ตอนที่ 46. อานุภาพพลังเสน่หา

สมบัติหกสถานอันประกอบด้วยอริยสมบัติหนึ่ง ทิพยสมบัติหนึ่ง จักรพรรดิสมบัติหนึ่ง รูปสมบัติหนึ่ง ทรัพย์สมบัติหนึ่งและคุณสมบัติหนึ่งนั้น จักรพรรดิสมบัติ รูปสมบัติและทรัพย์สมบัติรวมเป็นสาม เป็นสมบัติของผู้มีเพศคฤหัสถ์อันต่ำสำหรับปุถุชนที่ยังหลงระเริงอยู่ในโลกียวิสัย

            จักรพรรดิสมบัติเป็นสมบัติที่ครอบงำสมบัติอื่นไว้ทั้งสิ้น เพราะเป็นสมบัติที่มีมาแต่วาสนาแห่งบุญ กริยา บารมีอันกระทำไว้แต่ปางก่อน บ้างได้เสวยสมบัตินี้โดยการสืบสันตติวงศ์ บ้างก็ได้มาด้วยการปราบดาภิเษก ส่วนรูปสมบัตินั้นเล่าเป็นสมบัติอันสวรรค์ประทานมาแต่กำเนิด ต่างกับคุณสมบัติที่จำต้องแสวงหา ศึกษาและใฝ่ค้น

            แม้ว่ารูปสมบัติจะด้อยค่ากว่าจักรพรรดิสมบัติ แต่ประวัติศาสตร์ก็ได้เผยให้เห็นเป็นเนืองนิจว่ารูปสมบัตินั้นสามารถครอบงำจักรพรรดิสมบัติ แม้กระทั่งทำลายจักรพรรดิสมบัติจนดับสูญไปได้

            ลำพังอ้องอุ้นขุนนางชราสี่แผ่นดินหาได้มีพิษสงประการใดที่จะทำร้ายหรือกำจัดตั๋งโต๊ะ ส่วนเตียวเสี้ยนดรุณีแรกรุ่นวัยสิบหกก็หาได้เข้าใจหรือรู้เห็นสภาพการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น จึงไม่มีพิษสงใด ๆ ที่จะทำลายตั๋งโต๊ะจอมทรราชย์ให้วายวอดไปได้เช่นเดียวกัน

            แต่เมื่อหนึ่งชราได้ร่วมการกับหนึ่งดรุณีแรกรุ่นผู้มีโฉมสะคราญท้าทายทั้งสามโลกและมีใจตั้งมั่นที่จะกำจัดตั๋งโต๊ะแล้ว ได้ก่อให้เกิดพลังชนิดหนึ่งที่อาจมีอานุภาพทำลายร้ายแรงเสียยิ่งกว่ากองทัพปฏิวัติที่อ้วนเสี้ยวเป็นผู้บัญชาการใหญ่และมีกำลังพลร่วมสามแสนคนเสียอีก นั่นคือพลังเสน่หาที่มีอานุภาพยิ่ง

            ดังนั้นเมื่อสองพ่อลูกบุญธรรมปลงใจมั่นกำหนดแผนการกำจัดตั๋งโต๊ะแล้ว ราตรีนั้นอ้องอุ้นจึงมีความเบิกบานใจยิ่งนัก  หลังจากส่งเตียวเสี้ยนเข้าห้องพักแล้วอ้องอุ้นจึงรีบกลับมาที่ห้องหนังสืออีกครั้งหนึ่ง ครุ่นคิดกลวิธีในรายละเอียดเพื่อวางเอาตัวพลังเสน่หานี้ไว้ที่หัวใจความสัมพันธ์ของพ่อลูกบุญธรรมอีกคู่หนึ่ง คือตั๋งโต๊ะกับลิโป้ แล้วระเบิดทำลายความสัมพันธ์นั้นให้ย่อยยับในลำดับแรก จึงจะสามารถก้าวสู่ขั้นใช้ลิโป้สังหารตั๋งโต๊ะเป็นลำดับถัดไป

            อ้องอุ้นครุ่นคิดแผนการจนกระจ่าง ราตรีก็ล่วงเข้าสู่เวลาใกล้สิ้นยามสาม       อ้องอุ้นจึงงีบหลับไปในห้องหนังสือนั้น

            รุ่งขึ้นจึงให้หาช่างทองฝีมือดีมาที่จวน มอบหมายภารกิจสำคัญให้จัดทำหมวกทองคำประดับเพชรพลอยอัญมณีมีค่าสำหรับลูกหลวงให้แล้วเสร็จโดยไว หมวกทองคำประดับเพชรพลอยอัญมณีสำหรับลูกหลวงนี้ย่อมแสดงความหมายอยู่ในตัวว่าหมายถึงอำนาจอย่างหนึ่ง และวาสนาอันเป็นทรัพย์สินอีกอย่างหนึ่ง ทั้งสองสิ่งนี้อ้องอุ้นมั่นใจว่าจะเป็นทั้งกุญแจไขหัวใจของลิโป้ให้เปิดออก ทั้งจะเป็นสื่อสัญญาณให้ลิโป้วิ่งมาเข้าทางกล

            ครั้นหมวกสำหรับลูกหลวงเสร็จแล้ว อ้องอุ้นจึงให้คนสนิทลอบนำไปให้ลิโป้ที่บ้าน ลิโป้เห็นหมวกสำหรับลูกหลวงแล้วมีความยินดียิ่งนัก รู้สึกสัมผัสได้กับความนัยอันเป็นสื่อสัญญาณของหมวกลูกหลวงว่าเป็นทางที่บ่งบอกถึงวาสนาตัวในเบื้องหน้า ทั้งมูลค่าราคาก็สูงล้ำที่ทั้งชีวิตตนยังไม่เคยสัมผัส จึงเป็นที่ต้องอัธยาศัยเดิม ดังนั้นใกล้ค่ำวันหนึ่งลิโป้จึงลอบมาหาอ้องอุ้นถึงในจวน

            อ้องอุ้นนั้นหลังจากให้คนสนิทนำหมวกสำหรับลูกหลวงไปมอบแก่ลิโป้แล้วก็รอคอยทีอยู่ ครั้นรู้ว่าลิโป้มาหาจึงออกมาคำนับ แล้วเชิญลิโป้เข้าไปสนทนาที่ในห้องส่วนตัวและชวนลิโป้กินโต๊ะให้เป็นที่สำราญ ณ ห้องรับรองนั้น

            ลิโป้เห็นอ้องอุ้นแสดงอาการอ่อนน้อมและเอาใจตัวเกินฐานะนักก็เกรงใจ จึงว่ากับอ้องอุ้นว่าท่านมีเมตตาส่งหมวกไปกำนัลข้าพเจ้าครั้งนี้มีคุณแก่ข้าพเจ้านัก ข้าพเจ้าจะต้องหาทางสนองคุณท่านให้ถึงขนาด วันนี้ข้าพเจ้าจึงมาคารวะขอบคุณท่านไว้ชั้นหนึ่งก่อน แล้วว่าข้าพเจ้าเป็นแต่เพียงทหารของท่านอัครมหาเสนาบดี เป็นผู้น้อย ตัวท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ หาควรที่จะกระทำการอ่อนน้อมต่อข้าพเจ้าถึงเพียงนี้ไม่ ข้าพเจ้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายอ่อนน้อมคารวะต่อท่าน ว่าแล้วลิโป้ก็คำนับ  คารวะอ้องอุ้น

            อ้องอุ้นเห็นเช่นนั้นจึงรีบคุกเข่าลงคำนับเอาใจลิโป้ แล้วว่าข้าพเจ้าคารวะอ่อนน้อมต่อท่านหาใช่ด้วยฐานะยศศักดิ์แต่ประการใด ตัวข้าพเจ้าเป็นคนใฝ่พึงใจด้วยคนมีฝีมือกล้าหาญ ข้าพเจ้าได้ทอดสายตาทั่วทั้งแผ่นดินนี้แล้วไม่เห็นใครใดจะมีฝีมือองอาจกล้าหาญเสมอท่านแม้แต่คนเดียว เหตุนี้ข้าพเจ้าจึงนับถือตัวท่านยิ่งนัก หวังเอาท่านเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าสืบไป

            ว่าแล้วอ้องอุ้นก็รินสุราคำนับลิโป้ แล้วใช้วิชาพิดทูลอันเลิศล้ำของขุนนางพูดจายกย่องสรรเสริญทั้งตั๋งโต๊ะและลิโป้จนผูกน้ำใจลิโป้เอาไว้มั่น

            ลิโป้ได้ฟังคำสรรเสริญเยินยออันเพลินใจก็เบิกบานยิ่ง ดื่มสุราจอกแล้วจอกเล่าอย่างมีความสุข อ้องอุ้นสังเกตเห็นลิโป้ดื่มสุราจนฮึกเหิมแล้วจึงขับคนรับใช้ชายออกไปจากห้อง คงไว้แต่คนรับใช้หญิงสี่คน แล้วให้เชิญเตียวเสี้ยนออกมาทำความรู้จักกับลิโป้

            ณ ยามราตรีท่ามกลางแสงชวาลาในห้องรับรองของขุนนางสี่แผ่นดิน เตียวเสี้ยนปรากฏกายมาในชุดแพรสีชมพูบางเบาชวนวาบหวาม ลิโป้เห็นเตียวเสี้ยนโฉมสะคราญตรึงใจก็ตะลึงไปจนจอกสุราหล่นลงจากมือ แล้วระล่ำระลักถามอ้องอุ้นว่าสตรีนี้เป็นผู้ใด

            อ้องอุ้นเดินเข้าไปหาเตียวเสี้ยนจูงมือมาข้างหน้าลิโป้แล้วว่านี่คือเตียวเสี้ยนบุตรีเรา และให้เตียวเสี้ยนคำนับคารวะลิโป้ตามธรรมเนียม แล้วสั่งให้เตียวเสี้ยนเอาป้านสุรารินให้กับลิโป้

            ลิโป้ตั้งแต่แรกเห็นเตียวเสี้ยนใจก็ประหวัดปฎิพัทธ์ในเตียวเสี้ยนอย่างล้ำลึก ประดุจดั่งถูกพันธนาการไว้ด้วยพญานาคราช ครั้นเห็นเตียวเสี้ยนเข้ามาคำนับรินสุราให้ก็ดีใจยิ่งนัก จ้องหน้าเตียวเสี้ยนไม่กระพริบตา เตียวเสี้ยนก็ใช้มารยาหญิงทำทีเป็นเอียงอาย แล้วแกล้งชายตาไปสบตาลิโป้เป็นครั้งคราว หว่านกล้าเสน่หาจนเต็มผืนนาใจแห่งลิโป้ ทุกครั้งที่ตาประสานตา ลิโป้ประหนึ่งถูกศรกามเทพสะท้านไปทั้งร่างด้วยพลังเสน่หานั้น

            อ้องอุ้นเห็นลิโป้เดินก้าวถลำลึกลงในห้วงกลเสน่หาแล้ว ก็แสร้งทำเป็นเมาแล้วว่ากับลิโป้ว่าตัวเรารับราชการมาสี่แผ่นดินถึงทุกวันนี้ ได้ความสุขเพราะบารมีแห่งท่านอัครมหาเสนาบดีและตัวท่านคุ้มครอง

            แล้วว่าตัวเราชราลงทุกวันเหมือนไม้อันใกล้ฝั่ง จะล้มลงวันใดหารู้ไม่ การแผ่นดินทุกวันนี้ไม่มีสิ่งใดห่วงหาอาลัยด้วยวางใจในตัวท่าน จะเป็นเสาหลักอันสำคัญค้ำยันแผ่นดินให้เป็นสุข ห่วงก็แต่เตียวเสี้ยนผู้บุตรีที่ยังอ่อนวัยนัก จึงหวังให้เตียวเสี้ยนได้เป็นฝั่งฝาก่อนที่ข้าพเจ้าจะลาโลกไป ข้าพเจ้าพอใจในความกล้าหาญและบุญบารมีของท่านจักเป็นที่พึ่งของลูกเราได้ ดังนั้นจะยกเตียวเสี้ยนให้เป็นภรรยาน้อยของท่าน หากท่านไม่พึงใจก็อภัยให้แก่คนชราด้วยเถิด

            ลิโป้กำลังถูกแรงปฎิพัทธ์ครองใจและฮึกเหิมด้วยแรงแห่งสุรา จิตพิศวาสยิ่งหื่อโหม ฟังคำอ้องอุ้นเช่นนั้นก็ดีใจจนลนลาน จึงรีบคุกเข่าลงกับพื้นเอาศีรษะก้มจรดพื้นแล้วว่าชีวิตข้าพเจ้าที่เหลืออยู่นี้หากมีเตียวเสี้ยนมาอยู่เป็นคู่บุญแล้วก็จะไม่ปรารถนาสิ่งใดอีก แล้วถามอ้องอุ้นว่าท่านจะส่งมอบเตียวเสี้ยนให้แก่ข้าพเจ้าได้เมื่อใด

            อ้องอุ้นจึงว่าท่านเป็นหลักชัยของแผ่นดิน ทำการสิ่งใดควรจะต้องด้วยฤกษ์ชัยอันมงคล วันนี้ยังไม่มีฤกษ์เช่นนั้นจึงขอผลัดไว้ให้ถึงวันฤกษ์ดีในอีกไม่กี่วัน ข้าพเจ้าจะได้แต่งขบวนยกบุตรีไปส่งแก่ท่าน ว่าแล้วอ้องอุ้นก็ชวนลิโป้ให้ค้างคืนที่จวนเพื่อสนทนากันสืบไป แต่ลิโป้มีภารกิจจึงขอลากลับ อ้องอุ้นจึงออกมาส่งลิโป้ถึงประตูจวน

            ก้าวสำคัญด่านแรกเสร็จสิ้นไปแล้ว ก้าวต่อไปจึงเป็นทางด้านตั๋งโต๊ะ ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันฮ่องเต้ออกว่าราชการ ในเพลาสายหลังอ้องอุ้นเสร็จจากเข้าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้ว เห็นลิโป้มิได้ตามตั๋งโต๊ะมาด้วย เป็นโอกาสเหมาะอย่างยิ่ง อ้องอุ้นจึงเข้าไปคุกเข่าคำนับเชิญให้ตั๋งโต๊ะไปกินโต๊ะที่จวน ตั๋งโต๊ะเห็นขุนนางผู้ใหญ่อ่อนน้อมเอากับตัวเช่นนี้ก็ยินดีรับเอาคำเชิญนั้น แล้วว่าเราจะไปกินโต๊ะที่จวนท่านในเที่ยงวันนี้ ให้ท่านรีบกลับไปก่อน

            อ้องอุ้นเห็นตั๋งโต๊ะรับคำเชิญก็ดีใจรีบสั่งให้เตรียมจัดโต๊ะไว้ที่ห้องจัดเลี้ยงภายในจวน แล้วสั่งให้คนในบ้านเตรียมตั้งแถวคอยต้อนรับตั๋งโต๊ะ

ครั้นเวลาเที่ยงตั๋งโต๊ะพร้อมด้วยขบวนแห่หน้าหลังได้เดินทางมาถึงจวนของ   อ้องอุ้น ตัวอ้องอุ้นออกไปรอต้อนรับถึงประตูจวน แล้วเชิญตั๋งโต๊ะเข้าไปในจวน ผู้คนในบ้านต่างคุกเข่าคำนับแสดงคารวะต่อตั๋งโต๊ะอย่างอ่อนน้อม ตั๋งโต๊ะเข้าไปในจวนแล้ว  อ้องอุ้นก็คุกเข่าคำนับแล้วว่าท่านอัครมหาเสนาบดีมีเมตตารับคำเชิญมาถึงจวนข้าพเจ้าในวันนี้เป็นคุณแก่ข้าพเจ้ายิ่งนัก ว่าแล้วก็เอาสุราเข้าไปคำนับแสดงคารวะต่อตั๋งโต๊ะ

            ตั๋งโต๊ะรับสุรามาแล้วจึงว่าท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่สี่แผ่นดินอย่าคุกเข่าคำนับเลย จงนั่งให้เป็นสุขเถิด อ้องอุ้นทำทีอิดเอื้อนอยู่แล้วว่าโบราณว่า “ช้างเหยียบนา พญาเหยียบเมืองเป็นสิริมงคลอันสูงสุด” ตัวท่านอัครมหาเสนาบดีกรุณาแก่ข้าพเจ้าทั้งนี้เป็นพระคุณหาที่สุดมิได้ ว่าแล้วก็กล่าวคำยกย่องสรรเสริญตั๋งโต๊ะด้วยประการต่าง ๆ ด้วยคารมแห่งขุนนางสี่แผ่นดินเป็นที่ต้องใจของตั๋งโต๊ะยิ่งนัก ตั๋งโต๊ะเสพสุราพลางหัวเราะไปพลางเคล้ากับคำยกย่องสรรเสริญพิดทูลจากอ้องอุ้นด้วยความเพลิดเพลินเจริญจิตจนความมืดแห่งราตรีเข้ามาเยือน

            อ้องอุ้นจึงเชิญให้ตั๋งโต๊ะกินโต๊ะต่อแล้วเชิญเข้าไปที่ห้องรับรองส่วนตัวอันเป็นที่รโหฐาน ตั๋งโต๊ะเห็นเป็นที่ประหลาดใจจึงไล่ทหารที่ติดตามมาให้กลับลงไปรอข้างนอกจวน แล้วตั๋งโต๊ะก็เข้าไปในห้องรับรองนั้น

            อ้องอุ้นเชิญให้ตั๋งโต๊ะนั่งบนเก้าอี้ ส่วนตัวเองคุกเข่าลงกับพื้นแล้วว่า “เมื่ออายุข้าพเจ้าได้ยี่สิบห้าปีนั้น ข้าพเจ้าได้เรียนดูดาวสำหรับพระมหากษัตริย์ แลดาวประจำเมืองกับดาวบริวารทั้งปวงนั้น บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นดาวสำหรับพระมหากษัตริย์นั้นเศร้าหมอง แลดาวมหาอุปราชนั้นมีรัศมีรุ่งเรือง ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูนี้เห็นพระเจ้าเหี้ยนเต้จะดับสูญ ราชสมบัตินั้นจะได้แก่ท่านเป็นมั่นคง”

            ตั๋งโต๊ะได้ฟังความอันต้องด้วยอัธยาศัยตนก็มีความยินดียิ่งนัก แสร้งถามขึ้นว่าตัวเรานี้จะมีวาสนาถึงพระแท่นมังกรทองกระนั้นหรือ เราเองรู้สึกตัวว่ายังไม่ถึงดอก อ้องอุ้นจึงว่าอันธรรมดาแผ่นดินนั้น หากผู้ใดมีบุญญาบารมีแล้วจึงจะครองได้ หากไร้เสียซึ่งสิ่งนี้ก็ย่อมพ่ายแพ้ภัยแก่ตนเอง ข้าพเจ้าว่าทั้งนี้หาใช่ความคิดตนไม่ แต่เป็นไปตามคัมภีร์โบราณอันได้ศึกษามาแต่ก่อน

            ตั๋งโต๊ะได้ยินคำอ้องอุ้นยืนยันมั่นคงก็ยินดีนักแล้วว่าถ้าเราได้ราชสมบัติดังคำท่าน เราจะแต่งตั้งให้ท่านเป็นอัครมหาเสนาบดีเป็นกำนัลปาก แล้วเชิญให้     อ้องอุ้นรีบลุกขึ้นมานั่งที่เก้าอี้ อย่าคุกเข่าให้เป็นที่ลำบากเลย

            อ้องอุ้นเห็นตั๋งโต๊ะเดินเข้าสู่ทางกล ทั้งสังเกตเห็นตั๋งโต๊ะกำลังฮึกเหิมและเบิกบานใจในวาสนาเป็นทีแล้ว จึงสั่งให้พนักงานมโหรีทำเพลงขับกล่อมตั๋งโต๊ะและให้คณะนาฏศิลป์ประจำจวนออกมาร่ายรำบำรุงใจตั๋งโต๊ะ

            คณะนาฏศิลป์ประจำจวนออกมาร่ายรำอยู่ครู่หนึ่ง เตียวเสี้ยนซึ่งเป็นนาฏศิลป์เอกในชุดแพรเขียวบางเบาเย้ายวนตาจึงรำร่ายกรายออกมากลางเวทีที่หน้าตั๋งโต๊ะนั้น

            ตั๋งโต๊ะเห็นคณะนาฏศิลป์ในตอนแรกล้วนโฉมสะคราญก็เบิกบานใจเป็นที่ยิ่ง ดื่มสุราจอกแล้วจอกเล่า แต่ครั้นดรุณีในชุดสีเขียวตองอ่อนกรายแขนรำร่ายออกมาก็ตะลึงงันในความสะคราญของเตียวเสี้ยน สายตาจับจ้องมองเตียวเสี้ยนไม่กระพริบ รำพึงขึ้นในใจว่าสตรีนี้เป็นผู้ใดหนอจึงเลอโฉมสะคราญนัก ทั้งเชิงรำร่ายกรายท่าก็งดงามเกินนางรำในวังหลวง ตัวเรานี้ได้สรรหาสตรีงามจากทุกสารทิศไว้ในวังใหม่ถึงแปดร้อยนางล้วนโฉมสะคราญ แต่หากจะเทียบกับดรุณีน้อยนางนี้แล้วก็เป็นได้เพียงแค่ฝูงกาเทียบกับพญาหงส์เท่านั้น

            ครั้นจบกระบวนรำแล้ว อ้องอุ้นจึงเรียกเตียวเสี้ยนให้เข้ามารินสุราแก่ตั๋งโต๊ะ   ตั๋งโต๊ะซึ่งกำลังจ้องมองเตียวเสี้ยนตาค้างอยู่ก็ได้สติรีบถามอ้องอุ้นว่าสตรีนี้เป็นใคร  อ้องอุ้นจึงว่านี่คือเตียวเสี้ยน เป็นบุตรบุญธรรมของข้าพเจ้า เลี้ยงมาแต่น้อย ตั๋งโต๊ะถามต่อไปว่าสามารถขับร้องเพลงได้หรือไม่ อ้องอุ้นว่าได้แล้วให้เตียวเสี้ยนขับร้องท่ามกลางเสียงมโหรีที่หวานแว่ว

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่าเตียวเสี้ยนขับร้องเพลงเป็นนัยยะว่า “หญิงรูปงามขับเสียงเพราะ ลิ้นจี่แต้มริมฝีปากชูสีขึ้น แลหยกสองอันถึงมาตรว่าไม่แกะเป็นรูปสิ่งใดก็แอบเนื้อเย็นใจ พริกไทยนั้นเมล็ดเล็กก็จริง ถ้าลิ้มเข้าไปถึงลิ้นแล้วก็จะมีพิษเผ็ดร้อน”

            ทรราชย์เฒ่าที่กองทัพสามแสนทำลายไม่ได้ กำลังถูกกลสตรีกล่อมมัดด้วยอานุภาพพลังเสน่หาดังนี้.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร