ตอนที่ 49. ล้างอำนาจทรราชย์

ขบวนของตั๋งโต๊ะเร่งรุดเข้าเมืองหลวง ในขณะที่ตัวตั๋งโต๊ะเองนั้นกระหยิ่มยิ้มย่องที่จะได้ครองราชสมบัติ ฝ่ายขุนนางข้าราชการได้มาตั้งขบวนรอรับที่ประตูกำแพงพระนครตามปกติ เว้นแต่ลิยูนั้นไม่มาต้อนรับอ้างว่าป่วย

            การป่วยของลิยูครั้งนี้อาจเป็นการป่วยการเมืองเพราะไม่พอใจตั๋งโต๊ะที่ไม่ฟังคำตัวในเรื่องที่เสนอให้ยกเตียวเสี้ยนแก่ลิโป้ก็เป็นได้ หรือแกล้งงอนให้ตั๋งโต๊ะไปง้อก็เป็นได้ หรือมิฉะนั้นคนฉลาดแบบลิยูอาจคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจึงแสร้งหลบภัยเสีย

            เมื่อขบวนของตั๋งโต๊ะมาถึงประตูพระนคร บรรดาขุนนางข้าราชการได้เข้าไปคารวะตามธรรมเนียมแล้ว ก็ร่วมขบวนเดินทางเข้าในพระนคร ถึงจวนตั๋งโต๊ะเป็นเวลาค่ำก็ลากลับบ้าน

            ตั๋งโต๊ะมาถึงจวนเห็นลิโป้จึงว่ากับลิโป้ว่าเมื่อใดที่เราได้ราชสมบัติจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ลิโป้ก็ค้อมตัวลงคำนับตั๋งโต๊ะทำทีเป็นยินดีด้วย

            ครั้นค่ำลงเป็นคืนเดือนหงายตั๋งโต๊ะได้ยินเสียงเด็กยี่สิบสามสิบคนร้องรำทำเพลงอยู่ข้างนอกด้วยทำนองเศร้าสลดดุจเสียงคนร้องไห้เป็นความว่า

“ตฤณชาติปลายวสันต์    ทุกคืนวันเขียวขจี
มินานวสันต์ลี้    ที่ขจีก็แห้งตาย”

            ตั๋งโต๊ะจึงถามลิซกซึ่งยังคงติดตามและควบคุมสถานการณ์อยู่ว่าการร้องรำทำเพลงของเด็กเช่นนี้จะดีร้ายประการใด ลิซกจึงว่านี่เป็นศุภนิมิตว่าราชวงศ์ฮั่นจะดับสูญ “แซ่เล่า” จะร่วงโรย “แซ่ตั๋ง” จะรุ่งเรืองเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ตั๋งโต๊ะได้ฟังก็ยินดีเป็นยิ่งนัก

            รุ่งขึ้นตั๋งโต๊ะก็แต่งตัวแล้วเดินทางจะไปเข้าเฝ้า ระหว่างทางพบนักพรตในลัทธิเต๋าใส่เสื้อคลุมสีเขียว ผ้าโพกหัวสีขาว มือถือไม้คันยาว ผูกผ้าขาวห้อยคล้ายธงแขวน มีอักษรจีนตัว “เคา” สองตัวอยู่คู่กัน

            ตั๋งโต๊ะสงสัยจึงถามลิซกว่าเต้าหยินกระทำเช่นนี้มีความหมายว่าอย่างไร ลิซกเห็นการกระทำของเต้าหยินแล้วก็ทราบความกระจ่างว่า อักษรจีนคำว่า “เคา” สองตัวนั้นเมื่อรวมกันแล้วก็จะเป็นคำว่า “ลิ” ส่วนผ้าขาวนั้นเรียกว่า “โป้” อาการของนักพรตดังคนไว้ทุกข์งานศพจึงหมายความว่าตั๋งโต๊ะจะเป็นศพเพราะลิโป้

            ดังนั้นลิซกจึงแกล้งกล่าวว่านักพรตผู้นี้เป็นคนวิกลจริต ซึ่งเป็นที่รู้กันดีในย่านนี้มิได้มีความหมายอย่างใดอันควรแก่การสนใจไม่ แล้วจึงสั่งให้ทหารไล่นักพรตออกไปเสียจากแนวทาง

            นิมิตและลางร้ายเกิดขึ้นหลายครั้งหลายครา ถ้าหากตาไม่บอดหูไม่หนวกและปัญญาไม่ถูกปิดบังด้วยความโลภและความมักใหญ่ใฝ่สูงที่คิดชิงเอาราชสมบัติแล้ว อย่าว่าแต่ระดับตั๋งโต๊ะเลย แม้คนธรรมดาสามัญก็อาจสังเกตและเข้าใจความหมายของนิมิตและลางร้ายเหล่านั้นได้

            ตั๋งโต๊ะเองหลังประสบนิมิตและลางร้ายหลายครั้งก็คงเห็นผิดสังเกต แต่ไม่เข้าใจด้วยความหลงของตนสถานหนึ่งและด้วยกลพิดทูลของลิซกผู้เป็นยมทูตอีกสถานหนึ่ง ดังนั้นตั๋งโต๊ะจึงไม่หยุดยั้งรั้งรอถอยกลับมาตั้งหลักดังที่พิชัยสงครามว่าไว้ คงรุดหน้าต่อไปจนใกล้ประตูยมโลกมากขึ้นทุกที

            ขบวนของตั๋งโต๊ะเคลื่อนมาถึงประตูพระราชวังแล้ว กองทหารที่มากับขบวนก็หยุดอยู่ที่ประตูนั้น คงมีแต่ตั๋งโต๊ะนั่งรถไปพร้อมกับทหารติดตามราวยี่สิบคน โดยมีลิซกเป็นผู้นำขบวนเข้าไป ท่ามกลางการตั้งแถวรับขบวนของขุนนางข้าราชการตั้งแต่ประตูพระราชวังไปจนถึงพระที่นั่งอันเป็นท้องพระโรง

            ตั๋งโต๊ะสังเกตเห็นที่หน้าประตูท้องพระโรงนั้น ขุนนางถือกระบี่ประจำกายอยู่ทุกคนก็พรั่นใจ จึงถามลิซกว่าการที่ขุนนางเหล่านั้นถือกระบี่หมายความว่าอย่างไร ลิซกไม่ยอมตอบรีบเคลื่อนรถของตั๋งโต๊ะเข้าประตูท้องพระโรงไป

            ทันใดนั้นอ้องอุ้นตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ไอ้ศัตรูราชสมบัติมาถึงแล้ว จงลงมือพร้อมกันเถิด บรรดาทหารที่อ้องอุ้นซุ่มไว้จึงตรูกันเข้ามาล้อมรถ เอาทวนไล่แทง ตั๋งโต๊ะ

            ตั๋งโต๊ะเห็นดังนั้นก็ตกใจหลบทวนไปมาอยู่ในรถ ปากก็ตะโกนเรียกหาลิโป้ให้ช่วย ลิโป้ก้าวออกมาแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าทรงมีพระบรมราชโองการให้ประหารศัตรูราชสมบัติเสีย ว่าแล้วก็เอาทวนแทงที่คอหอยของตั๋งโต๊ะถึงแก่ความตายในทันที

            ลิโป้อัศวินงูเห่าบัดนี้ได้กัดเอาบิดาบุญธรรมคนที่สองตายไปต่อหน้าต่อตา เหล่าขุนนางด้วยอานุภาพแห่งพลังเสน่หาอันอำมหิตยิ่งนัก

            ตั๋งโต๊ะได้ตัวลิโป้มาพร้อมกับศีรษะของเต๊งหงวนบิดาบุญธรรมคนก่อนของลิโป้ แล้วรับเอาลิโป้มาเป็นบุตรบุญธรรม ณ บัดนี้ตั๋งโต๊ะก็ต้องเสียหัวของตัวไปพร้อม ๆ กับการที่ลิโป้ได้กลายเป็นบุตรเขยของอ้องอุ้น

            ความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ของลิยู กุนซือเจ้าความคิดของตั๋งโต๊ะคือการปล่อยปละละเลยไม่ขัดขวางคัดค้านในการที่ตั๋งโต๊ะให้เอางูเห่าเช่นลิโป้ไว้ใกล้กาย นี่แหละที่โบราณว่า “สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง”

            ลิซกได้ตัดศีรษะตั๋งโต๊ะแล้วประกาศว่าบัดนี้ศัตรูราชสมบัติตายแล้ว แผ่นดินแลอาณาประชาราษฎรจะเป็นสุขสืบไป บรรดาขุนนางข้าราชการจึงยินดีโห่ร้องกันถ้วนหน้า

            ลิโป้ประกาศขึ้นต่อหน้าขุนนางว่าการที่ตั๋งโต๊ะกระทำการชั่วช้าได้เพราะอาศัยความคิดลิยู จึงจำเป็นที่จะต้องฆ่าลิยูเสียอีกคนหนึ่ง ลิซกขันอาสาแล้วคุมทหารไปยังบ้านลิยู จับลิยูพร้อมบุตรภรรยา และคนในบ้านสังหารเสียทั้งสิ้น

            จากนั้นอ้องอุ้นจึงสั่งให้ทหารเอาศพตั๋งโต๊ะไปตระเวนรอบพระนคร แล้วเอามาตั้งประจานไว้ที่ทางสามแพร่งนอกกำแพงพระนคร ให้ทหารเฝ้ารักษาศพนั้นไว้ ทหารนั้นมีความชิงชังตั๋งโต๊ะนัก จึงเอาไส้ตะเกียงเจาะใส่ลงที่ท้องของศพ แล้วจุดไฟแทนตะเกียง

            ข้าราชการและชาวเมืองรู้ข่าวตั๋งโต๊ะตายแล้วก็พากันมารุมด่าว่าศพตั๋งโต๊ะ บ้างก็ถุยน้ำลายใส่ บ้างก็เอาเท้าเหยียบ บ้างก็ปัสสาวะรด บ้างก็เอาก้อนหินขว้าง บ้างก็เอาไม้ทุบตีจนศพตั๋งโต๊ะแหลกละเอียดจึงเอาไปฝังที่นอกกำแพงพระนครนั้น

            พลันที่จอมทรราชย์ตั๋งโต๊ะศีรษะหลุดจากร่าง อำนาจรัฐในมือก็หลุดลอยเลื่อนไหล ในที่สุดก็ไหลสู่มืออ้องอุ้นในฐานะที่เป็นขุนนางผู้ใหญ่ และเป็นผู้นำในการก่อการรัฐประหารครั้งนี้

            อ้องอุ้นนั้นแรกเริ่มเดิมทีคิดแต่เพียงกำจัดทรราชย์ตั๋งโต๊ะเพื่อความผาสุขของบ้านเมือง แต่ครั้นสังหารตั๋งโต๊ะและครองอำนาจรัฐไว้ในมือแล้ว ความคิดก็เริ่มเฉไฉไปจากเดิม คิดล้างบางอำนาจตั๋งโต๊ะแบบถอนรากถอนโคน ใครเป็นพวกตั๋งโต๊ะ เคยร่วมงานกับตั๋งโต๊ะเป็นต้องฆ่าให้เรียบราบ

            ดังนั้นอ้องอุ้นจึงสั่งให้ลิโป้ ลิซกและฮองฮูโก๋ ยกทหารห้าหมื่นจากเมืองหลวงไปเมืองหลวงแห่งที่สองเพื่อสังหารพวกตั๋งโต๊ะเสียให้สิ้น

            ฝ่ายลิฉุย กุยกี เตียวเจ และหวนเตียว สี่ทหารเอกซึ่งตั๋งโต๊ะให้รักษาเมือง ครั้นรู้ข่าวตายของตั๋งโต๊ะและรู้ว่าลิโป้กำลังยกทหารมาที่เมืองหลวงแห่งที่สองก็รีบพาทหารสามพันที่รักษาเมืองนั้นรีบยกหนีไปอยู่เมืองเชียงไส กองทัพของลิโป้จึงยกเข้าเมืองโดยสะดวก

            เมื่อเข้าเมืองได้แล้วตัวลิโป้รีบตรงไปที่ตำหนักของตั๋งโต๊ะ รับเอาเตียวเสี้ยนเข้ามาแนบในอ้อมอก กอดจูบแล้วพาเข้าที่ด้วยความเร่าร้อนแห่งเพลิงพิศวาส ดุจครั้ง หนุมานพิศวาสนางสุพรรณมัจฉา ซึ่งรามเกียรติ์พรรณนาไว้ว่า

     “ว่าพลางอิงแอบแนบชิด
     จุมพิตปรางเปรมนาสา
ค่อยประคองต้องเต้าสุมณฑา
วายุพัด พัดมาอึงอล
พระสมุทรตีฟองนองระลอก
คลื่นกระฉอกซัดฝั่งกุลาหล
เมฆมัวทั่วทิศโพยมบน
ฝนสวรรค์พลอยพรมสุมาลี
อันดวงโกสุมปทุมมาลย์
ก็เบ่งบานคลี่คลายเกสรศรี
สองสมชมรสฤาดี
ต่างเกษมเปรมปรีดิ์ทั้งสองรา”

            ในขณะที่ลิโป้เข้ามาที่ตำหนักของตั๋งโต๊ะนั้น ลิซกได้คุมทหารเข้าไปจับเอามารดาอายุเก้าสิบเศษของตั๋งโต๊ะพร้อมด้วยญาติพี่น้องและผู้คนในบ้านฆ่าเสียทั้งสิ้น แล้วไล่จับคนตระกูล “ตั๋ง” บรรดาที่อยู่ในเมืองหลวงแห่งที่สอง เอามารวมพร้อมกันที่ลานแล้วตัดหัวจนหมดสิ้น

            ส่วนนางบำเรอของตั๋งโต๊ะแปดร้อยคน ลิซกสั่งให้ปลดปล่อยกลับคืนสู่ภูมิลำเนาเดิม

            จากนั้นลิโป้สั่งให้รวบรวมทรัพย์สินบรรดาที่เป็นของหลวงและตั๋งโต๊ะนำมาไว้ที่เมืองหลวงแห่งที่สอง พร้อมทั้งเสบียงบรรทุกเกวียนเป็นจำนวนหลายพันเกวียน และให้แยกเอาทรัพย์สินส่วนตัวของตั๋งโต๊ะและญาติพี่น้องไว้เป็นอีกขบวนหนึ่งนับได้พันกว่าเกวียน

            เสร็จแล้วจึงยกขบวนพร้อมด้วยทรัพย์สินและเสบียงเป็นจำนวนมากกลับเข้าเมืองหลวง ถึงเมืองหลวงแล้วนำไปมอบแก่อ้องอุ้น ฝ่ายอ้องอุ้นได้สั่งให้นำทรัพย์สินส่วนที่เป็นของหลวงนำเข้าคลังหลวง ส่วนที่เป็นเสบียงให้นำเข้าจัดเก็บไว้ในยุ้งฉางเสบียงหลวง ส่วนที่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของตั๋งโต๊ะและญาติพี่น้องให้นำมาแจกแก่ทหารที่ทำการนั้นโดยถ้วนหน้ากัน

            จากนั้นอ้องอุ้นจึงให้จัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นในพระราชวัง เลี้ยงโต๊ะแก่บรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงฉลองชัยที่สามารถกำจัดทรราชย์ได้สำเร็จ ขุนนางข้าราชการทั้งปวงได้มาร่วมงานเลี้ยงฉลองด้วยความเบิกบานยินดี

            ครั้นเสร็จงานเลี้ยงก็มีทหารเข้ามารายงานกับอ้องอุ้นว่า ในขณะที่เอาศพตั๋งโต๊ะไปประจานที่นอกกำแพงพระนครนั้น มีขุนนางชื่อซัวหยงไปร้องไห้อยู่กับศพ อ้องอุ้นได้ฟังก็โกรธสั่งทหารให้ไปจับตัวซัวหยงมาหาว่าเป็นศัตรูแผ่นดินด้วยตั๋งโต๊ะ

            ซัวหยงจึงว่าข้าพเจ้าจะคบคิดเป็นศัตรูแผ่นดินด้วยตั๋งโต๊ะนั้นหามิได้ เดิมข้าพเจ้าเป็นบัณฑิตอยู่บ้านนอก ตั๋งโต๊ะประกาศรับบัณฑิตเข้ารับราชการ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าตั๋งโต๊ะเป็นคนหยาบช้า จึงไม่ยอมเข้ารับราชการ ตั๋งโต๊ะก็ให้ทหารข่มขู่บังคับจนข้าพเจ้าต้องมาทำราชการ ข้าพเจ้าเห็นว่าการที่ข้าพเจ้าได้มาทำราชการทั้งนี้ เป็นเพราะตั๋งโต๊ะคิดเห็นเป็นบุญคุณต่อข้าพเจ้าอยู่จึงร้องไห้

            อ้องอุ้นไม่ฟังคำแก้ตัวของซัวหยงสั่งให้เอาไปประหารเสีย บรรดาขุนนางเห็นซัวหยงเป็นคนคงแก่เรียน มีสติปัญญาและทำหน้าที่ราชการเกี่ยวด้วยเรื่องจดบันทึกพงศาวดาร ไม่ได้คิดอ่านคบคิดทำหยาบช้าด้วยตั๋งโต๊ะจึงช่วยกันขอชีวิต ซัวหยงให้ทำราชการอยู่สืบไป

            อ้องอุ้นในวันนี้ความคิดก้าวผ่านการสร้างความสงบสุขของบ้านเมืองไปถึงขั้นล้างผลาญทุกคนที่เป็นพวกตั๋งโต๊ะไปแล้ว ได้ฟังคำขอของพวกขุนนางแล้วไม่ฟังคำและว่าแผ่นดินเป็นจลาจล เพิ่งเป็นปกติลง แต่ซัวหยงนั้นเป็นพวกของตั๋งโต๊ะ ถึงแม้ว่าจะมีสติปัญญาสัตย์ซื่อก็เอาไว้ใช้ในราชการไม่ได้ จึงสั่งให้เอาซัวหยงไปขังคุก แล้วแอบสั่งผู้คุมให้เอาผ้ารัดคอสังหารซัวหยงเสีย

            ขุนนางทั้งปวงรู้ว่าซัวหยงตายก็มีใจสงสารเป็นอันมาก ม้าหยิดขุนนางผู้หนึ่งจึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า “ธรรมดาแผ่นดินถ้าหาผู้มีสติปัญญามิได้ เมืองนั้นก็จะพลันมีอันตราย หายืดยาวไม่”

            ต่อมาลิฉุย กุยกี เตียวเจ และหวนเตียว สี่ทหารเอกของตั๋งโต๊ะที่ยกทหารสามพันหนีไปอยู่เมืองเชียงไส ได้ทำหนังสือให้ทหารถือเข้ามารายงานต่ออ้องอุ้นว่าเดิมทำราชการด้วยตั๋งโต๊ะ บัดนี้สิ้นตั๋งโต๊ะแล้วจึงมีความประสงค์ขอทำราชการด้วยอ้องอุ้นสืบไป การกระทำของตั๋งโต๊ะที่ผ่านมานั้นพวกข้าพเจ้าทั้งสี่คนมิได้คบคิดร่วมรู้ด้วยแต่ประการใด ท่านจงอภัยเสียเถิด

            อ้องอุ้นทราบความแล้วจึงว่าแก่ผู้ถือหนังสือว่าตั๋งโต๊ะทำชั่วได้ก็เพราะอาศัยสี่คนนี้ ดังนั้นถ้าหากจะมีการพระราชทานอภัยโทษเราจะยินยอมให้อภัยโทษก็แต่เฉพาะคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย สำหรับไอ้สี่คนนี้จำเป็นที่จะต้องเอาตัวมาประหารเสียให้จงได้.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร