ตอนที่ 44. ต้นตำรับสารพัดวิชาชั่ว

 เมื่อศพซุนเกี๋ยนถึงเมืองกังตั๋งแล้ว ทางราชการเมืองกังตั๋งให้แต่งการศพไว้ที่ตำบลขยกโอ๋ และพร้อมใจกันยกซุนเซ็กขึ้นเป็นเจ้าเมือง เป็นการแต่งตั้งเจ้าเมืองกันเองโดยที่ไม่ต้องรอฟังพระบรมราชโองการแต่งตั้งจากเมืองหลวงเหมือนดังแต่ก่อน

            การที่แคว้นกังตั๋งยังไม่ประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ จึงดูประหนึ่งว่าแคว้นกังตั๋งยังคงขึ้นต่อเมืองหลวง แต่ในเนื้อหาแล้วการเริ่มแยกตัวอย่างสันติออกจากเมืองหลวงได้ก่อตัวขึ้นแล้ว คล้าย ๆ กับพฤติกรรมที่ไต้หวันปฏิบัติอยู่ในขณะนี้

            การแต่งตั้งซุนเซ็กบุตรซุนเกี๋ยนขึ้นเป็นเจ้าเมืองเตียงสาในครั้งนี้ ก็คือการสืบสันตติวงศ์แบบพระมหากษัตริย์อยู่ในที และก็คือพฤติการณ์ที่แข็งข้อเอากับเมืองหลวงต่อเนื่องจากที่ซุนเกี๋ยนได้เข้าร่วมในกองทัพปฏิวัติ และโดยเหตุที่เมืองเตียงสาเป็นศูนย์กลางของแคว้นกังตั๋ง ซึ่งมีหัวเมืองใหญ่น้อยถึงแปดสิบเอ็ดหัวเมือง ดังนั้นหัวเมืองดังกล่าวจึงเท่ากับได้ขึ้นต่อเมืองเตียงสาโดยตรง

            ซุนเซ็กอายุเพียงสิบห้าปี แต่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของทหารกล้า ทั้งมีความสนใจการสงครามมาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นจึงเป็นที่พอใจของขุนนางข้าราชการแคว้นกังตั๋ง เพราะเมื่อเจ้าเมืองรักการทหารย่อมทำให้การทหารรุ่งเรือง และฝ่ายทหารก็ย่อมรุ่งเรืองตามไปด้วย

            ซุนเซ็กเมื่อได้เป็นใหญ่ในแคว้นกังตั๋งแล้ว บารมีของซุนเกี๋ยนที่สร้างสมไว้จึงตกทอดมาสู่ซุนเซ็ก ดังนั้นซุนเซ็กจึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวเมืองทั้งปวง ทั้ง ๆ ที่มีวัยเพียงสิบห้าปีเท่านั้น โดยเหตุที่ซุนเซ็กมีเลือดพ่อ ดังนั้นความคิดในการตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่จึงได้สืบสายเลือดมาด้วย เหตุนี้ซุนเซ็กจึงให้ความสำคัญต่อการเชื้อเชิญบัณฑิตผู้มีสติปัญญาความกล้าหาญเข้ามาทำราชการด้วยแคว้นกังตั๋งเป็นอันมาก

            ในขณะที่แคว้นกังตั๋งเริ่มมีเสถียรภาพอย่างเป็นขั้นตอนนี้ เล่าปี่ยังคงเป็นเจ้าเมืองเพงง้วนก๋วน และโจโฉก็ยังคงไปตั้งหลักปักฐานอยู่ที่เมืองเอ๊งจิ๋ว ในฐานะที่เป็นผู้กบฏต่อแผ่นดินตามกฎหมาย

            ข่าวการตายของซุนเกี๋ยน และการขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าเมืองของซุนเซ็กได้แพร่ขยายไปอย่างรวดเร็ว ความทราบถึงตั๋งโต๊ะแล้ว ตั๋งโต๊ะมีความยินดียิ่งนักถึงขนาดที่กล่าวกับบรรดาขุนนางข้าราชการในเมืองหลวงว่า “ซึ่งซุนเกี๋ยนตายเสียนั้นเราค่อยเบาใจมีความสุขขึ้น อุปมาเหมือนบ่งหนามออกจากอกเราได้เล่มหนึ่ง”

            ครั้นได้ทราบว่าซุนเซ็กผู้บุตรได้สืบอำนาจต่อมา แต่มีอายุเพียงสิบห้าปี ตั๋งโต๊ะก็ยิ่งวางใจเพราะเห็นว่าเป็นเด็กอยู่ ไม่อยู่ในสายตาที่ต้องระแวดระวังอีกต่อไป

            ในบรรดาเจ้าเมืองในกองทัพปฏิวัติทั้งหมดนั้น ตั๋งโต๊ะไม่เคยเกรงกลัวอ้วนเสี้ยวเพราะเห็นว่าไร้สติปัญญาความสามารถ ส่วนโจโฉก็เป็นเพียงลูกน้องเก่า แผ่นดิน     สักกะผีกนิ้วหนึ่งก็ยังไม่มีครอง ส่วนเล่าปี่ยิ่งไม่อยู่ในสายตาเพราะไม่เคยรู้จัก ดังนั้นเมื่อสิ้นซุนเกี๋ยนซึ่งตั๋งโต๊ะถือเป็นเสี้ยนหนามที่ยอกอยู่ในอกแล้ว ตั๋งโต๊ะจึงยิ่งมีความกำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อน ไม่เห็นผู้ใดในแผ่นดินที่จะอยู่ในสายตาอีกต่อไป

            เมื่อกำเริบขึ้นแล้วความเลวทรามต่าง ๆ ที่เคยรั้งรออยู่บ้างจึงเผยตัวขึ้นชนิดที่ไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดินอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่เรียกว่าความเลวทรามต่ำช้านั้นหากจะจำแนกเป็นความชั่ว ความโฉด ความโหด และความหื่นแล้ว ตั๋งโต๊ะมีอยู่ครบถ้วนในตัวเอง และกำลังแสดงออกอย่างเต็มที่

            ความชั่วโฉดโหดหื่นบรรดาที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินั้น หามีครั้งไหนที่เทียบได้กับยุคสมัยของตั๋งโต๊ะไม่ และในบรรดาอาชญากรทั้งระดับโลก ระดับชาติ และระดับท้องถิ่นที่เคยทำความเลวทรามไว้กับมนุษยชาติตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์เป็นต้นมาก็หาได้มีผู้ใดทำชั่วโฉดโหดหื่นได้ถึงระดับของตั๋งโต๊ะ และทำได้ครบถ้วนทุกอย่างเหมือนกับตั๋งโต๊ะ

            ฮิตเล่อร์แม้ว่าจะเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิต แต่หาใช่คนชั่วไม่ หาใช่คนหื่นในกามไม่ กลับเป็นคนที่อุทิศตนเพื่ออาณาจักรไร้ซ์ที่สามและลัทธินาซี ในการส่วนตัวก็มีสตรีที่เกี่ยวข้องอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ความเหี้ยมโหดต่อชาวยิวเกิดมาแต่เหตุที่ถือเอาชนเผ่าอารยันของตนเป็นผู้ครองโลกและมองชาวยิวเป็นศัตรูฮิตเล่อร์อย่างมากจึงเป็นแค่คนโหดเหี้ยมอำมหิตเท่านั้น

            ส่วนพลพตไม่ปรากฏว่าเป็นคนชั่ว ไม่ปรากฏว่าเป็นคนหื่น ความโหดเหี้ยมอำมหิตของพลพตเกิดจากปัญหาเชื้อชาติในกัมพูชาที่พลพตมีสายเลือดเขมรแท้หรือขแมร์รู้ต เห็นว่าเขมรสองสายเลือดที่มีเลือดเวียดนามเจือปนหรือขแมร์กลอมกำลังยึดครองและทำลายล้างเขมรแท้ จึงสังหารขแมร์กลอมเสียเป็นอันมาก มูลฐานทางจิตใจจึงอยู่ที่ความหลงชาติ หลงสายเลือด

            แม้นายพลอีดี้ร์อามินแห่งยูกันดา ซึ่งสังหารคนเป็นผักปลา แม้จะกล่าวได้ว่าเป็นทั้งคนชั่วโฉด โหดและหื่นครบกระบวนความเช่นเดียวกับตั๋งโต๊ะ แต่ระดับความเลวทรามที่กระทำไว้หากจะเทียบกับตั๋งโต๊ะแล้วก็อยู่ในชั้นปลายแถวเท่านั้น

            ตั๋งโต๊ะเป็นคนเลวทรามครบกระบวนคือทั้งชั่วโฉด โหด หื่น และระดับของความชั่วโฉด โหด หื่นนั้นก็หามีใครในโลกไม่ว่าในอดีต หรือปัจจุบัน หรือในอนาคตจะเทียมเทียบได้อีกต่อไปแล้ว

            ยังคงรำลึกกันได้ดีว่าก่อนย้ายเมืองหลวงนั้น ตั๋งโต๊ะได้สั่งให้สังหารผู้คนที่ไม่มีความผิดเสียนับล้านคน กวาดต้อนผู้คนออกไปจากเมืองหลวงร่วมเจ็ดล้านคน ริบทรัพย์สินเศรษฐี พ่อค้าวานิชและราษฎรเสียทั้งสิ้น ขุดพระบรมศพ พระศพและศพของพระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์และราษฎรทั้งเมืองหลวง ชิงเอาทรัพย์สินที่ฝังอยู่ในหลุมฝังศพจนหมดสิ้น

            ครั้นย้ายเมืองหลวงใหม่ไปที่เมืองเตียงอันแล้ว และสิ้นซุนเกี๋ยนซึ่งถือเป็นศัตรูคนสำคัญแล้ว ตั๋งโต๊ะก็ยิ่งก่อกรรมทำเข็ญมากขึ้น อาชญากรรมของตั๋งโต๊ะที่ถูกบันทึกไว้มีดังต่อไปนี้

            ประการแรก ได้สืบทอดวิธีคิดของหลี่ปู้เหว่ย อัครมหาเสนาบดีแห่งแคว้นจิ๋น ตั้งตนเป็นบิดาบุญธรรมของฮ่องเต้ ยึดอำนาจของฮ่องเต้และบงการฮ่องเต้ไว้อยู่ในกำมือ ตั้งตนเสมอกับพระมหากษัตริย์

            ประการที่สอง แต่งตั้งเอาสมัครพรรคพวกของตัวเป็นขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งสิ้น โดยไม่คำนึงถึงความรู้ความสามารถ เช่น แต่งตั้งให้ตั๋งห้องผู้น้องเป็นผู้บัญชาการกองทัพทั่วประเทศ ยกเว้นกองกำลังรักษาพระนคร, ตั้งเอาคนแซ่ “ตั๋ง” เข้ามาเป็นขุนนางทั้งในเมืองหลวงและหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองหลวง

            ประการที่สาม ตั้งเมืองหลวงแห่งที่สองขึ้นสำหรับตัวเองโดยเฉพาะ เกณฑ์ไพร่และผู้คนจากหัวเมืองต่าง ๆ ที่ขึ้นต่อเมืองหลวงถึงสองแสนห้าหมื่นคน ไปสร้างเมืองหลวงแห่งที่สองในระยะทางห่างจากเมืองหลวงสองพันห้าร้อยเส้น มีกำแพงสูงเท่าเมืองหลวง มีตำหนักต่าง ๆ เท่ากับพระราชวังของฮ่องเต้ ตั้งคลังและฉางข้าวปลาอาหารสำหรับเลี้ยงทหารและผู้คนได้ถึงยี่สิบปี ล้างผลาญเงินแผ่นดินและริบเอาทรัพย์สินของราษฎรจำนวนมากมาสร้างเมืองหลวงแห่งที่สองนี้ เพื่อเสวยสุขแต่ผู้เดียว

            ประการที่สี่ ได้เข้ายึดเอาคลังหลวงของแผ่นดินเป็นของตน และย้ายคลังหลวงแผ่นดินออกจากเมืองหลวงไปไว้ที่เมืองหลวงแห่งที่สองของตัวเอง บรรดาส่วยสาอากรทั้งปวงของแผ่นดินเมื่อจัดเก็บแล้วต้องเอามาไว้ที่เมืองหลวงสำรอง และคุมอำนาจการเบิกจ่ายไว้ทั้งสิ้น

            ประการที่ห้า บังคับคัดเลือกเอาลูกสาวของราษฎรที่มีรูปงามไว้ปรนเปรอความหื่นในกามของตนถึงแปดร้อยคน หญิงสาวคนใดแสดงอาการรังเกียจหรือไม่ยอมปรนเปรอกามารมณ์แก่ตั๋งโต๊ะจนเป็นที่พอใจก็จะถูกสังหารผลาญชีวิตแล้วส่งคนไปฆ่าพ่อแม่ครอบครัวเสียทั้งสิ้น เบื่อหน่ายหญิงสาวคนใดก็จะขับไล่ไสส่งและห้ามแต่งงานมีสามีอีกต่อไปด้วยความประสงค์มิให้ผู้ใดได้สัมผัสกับสตรีนั้นซ้ำรอยตน

            ประการที่หก ปฏิบัติต่อฮ่องเต้เหมือนลูกไก่อยู่ในกำมือ เดือนหนึ่งบ้าง ยี่สิบวันบ้างจึงขึ้นไปเฝ้าฮ่องเต้เสียครั้งหนึ่ง มีกิจการบ้านเมืองอันสำคัญก็ปลอมพระราชโองการเอาตามใจชอบ แต่งตั้งข้าราชการขุนนางเอาตามใจชอบ

            ประการที่เจ็ด กำหนดเป็นหน้าที่ให้ขุนนางต้องผลัดเปลี่ยนเวรมาแห่แหนต้อนรับทั้งในเมืองหลวงและนอกเมืองหลวง เสมือนหนึ่งเป็นการเสด็จของพระมหากษัตริย์

            ประการที่แปด สร้างจวนสำหรับตนเองขึ้นในพระราชวัง อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับพระตำหนักที่ประทับ เป็นอาคารขนาดใหญ่กว่าพระตำหนักที่ประทับ ประดับประดาด้วยสิ่งของอันวิจิตรจากต่างแดนหรูหรายิ่งกว่าการประดับประดาในพระตำหนักที่ประทับของฮ่องเต้ แล้วให้เรียกจวนนั้นว่าพระตำหนักผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน มิหนำซ้ำยังให้ช่างปั้นรูปฮ่องเต้ไว้หน้าตำหนักตัว ต่อภายนอกอ้างว่าเพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดี แต่ภายในหมู่พรรคพวกของตัวกลับเผยความจริงว่าฮ่องเต้ไม่ต่างอะไรกับคนเฝ้าประตูบ้าน คล้าย ๆ กับยักษ์เฝ้าประตูวัดพระแก้ว

            ความชั่วโฉดโหดหื่นของตั๋งโต๊ะหาได้จบลงแค่นี้ไม่ เรื่องที่ผู้คนทั่วทั้งโลกไม่สามารถคิดได้แต่ตั๋งโต๊ะก็คิดและทำได้ ชนิดที่เหนือความคาดหมายของผู้คน หากเป็นยุคปัจจุบัน หนังสือกินเนสบุ๊คย่อมจะต้องนำกรณีต่างๆ ของตั๋งโต๊ะเหล่านั้นมาเป็นเรื่องอันเป็นที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

            อยู่มาวันหนึ่งในขณะที่ตั๋งโต๊ะอยู่ที่เมืองหลวงแห่งที่สอง ได้รับรายงานว่าหัวเมืองฝ่ายเหนือที่ขึ้นต่อเมืองหลวงได้ส่งทหารมาเข้าสวามิภักดิ์เป็นจำนวนห้าร้อยคน จึงส่งมาให้เป็นข้ารับใช้ในเมืองหลวงแห่งที่สอง

            ตั๋งโต๊ะรับทราบรายงานแล้วสั่งให้จัดงานสโมสรสันนิบาตขึ้นในเมืองหลวงแห่งที่สองแล้วเชิญบรรดาขุนนางผู้ใหญ่น้อยทั้งปวงมากินโต๊ะ

            ในงานสโมสรสันนิบาต ตั๋งโต๊ะให้จัดตั้งกะทะน้ำมันบนเตาไฟถึงห้าร้อยเตา ในขณะที่บรรดาขุนนางข้าราชการกำลังกินโต๊ะกันอยู่นั้น ตั๋งโต๊ะได้แจ้งว่าในลำดับถัดไปจะมีการโชว์ชุดพิเศษ แล้วโยนจอกสุราลงกับพื้นตะโกนขึ้นว่า “จัดการแสดงได้”

            สายตาของขุนนางข้าราชการทั้งปวงต่างหันมามองที่ลานซึ่งตั้งกะทะน้ำมันสุมไฟจนร้อนเดือด ทันใดนั้นก็มีทหารคุมคนที่เข้ามาสวามิภักดิ์ห้าร้อยคนในลักษณะที่มัดไว้แน่น แล้วตัดแขน ตัดขา ตัดหู ตัดลิ้นคนเหล่านั้นใส่กะทะทอด คนเหล่านั้นเจ็บปวดร้องไห้โหยหวนเป็นที่น่าเวทนา

            เหล่าขุนนางข้าราชการเห็นดังนั้นก็ตกใจ บางคนอาเจียนแล้วฟุบลงบนโต๊ะ บางคนก็พลัดตกจากเก้าอี้ บ้างก็ตะเกียบหลุดมือ บ้างก็มีอาการช็อคจนนิ่งงันไป ด้วยสงสารคนเหล่านั้นเป็นอันมาก ในขณะที่ตั๋งโต๊ะยังคงเสพสุราและหัวร่อเริงร่า

            ตั๋งโต๊ะได้ยินเสียงคนที่ถูกตัดอวัยวะเหล่านั้นร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดจึงสั่งให้เอาคนเหล่านั้นลงทอดในกะทะจนตายสิ้น

            เหตุการณ์วันนั้นสร้างความเศร้าสลดและสังเวชให้แก่ขุนนางข้าราชการและเกิดความเกรงกลัวตั๋งโต๊ะเป็นอันมาก

            เพื่อจะสร้างความเกรงกลัวให้มากขึ้นต่อไปอีก วันหนึ่งตั๋งโต๊ะสั่งให้จัดเลี้ยงโต๊ะแล้วเชิญขุนนางข้าราชการมากินโต๊ะอีกครั้งหนึ่ง แล้วสั่งลิโป้ว่าเมื่อขุนนางข้าราชการมาพร้อมกันแล้ว ให้ทำทีมากระซิบที่หูแล้วให้จับเอาเตียวอุ๋นขุนนางไปฆ่าเสีย

            ถึงวันจัดเลี้ยงลิโป้ก็มาทำทีกระซิบที่ข้างหูของตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะทำเป็นหัวเราะแล้วว่า “เอาตัวมันไป” ลิโป้ก็เข้าไปจับเตียวอุ๋นขุนนางลากออกไป ครู่หนึ่งก็ตัดศีรษะเตียวอุ๋นใส่ถาดเข้ามามอบให้แก่ตั๋งโต๊ะท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของเหล่าขุนนางข้าราชการ

            ตั๋งโต๊ะแจ้งแก่เหล่าขุนนางว่าอย่าได้ตกใจ เราประหารเตียวอุ๋นขุนนางเสียเพราะคิดเป็นกบฏสมคบด้วยอ้วนสุด มีหนังสือลับไปถึงอ้วนสุดให้ยกกองทัพมาทำร้ายเรา ท่านทั้งปวงมิได้สมรู้ด้วยอย่าได้วิตกเลย ว่าแล้วก็หัวเราะดังสนั่น

            เหล่าขุนนางกินโต๊ะเสร็จแล้วก็รีบแยกย้ายกันกลับบ้าน

            ตั๋งโต๊ะครองอำนาจสูงสุดในเมืองหลวง กระทำการชั่วโฉดโหดหื่นครบถ้วนกระบวนแห่งความเลวทรามในระดับที่สูงสุดเช่นนี้ เพราะตั้งความหวังว่าจะข่มขุนนางข้าราชการให้เกรงกลัว ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะคิดร้ายอีกต่อไป แต่การกลับตรงกันข้ามเมื่อความเลวทรามเกิดขึ้นถึงขีดสุดแล้ว กลับทำลายความกลัวของผู้คน ดังนั้นความคิดที่จะสังหารตั๋งโต๊ะจึงก่อตัวขึ้น ณ บัดนั้น

            ความชั่วโฉดโหดหื่นของตั๋งโต๊ะเช่นนี้จึงทำให้ตั๋งโต๊ะได้รับการขนานนามว่า “ตั๋งโต๊ะผู้ถูกสาปแช่งทั้งสิบทิศ”.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร