ตอนที่ 446. สุดยอดกลการเมือง การทหาร

 เล่าปี่แม้ยังไม่ทราบข่าวคราวที่แน่ชัดว่ากวนอูตายแล้วหรือไม่ แต่พอได้ยินคำขงเบ้งสนทนากับเคาเจ้งก็เชื่อว่าเหตุร้ายจะเกิดกับกวนอูเป็นแน่แท้ สำนึกแห่งคำสัตย์ปฏิญาณของคำสาบานสวนท้อจึงระเบิดขึ้นในทันที ว่าถ้ากวนอูตายก็จะตายด้วยกัน จะมีชีวิตอยู่ไปไย

            ในขณะที่เล่าปี่ ขงเบ้ง และเคาเจ้ง ยังยืนอยู่ที่หน้าประตูตำหนักของเล่าปี่นั้น ทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานว่าบัดนี้ม้าเลี้ยงและอีเจี้ยถือหนังสือมาแต่กวนอู พระเจ้าเล่าปี่ก็เร่งให้หาทั้งสองขุนนางเข้ามาพบโดยไว

            ม้าเลี้ยงและอีเจี้ยเข้ามาถึง คำนับเล่าปี่ตามธรรมเนียมแล้วจึงทูลว่า เมืองเกงจิ๋วเสียแก่ซุนกวนแล้ว กวนอูได้ล่าทัพไปปักหลักอยู่ที่เมืองเป๊กเต้ ขอให้ยกกองทัพเมืองเสฉวนไปช่วยโดยเร็ว ว่าแล้วก็ถวายหนังสือของกวนอูแก่เล่าปี่

            เล่าปี่รับหนังสือมายังไม่ทันจะได้แกะออกอ่าน ทหารรักษาการณ์ก็เข้ามาทูลอีกว่าเลียวฮัวซึ่งอยู่เมืองเกงจิ๋วจะมาขอเฝ้า เล่าปี่ก็สั่งให้รีบเข้ามา

            เลียวฮัวเข้ามาเห็นเล่าปี่ยืนอยู่กับขงเบ้งและขุนนางก็ร้องไห้ คุกเข่าคำนับแล้วทูลว่าซุนกวนตีได้เมืองเกงจิ๋วแล้ว กวนอูไปอยู่เมืองเป๊กเต้ ถูกข้าศึกล้อมไว้ทั้งสี่ด้านคับขันนัก จึงขอให้เล่าฮองและเบ้งตัดยกกองทัพไปช่วย แต่ทั้งเล่าฮองและเบ้งตัดไม่ยอมยกกองทัพไปตามคำของกวนอู

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ละล่ำละลักถามว่าถ้าเช่นนั้นกวนอูจะไม่เสียทีแก่ซุนกวนดอกหรือ

            ขงเบ้งได้ฟังจึงว่า เล่าฮองและเบ้งตัดทำทั้งนี้มีโทษถึงตาย พระองค์อย่าได้มีความทุกข์ร้อนไปนักเลย ข้าพเจ้าขออาสานำกองทัพยกไปช่วยเมืองเกงจิ๋วเอง

            เล่าปี่ได้ฟังขงเบ้งจึงว่า กวนอูเป็นพี่น้องร่วมสาบาน ชอบที่ข้าพเจ้าจะยกกองทัพไปด้วย ดังนั้นจึงให้ท่านทำหนังสือเรียกเตียวหุยมาเป็นกองทัพหน้า ข้าพเจ้าจะเป็นกองทัพหลวง แล้วยกไปพร้อมกัน

            ตลอดทั้งวันนั้นเล่าปี่ให้วิตกทุกข์ร้อนเป็นอันมาก พอย่ำค่ำก็อ่อนล้าอิดโรยและม่อยหลับไป ขงเบ้งและบรรดาที่ปรึกษาซึ่งใกล้ชิดวิตกด้วยอาการของเล่าปี่ จึงพากันมาพักที่เรือนรับรองใกล้พระตำหนัก หากมีการร้อนด่วนประการใดก็จะปรึกษาหารือได้ทันท่วงที

            พอใกล้รุ่งทหารในกองทัพของกวนอูซึ่งแตกหนีมาได้ ได้แจ้งแก่ยามรักษาการณ์ขอพบกับเล่าปี่ พอเล่าปี่ทราบก็รีบลุกออกมาฟังความ ทหารนั้นก็รายงานว่า กวนอูและกวนเป๋งตีฝ่าออกจากเมืองเป๊กเต้ไปทางเขาเจาสัน ต้องกลของซุนกวนถูกทหารเมืองกังตั๋งจับได้และประหารชีวิตเสียแล้ว

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้ “กลิ้งเกลือกลงกลางดิน สิ้นสมประดี” บรรดาพนักงานรับใช้ในตำหนักจึงวิ่งเข้ามาประคองเล่าปี่เข้าไปข้างในตำหนัก แล้วช่วยกันแก้ไขจนฟื้นคืนสติดังเดิม

            ขงเบ้งและขุนนางทั้งปวงทราบข่าวจึงพากันมาเฝ้าเล่าปี่ที่ตำหนัก เห็นเล่าปี่มีความทุกข์ตรมหมกไหม้หนักหนานัก ขงเบ้งจึงทูลเป็นทำนองเอาใจให้คลายความทุกข์ว่า เป็นธรรมดาสัตว์โลกทั้งปวงเกิดมาแล้วก็ต้องตาย หามีผู้ใดล่วงพ้นความตายไปได้ไม่ กวนอูเป็นยอดทหารเสือ ตายในการรบสมศักดิ์ศรี ย่อมมีเกียรติศักดิ์ลือชาปรากฏไปในภายหน้า ขออย่าได้ทุกข์ร้อนจนเสียการ ชอบที่จะคิดอ่านทำการแก้แค้นให้กวนอูจะดีกว่า

            เล่าปี่จึงว่าเรา “กวนอู เตียวหุย ได้สาบานไว้ว่าจะตายด้วยกัน บัดนี้กวนอูตายเสียแล้ว เราจะเสวยราชย์หาความสุขแต่ผู้เดียวหาควรไม่”

            เล่าปี่กล่าวแล้วยิ่งเคียดแค้นพยาบาทซุนกวน คิดจะล้างแค้นแทนกวนอูให้จงได้ แม้ว่าจะตายหรือเสียหายสักเท่าใด ก็ไม่ครณาเพื่อพิทักษ์รักษาคำสัตย์ปฏิญาณแห่งคำสาบานสวนท้อไว้ให้มั่นคง

            ในขณะนั้นกวนหินบุตรของกวนอูร้องไห้เดินเข้ามาถึงที่ข้างใน เล่าปี่เห็นกวนหินร้องไห้ก็รู้ว่าเป็นเรื่องของกวนอู จึงสงสารกวนหินเป็นอันมาก เดินเข้าไปสวมกอดปลอบโยนกวนหินแล้วร้องไห้ตาม

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า เล่าปี่มีความรักอาลัยกวนอูเป็นอันมาก ร้องไห้รำพันถึงกวนอูติดต่อกันถึงห้าวัน ไม่ออกว่าราชการตามปกติ

            สิ้นวันที่ห้าขงเบ้งและขุนนางทั้งปวงคิดว่าเล่าปี่พอจะสร่างโศกลงได้บ้าง จึงพากันเข้าไปเฝ้าแล้วทูลปลอบใจเล่าปี่ด้วยประการต่าง ๆ เพื่อให้หายความโศก เล่าปี่ได้ฟังคำคนทั้งปวงแล้วลุกขึ้นยืนชี้มือไปทางด้านเมืองกังตั๋ง ประกาศอย่างหนักแน่นว่า “อันชาวเมืองกังตั๋งกับเราแต่นี้ไปจะปองล้างกันไป ไม่ขออยู่ร่วมฟ้าอันเดียวกันเลย”

            ขงเบ้งและขุนนางทั้งปวงเห็นเล่าปี่โกรธพยาบาทถึงขนาดไม่ยอมอยู่ร่วมฟ้ากับซุนกวนดังนั้นก็ช่วยกันปลอบประโลมใจต่อไปอีก เพื่อให้เล่าปี่หักความโศกแล้วคิดอ่านแผนการแก้แค้นแทนกวนอู

            เล่าปี่ได้ฟังคำขุนนางที่ให้คิดอ่านแผนการล้างแค้นก็เปลี่ยนจากความแค้นมาเป็นความคิดที่จะทำลายล้างเมืองกังตั๋ง อาการซึ่งโศกเศร้าก็สิ้นลง แต่ความแค้นพยาบาทที่ถูกแปรเปลี่ยนเป็นพลังอำนาจแห่งการฆ่าฟันฉะนี้ ย่อมมีอานุภาพทำลายล้างใหญ่หลวง ยิ่งกว่าการตกอยู่ในอารมณ์โศกเศร้าหลายเท่านัก

            ขงเบ้งเห็นเล่าปี่ค่อยคลายโศกในลักษณาการดังนั้น จึงทูลว่าหน่วยสอดแนมได้รายงานเข้ามาว่าซุนกวนได้ต่อหีบใส่ศีรษะกวนอูส่งไปให้แก่โจโฉ โจโฉได้เลื่อนอิสริยยศให้แก่กวนอูเป็นที่สมเด็จเจ้าพระยา แล้วแต่งการศพอย่างสมเกียรติยศ และไปฝังไว้ที่หน้าเมืองลกเอี๋ยง จารึกความหน้าหลุมศพว่าที่ฝังศพกวนกงเจ้าเมืองเกงจิ๋ว

            เล่าปี่ได้ฟังก็รู้สึกประหลาดใจ จึงถามว่าเหตุไฉนซุนกวนและโจโฉจึงทำดังนี้

            ขงเบ้งจึงว่า ซุนกวนเกรงว่ากองทัพเมืองเสฉวนจะยกไปตีเมืองกังตั๋ง จึงแกล้งส่งศีรษะกวนอูไปให้โจโฉเพื่อให้ท่านเข้าใจว่าโจโฉเป็นตัวการให้ชาวเมืองกังตั๋งสังหารกวนอู แล้วจะยกไปรบกับโจโฉ ซุนกวนก็จะนั่งดูเล่นแล้วคอยซ้ำเติมเอาในภายหลัง แต่โจโฉรู้กลอุบายของซุนกวนจึงปัดความผิด สถาปนาอิสริยยศและแต่งการศพของ  กวนอูอย่างสมเกียรติ เพื่อให้ท่านรู้ว่าโจโฉมิได้เกี่ยวข้อง ท่านก็จะโกรธซุนกวนแล้วยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง โจโฉก็จะนั่งดูเล่นแล้วค่อยยกไปซ้ำเติมต่อภายหลัง

            เล่าปี่ได้ฟังจึงว่า เมื่อซุนกวนเป็นตัวการสังหารกวนอู เราก็จะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งให้ราบเป็นหน้ากลองเพื่อล้างแค้นให้แก่กวนอู

            ขงเบ้งได้ฟังก็ท้วงว่า กลเกมการเมืองและการศึกครั้งนี้เป็นสุดยอดกลการเมือง การทหาร ให้ข้าศึกทำลายล้างกันเอง ลุ่มลึกหลักแหลมยิ่งนัก ไม่ว่าท่านจะยกกองทัพไปตีซุนกวนหรือโจโฉฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายที่เหลือก็จะนั่งดูเล่นคอยซ้ำเติมเอาต่อภายหลัง เมืองเสฉวนเราจะกลายเป็นเบี้ยให้เขากินสถานเดียว ฉะนั้นจะวู่วามมิได้ ชอบที่จะแต่งการเซ่นไหว้ศพกวนอู แล้วดูสถานการณ์ให้แน่นอนก่อนจึงค่อยยกไป แม้หากจะยกไปในบัดนี้ก็จะสมความคิดต้องด้วยกลการเมืองของซุนกวนหรือโจโฉ เห็นขัดสนนัก

            แล้วขงเบ้งจึงกล่าวอาสาว่า ข้าพเจ้าจะขอคิดอุบายแก้กลให้ซุนกวนรบกับโจโฉเอง เมื่อซุนกวนรบกับโจโฉ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำลงแล้วเราจึงค่อยยกไปทำการต่อภายหลังก็จะสำเร็จได้โดยง่าย ทั้งการรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งก็จะสำเร็จด้วย

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึงสั่งให้ออกหมายประกาศไปทั่วแคว้นจ๊กให้ขุนนางและราษฎรทั้งปวงแต่งขาวห่มขาวไว้ทุกข์ให้แก่กวนอูตามประเพณี และให้แต่งเครื่องเซ่นไหว้ไปเซ่นสรวงดวงวิญญาณของกวนอูที่ประตูเมืองเสฉวนด้านทิศใต้ พระเจ้าเล่าปี่พร้อมกับขุนนางทั้งปวงได้ออกไปทำพิธีการเซ่นไหว้วิญญาณของกวนอูที่ประตูเมืองท่ามกลางบรรยากาศสุดเศร้าสลด

            หลังจากนั้นเล่าปี่ก็ยังคงร้องไห้รำลึกถึงกวนอูทุกวันมิได้ขาด

            เจี้ยนอันศกปีที่ยี่สิบห้า เดือนสี่ ตรงกับปีพุทธศักราชสองร้อยยี่สิบ โจโฉพำนักอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง มีอาการป่วยด้วยโรคประสาทกำเริบ เพราะนับแต่ถูกวิญญาณกวนอูหลอกหลอนแล้ว ยามนอนหลับตาลงเมื่อใดก็เห็นกวนอูเมื่อนั้น

            ไม่เพียงแต่เห็นกวนอูผู้เดียว บางค่ำคืนโจโฉยังเห็นตังสิน ม้าเท้ง เล่าฮก ซุนฮิว   ซุนฮก พระนางฮกเฮา และคนต่าง ๆ ซึ่งโจโฉได้ประหัตประหารมาแต่ก่อนเป็นอันมาก   โจโฉจึงมีความหวาดกลัว บางวันก็ได้สำนึกว่าตัวเราบัดนี้มีอายุล่วงปัจฉิมวัยแล้ว ซึ่งดวงวิญญาณของคนที่ตายจำนวนมากมาปรากฎให้เห็นดังนี้ หรือว่าอายุขัยเราใกล้จะดับสิ้น   โจโฉระลึกเช่นนี้ก็ยิ่งมีความหวาดกลัวไม่อยากตาย ปรึกษาหารือกับขุนนางผู้ใกล้ชิดว่าจะทำประการใดจึงจะให้วิญญาณทั้งหลายไม่เข้ามากร้ำกรายหลอกหลอนให้เป็นที่กวนใจสืบไป

            ก็เป็นดังคำโบราณว่า ผลการปรึกษาจะเป็นประการใด ย่อมขึ้นอยู่กับว่าจะปรึกษากับใคร โลกนิติจึงบัญญัติว่า

            “นายแพทย์ทายว่าไข้        ลมกุม
            โหรว่าเคราะห์แรงรุม        โทษให้
            พ่อมดว่าผีคุม                   ทำโทษ
            ปราชญ์ว่ากรรมเองไซร้    ก่อตั้งมาเอง”

            แต่เผอิญบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ที่โจโฉปรึกษาหารือนั้น แม้มิใช่พ่อมดหมอผีแต่เป็นคนจำพวกกลัวผีและเชื่อเรื่องผีสาง จึงถวายความเห็นว่า “วังเก่านี้มีปีศาจมากนัก ขอให้ท่านไปสร้างวังใหม่เถิดจึงจะอยู่เป็นสุข”

            คำปรึกษาเช่นนี้ต้องด้วยอัธยาศัยของโจโฉยิ่งนัก เพราะโจโฉนั้นเป็นนักก่อสร้าง ได้สร้างวังตามเมืองต่าง ๆ แทบทั่วทุกหัวเมือง เฉพาะวังใหม่ที่เมืองเงียบกุ๋นนั้นก็ใหญ่โตอัครฐานเสมอด้วยวังของฮ่องเต้ เพียงนั้นแล้วยังมิหนำแก่ใจ พอได้ฟังคำปรึกษาก็เห็นด้วย แล้วปรารภว่าตัวเราเองก็คิดอยู่ว่าจะสร้างวังใหม่อยู่อีกสักแห่งหนึ่ง จะทำเป็นพระที่นั่งให้ใหญ่โตอัครฐาน ประกอบด้วยลวดลายอันวิจิตร เพื่อให้พิสดารยิ่งกว่าวังทั้งปวง เป็นอนุสรณ์ถาวรให้คนรุ่นหลังได้รู้ถึงความนิยมในงานศิลปะวัฒนธรรมของตัวเรา แต่วิตกด้วยช่างซึ่งมีฝีมือนั้นยังขาดแคลนนัก

            กาเซี่ยงซึ่งเป็นที่ปรึกษาจึงทูลว่า ในเมืองลกเอี๋ยงนี้มีช่างฝีมือเลิศยิ่งกว่าพระวิษณุกรรมมาจุติอยู่ผู้หนึ่ง มีชื่อว่าเชาอวด เห็นจะทำการถวายให้สำเร็จได้ดังประสงค์

            โจโฉได้ฟังก็มีความยินดี สั่งให้หาเชาอวดเข้ามาพบ แล้วแต่งตั้งให้เป็นแม่กองงาน ในการสร้างวังใหม่ว่า “ท่านจงเทียบแผนที่วังให้มีพระที่นั่งเสด็จออก แลเป็นที่ข้างหน้าข้างในให้สนุกกว่าเก่า”

            รวมความตามคำสั่งนี้คือให้สร้างวังขนาดใหญ่ สำหรับฝ่ายหน้าอันเป็นที่ว่าราชการและที่ทำการของบรรดาขุนนางทั้งปวงส่วนหนึ่ง และสำหรับฝ่ายในอันเป็นที่พักอาศัยของโจโฉและสนมนางกำนัล ตลอดจนพนักงานสตรีทั้งมวล กำหนดให้มีความอัครฐานงดงามประณีตยิ่งกว่าวังทั้งปวง

            เชาอวดรับคำสั่งแล้วจึงเขียนแบบแปลนเป็น “แผนที่วังตำหนักเก้าหลัง ฝ่ายหน้ามีท้องพระโรงใหญ่ ฝ่ายข้างในมีตำหนักรายเรียงกันไป” และเขียนแบบรายละเอียดลวดลายต่าง ๆ อันวิจิตรประณีต ประหนึ่งจะสร้างงานศิลปกรรมอันล้ำเลิศประดับไว้ในโลก ครั้นทำเสร็จแล้วจึงนำเข้าไปทูลโจโฉเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

            โจโฉเห็นแบบแปลนแผนผังรายละเอียดแล้วมีความยินดีเป็นอันมาก สรรเสริญว่าท่านทำการทั้งนี้ต้องด้วยความคิดของเรานัก วังนี้จะเป็นวังอันควรที่ผู้มีบุญได้ครอง แต่เสาเอกสำหรับวางตามฤกษ์นั้นเป็นเสาไม้ใหญ่ยาวนัก จักหาได้จากที่ไหน

            เชาอวดจึงว่า วุยอ๋องมีบารมียิ่งใหญ่ในใต้หล้า อย่าได้วิตกเพราะเรื่องเท่านี้เลย ด้วยมีป่าแห่งหนึ่งชื่อว่าป่าเอียดหลง ห่างจากตำหนักนี้ไปสามร้อยเส้น มีศาลเทพารักษ์อันศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ศาลหนึ่ง ใกล้ ๆ กับศาลนั้นมีต้นสาลี่สูงยี่สิบวา มีขนาดใหญ่หลายคนโอบ เห็นจะทำเป็นเสาเอกของวังใหม่ได้

            โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ยินดี จึงสั่งทหารให้ไปตัดต้นไม้ใหญ่เพื่อเตรียมไว้สำหรับทำเสาเอกของวังใหม่ให้ทันวันกำหนดพิธีฤกษ์วางเสาเอก

            ทหารทั้งปวงรับคำสั่งแล้วก็พากันไปที่ป่าเอียดหลง เอาขวานและเลื่อยฟันต้นไม้ใหญ่ข้างศาลเทพารักษ์นั้น ปรากฏว่าทหารทุกคนต้องตกตะลึงเพราะต้นไม้นั้นฟันไม่เข้า เลื่อยไม่ขาด แม้แต่เปลือกนอกก็มิได้ระคายผิว.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร