ตอนที่ 454. การชิงราชสมบัติ
โจผีได้ครองตำแหน่งวุยอ๋องแทนโจโฉผู้บิดาแล้ว ได้ประกาศตั้งศักราชใหม่ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการชิงราชบัลลังก์ ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นฮ่องเต้ จากนั้นจึงทำการทดสอบกำลังทางการเมือง ระดมขุนนางข้าราชการและทหารกว่าสามสิบหมื่นออกไปท่องเที่ยวต่างเมือง เมื่อเห็นคนทั้งปวงพร้อมเพรียงแล้วจึงเดินแผนถอดพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกจากตำแหน่ง
ฝ่ายฮัวหิมและขุนนางทั้งปวงได้ฟังรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่ให้ทบทวนข้อเสนอที่ให้สละราชสมบัติ จึงสั่งทหารให้ไปตามลิต๊กและเคาจีสองขุนนางผู้เฒ่าแห่งกรมโหรมาเข้าเฝ้า แล้วกราบบังคมทูลว่า โหราจารย์เฒ่าทั้งสองคนนี้เป็นขุนนางเก่าในพระองค์ เป็นผู้แจ้งการในภายหน้า ล่วงรู้ว่าลิขิตสวรรค์กำหนดประการใด ขอพระองค์ทรงไต่ถามสองขุนนางผู้เฒ่า แล้วมีพระบรมราชวินิจฉัยตามที่ควรเถิด
พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ยินดังนั้นก็ทราบความนัยว่า สองขุนโหรเฒ่าบัดนี้ได้ทรยศต่อราชสำนัก ไปฝักใฝ่ด้วยโจผีแล้ว จึงมิได้ตรัสความประการใด
ฮัวหิมหันไปมองหน้าลิต๊กและเคาจีแล้วพยักหน้าให้ ลิต๊กและเคาจีเห็นดังนั้นก็รู้ที จึงเข้าไปกราบบังคมทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ โดยลิต๊กกราบบังคมทูลก่อนว่า โจผีสืบอำนาจแทนวุยอ๋อง ประกอบด้วยสติปัญญาบารมีเป็นอันมาก มีสติปัญญาหลักแหลมเอื้ออาทรต่อราษฎรทั้งปวง บัดนี้สวรรค์ได้สำแดงอาการให้ปรากฏว่าโจผีเรืองบุญญาธิการ สมควรขึ้นครองแผ่นดินเป็นฮ่องเต้ จึงบันดาลให้ “หงส์ก็มาร้องในเมือง ราชสีห์ก็เข้ามาเที่ยวในขอบขัณฑสีมา พญามังกรก็มาเลื้อยลอยอยู่ในอากาศกลางเมือง อัศจรรย์ใหญ่นัก” และนับแต่โจผีได้เป็นที่วุยอ๋องแล้ว แผ่นดินก็ร่มเย็นเป็นสุข ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ธัญญาหาร ภักษาหารและมังสาหารอุดมสมบูรณ์ทั่วราชอาณาจักร เมื่อสวรรค์บ่งบอกว่า วุยอ๋องเรืองกฤษดานุภาพอันควรครองราชสมบัติดังนี้แล้ว หากแม้นขัดขืนลิขิตสวรรค์ อันตรายก็จะบังเกิดแก่มนุษย์ ขอพระองค์จงดำริโดยควร
ลิต๊กกราบบังคมทูลแล้วก็ถอยกลับมายืนในตำแหน่งเดิม เคาจีจึงกราบบังคมทูลต่อไปว่า “เวลากลางคืนข้าพเจ้าเห็นดาวประจำพระองค์ รัศมีก็เศร้าหมองวิปริตนัก สำแดงเหตุว่าพระองค์สิ้นบุญแล้ว ฝ่ายดาวประจำตัวโจผีดวงใหญ่มีรัศมีสว่างนัก สำแดงเหตุว่าโจผีมีบุญนักพ้นที่จะพรรณนา อนึ่งเทพยดาก็นิยมยกย่องโจผี จึงสำแดงอัศจรรย์อันใหญ่ทั้งสามประการให้ปรากฏแก่คนทั้งปวง”
เคาจีกราบบังคมทูลต่อไปว่า ปรากฏการณ์อันเป็นนิมิตจากสวรรค์และปรากฏการณ์อันเป็นนิมิตจากมนุษยโลก บังเกิดจากเทพยดาบันดาลให้ปรากฏสอดคล้องต้องกันแล้วว่าราชวงศ์ฮั่นถึงกาลจะสิ้นสูญ และราชวงศ์ใหม่จะได้ครองราชย์สืบไป จึงควรที่พระองค์จะได้เวนคืนราชสมบัติให้แก่วุยอ๋อง
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรเห็นเคาจีถวายบังคมแล้วกลับไปยืนในตำแหน่งเดิมจึงมีพระราชกระแสว่า “ท่านว่าทั้งนี้เป็นความไกลตา เรายังหาเชื่อไม่ ซึ่งเราจะยกราชสมบัติอันเป็นของพระญาติวงศ์สืบต่อกันมานั้นให้แก่เขา เรายังไม่เห็นควร”
อองลองซึ่งเป็นขุนนางเก่าแห่งราชสำนักฮั่นอีกคนหนึ่ง ฟังพระราชกระแสแล้วออกไปยืนอยู่เบื้องหน้าพระราชบัลลังก์ ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า อันทรัพย์สมบัติทั้งปวงและราชสมบัติทั้งหลายในโลกนี้นั้นเป็นของประจำแผ่นดิน มิใช่ของส่วนตัวของคนใดคนหนึ่ง หรือราชวงศ์ใดราชวงศ์หนึ่ง มีรุ่งเรืองขึ้นแล้วก็ย่อมเสื่อมสูญตกได้แก่ผู้มีบุญอื่นตามกาลสมัย เป็นแบบอย่างธรรมเนียมที่มีมาแต่โบราณ อันราชวงศ์ฮั่นได้สถาปนามากว่าสี่ร้อยปีแล้ว ผ่านระยะเวลารุ่งเรืองร่วงโรยหลายครั้งหลายหน บัดนี้ถึงกาลสิ้นสุดแล้ว อุปมาดังต้นไม้ใหญ่มีอายุยาวนาน ถึงกาลเปื่อยผุ ไม่เป็นประโยชน์อันใดแก่อาณาประชาราษฎรแล้ว ขอพระองค์ทรงสละราชสมบัติเวนคืนให้แก่ผู้มีบุญบารมีคนใหม่คือวุยอ๋องนั้นเถิด หากแม้นขัดขืนลิขิตแห่งฟ้าดินก็จะเป็นอันตรายเป็นมั่นคง
พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นขุนนางทั้งปวงผันแปรไปดังนั้นจึงทรงพระกันแสง มิได้มีกระแสพระราชดำรัสประการใด ก็เสด็จลุกขึ้นจากพระราชบัลลังก์ เสด็จกลับเข้าไปข้างใน
เหล่าขุนนางซึ่งซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดีแล้ว เห็นอาการของพระเจ้าเหี้ยนเต้ดังนั้นก็ชวนกันหัวเราะเยาะเย้ยอย่างครื้นเครง โดยมิได้สำนึกถึงคุณข้าวแดงแกงร้อนและเบี้ยหวัดผ้าปีที่เคยได้รับพระกรุณาพระราชทานแม้แต่สักน้อยนิด ครั้นเห็นพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จลับเข้าไปในพระวิสูตรแล้ว บรรดาขุนนางเหล่านั้นจึงพากันกลับออกไป ทูลความทั้งปวงให้โจผีทราบ
โจผีทราบความก็หัวเราะ พลางว่าท่านทั้งปวงทำคุณแก่ข้าพเจ้าใหญ่หลวงนัก เมื่อใดที่ได้ครองราชสมบัติแล้วจะทำนุบำรุงดูแลพวกท่านให้เป็นสุข บรรดาขุนนางทั้งปวงได้ฟังคำโจผีดังนั้นก็รู้ความนัยว่าจะทำประการใดต่อไป
ในวันรุ่งขึ้นบรรดาขุนนางทั้งปวงจึงพากันเข้าไปที่ท้องพระโรง ฮัวหิมได้สั่งขันทีให้เข้าไปกราบบังคมทูลเชิญพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เสด็จออกนั่งพระราชบัลลังก์ที่ว่าราชการ พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงทราบความจากขันทีแล้วก็ตกพระทัยกลัว พอดีพระมเหสีโจเฮาซึ่งเป็นบุตรีของโจโฉและเป็นน้องสาวของโจผีเสด็จเข้ามาถึงที่ประทับ ทราบความดังนั้นจึงมีพระราชเสาวนีย์ว่า ก็แลเมื่อบรรดาขุนนางทูลเชิญเสด็จออก ไฉนเล่าพระองค์จึงทรงนิ่งเฉยอยู่เล่า
พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นว่าพระมเหสีไม่ทราบความจึงทรงพระกันแสง และเล่าความทั้งปวงที่บรรดาขุนนางกราบบังคมทูลให้สละราชสมบัติแก่โจผี เพราะเหตุที่พระองค์ทรงถูกบังคับดังนี้จึงไม่ยอมเสด็จออก
พระมเหสีไม่ทรงเชื่อว่าโจผีผู้พี่ชายจะคิดกบฏล้มราชบัลลังก์ จึงมีพระราชเสาวนีย์ต่อว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่าพระองค์หลงคำใครจึงตรัสดังนี้ พระมเหสีตรัสสิ้นคำลงก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในที่ประทับ ทั้งสองพระองค์เหลียวพระพักตร์ไปดู เห็น โจหองและโจฮิวแต่งตัวในชุดออกสงคราม ในมือถือกระบี่อันเป็นการล่วงละเมิดกฎมณเฑียรบาล และกำลังเดินตรงเข้ามาหา
สองนายทหารของโจผีมิได้ถวายบังคมตามธรรมเนียม แต่กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า บัดนี้ขุนนางทั้งปวงพร้อมอยู่ในท้องพระโรงแล้ว ขอทูลเชิญฮ่องเต้ให้เสด็จออกในบัดนี้
พระมเหสีโจเฮาเห็นดังนั้นก็รู้ว่าโจผีผู้พี่คิดล้มราชบัลลังก์แน่แล้ว จึงตรัสกับสองนายทหารว่า “อ้ายพวกเหล่านี้มียศศักดิ์เพราะใคร บัดนี้มาเป็นศัตรูคิดกบฏต่อแผ่นดินอีกเล่า เมื่อครั้งบิดาเรายังอยู่ ทำความชอบหาผู้เสมอไม่ จัดแจงบ้านเมืองให้ราบคาบบริบูรณ์ราษฎรทั้งปวงก็นิยมยินดีรักใคร่ แล้วก็มีสง่า ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเกรงกลัวนัก บิดาเราก็มิได้คิดประทุษร้ายต่อพระเจ้าแผ่นดิน บัดนี้พี่ชายเราได้แทนบิดา ยังมิทันไรสิจะคิดอ่านชิงเอาราชสมบัติ คนอย่างนี้หาเจริญไม่ เทพยดาก็มิได้อวยพร”
สองนายทหารไม่ฟังพระราชเสาวนีย์ ยังคงยืนจ้องหน้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ พระมเหสีโจเฮาเห็นดังนั้นก็รู้ว่าไม่อาจขัดขวางห้ามปรามใด ๆ ได้อีกจึงทรงพระกันแสงแล้วเสด็จเข้าไปที่ข้างใน บรรดานางสนมกำนัลในพระตำหนักเห็นเหตุการณ์ก็สงสาร พากันร้องไห้ตามพระมเหสี
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าเสียงร้องไห้ของเหล่าพระสนมนางกำนัลร้องไห้ดังเซ็งแซ่อื้ออึงไปทั้งพระตำหนัก
สองนายทหารเห็นพระมเหสีโจเฮาเสด็จไปแล้ว ต่างคนต่างกระชับกระบี่ในมือแล้วกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า บรรดาขุนนางรอพระองค์อยู่ที่ท้องพระโรงช้านานแล้ว จงเสด็จออกเถิด พระเจ้าเหี้ยนเต้ถูกบังคับขัดมิได้ก็ลุกขึ้นประทับยืน ถอดเสื้อคลุมมังกรประจำพระองค์โยนลงกับพื้น และเอาฉลองพระองค์แบบคนธรรมดาสามัญมาสวมแทน และเสด็จออกไปที่ท้องพระโรง
พอพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จประทับนั่งบนพระราชบัลลังก์แล้ว ฮัวหิมได้ก้าวออกมายืนอยู่ตรงหน้าพระพักตร์แล้วถามขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า พระองค์จะยอมเวนคืนราชสมบัติให้แก่วุยอ๋องตามคำปรึกษาของบรรดาขุนนางทั้งปวงหรือไม่ “ถ้าพระองค์ยอมให้แล้วก็จะเป็นสวัสดิ์ หาเป็นอันตรายไม่”
พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังก็ทรงพระกันแสง แล้วตรัสว่า “ขุนนางแต่โบราณก็ได้ยศศักดิ์เบี้ยหวัดผ้าปีในกษัตริย์เชื้อพระวงศ์เราสืบมา ลูกหลานก็ได้ทำราชการต่อกันมา เหตุใดจึงไม่คิดถึงพระเดชพระคุณเลย มาคิดอ่านประทุษร้ายดังนี้”
ฮัวหิมได้ยินดังนั้นจึงกราบทูลต่อไปว่า ความต้องการของอาณาประชาราษฎรและขุนนางทั้งปวงคือเสียงโองการสวรรค์ ที่ต้องการให้พระองค์สละราชสมบัติให้แก่วุยอ๋อง หรือว่าพระองค์จะขัดขืนลิขิตแห่งสวรรค์ หากพระองค์ไม่ทำตาม เห็นว่าอันตรายจะบังเกิดแก่พระองค์ในวันนี้วันพรุ่งเป็นมั่นคง
พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงรับสั่งถามว่า ท่านกล่าวฉะนี้หรือว่าจะคิดอ่านทำร้ายเรา ฮัวหิมกราบทูลต่อไปว่า ข้าพระองค์และขุนนางทั้งปวงมิได้คิดร้ายต่อพระองค์ ทุกคนล้วนมีความปรารถนาดีมิให้พระองค์เป็นอันตราย จึงได้ปรึกษากราบทูลเพื่อให้พระองค์คล้อยตามลิขิตสวรรค์
พระเจ้าเหี้ยนเต้ตรัสถามต่อไปว่า ถ้าหากพวกท่านไม่คิดอ่านทำอันตรายเราแล้ว จะมีใครใดที่จะทำอันตรายเราเล่า
ฮัวหิมจำนนต่อถ้อยคำตามรับสั่ง ไม่อาจเล่นเล่ห์เจรจาต่อไปได้ ก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “ราษฎรทั้งปวงเห็นว่าพระองค์ความคิดน้อย ไม่รอบคอบ หารู้ปกป้องรักษาสมบัติไม่ ก็จะเกิดโจรผู้ร้ายกำเริบขึ้นทำอันตรายราษฎร ทุกบ้านทุกเมืองก็จะยับเยินไป โจผีกระทำการทั้งนี้ใช่ว่าจะแกล้งกำจัดพระองค์หามิได้ ทำการทั้งนี้ด้วยมีความเอ็นดูพระองค์จะให้มีความสุข ปรารถนาจะให้บ้านเมืองราบคาบ พระองค์หาเห็นคุณแลโทษไม่ พระองค์มิยินยอมทั้งนี้ ปรารถนาจะให้ราษฎรกำเริบขึ้นทำอันตรายแก่พระองค์หรือ”
ฮัวหิมได้เปิดเผยท่าทีและเหตุผลแบบโจรานุโจรโดยไม่เกรงกลัวพระราชอาญาอีกต่อไป ซึ่งได้เผยให้เห็นแผนการและกระบวนการในการชิงราชสมบัติล้มราชบัลลังก์อย่างชัดเจน ครั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าบรรดาขุนนางเหล่านี้กำลังยื่นคำขาดต่อพระองค์ หากไม่สละราชสมบัติแล้วก็จะถูกสังหารเป็นแน่แท้ จึงตกพระทัยเป็นอันมาก รีบเสด็จลงจากพระราชบัลลังก์ และเสด็จกลับเข้าไปที่ข้างใน
ฮัวหิมตกตะลึงมิรู้ที่จะทำประการใด อองลองขุนนางเฒ่าเห็นดังนั้นจึงพยักหน้าให้กับฮัวหิมเป็นทีให้ตามเสด็จเข้าไปที่ข้างในด้วย ฮัวหิมเห็นดังนั้นก็รู้เชิง รีบก้าวเท้าอย่างเร็วตามพระเจ้าเหี้ยนเต้เข้าไปที่ข้างใน พอทันแล้วจึงยุดชายฉลองพระองค์ไว้ ตีสีหน้าบึ้งตึงและกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า ที่ประชุมยังปรึกษาข้อราชการไม่เสร็จสิ้น พระองค์จะเสด็จหนีไปที่ใด พระองค์จะยอมตามที่บรรดาขุนนางปรึกษาหรือไม่ ก็ชอบที่จะเสด็จออกไปว่ากล่าวในท้องพระโรง
พระเจ้าเหี้ยนเต้ถูกฮัวหิมบังคับดังนั้นก็ยิ่งตกพระทัย ตัวสั่น ตรัสประการใดมิได้ พอดีโจหองและโจฮิวเดินถือกระบี่ตามเข้ามาสมทบ ได้ยินเสียงโจหองกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า ตราพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดินเก็บไว้ที่ไหน จงรีบมอบให้แก่เรา
เจาปิดซึ่งเป็นพนักงานรักษาตราพระราชลัญจกรประจำตำแหน่งพระมหากษัตริย์ ได้ยินเสียงโจหองดังนั้นจึงกล่าวว่า ตราพระราชลัญจกรอยู่ในความดูแลรักษาของข้าพเจ้า แต่จะมอบให้แก่ผู้ใดนั้นจะต้องมีรับสั่งของฮ่องเต้ก่อน
โจหองได้ยินคำเจาปิดดังนั้นก็โกรธ สั่งทหารให้คุมตัวเจาปิดเอาไปประหารชีวิต เจาปิดถูกจับแล้วก็มิได้เกรงกลัวต่อความตาย ร้องตะโกนด่าโจหองว่าคิดคดกบฏต่อแผ่นดิน จนกระทั่งถูกประหาร
พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นเจาปิดถูกจับตัวออกไปประหารดังนั้น พระพักตร์ก็ซีดเผือดด้วยความตกใจกลัว ในทันใดนั้นได้ยินเสียงทหารเป็นจำนวนมากเดินเข้ามาใกล้พระตำหนักที่ประทับ จึงเหลือบพระเนตรไปมอง เห็นทหารกว่าห้าร้อยนายพร้อมอาวุธครบมือกำลังตบเท้าเดินตรงเข้ามา ทรงเหลียวแลหาทหารราชองครักษ์และทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ แต่ไม่เห็นผู้ใดแม้แต่สักคนเดียว เพราะทหารเหล่านั้นถูกโจผีสั่งถอนกำลังออกไปจนหมดสิ้นแล้ว
พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นเช่นนั้นก็ทรงทราบสถานการณ์ว่าคับขันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไปก็ทรงพระกันแสง และตรัสว่า “เราจะยอมให้ราชสมบัติแล้ว แต่ขอชีวิตเราไว้เถิด”.
ฝ่ายฮัวหิมและขุนนางทั้งปวงได้ฟังรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่ให้ทบทวนข้อเสนอที่ให้สละราชสมบัติ จึงสั่งทหารให้ไปตามลิต๊กและเคาจีสองขุนนางผู้เฒ่าแห่งกรมโหรมาเข้าเฝ้า แล้วกราบบังคมทูลว่า โหราจารย์เฒ่าทั้งสองคนนี้เป็นขุนนางเก่าในพระองค์ เป็นผู้แจ้งการในภายหน้า ล่วงรู้ว่าลิขิตสวรรค์กำหนดประการใด ขอพระองค์ทรงไต่ถามสองขุนนางผู้เฒ่า แล้วมีพระบรมราชวินิจฉัยตามที่ควรเถิด
พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ยินดังนั้นก็ทราบความนัยว่า สองขุนโหรเฒ่าบัดนี้ได้ทรยศต่อราชสำนัก ไปฝักใฝ่ด้วยโจผีแล้ว จึงมิได้ตรัสความประการใด
ฮัวหิมหันไปมองหน้าลิต๊กและเคาจีแล้วพยักหน้าให้ ลิต๊กและเคาจีเห็นดังนั้นก็รู้ที จึงเข้าไปกราบบังคมทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ โดยลิต๊กกราบบังคมทูลก่อนว่า โจผีสืบอำนาจแทนวุยอ๋อง ประกอบด้วยสติปัญญาบารมีเป็นอันมาก มีสติปัญญาหลักแหลมเอื้ออาทรต่อราษฎรทั้งปวง บัดนี้สวรรค์ได้สำแดงอาการให้ปรากฏว่าโจผีเรืองบุญญาธิการ สมควรขึ้นครองแผ่นดินเป็นฮ่องเต้ จึงบันดาลให้ “หงส์ก็มาร้องในเมือง ราชสีห์ก็เข้ามาเที่ยวในขอบขัณฑสีมา พญามังกรก็มาเลื้อยลอยอยู่ในอากาศกลางเมือง อัศจรรย์ใหญ่นัก” และนับแต่โจผีได้เป็นที่วุยอ๋องแล้ว แผ่นดินก็ร่มเย็นเป็นสุข ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ธัญญาหาร ภักษาหารและมังสาหารอุดมสมบูรณ์ทั่วราชอาณาจักร เมื่อสวรรค์บ่งบอกว่า วุยอ๋องเรืองกฤษดานุภาพอันควรครองราชสมบัติดังนี้แล้ว หากแม้นขัดขืนลิขิตสวรรค์ อันตรายก็จะบังเกิดแก่มนุษย์ ขอพระองค์จงดำริโดยควร
ลิต๊กกราบบังคมทูลแล้วก็ถอยกลับมายืนในตำแหน่งเดิม เคาจีจึงกราบบังคมทูลต่อไปว่า “เวลากลางคืนข้าพเจ้าเห็นดาวประจำพระองค์ รัศมีก็เศร้าหมองวิปริตนัก สำแดงเหตุว่าพระองค์สิ้นบุญแล้ว ฝ่ายดาวประจำตัวโจผีดวงใหญ่มีรัศมีสว่างนัก สำแดงเหตุว่าโจผีมีบุญนักพ้นที่จะพรรณนา อนึ่งเทพยดาก็นิยมยกย่องโจผี จึงสำแดงอัศจรรย์อันใหญ่ทั้งสามประการให้ปรากฏแก่คนทั้งปวง”
เคาจีกราบบังคมทูลต่อไปว่า ปรากฏการณ์อันเป็นนิมิตจากสวรรค์และปรากฏการณ์อันเป็นนิมิตจากมนุษยโลก บังเกิดจากเทพยดาบันดาลให้ปรากฏสอดคล้องต้องกันแล้วว่าราชวงศ์ฮั่นถึงกาลจะสิ้นสูญ และราชวงศ์ใหม่จะได้ครองราชย์สืบไป จึงควรที่พระองค์จะได้เวนคืนราชสมบัติให้แก่วุยอ๋อง
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทอดพระเนตรเห็นเคาจีถวายบังคมแล้วกลับไปยืนในตำแหน่งเดิมจึงมีพระราชกระแสว่า “ท่านว่าทั้งนี้เป็นความไกลตา เรายังหาเชื่อไม่ ซึ่งเราจะยกราชสมบัติอันเป็นของพระญาติวงศ์สืบต่อกันมานั้นให้แก่เขา เรายังไม่เห็นควร”
อองลองซึ่งเป็นขุนนางเก่าแห่งราชสำนักฮั่นอีกคนหนึ่ง ฟังพระราชกระแสแล้วออกไปยืนอยู่เบื้องหน้าพระราชบัลลังก์ ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า อันทรัพย์สมบัติทั้งปวงและราชสมบัติทั้งหลายในโลกนี้นั้นเป็นของประจำแผ่นดิน มิใช่ของส่วนตัวของคนใดคนหนึ่ง หรือราชวงศ์ใดราชวงศ์หนึ่ง มีรุ่งเรืองขึ้นแล้วก็ย่อมเสื่อมสูญตกได้แก่ผู้มีบุญอื่นตามกาลสมัย เป็นแบบอย่างธรรมเนียมที่มีมาแต่โบราณ อันราชวงศ์ฮั่นได้สถาปนามากว่าสี่ร้อยปีแล้ว ผ่านระยะเวลารุ่งเรืองร่วงโรยหลายครั้งหลายหน บัดนี้ถึงกาลสิ้นสุดแล้ว อุปมาดังต้นไม้ใหญ่มีอายุยาวนาน ถึงกาลเปื่อยผุ ไม่เป็นประโยชน์อันใดแก่อาณาประชาราษฎรแล้ว ขอพระองค์ทรงสละราชสมบัติเวนคืนให้แก่ผู้มีบุญบารมีคนใหม่คือวุยอ๋องนั้นเถิด หากแม้นขัดขืนลิขิตแห่งฟ้าดินก็จะเป็นอันตรายเป็นมั่นคง
พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นขุนนางทั้งปวงผันแปรไปดังนั้นจึงทรงพระกันแสง มิได้มีกระแสพระราชดำรัสประการใด ก็เสด็จลุกขึ้นจากพระราชบัลลังก์ เสด็จกลับเข้าไปข้างใน
เหล่าขุนนางซึ่งซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดีแล้ว เห็นอาการของพระเจ้าเหี้ยนเต้ดังนั้นก็ชวนกันหัวเราะเยาะเย้ยอย่างครื้นเครง โดยมิได้สำนึกถึงคุณข้าวแดงแกงร้อนและเบี้ยหวัดผ้าปีที่เคยได้รับพระกรุณาพระราชทานแม้แต่สักน้อยนิด ครั้นเห็นพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จลับเข้าไปในพระวิสูตรแล้ว บรรดาขุนนางเหล่านั้นจึงพากันกลับออกไป ทูลความทั้งปวงให้โจผีทราบ
โจผีทราบความก็หัวเราะ พลางว่าท่านทั้งปวงทำคุณแก่ข้าพเจ้าใหญ่หลวงนัก เมื่อใดที่ได้ครองราชสมบัติแล้วจะทำนุบำรุงดูแลพวกท่านให้เป็นสุข บรรดาขุนนางทั้งปวงได้ฟังคำโจผีดังนั้นก็รู้ความนัยว่าจะทำประการใดต่อไป
ในวันรุ่งขึ้นบรรดาขุนนางทั้งปวงจึงพากันเข้าไปที่ท้องพระโรง ฮัวหิมได้สั่งขันทีให้เข้าไปกราบบังคมทูลเชิญพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เสด็จออกนั่งพระราชบัลลังก์ที่ว่าราชการ พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงทราบความจากขันทีแล้วก็ตกพระทัยกลัว พอดีพระมเหสีโจเฮาซึ่งเป็นบุตรีของโจโฉและเป็นน้องสาวของโจผีเสด็จเข้ามาถึงที่ประทับ ทราบความดังนั้นจึงมีพระราชเสาวนีย์ว่า ก็แลเมื่อบรรดาขุนนางทูลเชิญเสด็จออก ไฉนเล่าพระองค์จึงทรงนิ่งเฉยอยู่เล่า
พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นว่าพระมเหสีไม่ทราบความจึงทรงพระกันแสง และเล่าความทั้งปวงที่บรรดาขุนนางกราบบังคมทูลให้สละราชสมบัติแก่โจผี เพราะเหตุที่พระองค์ทรงถูกบังคับดังนี้จึงไม่ยอมเสด็จออก
พระมเหสีไม่ทรงเชื่อว่าโจผีผู้พี่ชายจะคิดกบฏล้มราชบัลลังก์ จึงมีพระราชเสาวนีย์ต่อว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่าพระองค์หลงคำใครจึงตรัสดังนี้ พระมเหสีตรัสสิ้นคำลงก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในที่ประทับ ทั้งสองพระองค์เหลียวพระพักตร์ไปดู เห็น โจหองและโจฮิวแต่งตัวในชุดออกสงคราม ในมือถือกระบี่อันเป็นการล่วงละเมิดกฎมณเฑียรบาล และกำลังเดินตรงเข้ามาหา
สองนายทหารของโจผีมิได้ถวายบังคมตามธรรมเนียม แต่กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า บัดนี้ขุนนางทั้งปวงพร้อมอยู่ในท้องพระโรงแล้ว ขอทูลเชิญฮ่องเต้ให้เสด็จออกในบัดนี้
พระมเหสีโจเฮาเห็นดังนั้นก็รู้ว่าโจผีผู้พี่คิดล้มราชบัลลังก์แน่แล้ว จึงตรัสกับสองนายทหารว่า “อ้ายพวกเหล่านี้มียศศักดิ์เพราะใคร บัดนี้มาเป็นศัตรูคิดกบฏต่อแผ่นดินอีกเล่า เมื่อครั้งบิดาเรายังอยู่ ทำความชอบหาผู้เสมอไม่ จัดแจงบ้านเมืองให้ราบคาบบริบูรณ์ราษฎรทั้งปวงก็นิยมยินดีรักใคร่ แล้วก็มีสง่า ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเกรงกลัวนัก บิดาเราก็มิได้คิดประทุษร้ายต่อพระเจ้าแผ่นดิน บัดนี้พี่ชายเราได้แทนบิดา ยังมิทันไรสิจะคิดอ่านชิงเอาราชสมบัติ คนอย่างนี้หาเจริญไม่ เทพยดาก็มิได้อวยพร”
สองนายทหารไม่ฟังพระราชเสาวนีย์ ยังคงยืนจ้องหน้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ พระมเหสีโจเฮาเห็นดังนั้นก็รู้ว่าไม่อาจขัดขวางห้ามปรามใด ๆ ได้อีกจึงทรงพระกันแสงแล้วเสด็จเข้าไปที่ข้างใน บรรดานางสนมกำนัลในพระตำหนักเห็นเหตุการณ์ก็สงสาร พากันร้องไห้ตามพระมเหสี
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าเสียงร้องไห้ของเหล่าพระสนมนางกำนัลร้องไห้ดังเซ็งแซ่อื้ออึงไปทั้งพระตำหนัก
สองนายทหารเห็นพระมเหสีโจเฮาเสด็จไปแล้ว ต่างคนต่างกระชับกระบี่ในมือแล้วกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า บรรดาขุนนางรอพระองค์อยู่ที่ท้องพระโรงช้านานแล้ว จงเสด็จออกเถิด พระเจ้าเหี้ยนเต้ถูกบังคับขัดมิได้ก็ลุกขึ้นประทับยืน ถอดเสื้อคลุมมังกรประจำพระองค์โยนลงกับพื้น และเอาฉลองพระองค์แบบคนธรรมดาสามัญมาสวมแทน และเสด็จออกไปที่ท้องพระโรง
พอพระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จประทับนั่งบนพระราชบัลลังก์แล้ว ฮัวหิมได้ก้าวออกมายืนอยู่ตรงหน้าพระพักตร์แล้วถามขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า พระองค์จะยอมเวนคืนราชสมบัติให้แก่วุยอ๋องตามคำปรึกษาของบรรดาขุนนางทั้งปวงหรือไม่ “ถ้าพระองค์ยอมให้แล้วก็จะเป็นสวัสดิ์ หาเป็นอันตรายไม่”
พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังก็ทรงพระกันแสง แล้วตรัสว่า “ขุนนางแต่โบราณก็ได้ยศศักดิ์เบี้ยหวัดผ้าปีในกษัตริย์เชื้อพระวงศ์เราสืบมา ลูกหลานก็ได้ทำราชการต่อกันมา เหตุใดจึงไม่คิดถึงพระเดชพระคุณเลย มาคิดอ่านประทุษร้ายดังนี้”
ฮัวหิมได้ยินดังนั้นจึงกราบทูลต่อไปว่า ความต้องการของอาณาประชาราษฎรและขุนนางทั้งปวงคือเสียงโองการสวรรค์ ที่ต้องการให้พระองค์สละราชสมบัติให้แก่วุยอ๋อง หรือว่าพระองค์จะขัดขืนลิขิตแห่งสวรรค์ หากพระองค์ไม่ทำตาม เห็นว่าอันตรายจะบังเกิดแก่พระองค์ในวันนี้วันพรุ่งเป็นมั่นคง
พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงรับสั่งถามว่า ท่านกล่าวฉะนี้หรือว่าจะคิดอ่านทำร้ายเรา ฮัวหิมกราบทูลต่อไปว่า ข้าพระองค์และขุนนางทั้งปวงมิได้คิดร้ายต่อพระองค์ ทุกคนล้วนมีความปรารถนาดีมิให้พระองค์เป็นอันตราย จึงได้ปรึกษากราบทูลเพื่อให้พระองค์คล้อยตามลิขิตสวรรค์
พระเจ้าเหี้ยนเต้ตรัสถามต่อไปว่า ถ้าหากพวกท่านไม่คิดอ่านทำอันตรายเราแล้ว จะมีใครใดที่จะทำอันตรายเราเล่า
ฮัวหิมจำนนต่อถ้อยคำตามรับสั่ง ไม่อาจเล่นเล่ห์เจรจาต่อไปได้ ก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “ราษฎรทั้งปวงเห็นว่าพระองค์ความคิดน้อย ไม่รอบคอบ หารู้ปกป้องรักษาสมบัติไม่ ก็จะเกิดโจรผู้ร้ายกำเริบขึ้นทำอันตรายราษฎร ทุกบ้านทุกเมืองก็จะยับเยินไป โจผีกระทำการทั้งนี้ใช่ว่าจะแกล้งกำจัดพระองค์หามิได้ ทำการทั้งนี้ด้วยมีความเอ็นดูพระองค์จะให้มีความสุข ปรารถนาจะให้บ้านเมืองราบคาบ พระองค์หาเห็นคุณแลโทษไม่ พระองค์มิยินยอมทั้งนี้ ปรารถนาจะให้ราษฎรกำเริบขึ้นทำอันตรายแก่พระองค์หรือ”
ฮัวหิมได้เปิดเผยท่าทีและเหตุผลแบบโจรานุโจรโดยไม่เกรงกลัวพระราชอาญาอีกต่อไป ซึ่งได้เผยให้เห็นแผนการและกระบวนการในการชิงราชสมบัติล้มราชบัลลังก์อย่างชัดเจน ครั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าบรรดาขุนนางเหล่านี้กำลังยื่นคำขาดต่อพระองค์ หากไม่สละราชสมบัติแล้วก็จะถูกสังหารเป็นแน่แท้ จึงตกพระทัยเป็นอันมาก รีบเสด็จลงจากพระราชบัลลังก์ และเสด็จกลับเข้าไปที่ข้างใน
ฮัวหิมตกตะลึงมิรู้ที่จะทำประการใด อองลองขุนนางเฒ่าเห็นดังนั้นจึงพยักหน้าให้กับฮัวหิมเป็นทีให้ตามเสด็จเข้าไปที่ข้างในด้วย ฮัวหิมเห็นดังนั้นก็รู้เชิง รีบก้าวเท้าอย่างเร็วตามพระเจ้าเหี้ยนเต้เข้าไปที่ข้างใน พอทันแล้วจึงยุดชายฉลองพระองค์ไว้ ตีสีหน้าบึ้งตึงและกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า ที่ประชุมยังปรึกษาข้อราชการไม่เสร็จสิ้น พระองค์จะเสด็จหนีไปที่ใด พระองค์จะยอมตามที่บรรดาขุนนางปรึกษาหรือไม่ ก็ชอบที่จะเสด็จออกไปว่ากล่าวในท้องพระโรง
พระเจ้าเหี้ยนเต้ถูกฮัวหิมบังคับดังนั้นก็ยิ่งตกพระทัย ตัวสั่น ตรัสประการใดมิได้ พอดีโจหองและโจฮิวเดินถือกระบี่ตามเข้ามาสมทบ ได้ยินเสียงโจหองกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า ตราพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดินเก็บไว้ที่ไหน จงรีบมอบให้แก่เรา
เจาปิดซึ่งเป็นพนักงานรักษาตราพระราชลัญจกรประจำตำแหน่งพระมหากษัตริย์ ได้ยินเสียงโจหองดังนั้นจึงกล่าวว่า ตราพระราชลัญจกรอยู่ในความดูแลรักษาของข้าพเจ้า แต่จะมอบให้แก่ผู้ใดนั้นจะต้องมีรับสั่งของฮ่องเต้ก่อน
โจหองได้ยินคำเจาปิดดังนั้นก็โกรธ สั่งทหารให้คุมตัวเจาปิดเอาไปประหารชีวิต เจาปิดถูกจับแล้วก็มิได้เกรงกลัวต่อความตาย ร้องตะโกนด่าโจหองว่าคิดคดกบฏต่อแผ่นดิน จนกระทั่งถูกประหาร
พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นเจาปิดถูกจับตัวออกไปประหารดังนั้น พระพักตร์ก็ซีดเผือดด้วยความตกใจกลัว ในทันใดนั้นได้ยินเสียงทหารเป็นจำนวนมากเดินเข้ามาใกล้พระตำหนักที่ประทับ จึงเหลือบพระเนตรไปมอง เห็นทหารกว่าห้าร้อยนายพร้อมอาวุธครบมือกำลังตบเท้าเดินตรงเข้ามา ทรงเหลียวแลหาทหารราชองครักษ์และทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ แต่ไม่เห็นผู้ใดแม้แต่สักคนเดียว เพราะทหารเหล่านั้นถูกโจผีสั่งถอนกำลังออกไปจนหมดสิ้นแล้ว
พระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นเช่นนั้นก็ทรงทราบสถานการณ์ว่าคับขันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไปก็ทรงพระกันแสง และตรัสว่า “เราจะยอมให้ราชสมบัติแล้ว แต่ขอชีวิตเราไว้เถิด”.