ตอนที่ 48. ลางร้ายยามใกล้ฆาต

ครั้นรุ่งขึ้นตั๋งโต๊ะจึงพาเตียวเสี้ยนออกจากจวนเพื่อเดินทางไปเมืองหลวงแห่งที่สอง มีขบวนแห่แหนเหมือนขบวนเสด็จ บรรดาขุนนางข้าราชการตั้งขบวนแถวส่งตั๋งโต๊ะที่หน้าประตูจวน และร่วมขบวนไปส่งถึงประตูพระนคร

            เตียวเสี้ยนนั่งอยู่ในรถประทุนเปิดม่านเห็นลิโป้ก็แสร้งสบตาทำกิริยาเศร้าสลดและก้มหน้าลงร้องไห้ ลิโป้ยืนจ้องดูรู้สึกสงสารและอาลัยนัก ลืมตัวอยู่เช่นนั้นจนขบวนเคลื่อนไปจนลับตา

            อ้องอุ้นซึ่งออกไปส่งตั๋งโต๊ะพร้อมกับขุนนางอื่น ๆ เห็นลิโป้มิได้ตามขบวนไปด้วยจึงเข้าไปทักลิโป้แล้วว่า เราไม่สบายเสียหลายวัน วันนี้ได้ข่าวท่านอัครมหาเสนาบดีจะเดินทางไปเมืองหลวงแห่งที่สองจึงออกมาส่ง เห็นสีหน้าท่านเศร้าหมองนัก มีทุกข์สิ่งใดฤา ลิโป้จึงว่าทุกข์ของข้าพเจ้าเหมือนฝีกลัดหนองอยู่ในอก ก็มีแต่เรื่องเตียวเสี้ยนบุตรีท่านเท่านั้น

            อ้องอุ้นจึงแสร้งถามว่าท่านอัครมหาเสนาบดียังไม่ได้จัดการให้ท่านได้อยู่กินกับเตียวเสี้ยนอีกหรือ ลิโป้จึงว่ากระไรได้ มันเอาเตียวเสี้ยนทำเมียเสียเองแล้ว อ้องอุ้นจึงว่าจะเป็นไปได้อย่างไรกัน เป็นถึงขุนนางผู้ใหญ่และเป็นทั้งบิดาท่าน จะคิดชิงเอาภรรยาบุตรไว้เป็นภรรยาตนเช่นนี้ ลิโป้จึงเล่าความที่เกิดขึ้นให้อ้องอุ้นฟังทุกประการ อ้องอุ้นทำเป็นตกใจแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ขอเชิญท่านไปปรึกษากันที่จวนข้าพเจ้าเถิด

            แล้วอ้องอุ้นก็พาลิโป้ไปที่จวนชวนขึ้นไปที่ห้องหนังสือ แล้วอ้องอุ้นจึงว่าตั๋งโต๊ะทำหยาบช้ากับเตียวเสี้ยนเช่นนี้ไม่เกรงใจเราซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่สี่แผ่นดิน เราได้ความอัปยศนัก แต่ตัวเรานั้นชราแล้วจะแค้นเคืองอย่างไรก็คงทำอะไรกับตั๋งโต๊ะไม่ได้ เป็นห่วงก็แต่ท่านซึ่งเราก็ถือว่าเป็นบุตรเขยย่อมอัปยศอดสูยิ่งกว่าเรานัก เพราะภรรยาตัวถูกคนอื่นแย่งไปครอง ผู้คนทั้งแผ่นดินย่อมดูหมิ่นเหยียดหยาม เกียรติยศศักดิ์ศรีของท่านย่อมย่อยยับสิ้นในครั้งนี้

            และยุส่งต่อไปว่าตัวท่านเป็นชายชาติอาชาไนย ฝีมือเกรียงไกรกล้าหาญเป็นที่ยำเกรงของผู้คนทั้งแผ่นดิน ควรแก่ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของบ้านเมือง แต่เมื่อสิ้นเกียรติยศต้องอดสูฉะนี้แล้ว ข้าพเจ้าจึงเสียดายยิ่งนัก

            ลิโป้ได้ฟังคำยุของอ้องอุ้นก็เห็นจริง ยิ่งฟังเพลิงแค้นในใจก็ยิ่งคุโชน สิ้นคำ อ้องอุ้นแล้วลิโป้โกรธแค้นถึงขีดสุดเอามือตบโต๊ะดัง “ผาง” แล้วว่าไอ้ศัตรูเฒ่าทำเราอัปยศนัก ข้าพเจ้าจักฆ่ามันให้จงได้

            อ้องอุ้นได้ฟังก็คิดว่าลิโป้นี้เอาใจออกห่างตั๋งโต๊ะเป็นแน่แล้ว จึงแสร้งเอามือปิดปากลิโป้แล้วว่าท่านอย่าพูดเสียงดังไป หากมีใครได้ยินความแพร่งพรายไปเราจะพากันตายสิ้น ลิโป้จึงว่าข้าพเจ้าเกิดมาชาตินี้ไม่เกรงกลัวสิ่งใด จะเกรงไปไยกับตั๋งโต๊ะ

            อ้องอุ้นเห็นเป็นทีจึงพูดแต่เบา ๆ พอได้ยินว่า ตัวท่านมีฝีมือกล้าหาญกว่าใครในแผ่นดิน รับราชการด้วยตั๋งโต๊ะมีความชอบเป็นอันมาก แต่หาได้มีตำแหน่งแหล่งที่เป็นขุนนางไม่ ไฉนจึงไม่ยอมเป็นข้าในพระเจ้าเหี้ยนเต้ ทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข จะมิดีกว่าเป็นข้าทรราชย์ที่แย่งเมียตัวไปดอกหรือ

            ลิโป้จึงว่าข้าพเจ้าคิดแค้นใคร่จะฆ่าตั๋งโต๊ะเสียเดือนเศษแล้ว แต่ลังเลด้วยเคยเรียกว่าเป็นพ่อ เกรงผู้คนจะครหาได้ อ้องอุ้นจึงว่าตัวท่านนี้แซ่ลิ ตั๋งโต๊ะนั้นแซ่ตั๋ง จะนับถือเป็นบิดาได้อย่างไรกัน อีกประการหนึ่งเล่าตั๋งโต๊ะหรือจะคิดว่าท่านเป็นบุตร ครั้งที่เอาทวนไล่แทงและซัดทวนใส่ท่านก็ดี แย่งภรรยาท่านก็ดี หาใช่วิสัยบิดาที่จะกระทำต่อบุตรไม่ จะเกรงคนครหาไปใยกัน

            ลิโป้ได้ยินเช่นนั้นก็หลงตามคำอ้องอุ้น คิดเห็นเป็นการชอบด้วยเหตุและผลที่ตนคิดไม่ถึงแล้วว่าถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าจะฆ่าตั๋งโต๊ะเสียให้จงได้

            อ้องอุ้นเห็นเป็นทีจึงว่าแผ่นดินทุกวันนี้ใคร ๆ ก็รู้ว่าตั๋งโต๊ะเป็นศัตรูราชสมบัติ ก่อกรรมทำเข็ญกับบ้านเมืองแลราษฎร ทั่วทั้งสิบทิศมีแต่คนสาปแช่ง อยากกินเลือดกินเนื้อตั๋งโต๊ะเสียทั้งสิ้น ท่านจงหันมาทำคุณแก่แผ่นดิน ถวายความภักดีต่อฮ่องเต้ ท่านจะมีความชอบใหญ่หลวง จะเป็นถึงขุนนางผู้ใหญ่ที่ผู้คนทั้งแผ่นดินเลื่อมใสบูชาดีกว่าเป็นข้าทรราชย์อยู่เช่นนี้

            ลิโป้ฟังอ้องอุ้นเห็นทั้งทางได้เตียวเสี้ยนมาครอง เห็นทั้งเกียรติยศที่จะปรากฏไปในแผ่นดิน และเห็นทั้งอำนาจวาสนาในเบื้องหน้า หนทางสว่างไสวจึงดีใจนัก คุกเข่าลงคำนับอ้องอุ้นแล้วว่า ท่านชี้แนะครั้งนี้เป็นคุณแก่ข้าพเจ้านัก ข้าพเจ้าจะทำตามคำท่าน อ้องอุ้นจึงว่าการนี้เป็นการใหญ่หากทำการไม่ตลอดจะพากันตายสิ้น

            ลิโป้จึงชักกระบี่กรีดเข้าที่แขนเอาโลหิตผสมลงในจอกสุราแล้วสาบานว่า ถ้าหากข้าพเจ้าไม่ฆ่าตั๋งโต๊ะเหมือนคำว่า ขอให้ตายด้วยคมอาวุธ แล้วดื่มสุรานั้นจนหมดจอก

            อ้องอุ้นเห็นเช่นนั้นจึงคุกเข่าลงต่อหน้าลิโป้แล้วว่า การตัดสินใจทั้งนี้ของท่านเป็นคุณูปการต่อแผ่นดิน พระเจ้าเหี้ยนเต้และพระราชวงศ์ฮั่นจะปลอดภัยก็เพราะท่าน บ้านเมืองแลราษฎรจะเป็นสุขก็เพราะท่าน จงเตรียมใจไว้ให้มั่นคงเถิด ถึงวันพร้อมเมื่อใดเราจะบอกให้ท่านทราบ แล้วลิโป้ก็ลากลับไป

            รุ่งขึ้นอ้องอุ้นจึงเชิญซุนซุยกับอุยอ๋วนเพื่อนขุนนางที่สนิทและเคยปรึกษาหารือเรื่องนี้มาแต่ก่อนเข้ามาปรึกษาเล่าความให้ฟังทุกประการ ขุนนางทั้งสองยินดีนัก จึงปรึกษาแผนการสังหารตั๋งโต๊ะ โดยจะแอบอ้างเป็นรับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้หาตั๋งโต๊ะเข้าเมืองหลวงเพื่อจะมอบราชสมบัติให้ตามความเห็นของบรรดาขุนนาง เนื่องจากพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงประชวร ไม่สามารถว่าราชการได้อีกต่อไป เมื่อตั๋งโต๊ะเข้ามาในพระราชวังแล้วจึงสังหารเสีย

            ครั้นเห็นชอบพร้อมกันแล้ว อ้องอุ้นจึงเรียกลิโป้มาบอกแผนการที่ปรึกษากันนั้น ลิโป้ก็ยินดี แล้วปรึกษากันว่าจะให้ลิซกอดีตรองแม่ทัพที่ไปกับฮัวหยงทำศึกกับกองทัพปฏิวัติในครั้งนั้นเป็นผู้ไปลวงตั๋งโต๊ะ เพราะลิซกไม่พอใจตั๋งโต๊ะอยู่เนื่องจากทำราชการมีความชอบเป็นอันมาก แต่ตั๋งโต๊ะมิได้พิดทูลเลื่อนตำแหน่งให้ และถ้าหากลิซกไปด้วยตนเอง ตั๋งโต๊ะคงไม่ระแวงสงสัยเนื่องจากเคยไว้ใจมาแต่ก่อน

            ลิโป้จึงให้คนไปเชิญลิซกมาแล้วเล่าความทั้งปวงให้ฟังแล้วว่า ครั้งก่อนตัวท่านไปเกลี้ยกล่อมเราให้สังหารเต๊งหงวนเสียแล้วมาอยู่กับตั๋งโต๊ะ บัดนี้ตั๋งโต๊ะเป็นศัตรูแผ่นดิน เราจึงคิดกำจัดเสีย หากท่านไม่ไปทำการตามแผนการนี้เราก็จะสังหารท่าน ลิซกจึงว่าข้าพเจ้ามีความแค้นคิดจะสังหารตั๋งโต๊ะแต่หามีผู้ใดร่วมคิดไม่ บัดนี้เมื่อมีอ้องอุ้นและท่านเป็นหลักข้าพเจ้าจึงพร้อมใจอาสาไปลวงตั๋งโต๊ะเข้าเมืองหลวงจงได้

            รุ่งขึ้นอ้องอุ้นก็แต่งหนังสือรับสั่งเรียกตั๋งโต๊ะกลับพระนคร เพื่อมอบราชสมบัติให้ตั๋งโต๊ะเป็นกษัตริย์แล้วให้ลิซกถือไปมอบให้แก่ตั๋งโต๊ะ ณ เมืองหลวงแห่งที่สอง ตั๋งโต๊ะทราบความแล้วยินดียิ่งนัก แต่เพื่อให้แน่ใจจึงแกล้งถามลิซกว่าใครเป็นต้นคิดกราบทูลฮ่องเต้ให้มอบราชสมบัติแก่เรา ลิซกบอกว่าอ้องอุ้นเป็นผู้เสนอ

            ตั๋งโต๊ะเห็นเป็นพ่อตาตัวก็วางใจแล้วเล่าความฝันให้ลิซกฟังว่า เมื่อคืนก่อนเราฝันว่ามีมังกรตัวหนึ่งมาเกี้ยวกระหวัดอยู่รอบกาย วันนี้มีข่าวดีมาถึงนับเป็นศุภนิมิต เราจำจะยกไปเมืองหลวง

            ความฝันของตั๋งโต๊ะนี้เป็นความฝันแต่โดยจิตนิวรณ์คือมีความคิดต้องการราชบัลลังก์กรุ่นอยู่ในอกทุกค่ำเช้า พอหลับก็ฝันไปหาความหมายอันใดมิได้ แต่กรณีเดียวกันนี้หากฝันในเพลายามสามย่อมถือว่าเป็นการฝันแต่โดยบุรพนิมิตซึ่งบุญบารมีที่สร้างสมมาแต่ก่อนบันดาลให้คิดฝันถือว่าเป็นมงคล ดังคัมภีร์พิชัยสงครามบทว่าด้วยนิมิตว่าไว้ว่า“ถ้าฝันว่าได้เห็น…พญานาค…จะได้ทรัพย์และความสุขเจริญแลเดชา ปราศจากทุกข์ภัยพยาธิ”

            แล้วตั๋งโต๊ะจึงว่าถ้าเราได้ราชสมบัติจะตั้งท่านเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ นี่เป็นคนที่สองหลังจากอ้องอุ้นที่ตั๋งโต๊ะจะให้ตำแหน่งสำคัญเป็นบำเหน็จเพียงเพราะชอบใจในคำเจรจาเท่านั้น

            ลิซกจึงทำทีเป็นขอบคุณ แล้วตั๋งโต๊ะจึงสั่งให้ลิฉุย กุยกี เตียวเจ และหวนเตียวสี่ทหารเอกคุมทหารสามพันอยู่รักษาเมือง แล้วเข้าไปกราบลามารดาและว่าบัดนี้ขุนนางทั้งปวงได้พร้อมใจกันจะยกราชสมบัติให้แก่ข้าพเจ้า บุญก็จะถึงมารดาท่านด้วยเพราะจะได้เป็นที่ไทเฮาของแผ่นดินสืบไป

            มารดาตั๋งโต๊ะจึงว่าตัวเรานี้อายุเก้าสิบปีเศษแล้ว ได้อาศัยบารมีเจ้าเพียงเท่านี้ก็มีความสุขกว่าที่คาดหวังอยู่แล้ว หลายวันมานี้ตัวเรามีอาการ “เขม่นไปทั่วทั้งกาย แลใจก็ให้สะดุ้งตกประหม่าเป็นหลายเวลาแล้ว ซึ่งเจ้าจะเข้าไปนั้นให้คิดการระมัดระวังตัวจงดี”

            คำมารดาตั๋งโต๊ะฉะนี้ย่อมถือเป็นลางร้ายชนิดหนึ่งเพราะอาการที่เกิดกับตัว มารดาตั๋งโต๊ะนั้นเอง บ่งบอกว่าจะมีเหตุร้ายสถานหนึ่ง และการที่มารดาอันเป็นพรหมของบุตรมากล่าวความทั้งนี้ในยามที่ตั๋งโต๊ะจะไปในการอันสำคัญอีกสถานหนึ่ง แต่ ตั๋งโต๊ะยามใกล้จะถึงฆาต หัตถ์แห่งมัจจุราชได้ปิดบังความเฉลียวใจไว้สิ้น ตั๋งโต๊ะจึงเข้าใจไปเสียอีกทางหนึ่งแล้วบอกแก่มารดาว่าเหตุทั้งนี้เป็นเพราะวาสนาพาให้เป็นไป

            แล้วตั๋งโต๊ก็ลามารดากลับไปที่ตำหนัก เข้าไปพบเตียวเสี้ยนแล้วเล่าความให้ฟังว่าอ้องอุ้นได้เป็นผู้นำขุนนางกราบทูลเสนอพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ยกราชสมบัติให้แก่ตัว และว่าเมื่อเราได้ราชสมบัติแล้ว จะตั้งเตียวเสี้ยนเจ้าเป็นพระสนมเอก

            เตียวเสี้ยนฟังคำตั๋งโต๊ะแล้วคะเนว่านี่คือแผนการของอ้องอุ้นที่จะลวงตั๋งโต๊ะไปฆ่าเสีย จึงทำทีคุกเข่าลงคารวะขอบคุณตั๋งโต๊ะ
ตั๋งโต๊ะสั่งลามารดาและเตียวเสี้ยนแล้ว ก็ยกออกไปเมืองหลวง เดินทางมาได้สามร้อยเส้นเพลารถที่ตั๋งโต๊ะนั่งมาก็หักลง ตั๋งโต๊ะจึงลงจากรถแล้วนั่งม้าไปได้อีกราวร้อยเส้นม้าที่ขี่เกิด

            พยศบังเหียนม้าก็ขาดลงอีก ตั๋งโต๊ะสงสัยจึงหันมาถามลิซกว่าการที่เพลารถหักและบังเหียนม้าขาดฉะนี้จะดีร้ายประการใด

            ลิซกเห็นเหตุการณ์ก็แจ้งแก่ใจว่านี่เป็นเพราะบารมีของผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน แม้ว่าจะโฉดชั่วสักเพียงไหน แต่เทพยดาก็จะบันดาลลางร้ายให้ปรากฏ เดชะบุญของแผ่นดินที่เราเคียงคู่มาด้วยจำจะกลบเกลื่อนลางร้ายนั้นเสีย จึงว่ากับตั๋งโต๊ะว่าซึ่งม้าและรถเกิดเหตุดังนี้เป็นเพราะตื่นตระหนกในบารมีท่าน เนื่องจากหากท่านได้ครองราชย์แล้วก็จะต้องทิ้งทั้งรถและม้านี้เปลี่ยนเป็นราชรถหยกพระที่นั่ง และม้าเทียมรถก็จะต้องเป็นม้าพระที่นั่ง

            ตั๋งโต๊ะได้ฟังแต่ทางดีเช่นนี้ต้องด้วยใจตัวที่กำลังกระหยิ่มยิ้มย่องจะได้ครองราชสมบัติก็ยินดียิ่งนักสั่งให้ขบวนเคลื่อนต่อไป

            เดินทางมาได้อีกหน่อยหนึ่ง บังเกิดพายุกรรโชก เมฆหมอกปกคลุมท้องฟ้ามาแต่ข้างทิศตะวันออก บดบังดวงอาทิตย์ไว้ทั้งสิ้น แล้วเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก ตั๋งโต๊ะจึงถามลิซกว่านิมิตนี้ดีร้ายประการใด

            นิมิตดังนี้ต้องด้วยคัมภีร์พิชัยสงครามบทว่าด้วยนิมิตและลางร้ายว่า

     “เมฆมาแต่บูรพาทิศ   
     สถิตปราจิมโดยวาร
กลุ้มดวงพระสุริฉาน   
บ่ฉายแสงให้ยกธง
เมฆมาแต่ทิศนั้น   
มิทันกลุ้มเข้าในวง
ถอยคืนมาทิศจง   
อย่ายาตราจะภยันต์”

            ปรากฏการณ์อันเทพยดาได้สำแดงให้ได้เห็นในครั้งนี้ถือเป็นลางร้ายที่ระบุไว้ชัดเจนว่าให้ถอยกลับมาที่ตั้ง มิฉะนั้นจะเกิดอันตราย
ลิซกจึงแสร้งว่าไปเสียอีกทางหนึ่งเพื่อลวงตั๋งโต๊ะให้ตายใจต่อไปว่า นี่คือศุภนิมิตจากฟ้า อันเทพยดาสำแดงให้ปรากฏถึงบรมเดชานุภาพของท่าน ตั๋งโต๊ะได้ฟังก็ยิ่งเบิกบานใจ สั่งให้เคลื่อนขบวนรีบรุดเข้าเมืองหลวง

            การเดินทางเข้าเมืองหลวงของตั๋งโต๊ะครั้งนี้ปรากฏนิมิตและลางร้ายหลายครั้งหลายหน หากตั๋งโต๊ะเป็นคนดีมีคุณธรรม สร้างบุญสร้างกุศลสั่งสมไว้พอเพียง คุณธรรมและบุญกุศลนั้นอาจสามารถก่อความเฉลียวใจให้เกิดขึ้น แล้วหลีกเลี่ยงภัยพิบัติเสียก็เป็นได้ แต่ตั๋งโต๊ะนั้นก่อกรรมทำเข็ญไว้มาก ดังนั้นแม้นิมิตและลางจะปรากฏถึงเพียงนี้แต่ก็มีอันเป็นให้คิดและเข้าใจไปเสียอีกทางหนึ่ง จึงมิได้เฉลียวใจในมรณภัยนั้น ดั้นด้นรุดหน้าไปสู่อุ้งหัตถ์แห่งมัจจุราชจนได้.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร