ตอนที่ 502. ยุทธการเพลิงสยอง

ลุดตัดกุดหัวหน้าชนเผ่ากลุ่มน้อยได้ยกกองทัพทหารเกราะหวายไปช่วยเบ้งเฮ็กเพื่อจะตีเมืองงินแขกลับคืน อาวุธทหารเมืองเสฉวนไม่สามารถระคายเกราะหวายแช่น้ำมันได้ ขงเบ้งจึงคิดกลอุบายลวงให้ทหารลุดตัดกุดกำเริบ ไล่ตามเข้าไปในหุบเขางูเลื้อย โดยแกล้งให้อุยเอี๋ยนแสร้งรบแพ้ในระยะเวลาสิบห้าวันถึงสิบห้าครั้ง ละทิ้งค่ายถึงเจ็ดค่าย

            ลุดตัดกุดได้ฟังคำท้วงของเบ้งเฮ็กที่ให้รั้งทัพตั้งค่ายในหุบเขางูเลื้อย ดูท่าทีกองทัพเมืองเสฉวนก่อนก็เห็นด้วย จึงสั่งให้ทหารตั้งค่ายและหยุดพักในหุบเขางูเลื้อยคืนหนึ่ง

            พอยามบ่ายวันรุ่งขึ้นอุยเอี๋ยนก็ยกทหารมาล่อรบทหารออโกก๊กอีก ลุดตัดกุดยังคงลำพองใจในชัยชนะที่ได้มาอย่างต่อเนื่อง จึงสั่งให้เบ้งเฮ็กอยู่รักษาค่าย แล้ว “แต่งตัวห่มเกราะประดับพลอย ใส่ลูกประคำคอ ขึ้นขี่ช้างออกหน้าทหาร” ยกออกไปรบกับอุยเอี๋ยน

            อุยเอี๋ยนเห็นลุดตัดกุดยกทหารออกมาดังนั้นก็แสร้งด่าว่ายั่วยุเป็นหยาบช้า ลุดตัดกุดโกรธอุยเอี๋ยนเป็นอันมาก จึงไสช้างนำทหารเข้าโจมตีทหารของอุยเอี๋ยน อุยเอี๋ยนทำทีจะเข้าปะทะแต่เมื่อใกล้ถึงช้างของลุดตัดกุดก็ทำทีเป็นตกใจกลัว ชักม้าพาทหารหนี ลุดตัดกุดเห็นได้ทีก็ไสช้างพาทหารไล่ตามตีอุยเอี๋ยนลึกเข้าไปในหุบเขางูเลื้อย เห็นธงทิวจำนวนมากปักอยู่บนแนวผาแต่ไม่เห็นมีทหารซุ่มซ่อน ทั้งในหุบเขานั้นก็เป็นที่ราบ ไม่สามารถซุ่มซ่อนทหารหรือวางกลอุบายใด ๆ ได้

            ลุดตัดกุดเห็นดังนั้นก็สำคัญว่าขงเบ้งปักธงทิวหลอกลวงว่ามีทหารซุ่มซ่อนเพื่อไม่ให้ติดตามก็ยิ่งกำเริบใจ จึงเร่งฝีเท้าช้างนำหน้าทหารไล่ตามอุยเอี๋ยนต่อไป จนเวลาค่ำก็ถึงทุ่งราบกว้างในหุบเขาจุดที่ม้าต้ายซุ่มอยู่แต่ไม่เห็นผู้คนหรือแสงไฟ เห็นแต่เกวียนเหมือนกับเกวียนบรรทุกเสบียงจอดระเกะระกะอยู่ในหุบเขา ก็สำคัญว่าทหารเมืองเสฉวนรีบหนีเอาเสบียงตามไปไม่ทันจึงทิ้งเสบียงไว้ในหุบเขา ความกำเริบใจก็ยิ่งมากขึ้น จึงคิดว่าจำจะไล่ตามจับอุยเอี๋ยนให้ได้ก่อนแล้วค่อยกลับมายึดเกวียนเสบียง

            คิดดังนั้นแล้วลุดตัดกุดก็รีบพาทหารเร่งตามอุยเอี๋ยนไปตามช่องเขา  แต่เป็นทางแคบ ทหารเกราะหวายเกือบทั้งหมดจึงคั่งกันอยู่ในทุ่งราบกว้างนั้น ทหารเกราะหวายจำนวนน้อยที่สามารถไล่ตามจนถึงปลายซอกเขาอันเป็นจุดที่จูล่งซุ่มทหารไว้ ก็เห็นทหารเมืองเสฉวนซึ่งอยู่บนหน้าผาช่วยกันขนก้อนศิลาและกิ่งไม้ปิดกั้นทางไม่ให้ไล่ตามไปได้

            ลุดตัดกุดเห็นดังนั้นก็สำคัญว่าทหารเมืองเสฉวนจวนตัวหนีไม่พ้น จึงใช้ก้อนศิลาและกิ่งไม้ปิดกั้นซอกเขาขวางทางเคลื่อนทัพ จึงสั่งทหารให้เข้าไปขนก้อนศิลาและกิ่งไม้ออกไปให้พ้นเส้นทาง

            ในขณะที่ทหารส่วนหน้าของกองทัพเกราะหวายกำลังสาละวนอยู่กับการรื้อขนกิ่งไม้และก้อนศิลา และกองทหารส่วนใหญ่ยังคงออกันอยู่ที่เนินราบกว้างในหุบเขานั้น จูล่งก็ให้ทหารจุดประทัดสัญญาณขึ้น ในทันใดนั้นแสงเพลิงก็ลุกโชติช่วงขึ้นที่ปลายทางและสองข้างทางเป็นอันมาก แสงไฟสว่างโชติช่วงทั้งปลายหุบเขา ควันคละคลุ้ง ประสานกับเสียงม้าล่อฆ้องกลองและเสียงโห่ร้องของทหารเมืองเสฉวน ลุดตัดกุดเห็นดังนั้นก็รู้ว่าต้องกล จึงสั่งทหารให้ล่าถอยกลับไปในทางเดิม

            แต่พอหันหลังกลับก็เห็นจุดที่เกวียนจอดอยู่นั้นเกิดแสงไฟลุกขึ้น มีเสียงระเบิดซึ่งฝังไว้ในเกวียนดังสนั่นหวั่นไหว ทหารเกราะหวายแช่น้ำมันทั้งสามหมื่นคนตกอยู่ในท่ามกลางกองเพลิงทั้งด้านหน้าด้านหลัง ต่างพากันวิ่งหนีจ้าละหวั่น จะปีนขึ้นหน้าผาก็ไม่ได้เพราะเป็นหน้าผาสูงชัน ทั้งทหารเมืองเสฉวนได้ปรากฏกายขึ้นตามแนวหน้าผาแล้วยิงธนูเพลิงเป็นอันมากมาที่ทหารเกราะหวาย ธนูเพลิงถูกเกราะหวายเมื่อใดไฟก็ลุกพรึบท่วมตัวเมื่อนั้น

            เพลิงได้โหมประสานกับเสียงประทุของระเบิดที่ฝังไว้ในเกวียนทั้งสิบเล่ม และตามแนวพื้นในทุ่งราบกระหนาบเข้ามาทั้งหน้าหลัง เกราะหวายแช่น้ำมันซึ่งสามารถป้องกันศาสตราวุธทั้งปวงได้ แต่พอถูกเปลวเพลิงกลับกลายเป็นเชื้อเพลิงอันวิเศษ เปลวเพลิงต้องเกราะหวายจุดไหนไฟก็ลุกขึ้นที่จุดนั้น ทหารออโกก๊กจะดับไฟตามเสื้อเกราะก็ไม่ทัน เพราะน้ำมันอันแช่ซึมอยู่ในเกราะหวายเป็นเชื้อให้ไฟไหม้เกราะหวายนั้นอย่างรวดเร็ว จะแกะเสื้อหวายออกก็ไม่ได้ เพราะรัดแน่นอยู่กับตัว

            ทหารนักรบเกราะหวายของลุดตัดกุดถูกเพลิงไหม้ร้องครวญครางอย่างน่าเวทนากระหึ่มไปทั้งหุบเขา แสงเพลิง เสียงประทุของระเบิดและเสียงร้องไห้โหยหวนราวกับเสียงปีศาจร่ำให้ระงมไป เพียงครู่เดียวเพลิงก็ลุกไหม้ท่วมตัวทหารเกราะหวายทั้งสามหมื่นคน ทำให้หุบเขางูเลื้อยซึ่งเป็นที่โล่งเตียนไม่มีเชื้อไฟได้อาศัยเกราะหวายแช่น้ำมันนั่นแล้วเป็นเชื้อไฟอันดีสำหรับเผาทหารนักรบที่เข้มแข็งแกร่งกล้าแห่งออโกก๊กจนเป็นจุณ

            ตัวลุดตัดกุดเองก็ถูกไฟไหม้เสื้อเกราะดิ้นรนร้องไห้ครวญครางเช่นเดียวกับทหารทั้งปวง สามก๊กฉบับสมบูรณ์ได้พรรณนาการวางเพลิงเผาทหารลุดตัดกุดของขงเบ้งในครั้งนี้ว่า “บนเขาทั้งสองฟากต่างทิ้งคบเพลิงลงมา คบเพลิงตกลงไปที่ใด ครั้นไหม้ถูกชนวนไฟไปกระทบถูกดินปืน ลูกปืนเหล็กก็ระเบิดบินว่อน บัดนี้แสงเพลิงภายในหุบเขาได้ระเริงรำอย่างโกลาหล แม้นพบเสื้อเกราะหวายไม่มีว่าไม่ติดเพลิงไฟ ทหารเสื้อเกราะหวายสามหมื่นคนของลุดตัดกุดถูกเพลิงไหม้เผาผลาญ ต่างกอดกันตัวกลม ตายอยู่ภายในหุบเขา”

            และได้พรรณนาสภาพของทหารนักรบเกราะหวายว่า “ถูกเพลิงไหม้เผาคลอก บ้างก็ยื่นหมัด บ้างก็เหยียดขา ส่วนใหญ่ถูกลูกปืนตีจนหน้าตาศีรษะแตกกระจายแหลกราน ล้วนตายอยู่ในหุบเขา กลิ่นเหม็นจนทนไม่ได้”

            ลุดตัดกุดและทหารนักรบเกราะหวายสามหมื่นคนได้ถูกเพลิงคลอกตายทั้งเป็นอย่างทารุณในหุบเขางูเลื้อยนั้น

            ในขณะนั้นขงเบ้งพร้อมทหารองครักษ์ยืนสังเกตการณ์อยู่บนยอดเขาใกล้กับค่ายเบ้งเฮ็ก เห็นเพลิงคลอกทหารนักรบเกราะหวายร้องไห้โหยหวนล้มตายลงอย่างรวดเร็ว กลิ่นไฟไหม้ศพเหม็นคละคลุ้งไปทั้งหุบเขา แล้วโชยลอยมาบนยอดเขา กระทบกับจมูกของขงเบ้ง

            ขงเบ้งได้กลิ่นสะอิดสะเอียนเหม็นเขียวของควันไฟที่ไหม้ศพทหารออโกก๊ก ต้องถอยหลังหลบควันไฟออกมาสามสี่ก้าว พลางรำพึงว่าชีวิตเรานี้ได้สังหารผลาญชีวิตมนุษย์มากมายเหลือเกินแล้ว เห็นทีชีวิตเราจะไม่ยืนยาวสืบไป

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) บรรยายความรู้สึกของขงเบ้งว่า “ขงเบ้งคิดสังเวชน้ำตาตก ว่าเราทำการครั้งนี้ถึงจะได้บำเหน็จความชอบสักเท่าใดก็ดี เห็นอายุเราจะสิ้นเสียมั่นคงเพราะฆ่าชีวิตสัตว์เสียมากนัก ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็คิดสงสาร ทอดใจใหญ่ทุกคน”

            สามก๊กฉบับวิจารณ์บางฉบับระบุว่ากลิ่นศพที่ฉุนเฉียวเหม็นคลุ้งทำให้ขงเบ้งหน้ามืดตาลาย ทรุดตัวลงนั่งบนก้อนหินในที่ใกล้ ปลงสังเวชให้กับตนเองว่าตัวเราก็ถือพรตในลัทธิเต๋า อันต้องห้ามมิให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่เราได้ละเมิดพรตแห่งเต๋า สังหารผลาญชีวิตมนุษย์เป็นจำนวนมาก เมื่อครั้งทุ่งพกบ๋องก็ได้วางเพลิงเผาทหารโจโฉถึงสิบหมื่น ที่แม่น้ำแปะโหเล่าก็ไขน้ำท่วมทหารโจโฉเสียอีกสิบหมื่น ในสงครามเซ็กเพ็กก็ได้คิดอ่านผลาญทหารโจโฉเกือบแปดสิบหมื่น และยังได้ผลาญชีวิตผู้คนในสงครามใหญ่น้อยอีกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งครั้งนี้ซึ่งได้เห็นอาการที่ทหารถูกไฟคลอกตำตาก็น้ำตาไหลพราก ตระหนักว่าอำนาจวาสนาและความสำเร็จในการบัญชาการทหารนั้นล้วนตั้งอยู่บนความวายวอดของชีวิตสัตว์จำนวนมากมายมหาศาล ซึ่งโบราณว่าผู้ทำการเบียดเบียนชีวิตสัตว์และมนุษย์ย่อมมีอายุสั้น ขงเบ้งรำพึงดังนั้นแล้วก็คาดหมายชะตาตนว่าเห็นอายุจะไม่ยืนยาวสืบไป การซึ่งจะรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่ง ทำนุบำรุงพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้เป็นจักรพรรดิครองแผ่นดินจีนแต่ผู้เดียวสนองพระคุณพระเจ้าเล่าปี่เจ้านายผู้ภักดีแห่งตน เห็นจะไม่แล้วเสร็จสิ้นภารกิจในชีวิตนี้ และเมื่อเป็นเช่นนี้จ๊กก๊กก็จะตกอยู่ในความเสี่ยงภัย จำจะต้องกำราบปรามวุยก๊กให้เข็ดขยาดไม่กล้าที่จะยกมารบกับจ๊กก๊ก ถึงแม้ว่าตัวเราจะสิ้นบุญไปแล้วก็ตามที ขงเบ้งเล็งการข้างหน้าดังนี้ก็รันทดหดหู่ใจยิ่งนัก

            พอขงเบ้งตั้งสติได้ ก็สั่งให้อองเป๋งและเตียวเอ๊กรีบยกทหารไปตีค่ายของเบ้งเฮ็กที่ริมแม่น้ำโท้ฮัวสุย กำชับให้จับตัวนางจกหยงภรรยาของเบ้งเฮ็กกับพรรคพวกไว้ให้จงสิ้น แล้วสั่งเตียวหงีให้คุมทหารพม่าที่เกลี้ยกล่อมได้ทำทียกกลับไปหาเบ้งเฮ็กที่ต้นซอกเขา ให้ไปลวงเบ้งเฮ็กว่าบัดนี้ลุดตัดกุดล้อมขงเบ้งไว้ได้มั่นคงแล้ว ให้เบ้งเฮ็กรีบยกทหารหนุนไปช่วย

            อองเป๋งและเตียวเอ๊กรับคำสั่งขงเบ้งแล้วจึงรีบยกทหารไปที่ค่ายของเบ้งเฮ็ก ส่วนเตียวหงีรับคำสั่งขงเบ้งแล้วก็พาทหารพม่าซึ่งเกลี้ยกล่อมเป็นเชลยกลับไปที่ต้นซอกเขา แล้วบอกเบ้งเฮ็กตามที่ขงเบ้งวางแผนการทุกประการ

            เบ้งเฮ็กเห็นทหารซึ่งมาบอกข่าวนั้นเป็นชนเผ่าพม่าด้วยกันก็วางใจ รีบพาทหารตามลุดตัดกุดไป แต่เมื่อยกไปใกล้ก็เห็นแสงไฟลุกโชติช่วง กลิ่นเหม็นของซากศพโชยมาตามลม เบ้งเฮ็กสัมผัสสภาพเช่นนั้นก็หวั่นใจว่าต้องกลอุบายถูกลวงเข้าบ่วงกลของขงเบ้งอีก จึงชะงักม้าแล้วออกคำสั่งให้ทหารรีบถอยกลับไปตามเส้นทางเดิม

            ในทันใดนั้นเสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้น ม้าตงได้คุมทหารตีกระหนาบเข้ามาจากข้างซอกเขา สมทบกับทหารของเตียวหงี โจมตีทหารของเบ้งเฮ็กอย่างรวดเร็ว เบ้งเฮ็กก็เร่งร้องด้วยเสียงอันดังให้ทหารรีบตีฝ่าถอยออกไป

            ตัวเบ้งเฮ็กรีบขี่ม้าตีฝ่าหนีกลับไปตามเส้นทางเดิม พอไปถึงทางแยกย่อยของซอกเขาก็เห็นแสงเพลิงสว่างบนเนินเขา เบ้งเฮ็กรู้สึกประหลาดใจมองตามแสงเพลิงขึ้นไป เห็นขงเบ้งนั่งอยู่บนเกวียนน้อย มีทหารองครักษ์ล้อมรอบ ในทันใดนั้นขงเบ้งก็ร้องกล่าวกับเบ้งเฮ็กว่า “อ้ายโจรขบถ มึงจะหนีไปไหนเล่า” กล่าวแล้วขงเบ้งก็สั่งให้ทหารเข็นเกวียนและยกกลับไปค่าย

            ฝ่ายเบ้งเฮ็กเห็นดังนั้นก็ตกใจ ไม่กล้าตอบคำใด ๆ กับขงเบ้ง รีบควบม้าหนี ในพลันนั้นม้าต้ายก็คุมทหารออกจากทางแยก รุกเข้าล้อมเบ้งเฮ็กไว้และจับตัวเบ้งเฮ็กได้โดยละม่อม ม้าต้ายให้ทหารมัดตัวเบ้งเฮ็กกลับไปที่ค่ายเพื่อจะนำตัวไปมอบแก่ขงเบ้ง

            ขงเบ้งกลับไปถึงค่ายแล้วก็เรียกทหารซึ่งรักษาค่ายมาประชุมแล้วกล่าวว่า “เราคิดกลอุบายทำการได้ชัยชนะศึกครั้งนี้ แต่ทหารเลวคนหนึ่งก็มิได้เสีย เมื่อลุดตัดกุดไล่อุยเอี๋ยนไปถึงชายเขานั้นเราเอาแต่ธงไปปักลวงไว้ในป่า ก็สำคัญว่าทหารตั้งอยู่เป็นอันมาก หาอาจจะยกตามไปไม่ กลับไล่อุยเอี๋ยนขึ้นไปบนเนินเขา เราจึงให้ม้าต้ายเอาเกวียนเปล่า ซึ่งบรรทุกดินน้ำมันดำนั้นออกทิ้งไว้กลางทาง แล้วเราให้เอาประทัดเหล็กลงฝังดินล่ามสายชนวนทำกลไว้เป็นอันมาก ลุดตัดกุดโอหังความคิดน้อยก็เสียทีแก่เรา อนึ่งลุดตัดกุดแกล้งมาตั้งอยู่ริมแม่น้ำโท้ฮัวสุยหวังจะลวงเราให้ตายด้วยน้ำร้าย เราคิดเห็นว่าทหารลุดตัดกุดใส่เสื้อเกราะหวายชุบน้ำมัน เราจึงเอาเพลิงร้ายออกลวงบ้าง ก็แพ้รู้เสียทีแก่เรา บัดนี้ทหารลุดตัดกุดที่มีฝีมือพากันตายเสียในเพลิงนี้สิ้น เราก็คิดถึงโทษตัวสังเวชใจนัก เดชะผลที่เราตั้งใจทำราชการสนองพระคุณเจ้าโดยสุจริต ขออย่าให้เป็นเวรต่อกันสืบไปเลย”

            ขงเบ้งกล่าวความประหนึ่งอรรถาธิบายแผนการรบครั้งนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ทั้งยังได้กล่าวขออโหสิกรรมแก่ผู้ตายทั้งหลายอย่าได้จองเวรต่อกัน ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นต่างพากันสรรเสริญสติปัญญาความคิดของขงเบ้งเป็นอันมาก พากันคุกเข่าคำนับขงเบ้งพร้อมกันแล้วกล่าวว่า “อันความคิดมหาอุปราชนี้ลึกซึ้งหลักแหลมนัก อย่าว่าแต่มนุษย์เลย ถึงปีศาจแลเทพารักษ์ซึ่งสำแดงฤทธิ์เดชต่าง ๆ ก็หารู้ถึงกลมหาอุปราชไม่”

            ครู่หนึ่งม้าต้ายและทหารซึ่งยกไปทำการด้านต่าง ๆ ได้พากันกลับมาถึงค่าย มัดเอาตัวเบ้งเฮ็ก เบ้งฮิว ตั้วไหล และนางจกหยงเข้ามาหาขงเบ้ง

            ขงเบ้งเห็นดังนั้นจึงลงมาจากที่ว่าราชการ แก้มัดเบ้งเฮ็ก เบ้งฮิว ตั้วไหลและนางจกหยง พลางยิ้มให้ แล้วขึ้นไปนั่งบนที่ว่าราชการตามเดิม โดยมิได้พูดจาแต่ประการใด เบ้งเฮ็กก็พูดจาประการใดไม่ออก คุกเข่าลงคำนับขงเบ้งแล้วนิ่งอยู่

            ครู่หนึ่งขงเบ้งจึงสั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเบ้งเฮ็ก เบ้งฮิว ตั้วไหลและนางจกหยง แล้วเชิญดื่มสุราแต่มิได้พูดจาประการใด โดยขงเบ้งนั่งกินโต๊ะอยู่ในที่ไกลกับเบ้งเฮ็ก แต่พอกล่าวให้ได้ยินเสียง.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘