ตอนที่ 45. อุบายนารายณ์ปราบมาร
ตั๋งโต๊ะจัดงานสโมสรสันนิบาต จัดรายการโชว์อำมหิต ตัดหู ตัดจมูก ตัดลิ้น ตัดแขน ตัดขาทหารที่เข้ามาสวามิภักดิ์ถึงห้าร้อยคน แล้วทอดในกะทะน้ำมัน จากนั้นก็เอาตัวคนเหล่านั้นทอดกะทะน้ำมันตาม หลังจากนั้นก็ตัดหัวเตียนอุ๋ยขุนนางเพื่อสร้างความยำเกรงให้เกิดขึ้นในบรรดาขุนนางข้าราชการ และป้องปรามไม่ให้ขุนนางข้าราชการคิดร้ายต่อตนสืบไป
ความชั่วโฉดโหดหื่นและสุดอำมหิตทำให้ขุนนางข้าราชการจำนวนหนึ่งเกรงกลัว แต่ขณะเดียวกันทำให้ขุนนางข้าราชการอีกจำนวนหนึ่งสิ้นความเกรงกลัวอีกต่อไป ด้วยคิดว่าขืนกลัวกันต่อไปเช่นนี้สักวันหนึ่งเหตุการณ์เหล่านั้นก็อาจเกิดขึ้นกับตัว
อ้องอุ้นขุนนางสี่แผ่นดินซึ่งใช้วิชารู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางลอยตัวมาตลอดทุกสถานการณ์เป็นคนหนึ่งที่เลิกกลัว และคิดทำลายความกลัวนั้นให้สิ้นเชิงด้วยการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุนั่นคือต้องสังหารตั๋งโต๊ะเสีย สิ้นตั๋งโต๊ะแล้วนั่นแหละจึงจะมีความปลอดภัยที่แท้จริง ทั้งจะเป็นการทำคุณอันยิ่งใหญ่ต่อบ้านเมืองแลราษฎร
หลังเสร็จจากงานเลี้ยงโต๊ะที่จวนของตั๋งโต๊ะแล้ว อ้องอุ้นขุนนางกลับถึงบ้านแล้วนอนไม่หลับ ถือไม้เท้าลงมาเดินอยู่ในสวนหลังบ้าน แหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วรำพึงอยู่ในใจว่า เดือนดาวเศร้าหมองนัก เหตุทั้งนี้เกิดจากตั๋งโต๊ะเป็นทรราชย์ ข่มเหงฮ่องเต้ เบียดเบียนราษฎร กดขี่ขุนนางข้าราชการ จึงเกิดยุคเข็ญขึ้นทุกหย่อมหญ้า
รำพึงดังนี้แล้วอ้องอุ้นก็ถอนใจใหญ่แล้วร้องไห้ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังสวนมา อ้องอุ้นเพ่งสายตามองเห็นเป็นเตียวเสี้ยนซึ่งเดิมเป็นลูกของทาสภายในบ้าน กำพร้าทั้งพ่อและแม่ อ้องอุ้นมีความสงสารจึงรับเลี้ยงดูสืบมา และรับไว้เป็นบุตรบุญธรรม
เตียวเสี้ยนอยู่ในจวนของอ้องอุ้นขุนนางผู้ใหญ่สี่แผ่นดิน ในฐานะบุตรบุญธรรมจึงได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ได้รับการฝึกอบรมสมแก่ความเป็นกุลสตรีตามคตินิยมในสมัยฮั่น สามารถเล่นดนตรีได้ไพเราะและขับร้องได้จับใจ แม้ในกระบวนการปรนนิบัติเอาอกเอาใจก็ได้รับการทะนุถนอมกล่อมสอนจนชำนิชำนาญไปทุกสิ่ง ถึงระดับที่สามารถถวายตัวเป็นพระสนมของฮ่องเต้
เตียวเสี้ยนนั้นอยู่ในจวนมาแต่น้อย ผิวพรรณจึงผุดผ่องงดงามยิ่งกว่าชาวเมืองธรรมดา หากกล่าวได้ว่าเป็นชาววังเต็มตัว ทั้งใบหน้ารูปโฉมก็สะคราญ หากจะเทียบก็เทียบได้ดุจนางสีดาซึ่งรามเกียรติ์ได้พรรณนาความงามไว้ว่า
“พิศพักตรผ่องพักตรดั่งจันทร
พิศขนงโก่งงอนดั่งคันศิลป์
พิศเนตรดั่งเนตรมฤคิน
พิศทนต์ดั่งนิลอันเรียบราย
พิศโอษฐ์ดั่งหนึ่งจะแย้มสรวล
พิศนวลดั่งสีมณีฉาย
พิศปรางดั่งปรางทองพราย
พิศกรรณคล้ายกลีบบุษบง
พิศจุไรดั่งหนึ่งแกล้งวาด
พิศศอวิลาสดั่งคอหงส์
พิศกรดั่งงวงคชาพงศ์
พิศทรงดั่งเทพกินรา
พิศถันดั่งประทุมเกสร
พิศเอวเอวอ่อนดั่งเลขา
พิศผิวผิวผ่องดั่งทองทา
พิศจริตกิริยาก็จับใจ”
อ้องอุ้นเห็นเตียวเสี้ยนผู้บุตรบุญธรรมอยู่ในสวนยามราตรีเห็นร้องไห้อยู่ก็สงสัยเข้าใจว่านัดชายให้มาพบแต่ครั้นครบเวลาแล้วผิดนัดจึงร้องไห้ อ้องอุ้นจึงถามว่าในราตรีอันล่วงมาถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้ายังไม่หลับนอน นัดชายชู้มาเริงรมย์กระนั้นหรือ
เตียวเสี้ยนได้ยินบิดาบุญธรรมว่ากระนั้นก็ตกใจ รีบเข้าไปหาคุกเข่าลงแล้วว่าตัวข้าพเจ้านี้จะนัดชายมาในจวนนั้นหามิได้ ทุกวันนี้ท่านเลี้ยงดูอุปการะข้าพเจ้าดุจบุตรในอุทร ตัวข้าพเจ้าตระหนักดีว่าพ่อแม่เป็นทาสในบ้านท่าน จึงสำนึกในใจตัวตลอดมาว่าตัวข้าพเจ้าเองก็คือทาสของท่าน การที่ท่านสู้อุตส่าห์เลี้ยงดูทะนุถนอมมานานปีเพียงนี้ คุณแก่ข้าพเจ้าหาที่สุดมิได้ คิดอยู่ว่าทำประการใดจึงจะแทนคุณให้สมกับคุณของท่านได้ แม้ชีวิตข้าพเจ้าก็หาเสียดายไม่
แล้วว่าวันนี้ข้าพเจ้าสังเกตเห็นอากัปกิริยาท่านหลังกลับจากงานเลี้ยงแล้ว มีสีหน้าเศร้าหมองยิ่งนัก คิดว่าย่อมมีทุกข์ใหญ่หลวงครองใจท่านอยู่แล้วคิดไม่ตกท่านจึงเป็นดังนี้ ข้าพเจ้ามีความเป็นห่วงยิ่งนักจึงตามลงมา หากพลาดพลั้งหรือมีการใดจะได้ช่วยเหลือท่านได้ทันการ
อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นจึงคิดว่าปัญหาใหญ่ที่ใคร ๆ แก้ไม่ได้เห็นจะสิ้นหายไปเพราะเตียวเสี้ยนบุตรบุญธรรมของเราเป็นแน่ คิดแล้วจึงจูงมือเตียวเสี้ยนพาขึ้นไปบนจวน เข้าไปในห้องหนังสืออันเป็นที่รโหฐาน
อ้องอุ้นพาเตียวเสี้ยนเข้าไปนั่งยังเก้าอี้ที่นั่งของตัว แล้วคุกเข่าลงคำนับ เตียวเสี้ยนเห็นเช่นนั้นก็ตกใจรีบลุกลงมาจากเก้าอี้ เข้ากอดเอาเท้าอ้องอุ้นไว้แล้วร้องไห้แล้วว่า บิดาท่านอย่ากระทำเช่นนี้เลย
อ้องอุ้นจึงว่าเราได้ยินเจ้ากล่าวเมื่อครู่นี้ว่าตั้งใจจะสนองคุณเรา ไม่เสียดายแก่ชีวิต เราจึงมีความยินดีนัก เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแท้ทุกข์ร้อนของแผ่นดินก็จะสิ้นไปเพราะเจ้า ทุกข์ในอกเราก็จะสิ้นตาม ขอเจ้าจงเมตตาต่อแผ่นดินแลราษฎร เห็นแก่ทุกข์ร้อนในพระทัยของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ขุนนางข้าราชการแลราษฎรเถิด ว่าแล้วอ้องอุ้นก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม
เตียวเสี้ยนเห็นเช่นนั้นจึงว่าตัวข้าพเจ้าได้ออกปากแล้วว่าจะแทนคุณท่าน ไม่เสียดายแก่ชีวิต คำข้าพเจ้านี้พระแม่ธรณีย่อมเป็นพยาน จะไม่มีวันผันแปรเป็นอย่างอื่น ขอท่านจงวางใจ แล้วบอกแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิดว่าข้าพเจ้าจะแทนคุณได้สถานใด
อ้องอุ้นจึงว่า “ทุกวันนี้แผ่นดินร้อนทุกเส้นหญ้า เจ้าก็ย่อมแจ้งอยู่แล้ว พระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นอุปมาดังฟองไก่อันวางอยู่เหนือหน้าศิลา ขุนนางกับอาณาประชาราษฎรนั้นอุปมาดังหยากเยื่ออันใกล้กองเพลิง มิได้รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้ากำเริบขึ้นจะชิงเอาราชสมบัติหาผู้ใดจะคิดล้างตั๋งโต๊ะไม่”
เตียวเสี้ยนได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยจึงถามขึ้นว่าตั๋งโต๊ะผู้นี้เป็นถึงอัครมหาเสนาบดี มีอำนาจเป็นที่เกรงขาม ทั้งมีทหารในบังคับบัญชาเป็นจำนวนมาก ข้าพเจ้าเป็นสตรีจะกำจัดตั๋งโต๊ะได้โดยทางใด
อ้องอุ้นจึงว่าขอเพียงแต่เจ้าเต็มใจทำการด้วยยินดี ก็ย่อมกำจัดตั๋งโต๊ะได้สำเร็จ อันตั๋งโต๊ะนั้นบัดนี้ไม่มีกองทัพใดหรือขุนศึกคนใดจะกำจัดได้แล้ว มีแต่ความอ่อนหวานของอิสตรีเท่านั้นจึงจะกำจัดตั๋งโต๊ะได้สำเร็จ
เตียวเสี้ยนจึงว่าจะให้ข้าพเจ้าทำการสิ่งใด ข้าพเจ้าก็พร้อมใจที่จะทำการสิ่งนั้นโดยเต็มกำลัง ขอท่านจงบอกวิธีการให้ข้าพเจ้าได้รู้เถิด
อ้องอุ้นจึงบอกแผนการแก่เตียวเสี้ยนว่าตั๋งโต๊ะนั้นมีบุตรบุญธรรมคนหนึ่งชื่อลิโป้ มีฝีมือกล้าแข็งยิ่งนัก แต่ลิโป้นั้นไม่รู้คุณคน สังหารบิดาบุญธรรมคนก่อนเสียแล้วเอาศีรษะมาคารวะเป็นบุตรบุญธรรมตั๋งโต๊ะ ทั้งตั๋งโต๊ะและลิโป้เป็นคนหลงอิสตรี พึงใจในสตรีโฉมสะคราญ และแผ่นดินนี้ยากจะหาสตรีใดมีโฉมสะคราญดังเจ้า ดังนั้นบิดาจะคิดอุบายยกเจ้าให้กับลิโป้ แล้วจะหาทางให้ตั๋งโต๊ะรับเจ้าเป็นภรรยา เมื่อเจ้าไปอยู่กับตั๋งโต๊ะแล้วจงใช้เล่ห์กลมายาหญิงให้ตั๋งโต๊ะกับลิโป้กินแหนงแคลงใจกัน ลิโป้ก็จะสังหารตั๋งโต๊ะเสียเป็นมั่นคง เมื่อทรราชย์ตั๋งโต๊ะตายแล้วแผ่นดินและราษฎรก็จะเป็นสุขสืบไป
พระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าทรงพระราชนิพนธ์ถึงอานุภาพของสตรีไว้ว่า
“ไฟแรงแสงร้อนล้ำ
ยังแพ้น้ำเป็นนิจมา
เหล็กแข็งและแกร่งกล้า
ยังพาอ่อนเมื่อร้อนไฟ
ลมพัดสะบัดแรง
ต้นไม้แข็งหักโค่นไป
ชายเรืองฤทธิไกร
ย่อมต้องแพ้แก่สตรี”
แผนการของอ้องอุ้นครั้งนี้คือแผนการใช้ความอ่อนกำจัดความแข็ง ใช้ความสะคราญและเสน่ห์เล่ห์กลของสตรีไปกำจัดทรราชย์ ซึ่งไม่มีกองทัพหรือความแข็งอื่นใดปราบปรามได้ เป็นเหตุการณ์คล้ายกับตำนานรามเกียรติ์ที่นนทุกยักษ์เฝ้าบันไดภูเขาไกรลาศของพระอิศวร บำเพ็ญตบะและความดีจนได้รับพรจากพระอิศวรให้มีนิ้วชี้เป็นเพชร สามารถชี้ทำลายชีวิตและสรรพสิ่งให้พินาศเป็นจุลไปได้
นนทุกได้รับพรแล้วก็ทำการล้างแค้นกับบรรดาเทวดาที่เคยกลั่นแกล้งตนมาแต่ก่อน เอานิ้วชี้ชี้เทวดาวอดวายลงเป็นจุล ไม่มีเทวดาอินทร์พรหมหน้าไหนกำจัดได้ จึงมีเทวดาไปร้องทุกข์ต่อพระอิศวรว่าทรงประทานพรให้กับคนโฉดแทนที่จะนำพรอันวิเศษนั้นไปสร้างสรรค์สามโลกกลับใช้พรวิเศษไปในการทำลายล้าง แต่พระอิศวรนั้นมีวิสัยไม่ยอมแก้ไขปัญหาเอาแต่หลีกภัยอยู่ร่ำไป ครั้นเทวดามาร้องทุกข์มากเข้าจึงโปรดให้พระนารายณ์ไปปราบนนทุก
พระนารายณ์รับหน้าที่จากพระอิศวรแล้วมาคิดว่าพรที่นนทุกได้จากพระอิศวรนี้ไม่มีใครปราบได้ เพราะอานุภาพนิ้วเพชรตามพรพระอิศวรสามารถทำลายสรรพสิ่งได้ แม้ตัวพระนารายณ์เองก็ไม่มีขีดความสามารถที่จะปราบได้ จะต้องใช้อำนาจและพรที่นนทุกมีอยู่นั้นกำจัดนนทุกเอง การจะทำเช่นนี้ได้ก็ต้องใช้สตรีโฉมสะคราญ ดังนั้นพระนารายณ์จึงแปลงเป็นเทพธิดาที่เลอโฉมเหนือสามโลกเข้าไปหานนทุกข์ ใช้อุบายหญิงทำให้นนทุกหลงใหล เมื่อหลงแล้วก็ยอมทำตามสิ้นทุกสิ่ง เทพธิดาแปลงจึงชวนนนทุกเรียนกระบวนรำ
นนทุกยามหลงก็ยอมเรียนถึงกระบวนรำหนึ่งที่เทพธิดาแปลงรำร่ายแล้วใช้นิ้วมือชี้เข้าหาตัว นนทุกไม่ทันคิดระวังตนก็เอานิ้วชี้เพชรชี้เข้าที่ตัวเองจึงถูกอำนาจแห่งนิ้วชี้เพชรนั้นทำลายล้างเป็นจุลไป
พิชัยสงครามของไทยบางฉบับจึงเรียกอุบายนี้ว่า อุบายนารายณ์ปราบมาร
ด้วยเหตุนี้สุภาษิตสอนใจแต่โบราณมา จึงจัดให้สตรีเป็นหนึ่งในห้าของสิ่งที่จะประมาทมิได้ว่า
“จะไว้ใจอะไรไว้ใจเถิด
แต่อย่าเกิดไว้ใจในสิ่งห้า
หนึ่งอย่าไว้ใจทะเลทุกเวลา
สองสัตว์เล็บเขี้ยวงาอย่าวางใจ
สามผู้ถืออาวุธสุดจักร้าย
สี่ผู้หญิงทั้งหลายอย่ากรายใกล้
ห้าพระมหากษัตริย์ทรงฉัตรชัย
ถ้าแม้นใครประมาทอาจตายเอย”
แล้วอ้องอุ้นจึงกล่าวย้ำกับเตียวเสี้ยนว่าหากทำการสำเร็จแล้ว ตัวเจ้าซึ่งได้อาสากำจัดทรราชย์ในครั้งนี้ก็จะมีชื่อเสียงปรากฏไปชั่วฟ้าดินสลาย
เตียวเสี้ยนจึงว่าแผนการที่บิดาว่ามาทั้งนี้ข้าพเจ้าเต็มใจอาสาทำการ ไม่เสียดายแก่ชีวิต เมื่อใดที่ข้าพเจ้าไปอยู่กับตั๋งโต๊ะแล้วจะคิดอ่านอุบายทำให้ลิโป้กับตั๋งโต๊ะแตกกัน และให้ลิโป้สังหารตั๋งโต๊ะเสียให้จงได้
ว่าแล้วเตียวเสี้ยนก็คุกเข่าลงกับพื้น ทำสาบานต่อฟ้าว่าขอเทพยดาและดวงพระวิญญาณแห่งพระมหากษัตริย์ในพระราชวงศ์ฮั่นทุกพระองค์จงเป็นพยาน ตัวข้าพเจ้าผู้เป็นบุตรบุญธรรมของอ้องอุ้นจะอาสาบิดาไปกำจัดตั๋งโต๊ะ ขอจงอำนวยพรให้ข้าพเจ้าได้สนองคุณผู้มีคุณและทำคุณแก่บ้านเมืองแลราษฎรจงสำเร็จด้วยเถิด ถ้าหากข้าพเจ้าทรยศต่อคำสาบานนี้ขอให้เทพยดาได้สังหารข้าพเจ้าเสีย
อ้องอุ้นเข้ามาเอามือจับไหล่ทั้งสองของเตียวเสี้ยน ประคองให้ลุกขึ้นแล้วว่าการแผ่นดินที่เจ้าอาสาไปในครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก จะคิดอ่านทำการสิ่งใดจงใช้ความระมัดระวังอย่าผลีผลาม หรือแพร่งพรายความนัยให้ใครใดได้รับรู้เป็นอันขาด พลาดพลั้งแล้วไม่เพียงแต่ตัวเจ้าจะต้องตายเท่านั้น บิดาและญาติ ตลอดจนผู้คนในบ้านนี้ที่อยู่ร่วมมากับเจ้าก็จะพลอยกันตายสิ้น
เตียวเสี้ยนรับคำอ้องอุ้นทุกประการ อ้องอุ้นจึงพาเตียวเสี้ยนไปส่งถึงห้องนอน ตัวเองกลับมานั่งอยู่ในห้องหนังสือคิดอ่านถึงการในวันรุ่งขึ้น.
ความชั่วโฉดโหดหื่นและสุดอำมหิตทำให้ขุนนางข้าราชการจำนวนหนึ่งเกรงกลัว แต่ขณะเดียวกันทำให้ขุนนางข้าราชการอีกจำนวนหนึ่งสิ้นความเกรงกลัวอีกต่อไป ด้วยคิดว่าขืนกลัวกันต่อไปเช่นนี้สักวันหนึ่งเหตุการณ์เหล่านั้นก็อาจเกิดขึ้นกับตัว
อ้องอุ้นขุนนางสี่แผ่นดินซึ่งใช้วิชารู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางลอยตัวมาตลอดทุกสถานการณ์เป็นคนหนึ่งที่เลิกกลัว และคิดทำลายความกลัวนั้นให้สิ้นเชิงด้วยการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุนั่นคือต้องสังหารตั๋งโต๊ะเสีย สิ้นตั๋งโต๊ะแล้วนั่นแหละจึงจะมีความปลอดภัยที่แท้จริง ทั้งจะเป็นการทำคุณอันยิ่งใหญ่ต่อบ้านเมืองแลราษฎร
หลังเสร็จจากงานเลี้ยงโต๊ะที่จวนของตั๋งโต๊ะแล้ว อ้องอุ้นขุนนางกลับถึงบ้านแล้วนอนไม่หลับ ถือไม้เท้าลงมาเดินอยู่ในสวนหลังบ้าน แหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วรำพึงอยู่ในใจว่า เดือนดาวเศร้าหมองนัก เหตุทั้งนี้เกิดจากตั๋งโต๊ะเป็นทรราชย์ ข่มเหงฮ่องเต้ เบียดเบียนราษฎร กดขี่ขุนนางข้าราชการ จึงเกิดยุคเข็ญขึ้นทุกหย่อมหญ้า
รำพึงดังนี้แล้วอ้องอุ้นก็ถอนใจใหญ่แล้วร้องไห้ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังสวนมา อ้องอุ้นเพ่งสายตามองเห็นเป็นเตียวเสี้ยนซึ่งเดิมเป็นลูกของทาสภายในบ้าน กำพร้าทั้งพ่อและแม่ อ้องอุ้นมีความสงสารจึงรับเลี้ยงดูสืบมา และรับไว้เป็นบุตรบุญธรรม
เตียวเสี้ยนอยู่ในจวนของอ้องอุ้นขุนนางผู้ใหญ่สี่แผ่นดิน ในฐานะบุตรบุญธรรมจึงได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ได้รับการฝึกอบรมสมแก่ความเป็นกุลสตรีตามคตินิยมในสมัยฮั่น สามารถเล่นดนตรีได้ไพเราะและขับร้องได้จับใจ แม้ในกระบวนการปรนนิบัติเอาอกเอาใจก็ได้รับการทะนุถนอมกล่อมสอนจนชำนิชำนาญไปทุกสิ่ง ถึงระดับที่สามารถถวายตัวเป็นพระสนมของฮ่องเต้
เตียวเสี้ยนนั้นอยู่ในจวนมาแต่น้อย ผิวพรรณจึงผุดผ่องงดงามยิ่งกว่าชาวเมืองธรรมดา หากกล่าวได้ว่าเป็นชาววังเต็มตัว ทั้งใบหน้ารูปโฉมก็สะคราญ หากจะเทียบก็เทียบได้ดุจนางสีดาซึ่งรามเกียรติ์ได้พรรณนาความงามไว้ว่า
“พิศพักตรผ่องพักตรดั่งจันทร
พิศขนงโก่งงอนดั่งคันศิลป์
พิศเนตรดั่งเนตรมฤคิน
พิศทนต์ดั่งนิลอันเรียบราย
พิศโอษฐ์ดั่งหนึ่งจะแย้มสรวล
พิศนวลดั่งสีมณีฉาย
พิศปรางดั่งปรางทองพราย
พิศกรรณคล้ายกลีบบุษบง
พิศจุไรดั่งหนึ่งแกล้งวาด
พิศศอวิลาสดั่งคอหงส์
พิศกรดั่งงวงคชาพงศ์
พิศทรงดั่งเทพกินรา
พิศถันดั่งประทุมเกสร
พิศเอวเอวอ่อนดั่งเลขา
พิศผิวผิวผ่องดั่งทองทา
พิศจริตกิริยาก็จับใจ”
อ้องอุ้นเห็นเตียวเสี้ยนผู้บุตรบุญธรรมอยู่ในสวนยามราตรีเห็นร้องไห้อยู่ก็สงสัยเข้าใจว่านัดชายให้มาพบแต่ครั้นครบเวลาแล้วผิดนัดจึงร้องไห้ อ้องอุ้นจึงถามว่าในราตรีอันล่วงมาถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้ายังไม่หลับนอน นัดชายชู้มาเริงรมย์กระนั้นหรือ
เตียวเสี้ยนได้ยินบิดาบุญธรรมว่ากระนั้นก็ตกใจ รีบเข้าไปหาคุกเข่าลงแล้วว่าตัวข้าพเจ้านี้จะนัดชายมาในจวนนั้นหามิได้ ทุกวันนี้ท่านเลี้ยงดูอุปการะข้าพเจ้าดุจบุตรในอุทร ตัวข้าพเจ้าตระหนักดีว่าพ่อแม่เป็นทาสในบ้านท่าน จึงสำนึกในใจตัวตลอดมาว่าตัวข้าพเจ้าเองก็คือทาสของท่าน การที่ท่านสู้อุตส่าห์เลี้ยงดูทะนุถนอมมานานปีเพียงนี้ คุณแก่ข้าพเจ้าหาที่สุดมิได้ คิดอยู่ว่าทำประการใดจึงจะแทนคุณให้สมกับคุณของท่านได้ แม้ชีวิตข้าพเจ้าก็หาเสียดายไม่
แล้วว่าวันนี้ข้าพเจ้าสังเกตเห็นอากัปกิริยาท่านหลังกลับจากงานเลี้ยงแล้ว มีสีหน้าเศร้าหมองยิ่งนัก คิดว่าย่อมมีทุกข์ใหญ่หลวงครองใจท่านอยู่แล้วคิดไม่ตกท่านจึงเป็นดังนี้ ข้าพเจ้ามีความเป็นห่วงยิ่งนักจึงตามลงมา หากพลาดพลั้งหรือมีการใดจะได้ช่วยเหลือท่านได้ทันการ
อ้องอุ้นได้ยินดังนั้นจึงคิดว่าปัญหาใหญ่ที่ใคร ๆ แก้ไม่ได้เห็นจะสิ้นหายไปเพราะเตียวเสี้ยนบุตรบุญธรรมของเราเป็นแน่ คิดแล้วจึงจูงมือเตียวเสี้ยนพาขึ้นไปบนจวน เข้าไปในห้องหนังสืออันเป็นที่รโหฐาน
อ้องอุ้นพาเตียวเสี้ยนเข้าไปนั่งยังเก้าอี้ที่นั่งของตัว แล้วคุกเข่าลงคำนับ เตียวเสี้ยนเห็นเช่นนั้นก็ตกใจรีบลุกลงมาจากเก้าอี้ เข้ากอดเอาเท้าอ้องอุ้นไว้แล้วร้องไห้แล้วว่า บิดาท่านอย่ากระทำเช่นนี้เลย
อ้องอุ้นจึงว่าเราได้ยินเจ้ากล่าวเมื่อครู่นี้ว่าตั้งใจจะสนองคุณเรา ไม่เสียดายแก่ชีวิต เราจึงมีความยินดีนัก เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแท้ทุกข์ร้อนของแผ่นดินก็จะสิ้นไปเพราะเจ้า ทุกข์ในอกเราก็จะสิ้นตาม ขอเจ้าจงเมตตาต่อแผ่นดินแลราษฎร เห็นแก่ทุกข์ร้อนในพระทัยของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ขุนนางข้าราชการแลราษฎรเถิด ว่าแล้วอ้องอุ้นก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม
เตียวเสี้ยนเห็นเช่นนั้นจึงว่าตัวข้าพเจ้าได้ออกปากแล้วว่าจะแทนคุณท่าน ไม่เสียดายแก่ชีวิต คำข้าพเจ้านี้พระแม่ธรณีย่อมเป็นพยาน จะไม่มีวันผันแปรเป็นอย่างอื่น ขอท่านจงวางใจ แล้วบอกแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิดว่าข้าพเจ้าจะแทนคุณได้สถานใด
อ้องอุ้นจึงว่า “ทุกวันนี้แผ่นดินร้อนทุกเส้นหญ้า เจ้าก็ย่อมแจ้งอยู่แล้ว พระเจ้าเหี้ยนเต้นั้นอุปมาดังฟองไก่อันวางอยู่เหนือหน้าศิลา ขุนนางกับอาณาประชาราษฎรนั้นอุปมาดังหยากเยื่ออันใกล้กองเพลิง มิได้รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้ากำเริบขึ้นจะชิงเอาราชสมบัติหาผู้ใดจะคิดล้างตั๋งโต๊ะไม่”
เตียวเสี้ยนได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยจึงถามขึ้นว่าตั๋งโต๊ะผู้นี้เป็นถึงอัครมหาเสนาบดี มีอำนาจเป็นที่เกรงขาม ทั้งมีทหารในบังคับบัญชาเป็นจำนวนมาก ข้าพเจ้าเป็นสตรีจะกำจัดตั๋งโต๊ะได้โดยทางใด
อ้องอุ้นจึงว่าขอเพียงแต่เจ้าเต็มใจทำการด้วยยินดี ก็ย่อมกำจัดตั๋งโต๊ะได้สำเร็จ อันตั๋งโต๊ะนั้นบัดนี้ไม่มีกองทัพใดหรือขุนศึกคนใดจะกำจัดได้แล้ว มีแต่ความอ่อนหวานของอิสตรีเท่านั้นจึงจะกำจัดตั๋งโต๊ะได้สำเร็จ
เตียวเสี้ยนจึงว่าจะให้ข้าพเจ้าทำการสิ่งใด ข้าพเจ้าก็พร้อมใจที่จะทำการสิ่งนั้นโดยเต็มกำลัง ขอท่านจงบอกวิธีการให้ข้าพเจ้าได้รู้เถิด
อ้องอุ้นจึงบอกแผนการแก่เตียวเสี้ยนว่าตั๋งโต๊ะนั้นมีบุตรบุญธรรมคนหนึ่งชื่อลิโป้ มีฝีมือกล้าแข็งยิ่งนัก แต่ลิโป้นั้นไม่รู้คุณคน สังหารบิดาบุญธรรมคนก่อนเสียแล้วเอาศีรษะมาคารวะเป็นบุตรบุญธรรมตั๋งโต๊ะ ทั้งตั๋งโต๊ะและลิโป้เป็นคนหลงอิสตรี พึงใจในสตรีโฉมสะคราญ และแผ่นดินนี้ยากจะหาสตรีใดมีโฉมสะคราญดังเจ้า ดังนั้นบิดาจะคิดอุบายยกเจ้าให้กับลิโป้ แล้วจะหาทางให้ตั๋งโต๊ะรับเจ้าเป็นภรรยา เมื่อเจ้าไปอยู่กับตั๋งโต๊ะแล้วจงใช้เล่ห์กลมายาหญิงให้ตั๋งโต๊ะกับลิโป้กินแหนงแคลงใจกัน ลิโป้ก็จะสังหารตั๋งโต๊ะเสียเป็นมั่นคง เมื่อทรราชย์ตั๋งโต๊ะตายแล้วแผ่นดินและราษฎรก็จะเป็นสุขสืบไป
พระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าทรงพระราชนิพนธ์ถึงอานุภาพของสตรีไว้ว่า
“ไฟแรงแสงร้อนล้ำ
ยังแพ้น้ำเป็นนิจมา
เหล็กแข็งและแกร่งกล้า
ยังพาอ่อนเมื่อร้อนไฟ
ลมพัดสะบัดแรง
ต้นไม้แข็งหักโค่นไป
ชายเรืองฤทธิไกร
ย่อมต้องแพ้แก่สตรี”
แผนการของอ้องอุ้นครั้งนี้คือแผนการใช้ความอ่อนกำจัดความแข็ง ใช้ความสะคราญและเสน่ห์เล่ห์กลของสตรีไปกำจัดทรราชย์ ซึ่งไม่มีกองทัพหรือความแข็งอื่นใดปราบปรามได้ เป็นเหตุการณ์คล้ายกับตำนานรามเกียรติ์ที่นนทุกยักษ์เฝ้าบันไดภูเขาไกรลาศของพระอิศวร บำเพ็ญตบะและความดีจนได้รับพรจากพระอิศวรให้มีนิ้วชี้เป็นเพชร สามารถชี้ทำลายชีวิตและสรรพสิ่งให้พินาศเป็นจุลไปได้
นนทุกได้รับพรแล้วก็ทำการล้างแค้นกับบรรดาเทวดาที่เคยกลั่นแกล้งตนมาแต่ก่อน เอานิ้วชี้ชี้เทวดาวอดวายลงเป็นจุล ไม่มีเทวดาอินทร์พรหมหน้าไหนกำจัดได้ จึงมีเทวดาไปร้องทุกข์ต่อพระอิศวรว่าทรงประทานพรให้กับคนโฉดแทนที่จะนำพรอันวิเศษนั้นไปสร้างสรรค์สามโลกกลับใช้พรวิเศษไปในการทำลายล้าง แต่พระอิศวรนั้นมีวิสัยไม่ยอมแก้ไขปัญหาเอาแต่หลีกภัยอยู่ร่ำไป ครั้นเทวดามาร้องทุกข์มากเข้าจึงโปรดให้พระนารายณ์ไปปราบนนทุก
พระนารายณ์รับหน้าที่จากพระอิศวรแล้วมาคิดว่าพรที่นนทุกได้จากพระอิศวรนี้ไม่มีใครปราบได้ เพราะอานุภาพนิ้วเพชรตามพรพระอิศวรสามารถทำลายสรรพสิ่งได้ แม้ตัวพระนารายณ์เองก็ไม่มีขีดความสามารถที่จะปราบได้ จะต้องใช้อำนาจและพรที่นนทุกมีอยู่นั้นกำจัดนนทุกเอง การจะทำเช่นนี้ได้ก็ต้องใช้สตรีโฉมสะคราญ ดังนั้นพระนารายณ์จึงแปลงเป็นเทพธิดาที่เลอโฉมเหนือสามโลกเข้าไปหานนทุกข์ ใช้อุบายหญิงทำให้นนทุกหลงใหล เมื่อหลงแล้วก็ยอมทำตามสิ้นทุกสิ่ง เทพธิดาแปลงจึงชวนนนทุกเรียนกระบวนรำ
นนทุกยามหลงก็ยอมเรียนถึงกระบวนรำหนึ่งที่เทพธิดาแปลงรำร่ายแล้วใช้นิ้วมือชี้เข้าหาตัว นนทุกไม่ทันคิดระวังตนก็เอานิ้วชี้เพชรชี้เข้าที่ตัวเองจึงถูกอำนาจแห่งนิ้วชี้เพชรนั้นทำลายล้างเป็นจุลไป
พิชัยสงครามของไทยบางฉบับจึงเรียกอุบายนี้ว่า อุบายนารายณ์ปราบมาร
ด้วยเหตุนี้สุภาษิตสอนใจแต่โบราณมา จึงจัดให้สตรีเป็นหนึ่งในห้าของสิ่งที่จะประมาทมิได้ว่า
“จะไว้ใจอะไรไว้ใจเถิด
แต่อย่าเกิดไว้ใจในสิ่งห้า
หนึ่งอย่าไว้ใจทะเลทุกเวลา
สองสัตว์เล็บเขี้ยวงาอย่าวางใจ
สามผู้ถืออาวุธสุดจักร้าย
สี่ผู้หญิงทั้งหลายอย่ากรายใกล้
ห้าพระมหากษัตริย์ทรงฉัตรชัย
ถ้าแม้นใครประมาทอาจตายเอย”
แล้วอ้องอุ้นจึงกล่าวย้ำกับเตียวเสี้ยนว่าหากทำการสำเร็จแล้ว ตัวเจ้าซึ่งได้อาสากำจัดทรราชย์ในครั้งนี้ก็จะมีชื่อเสียงปรากฏไปชั่วฟ้าดินสลาย
เตียวเสี้ยนจึงว่าแผนการที่บิดาว่ามาทั้งนี้ข้าพเจ้าเต็มใจอาสาทำการ ไม่เสียดายแก่ชีวิต เมื่อใดที่ข้าพเจ้าไปอยู่กับตั๋งโต๊ะแล้วจะคิดอ่านอุบายทำให้ลิโป้กับตั๋งโต๊ะแตกกัน และให้ลิโป้สังหารตั๋งโต๊ะเสียให้จงได้
ว่าแล้วเตียวเสี้ยนก็คุกเข่าลงกับพื้น ทำสาบานต่อฟ้าว่าขอเทพยดาและดวงพระวิญญาณแห่งพระมหากษัตริย์ในพระราชวงศ์ฮั่นทุกพระองค์จงเป็นพยาน ตัวข้าพเจ้าผู้เป็นบุตรบุญธรรมของอ้องอุ้นจะอาสาบิดาไปกำจัดตั๋งโต๊ะ ขอจงอำนวยพรให้ข้าพเจ้าได้สนองคุณผู้มีคุณและทำคุณแก่บ้านเมืองแลราษฎรจงสำเร็จด้วยเถิด ถ้าหากข้าพเจ้าทรยศต่อคำสาบานนี้ขอให้เทพยดาได้สังหารข้าพเจ้าเสีย
อ้องอุ้นเข้ามาเอามือจับไหล่ทั้งสองของเตียวเสี้ยน ประคองให้ลุกขึ้นแล้วว่าการแผ่นดินที่เจ้าอาสาไปในครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก จะคิดอ่านทำการสิ่งใดจงใช้ความระมัดระวังอย่าผลีผลาม หรือแพร่งพรายความนัยให้ใครใดได้รับรู้เป็นอันขาด พลาดพลั้งแล้วไม่เพียงแต่ตัวเจ้าจะต้องตายเท่านั้น บิดาและญาติ ตลอดจนผู้คนในบ้านนี้ที่อยู่ร่วมมากับเจ้าก็จะพลอยกันตายสิ้น
เตียวเสี้ยนรับคำอ้องอุ้นทุกประการ อ้องอุ้นจึงพาเตียวเสี้ยนไปส่งถึงห้องนอน ตัวเองกลับมานั่งอยู่ในห้องหนังสือคิดอ่านถึงการในวันรุ่งขึ้น.