงข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามทุกประการ”

            แล้วเบ้งเฮ็กจึงนำของทั้งนั้นมอบแก่ขงเบ้งเพื่อเป็นบรรณาการตามประเพณี ขงเบ้งได้ยอมรับสิ่งของเหล่านั้น และมอบของตอบแทนน้ำใจแก่เบ้งเฮ็กอย่างทัดเทียมกัน และให้บำเหน็จแก่ทหารเป็นอันมาก

            ขงเบ้งแนะนำการดูแลปกครองบ้านเมืองแก่เบ้งเฮ็กอีกสัปดาห์เศษ จนบ้านเมืองเป็นปกติแล้วจึงสั่งให้เตรียมการเคลื่อนทัพกลับเมืองเสฉวน เบ้งเฮ็ก แม่ทัพนายกองและขุนนางตลอดจนชาวเมืองหมั่นอ๋องได้ตั้งขบวนส่งกองทัพเมืองเสฉวนแน่นขนัดยาวเหยียดจนกระทั่งกองทัพเมืองเสฉวนเคลื่อนพ้นออกจากเมืองงินแขซึ่งเป็นเมืองหลวงแล้ว เบ้งเฮ็กจึงให้ขุนนางและราษฎรกลับเข้าเมือง ตัวเบ้งเฮ็กพร้อมทหารองครักษ์ติดตามไปส่งกองทัพของขงเบ้งจนกว่าจะพ้นเขตแดนเมืองหมั่นอ๋อง

            ขงเบ้งให้อุยเอี๋ยนเป็นกองทัพหน้า ขงเบ้งคุมกองทัพหลวง เดินทัพกลับตามเส้นทางเดิม จนกระทั่งมาถึงริมแม่น้ำลกซุยปรากฏท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมพายุแรงกล้า ก้อนศิลาปลิวว่อนกระเด็นมาจากภูเขา น้ำในแม่น้ำลกซุยเป็นหมอกมืดมัวทั่วไป และบังเกิดคลื่นขนาดใหญ่ไม่อาจข้ามแม่น้ำไปได้

            อุยเอี๋ยนรั้งรออยู่ที่ริมแม่น้ำเป็นเวลานาน ความวิปริตทั้งนั้นก็ไม่สร่างซา จึงรู้สึกผิดปกติ อุยเอี๋ยนจึงขี่ม้ามาที่กองทัพหลวง รายงานความทั้งปวงให้ขงเบ้งทราบ

            ขงเบ้งทราบความก็รู้สึกว่าเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติ จึงขี่เกวียนน้อยพร้อมด้วยทหารองครักษ์ไปที่ริมแม่น้ำลกซุย ได้ยินเสียงลมดุจดังเสียงปีศาจร้องไห้โหยหวนสะเทือนจิตสะท้านใจยิ่งนัก บรรยากาศมืดครึ้มเย็นยะเยือกหัวใจ คลื่นใหญ่ถาโถมเข้าสู่ฝั่งไม่ขาดระยะ จนถึงเวลาค่ำก็บังเกิดดวงไฟขนาดเท่าไข่ไก่นับหมื่นดวงลอยอยู่ท่ามกลางหมอกในแม่น้ำลกซุยนั้น

            ขงเบ้งจึงเรียกเบ้งเฮ็กมาถามว่า ปรากฏการณ์ประหลาดฉะนี้มีมาแต่สาเหตุประการใด

            เบ้งเฮ็กจึงว่า ปรากฏการณ์เช่นนี้เคยเป็นมาช้านานแล้ว ด้วยในแม่น้ำลกซุยมีวิญญาณปีศาจร้ายสิงสถิต คอยรบกวนอาณาประชาราษฎรอยู่เสมอ เพื่อเรียกร้องเอาของเซ่น มิฉะนั้นความวิปริตก็ทวีความรุนแรงขึ้น

            ขงเบ้งจึงถามว่าจะเซ่นสรวงด้วยสิ่งใด เบ้งเฮ็กจึงบอกว่าจะต้องตัดศีรษะคนสี่สิบเก้าศีรษะ พร้อมด้วยเลือดของม้าเผือก กระบือดำ มาเซ่นสรวงที่ริมแม่น้ำ ความวิปริตจึงจะหาย ขอมหาอุปราชได้ทำพิธีบวงสรวงตามแบบฉบับที่เคยทำมานั้นเถิด จะได้ข้ามแม่น้ำไปได้โดยสะดวก

            ขงเบ้งได้ฟังก็ส่ายหน้า แล้วว่า “เราทำศึกกับท่านจนเสร็จการ แผ่นดินราบคาบถึงเพียงนี้ คนแก่คนหนึ่งก็มิตายเพราะมือเรา บัดนี้กลับมาถึงแม่น้ำลกซุยจะเข้าแดนเมืองอยู่แล้ว จะมาฆ่าคนเสียนั้นไม่ชอบ”

            ขงเบ้งยังคงยืนจ้องมองอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ เห็นเหตุการณ์วิปริตค่อย ๆ รุนแรงขึ้น ลมพายุพัดแรงกล้าขึ้นกว่าเก่า เศษไม้และก้อนศิลาปลิวว่อน เสียงลมดังหวีดหวิววิเวกสะเทือนสะท้านใจดุจดั่งเสียงร่ำไห้ของคนนับหมื่นแสน น้ำในแม่น้ำเป็นคลื่นใหญ่ครืนครั่นสนั่นตลอดริมแม่น้ำ มีดวงไฟสีเขียวดั่งแสงหิ่งห้อยลอยกรีดหวีดหวิวในท่ามกลางสายหมอกทึบ สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “แต่เวลาพลบค่ำไปจนสว่างได้ยินเสียงปีศาจร้องอื้ออึงไป เห็นรูปปลิวขึ้นไปตามควันหมอกเป็นอันมาก มิได้มีผู้ใดจะอาจข้ามไปมาได้”

            ในยามดึกของคืนนั้นขงเบ้งแต่งกายด้วยชุดนักพรตในลัทธิเต๋า สวมหมวกที่สานด้วยหญ้า มือถือพัดขนนก ออกจากค่ายพักมายืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำอีกครั้งหนึ่ง ทอดสายตามองปรากฏการณ์ประหลาดอย่างสงบเยือกเย็น ด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นบริสุทธิ์และกล้าแกร่ง เพ่งพินิจทอดสายตาไปตามดวงไฟที่ร่อนปลิวท่ามกลางหมอกทึบ แล้วหลับตาพริ้มอยู่ครู่หนึ่ง.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘