ตอนที่ 43. ดาวเสือขาวร่วงจากฟ้ากังตั๋ง
ดินแดนที่เรียกว่าแคว้นกังตั๋งนั้น ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซี ทางด้านตะวันออกมีอาณาเขตติดกับทะเลตังไฮ้ หรือทะเลตะวันออก มีเมืองเตียงสาเป็นศูนย์กลาง และมีหัวเมืองเอก โท ตรี ถึงแปดสิบเอ็ดหัวเมือง เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์
ซุนเกี๋ยนเจ้าเมืองเตียงสานั้นมีภรรยาสองคนเป็นพี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน ผู้พี่ชื่องอฮูหยิน ผู้น้องชื่องอยี่ฮูหยิน ผู้พี่มีบุตรชายสี่คนคือซุนเซ็ก, ซุนกวน, ซุนเสียง และซุนของ ฝ่ายผู้น้องมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อซุนลอง และบุตรหญิงอีกคนหนึ่งชื่อซุนหยิน และมีบุตรบุญธรรมอีกคนหนึ่งชื่อกองเล ซุนเกี๋ยนมีน้องชายอีกคนหนึ่งชื่อ ซุนแจ้ง
นับตั้งแต่ซุนเกี๋ยนได้ตราพระลัญจกรมาครองแล้ว ความเป็นปกติสุขที่เคยมีมาแต่กาลก่อนก็เปลี่ยนแปลงไป มีแต่ความวุ่นวายใจด้วยความพยาบาทด้วยอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว และเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งสมคบกันจะชิงเอาตราพระลัญจกรคืนสถานหนึ่ง และวุ่นวายใจด้วยความคิดที่จะตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าอีกสถานหนึ่ง ใบหน้าซุนเกี๋ยนที่เคยผ่องใสประดุจหยกขาวก็หมองลง
อาถรรพ์แห่งตราพระลัญจกรดูเหมือนว่ากำลังปกคลุมฟากฟ้าเมืองกังตั๋งแล้ว
ฝ่ายอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง ครั้นได้ทราบข่าวว่าอ้วนเสี้ยวผู้พี่ได้ครองเมืองกิจิ๋วก็มีจิตคิดโลภอยากได้ประโยชน์แบ่งปันบ้าง จึงมีหนังสือให้ทหารถือไปขอม้าจำนวนพันตัวจากอ้วนเสี้ยว แต่อ้วนเสี้ยวไม่ยอมให้ ความคิดแบบผีสิงยังไม่ยอมหยุด อ้วนสุดจึงให้ทหารมีหนังสือไปขอเสบียงจากเล่าเปียวอีกทางหนึ่ง เล่าเปียวก็ไม่ให้เพราะไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันแม้แต่น้อย อ้วนสุดจึงผูกอาฆาตและโกรธเคืองทั้งอ้วนเสี้ยวผู้พี่ ทั้งเล่าเปียวคนร่วมโลก
ดังนั้นอ้วนสุดจึงคิดอ่านหาทางล้างแค้นทั้งที่ไม่ควรแค้นเอากับอ้วนเสี้ยวและเล่าเปียว คิดแล้วก็ให้ทหารถือหนังสือไปถึงซุนเกี๋ยนเมืองเตียงสาว่าเมื่อครั้งที่ท่านได้ตราพระลัญจกรไว้นั้น อ้วนเสี้ยวมีจิตริษยาคิดแย่งชิงตราพระลัญจกรเพื่อตั้งตนขึ้นเป็นเจ้า และเป็นตัวการสั่งให้เล่าเปียวยกทหารออกมาสกัดตอนท่านยกทัพกลับเมืองกังตั๋ง หากวาสนาท่านจะได้เป็นใหญ่ท่านจึงยกทัพกลับเมืองกังตั๋งโดยสวัสดีพร้อมด้วยตราพระลัญจกรนั้น
แล้วยังยุต่อไปว่าบัดนี้อ้วนเสี้ยวกับเล่าเปียวกำลังคบคิดกันจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋งเพื่อชิงเอาตราพระลัญจกรอีก ขอให้ท่านยกกองทัพไปตีเมือง เกงจิ๋ว ส่วนตัวข้าพเจ้าจะช่วยท่านแก้แค้นและจะยกไปตีเมืองกิจิ๋ว ซึ่งอ้วนเสี้ยวครองอยู่นั้น
ซุนเกี๋ยนรับหนังสือของอ้วนเสี้ยวแล้วต้องด้วยแรงพยาบาทที่ครองใจอยู่ จึงเรียกขุนนางและแม่ทัพนายกองมาปรึกษา แต่บรรดาคนเหล่านั้นเห็นว่าขณะนี้ซุนเกี๋ยนเพิ่งตั้งตัว ยังไม่มั่นคงดีนัก จักต้องอาศัยระยะเวลาอีกช่วงหนึ่งจึงค่อยทำการ แต่ซุนเกี๋ยนไม่ฟังคำ แล้วกล่าวว่าเล่าเปียวกับเรานั้นมีความแค้นต่อกัน ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้ ถึงมาตรว่าอ้วนสุดจะไม่มีหนังสือมาทั้งนี้ เราก็คิดจะยกกองทัพไปตี เมืองเกงจิ๋วอยู่แล้ว ใช่จะหวังความช่วยเหลือใด ๆ จากคนอื่น
ว่าแล้วจึงตั้งอุยกายให้เป็นแม่ทัพเรือ จัดเตรียมกองทัพเรือพร้อมทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ ถึงวันฤกษ์ดีแล้วจะได้กรีฑาทัพยกไปตีเมืองเกงจิ๋ว
ในระหว่างที่อุยกายกำลังเตรียมทัพอยู่ที่ชายทะเลนั้น กองเรือลาดตระเวนของเมืองเกงจิ๋วตรวจพบเหตุการณ์จึงรายงานให้เล่าเปียวทราบ เล่าเปียวจึงเรียกประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองเมืองเกงจิ๋วปรึกษาการศึกว่าจะเป็นประการใด
เก๊งเหลียงทหารเอกซึ่งเป็นที่ปรึกษาให้ความเห็นว่ากองทัพเมืองกังตั๋งเป็นชาวเรือ ไม่ถนัดการรบทางบก เราจะตั้งรับทัพกังตั๋งบนบกก็จะได้ชัยชนะต่อกองทัพกังตั๋งเป็นมั่นคง แล้วเสนอแผนการณ์ให้ตั้งหองจอเจ้าเมืองกังแฮ ซึ่งขึ้นต่อเมืองเกงจิ๋วเป็นกองทัพหน้า เล่าเปียวเป็นกองทัพหลวง ยกไปตั้งรับทัพเมืองกังตั๋งที่ปากแม่น้ำฮวนเสีย
เล่าเปียวเห็นชอบด้วยจึงสั่งการตามแผนการณ์ของเก๊งเหลียงทุกประการ
ครั้นถึงวันฤกษ์ดี อุยกายเตรียมกองทัพเรือและทหารไว้พร้อมสรรพ ตัว ซุนเกี๋ยนลงมาคอยฤกษ์อยู่ที่ฐานทัพเรือ โดยมีซุนแจ้งผู้น้องนำบุตรทั้งเจ็ดคนไปที่ฐานทัพเพื่อส่งกองทัพซุนเกี๋ยน แล้วว่ากับซุนเกี๋ยนว่าเมืองกังตั๋งนี้เพิ่งสงบสุข ตัวท่านก็เพิ่งตั้งตัว สมควรตรึกตรองดูสักครั้งหนึ่งก่อนว่าควรทำสงครามในช่วงนี้หรือไม่
ซุนเกี๋ยนจึงว่าแต่ก่อนมาตัวเราผู้เดียวยังสามารถตั้งตัวได้ถึงเท่านี้ มาบัดนี้เมืองกังตั๋งก็อุดมสมบูรณ์ ผู้คนก็มาก ทหารก็พร้อม หากจะนิ่งเสียความแค้นสุมแน่นในอกเราหาความสบายมิได้ ทั้งไม่สมกับความเป็นชายชาติทหาร จำเป็นที่จะต้องล้างความอัปยศให้จงได้
ซุนเซ็กผู้บุตรได้ยินบิดาและอาตนตอบโต้กันอยู่ดั่งนั้น จึงขอต่อซุนเกี๋ยน ติดตามไปในกองทัพด้วย ซุนเกี๋ยนมีใจรักซุนเซ็กผู้บุตร หวังให้มีประสบการณ์ในการสงครามจึงอนุญาต
ครั้นได้ฤกษ์แล้วซุนเกี๋ยนก็ลงเรือบัญชาการ ยกกองทัพข้ามอ่าวไปถึงปากแม่น้ำฮวนเสียที่ติดต่ออยู่กับเมืองกังแฮ ซึ่งบัดนี้กองทัพของเมืองเกงจิ๋วได้มาตั้งรับอยู่ก่อนแล้ว
ในขณะที่กองทัพเรือของซุนเกี๋ยนเคลื่อนเข้ามาใกล้ปากแม่น้ำฮวนเสีย หองจอทหารเอกกองหน้าของเล่าเปียวก็สั่งให้ทหารตั้งกองเรียงรายอยู่ตามริมแม่น้ำ ใช้เกาทัณฑ์ยิงกองทัพซุนเกี๋ยน ฝ่ายซุนเกี๋ยนสั่งเรือรบไม่ให้เข้าเทียบฝั่ง ให้ลอยลำรับลูกเกาทัณฑ์อยู่ถึงสามวันสามคืนจนทหารของหองจอหมดลูกเกาทัณฑ์
ซุนเกี๋ยนเห็นดังนั้นจึงสั่งให้กองทัพเรือเข้าเทียบฝั่ง ให้เทียเภาและอุยกายยกทหารเป็นสองกองเข้าโจมตีกองทัพของหองจอ ทหารทั้งสองฝ่ายตะลุมบอนกัน บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก หองจอเสียทหารฝีมือดีในกองทัพไปหลายคน เห็นจะรับมือกองทัพซุนเกี๋ยนไม่ได้จึงรีบหนีเข้าไปเมืองเกงจิ๋ว
ซุนเกี๋ยนสั่งให้ทหารในกองทัพเรือชักเอาลูกเกาทัณฑ์ซึ่งทหารหองจอยิงมาติดกับเรือรบออกแล้วนับดูได้ลูกเกาทัณฑ์ถึงสิบห้าหมื่น แล้วจึงสั่งให้ยกทัพไปเมืองเกงจิ๋ว โดยให้เทียเภายกกองทัพเรือไปที่ตำบลท่าฮั่นกั๋งเพื่อยกพลขึ้นบกตรงไปเมืองเกงจิ๋ว ส่วนตัวซุนเกี๋ยนเองยกทหารไปตามทางบกตรงไปเมืองเกงจิ๋ว
ฝ่ายเล่าเปียวเมื่อได้รับรายงานการศึกจากหองจอแล้วก็ตกใจ จึงหาเก๊งเหลียงมาปรึกษาว่าจะทำประการใด เก๊งเหลียงเสนอให้ตั้งมั่นอยู่ในเมืองแล้วขอความช่วยเหลือจากอ้วนเสี้ยว แต่ชัวมอทหารเอก ซึ่งเป็นพี่ภรรยาของเล่าเปียวไม่เห็นด้วย อ้างว่ากองทัพเมืองกังตั๋งมาประชิดอยู่เช่นนี้จะมัวขอให้อ้วนเสี้ยวมาช่วยเหลือคงไม่ทันการ ขออาสายกทหารไปตีทัพซุนเกี๋ยนเอง เล่าเปียวจึงอนุญาตให้ชัวมอยกทหารไปตีทัพ ซุนเกี๋ยน
กองทัพของชัวมอปะทะกับกองทัพของซุนเกี๋ยนที่ยกมาทางบก เทียเภาทหารเอกของซุนเกี๋ยนออกรบด้วยชัวมอได้สิบเพลง ชัวมอสู้ไม่ได้ก็ขับม้าหนี กองทัพซุนเกี๋ยนจึงไล่ตามตีทหารชัวมอแตก กองทัพของชัวมอสูญเสียทหารเป็นจำนวนมาก ชัวมอจึงนำทหารที่แตกหนีมานั้นยกกลับเข้าเมืองเกงจิ๋ว
หลังจากเล่าเปียวได้ฟังการศึกจากชัวมอแล้วก็ตกใจ เก๊งเหลียงลำเลิกว่าการทั้งนี้เป็นเพราะเล่าเปียวไม่เชื่อฟัง การที่ชัวมอแพ้ศึกมาครั้งนี้จำเป็นต้องลงโทษประหารตามพระอัยการศึก แต่เล่าเปียวเกรงใจนางชัวฮูหยินภรรยา ซึ่งเป็นผู้น้องของชัวมอ จึงมิได้เอาโทษ
ฝ่ายซุนเกี๋ยนไล่ตามตีชัวมอมาจนถึงกำแพงเมืองเกงจิ๋ว เห็นข้างในเมืองปิดประตูเมืองแล้วให้ทหารขึ้นรักษาการณ์บนเชิงเทินอย่างแน่นหนา จึงตั้งค่ายลงล้อมเมืองเกงจิ๋วไว้
วันหนึ่งขณะที่ซุนเกี๋ยนตรวจทหารอยู่ที่นอกค่าย เกิดพายุใหญ่พัดมา ธงชัยสำหรับแม่ทัพประจำตัวซุนเกี๋ยนหักสะบั้นลง ฮันต๋งทหารเอกเห็นเป็นลางร้ายจึงเสนอให้ซุนเกี๋ยนเลิกทัพกลับไปเมืองกังตั๋ง แต่ซุนเกี๋ยนไม่ยอมแล้วว่า การศึกครั้งนี้กองทัพเมืองกังตั๋งได้รับชัยชนะตลอดมา บัดนี้จวนจะได้เมืองเกงจิ๋วอยู่แล้วจะกลัวไปใยกับสายลมพัด เพลาดึกของค่ำนี้เราจะหักเข้าตีเมืองเกงจิ๋วให้ได้
ฝ่ายข้างเมืองเกงจิ๋ว พอค่ำลงเก๊งเหลียงทหารเอกและที่ปรึกษาของเล่าเปียวได้ขึ้นตรวจดูเหตุการณ์บนเชิงเทินกำแพงเมืองเกงจิ๋ว เห็นดาวดวงหนึ่งตกลงมาแต่ทิศเมืองกังตั๋ง ตรวจดูแล้วจึงแจ้งแก่เล่าเปียวว่าข้าพเจ้าสังเกตดาวดวงหนึ่งอยู่บนฟ้าข้างเมืองกังตั๋งเห็นเศร้าหมองนัก บัดนี้ดาวดวงนั้นได้ร่วงลงจากฟ้า เห็นว่าอันตรายจะเกิดแก่ซุนเกี๋ยนเป็นมั่นคง ขอให้รีบแต่งหนังสือขอให้อ้วนเสี้ยวยกกองทัพมาช่วย
เล่าเปียวเห็นชอบกับความคิดของเก๊งเหลียงแล้วว่า ในเมื่อเมืองเกงจิ๋วถูกกองทัพของซุนเกี๋ยนล้อมอยู่ดังนี้ จะมีผู้ใดอาสาถือหนังสือไปถึงอ้วนเสี้ยวเล่า ขณะนั้นนายทหารคนหนึ่งชื่อลีก๋งขออาสาทำการ เก๊งเหลียงพิเคราะห์ลีก๋งแล้วเห็นท่วงท่าจะทำการได้สำเร็จจึงว่าในการไปครั้งนี้เราจะวางแผนให้ท่านเดินทางโดยปลอดภัย
แล้วว่าเราจะจัดทหารถือเกาทัณฑ์ห้าร้อยตามท่านไป เมื่อรบหักฝ่าวงล้อมไปแล้วให้จัดทหารเกาทัณฑ์สองร้อยแบ่งเป็นสองกองให้ซุ่มอยู่ในป่าท้ายเขาฮีสันกองหนึ่ง และให้ซุ่มอยู่ที่เนินเขาฮีสันอีกกองหนึ่ง ให้เตรียมก้อนศิลาไว้ให้พร้อม ซุนเกี๋ยนคงจะยกตามตีท่านไป ให้ตัวท่านกับทหารสามร้อยแกล้งถอยไปทางเขาฮีสัน ถึงจุดซุ่มระหว่างเนินเขาและป่าท้ายเขาฮีสันเมื่อใด ให้จุดพลุสัญญาณใหญ่ขึ้นสามนัด ให้พลเกาทัณฑ์ระดมยิงซุนเกี๋ยน ฝ่ายเราก็จะยกตีกระหนาบเข้าไป ซุนเกี๋ยนก็จะเสียทีเราเป็นมั่นคง
แล้วว่าถ้าหากซุนเกี๋ยนไม่ติดตามไปเพราะอาจเห็นว่าเป็นคืนเดือนมืด ขอให้ท่านรีบเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน รีบไปให้ถึงอ้วนเสี้ยวโดยเร็ว
ลีก๋งรับคำสั่งแล้วก็ออกมาเตรียมทหาร หลังเพลาค่ำจึงเปิดประตูเมืองด้านตะวันออกรีบบึ่งฝ่าทหารลาดตระเวนของซุนเกี๋ยนซึ่งไม่ทันระวังตัวไปอย่างรวดเร็ว ถึงเขาฮีสันก็จัดวางกองซุ่มตามคำของเก๊งเหลียง
ฝ่ายซุนเกี๋ยนเมื่อได้รับรายงานว่าทหารจากในเมืองเกงจิ๋วตีฝ่าวงล้อมออกไป จึงขึ้นม้าถือง้าวพาทหารสามสิบคนเร่งตามทหารที่ตีฝ่าวงล้อมนั้นไป ทันเข้ากับม้าลีก๋ง
ลีก๋งชักม้าเข้ามารบด้วยซุนเกี๋ยนได้สามเพลงก็ชักม้านำทหารหนีไปทางเขาฮีสัน ซุนเกี๋ยนก็ไล่ตามไป ครั้นไปถึงซอกเขาอันเป็นจุดซุ่ม ลีก๋งก็จุดพลุสัญญาณขึ้นสามนัด กองซุ่มที่อยู่บนเนินเขาฮีสันและที่อยู่ในป่าเชิงเขาฮีสันก็ทิ้งศิลาและยิงเกาทัณฑ์ลงมาดุจห่าฝนถูกซุนเกี๋ยนและม้าเลือดโทรมกาย ทั้งม้าและคนถึงแก่ความตายอยู่ในที่นั้น
ซุนเกี๋ยนเป็นนักรบที่แกล้วกล้าเหี้ยมหาญ มีใบหน้าขาวดังหยกสีขาว จึงได้รับสมญาว่า “เสือขาวแห่งกังตั๋ง” ณ อายุเพียงสามสิบเจ็ดปี ดาวเสือขาวก็ร่วงลับฟ้ากังตั๋งในซอกเขาฮีสันด้วยประการฉะนี้
ลีก๋งเห็นดังนั้นก็รู้สึกนับถือความคิดของเก๊งเหลียงเป็นอันมาก จึงยกทหารลงมาฆ่าทหารที่ตามซุนเกี๋ยนตายจนหมดสิ้น
ฝ่ายเก๊งเหลียงเตรียมทหารพร้อมอยู่ ครั้นได้ยินเสียงพลุสัญญาณก็ให้เก๊งอวด หองจอ และชัวมอ คุมทหารออกตีทัพซุนเกี๋ยนเป็นสามด้าน ทหารซุนเกี๋ยนไม่ทันรู้ตัวก็แตกตื่นล้มตาย
ขณะนั้นอุยกายซึ่งรักษาการณ์อยู่ที่กองทัพเรือ ได้ยินเสียงโห่ร้องก็คุมทหารยกขึ้นมาช่วยรบพบหองจอต่อสู้กันได้หกเพลง อุยกายก็จับเป็นหองจอได้ ในขณะที่ เทียเภา ซุนเซ็กยกตามซุนเกี๋ยนไปพบเข้ากับลีก๋ง เทียเภารบกับลีก๋งได้ห้าเพลงก็เอาทวนแทง ลีก๋งตกม้าตาย ทหารทั้งสองฝ่ายได้รบพุ่งกันเป็นสามารถ บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมากครั้นใกล้สว่างทหารซุนเกี๋ยนก็กลับเข้าค่าย ส่วนทหารฝ่ายเล่าเปียวก็เอาศพซุน เกี๋ยนกลับเข้าเมือง
ฝ่ายซุนเซ็กและเทียเภาตามหาซุนเกี๋ยนจนสว่างก็ได้พบทหารเลวคนหนึ่งบอกว่าซุนเกี๋ยนถูกเกาทัณฑ์ตายที่ซอกเขาฮีสัน ทหารเล่าเปียวนำศพเข้าเมืองไปแล้ว ซุนเซ็กก็ร้องไห้เพราะรักบิดาเป็นอันมาก
ทหารของซุนเกี๋ยนเมื่อทราบว่าซุนเกี๋ยนตายแล้วก็พร้อมใจกันยกซุนเซ็กขึ้นเป็นผู้นำ สายขึ้นก็ส่งคนไปเจรจาด้วยเล่าเปียวขอรับศพซุนเกี๋ยนกลับเมืองกังตั๋ง แลกกับหองจอทหารเอกเมืองเกงจิ๋ว
เก๊งเหลียงคัดค้านและเสนอให้รีบตีกองทัพเมืองกังตั๋งซึ่งขณะนี้กำลังขวัญเสีย แต่เล่าเปียวไม่ฟังคำ ตกลงคืนศพซุนเกี๋ยนให้กับกองทัพกังตั๋งแลกกับหองจอทหารเอกเมืองเกงจิ๋ว
วันรุ่งขึ้นซุนเซ็กจึงให้คุมหองจอไปส่งแก่เล่าเปียว ณ ประตูเมือง แล้วรับเอาศพซุนเกี๋ยนมาลงเรือยกทัพกลับเมืองกังตั๋ง
ดาวเสือขาวดับลับฟ้าเมืองกังตั๋ง หรือจะเป็นด้วยแรงแห่งอาถรรพ์ของตราพระลัญจกร อันเป็นที่หมายปองของขุนศึกทุกตัวคน.
ซุนเกี๋ยนเจ้าเมืองเตียงสานั้นมีภรรยาสองคนเป็นพี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน ผู้พี่ชื่องอฮูหยิน ผู้น้องชื่องอยี่ฮูหยิน ผู้พี่มีบุตรชายสี่คนคือซุนเซ็ก, ซุนกวน, ซุนเสียง และซุนของ ฝ่ายผู้น้องมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อซุนลอง และบุตรหญิงอีกคนหนึ่งชื่อซุนหยิน และมีบุตรบุญธรรมอีกคนหนึ่งชื่อกองเล ซุนเกี๋ยนมีน้องชายอีกคนหนึ่งชื่อ ซุนแจ้ง
นับตั้งแต่ซุนเกี๋ยนได้ตราพระลัญจกรมาครองแล้ว ความเป็นปกติสุขที่เคยมีมาแต่กาลก่อนก็เปลี่ยนแปลงไป มีแต่ความวุ่นวายใจด้วยความพยาบาทด้วยอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว และเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งสมคบกันจะชิงเอาตราพระลัญจกรคืนสถานหนึ่ง และวุ่นวายใจด้วยความคิดที่จะตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าอีกสถานหนึ่ง ใบหน้าซุนเกี๋ยนที่เคยผ่องใสประดุจหยกขาวก็หมองลง
อาถรรพ์แห่งตราพระลัญจกรดูเหมือนว่ากำลังปกคลุมฟากฟ้าเมืองกังตั๋งแล้ว
ฝ่ายอ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง ครั้นได้ทราบข่าวว่าอ้วนเสี้ยวผู้พี่ได้ครองเมืองกิจิ๋วก็มีจิตคิดโลภอยากได้ประโยชน์แบ่งปันบ้าง จึงมีหนังสือให้ทหารถือไปขอม้าจำนวนพันตัวจากอ้วนเสี้ยว แต่อ้วนเสี้ยวไม่ยอมให้ ความคิดแบบผีสิงยังไม่ยอมหยุด อ้วนสุดจึงให้ทหารมีหนังสือไปขอเสบียงจากเล่าเปียวอีกทางหนึ่ง เล่าเปียวก็ไม่ให้เพราะไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันแม้แต่น้อย อ้วนสุดจึงผูกอาฆาตและโกรธเคืองทั้งอ้วนเสี้ยวผู้พี่ ทั้งเล่าเปียวคนร่วมโลก
ดังนั้นอ้วนสุดจึงคิดอ่านหาทางล้างแค้นทั้งที่ไม่ควรแค้นเอากับอ้วนเสี้ยวและเล่าเปียว คิดแล้วก็ให้ทหารถือหนังสือไปถึงซุนเกี๋ยนเมืองเตียงสาว่าเมื่อครั้งที่ท่านได้ตราพระลัญจกรไว้นั้น อ้วนเสี้ยวมีจิตริษยาคิดแย่งชิงตราพระลัญจกรเพื่อตั้งตนขึ้นเป็นเจ้า และเป็นตัวการสั่งให้เล่าเปียวยกทหารออกมาสกัดตอนท่านยกทัพกลับเมืองกังตั๋ง หากวาสนาท่านจะได้เป็นใหญ่ท่านจึงยกทัพกลับเมืองกังตั๋งโดยสวัสดีพร้อมด้วยตราพระลัญจกรนั้น
แล้วยังยุต่อไปว่าบัดนี้อ้วนเสี้ยวกับเล่าเปียวกำลังคบคิดกันจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋งเพื่อชิงเอาตราพระลัญจกรอีก ขอให้ท่านยกกองทัพไปตีเมือง เกงจิ๋ว ส่วนตัวข้าพเจ้าจะช่วยท่านแก้แค้นและจะยกไปตีเมืองกิจิ๋ว ซึ่งอ้วนเสี้ยวครองอยู่นั้น
ซุนเกี๋ยนรับหนังสือของอ้วนเสี้ยวแล้วต้องด้วยแรงพยาบาทที่ครองใจอยู่ จึงเรียกขุนนางและแม่ทัพนายกองมาปรึกษา แต่บรรดาคนเหล่านั้นเห็นว่าขณะนี้ซุนเกี๋ยนเพิ่งตั้งตัว ยังไม่มั่นคงดีนัก จักต้องอาศัยระยะเวลาอีกช่วงหนึ่งจึงค่อยทำการ แต่ซุนเกี๋ยนไม่ฟังคำ แล้วกล่าวว่าเล่าเปียวกับเรานั้นมีความแค้นต่อกัน ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้ ถึงมาตรว่าอ้วนสุดจะไม่มีหนังสือมาทั้งนี้ เราก็คิดจะยกกองทัพไปตี เมืองเกงจิ๋วอยู่แล้ว ใช่จะหวังความช่วยเหลือใด ๆ จากคนอื่น
ว่าแล้วจึงตั้งอุยกายให้เป็นแม่ทัพเรือ จัดเตรียมกองทัพเรือพร้อมทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ ถึงวันฤกษ์ดีแล้วจะได้กรีฑาทัพยกไปตีเมืองเกงจิ๋ว
ในระหว่างที่อุยกายกำลังเตรียมทัพอยู่ที่ชายทะเลนั้น กองเรือลาดตระเวนของเมืองเกงจิ๋วตรวจพบเหตุการณ์จึงรายงานให้เล่าเปียวทราบ เล่าเปียวจึงเรียกประชุมขุนนางและแม่ทัพนายกองเมืองเกงจิ๋วปรึกษาการศึกว่าจะเป็นประการใด
เก๊งเหลียงทหารเอกซึ่งเป็นที่ปรึกษาให้ความเห็นว่ากองทัพเมืองกังตั๋งเป็นชาวเรือ ไม่ถนัดการรบทางบก เราจะตั้งรับทัพกังตั๋งบนบกก็จะได้ชัยชนะต่อกองทัพกังตั๋งเป็นมั่นคง แล้วเสนอแผนการณ์ให้ตั้งหองจอเจ้าเมืองกังแฮ ซึ่งขึ้นต่อเมืองเกงจิ๋วเป็นกองทัพหน้า เล่าเปียวเป็นกองทัพหลวง ยกไปตั้งรับทัพเมืองกังตั๋งที่ปากแม่น้ำฮวนเสีย
เล่าเปียวเห็นชอบด้วยจึงสั่งการตามแผนการณ์ของเก๊งเหลียงทุกประการ
ครั้นถึงวันฤกษ์ดี อุยกายเตรียมกองทัพเรือและทหารไว้พร้อมสรรพ ตัว ซุนเกี๋ยนลงมาคอยฤกษ์อยู่ที่ฐานทัพเรือ โดยมีซุนแจ้งผู้น้องนำบุตรทั้งเจ็ดคนไปที่ฐานทัพเพื่อส่งกองทัพซุนเกี๋ยน แล้วว่ากับซุนเกี๋ยนว่าเมืองกังตั๋งนี้เพิ่งสงบสุข ตัวท่านก็เพิ่งตั้งตัว สมควรตรึกตรองดูสักครั้งหนึ่งก่อนว่าควรทำสงครามในช่วงนี้หรือไม่
ซุนเกี๋ยนจึงว่าแต่ก่อนมาตัวเราผู้เดียวยังสามารถตั้งตัวได้ถึงเท่านี้ มาบัดนี้เมืองกังตั๋งก็อุดมสมบูรณ์ ผู้คนก็มาก ทหารก็พร้อม หากจะนิ่งเสียความแค้นสุมแน่นในอกเราหาความสบายมิได้ ทั้งไม่สมกับความเป็นชายชาติทหาร จำเป็นที่จะต้องล้างความอัปยศให้จงได้
ซุนเซ็กผู้บุตรได้ยินบิดาและอาตนตอบโต้กันอยู่ดั่งนั้น จึงขอต่อซุนเกี๋ยน ติดตามไปในกองทัพด้วย ซุนเกี๋ยนมีใจรักซุนเซ็กผู้บุตร หวังให้มีประสบการณ์ในการสงครามจึงอนุญาต
ครั้นได้ฤกษ์แล้วซุนเกี๋ยนก็ลงเรือบัญชาการ ยกกองทัพข้ามอ่าวไปถึงปากแม่น้ำฮวนเสียที่ติดต่ออยู่กับเมืองกังแฮ ซึ่งบัดนี้กองทัพของเมืองเกงจิ๋วได้มาตั้งรับอยู่ก่อนแล้ว
ในขณะที่กองทัพเรือของซุนเกี๋ยนเคลื่อนเข้ามาใกล้ปากแม่น้ำฮวนเสีย หองจอทหารเอกกองหน้าของเล่าเปียวก็สั่งให้ทหารตั้งกองเรียงรายอยู่ตามริมแม่น้ำ ใช้เกาทัณฑ์ยิงกองทัพซุนเกี๋ยน ฝ่ายซุนเกี๋ยนสั่งเรือรบไม่ให้เข้าเทียบฝั่ง ให้ลอยลำรับลูกเกาทัณฑ์อยู่ถึงสามวันสามคืนจนทหารของหองจอหมดลูกเกาทัณฑ์
ซุนเกี๋ยนเห็นดังนั้นจึงสั่งให้กองทัพเรือเข้าเทียบฝั่ง ให้เทียเภาและอุยกายยกทหารเป็นสองกองเข้าโจมตีกองทัพของหองจอ ทหารทั้งสองฝ่ายตะลุมบอนกัน บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก หองจอเสียทหารฝีมือดีในกองทัพไปหลายคน เห็นจะรับมือกองทัพซุนเกี๋ยนไม่ได้จึงรีบหนีเข้าไปเมืองเกงจิ๋ว
ซุนเกี๋ยนสั่งให้ทหารในกองทัพเรือชักเอาลูกเกาทัณฑ์ซึ่งทหารหองจอยิงมาติดกับเรือรบออกแล้วนับดูได้ลูกเกาทัณฑ์ถึงสิบห้าหมื่น แล้วจึงสั่งให้ยกทัพไปเมืองเกงจิ๋ว โดยให้เทียเภายกกองทัพเรือไปที่ตำบลท่าฮั่นกั๋งเพื่อยกพลขึ้นบกตรงไปเมืองเกงจิ๋ว ส่วนตัวซุนเกี๋ยนเองยกทหารไปตามทางบกตรงไปเมืองเกงจิ๋ว
ฝ่ายเล่าเปียวเมื่อได้รับรายงานการศึกจากหองจอแล้วก็ตกใจ จึงหาเก๊งเหลียงมาปรึกษาว่าจะทำประการใด เก๊งเหลียงเสนอให้ตั้งมั่นอยู่ในเมืองแล้วขอความช่วยเหลือจากอ้วนเสี้ยว แต่ชัวมอทหารเอก ซึ่งเป็นพี่ภรรยาของเล่าเปียวไม่เห็นด้วย อ้างว่ากองทัพเมืองกังตั๋งมาประชิดอยู่เช่นนี้จะมัวขอให้อ้วนเสี้ยวมาช่วยเหลือคงไม่ทันการ ขออาสายกทหารไปตีทัพซุนเกี๋ยนเอง เล่าเปียวจึงอนุญาตให้ชัวมอยกทหารไปตีทัพ ซุนเกี๋ยน
กองทัพของชัวมอปะทะกับกองทัพของซุนเกี๋ยนที่ยกมาทางบก เทียเภาทหารเอกของซุนเกี๋ยนออกรบด้วยชัวมอได้สิบเพลง ชัวมอสู้ไม่ได้ก็ขับม้าหนี กองทัพซุนเกี๋ยนจึงไล่ตามตีทหารชัวมอแตก กองทัพของชัวมอสูญเสียทหารเป็นจำนวนมาก ชัวมอจึงนำทหารที่แตกหนีมานั้นยกกลับเข้าเมืองเกงจิ๋ว
หลังจากเล่าเปียวได้ฟังการศึกจากชัวมอแล้วก็ตกใจ เก๊งเหลียงลำเลิกว่าการทั้งนี้เป็นเพราะเล่าเปียวไม่เชื่อฟัง การที่ชัวมอแพ้ศึกมาครั้งนี้จำเป็นต้องลงโทษประหารตามพระอัยการศึก แต่เล่าเปียวเกรงใจนางชัวฮูหยินภรรยา ซึ่งเป็นผู้น้องของชัวมอ จึงมิได้เอาโทษ
ฝ่ายซุนเกี๋ยนไล่ตามตีชัวมอมาจนถึงกำแพงเมืองเกงจิ๋ว เห็นข้างในเมืองปิดประตูเมืองแล้วให้ทหารขึ้นรักษาการณ์บนเชิงเทินอย่างแน่นหนา จึงตั้งค่ายลงล้อมเมืองเกงจิ๋วไว้
วันหนึ่งขณะที่ซุนเกี๋ยนตรวจทหารอยู่ที่นอกค่าย เกิดพายุใหญ่พัดมา ธงชัยสำหรับแม่ทัพประจำตัวซุนเกี๋ยนหักสะบั้นลง ฮันต๋งทหารเอกเห็นเป็นลางร้ายจึงเสนอให้ซุนเกี๋ยนเลิกทัพกลับไปเมืองกังตั๋ง แต่ซุนเกี๋ยนไม่ยอมแล้วว่า การศึกครั้งนี้กองทัพเมืองกังตั๋งได้รับชัยชนะตลอดมา บัดนี้จวนจะได้เมืองเกงจิ๋วอยู่แล้วจะกลัวไปใยกับสายลมพัด เพลาดึกของค่ำนี้เราจะหักเข้าตีเมืองเกงจิ๋วให้ได้
ฝ่ายข้างเมืองเกงจิ๋ว พอค่ำลงเก๊งเหลียงทหารเอกและที่ปรึกษาของเล่าเปียวได้ขึ้นตรวจดูเหตุการณ์บนเชิงเทินกำแพงเมืองเกงจิ๋ว เห็นดาวดวงหนึ่งตกลงมาแต่ทิศเมืองกังตั๋ง ตรวจดูแล้วจึงแจ้งแก่เล่าเปียวว่าข้าพเจ้าสังเกตดาวดวงหนึ่งอยู่บนฟ้าข้างเมืองกังตั๋งเห็นเศร้าหมองนัก บัดนี้ดาวดวงนั้นได้ร่วงลงจากฟ้า เห็นว่าอันตรายจะเกิดแก่ซุนเกี๋ยนเป็นมั่นคง ขอให้รีบแต่งหนังสือขอให้อ้วนเสี้ยวยกกองทัพมาช่วย
เล่าเปียวเห็นชอบกับความคิดของเก๊งเหลียงแล้วว่า ในเมื่อเมืองเกงจิ๋วถูกกองทัพของซุนเกี๋ยนล้อมอยู่ดังนี้ จะมีผู้ใดอาสาถือหนังสือไปถึงอ้วนเสี้ยวเล่า ขณะนั้นนายทหารคนหนึ่งชื่อลีก๋งขออาสาทำการ เก๊งเหลียงพิเคราะห์ลีก๋งแล้วเห็นท่วงท่าจะทำการได้สำเร็จจึงว่าในการไปครั้งนี้เราจะวางแผนให้ท่านเดินทางโดยปลอดภัย
แล้วว่าเราจะจัดทหารถือเกาทัณฑ์ห้าร้อยตามท่านไป เมื่อรบหักฝ่าวงล้อมไปแล้วให้จัดทหารเกาทัณฑ์สองร้อยแบ่งเป็นสองกองให้ซุ่มอยู่ในป่าท้ายเขาฮีสันกองหนึ่ง และให้ซุ่มอยู่ที่เนินเขาฮีสันอีกกองหนึ่ง ให้เตรียมก้อนศิลาไว้ให้พร้อม ซุนเกี๋ยนคงจะยกตามตีท่านไป ให้ตัวท่านกับทหารสามร้อยแกล้งถอยไปทางเขาฮีสัน ถึงจุดซุ่มระหว่างเนินเขาและป่าท้ายเขาฮีสันเมื่อใด ให้จุดพลุสัญญาณใหญ่ขึ้นสามนัด ให้พลเกาทัณฑ์ระดมยิงซุนเกี๋ยน ฝ่ายเราก็จะยกตีกระหนาบเข้าไป ซุนเกี๋ยนก็จะเสียทีเราเป็นมั่นคง
แล้วว่าถ้าหากซุนเกี๋ยนไม่ติดตามไปเพราะอาจเห็นว่าเป็นคืนเดือนมืด ขอให้ท่านรีบเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน รีบไปให้ถึงอ้วนเสี้ยวโดยเร็ว
ลีก๋งรับคำสั่งแล้วก็ออกมาเตรียมทหาร หลังเพลาค่ำจึงเปิดประตูเมืองด้านตะวันออกรีบบึ่งฝ่าทหารลาดตระเวนของซุนเกี๋ยนซึ่งไม่ทันระวังตัวไปอย่างรวดเร็ว ถึงเขาฮีสันก็จัดวางกองซุ่มตามคำของเก๊งเหลียง
ฝ่ายซุนเกี๋ยนเมื่อได้รับรายงานว่าทหารจากในเมืองเกงจิ๋วตีฝ่าวงล้อมออกไป จึงขึ้นม้าถือง้าวพาทหารสามสิบคนเร่งตามทหารที่ตีฝ่าวงล้อมนั้นไป ทันเข้ากับม้าลีก๋ง
ลีก๋งชักม้าเข้ามารบด้วยซุนเกี๋ยนได้สามเพลงก็ชักม้านำทหารหนีไปทางเขาฮีสัน ซุนเกี๋ยนก็ไล่ตามไป ครั้นไปถึงซอกเขาอันเป็นจุดซุ่ม ลีก๋งก็จุดพลุสัญญาณขึ้นสามนัด กองซุ่มที่อยู่บนเนินเขาฮีสันและที่อยู่ในป่าเชิงเขาฮีสันก็ทิ้งศิลาและยิงเกาทัณฑ์ลงมาดุจห่าฝนถูกซุนเกี๋ยนและม้าเลือดโทรมกาย ทั้งม้าและคนถึงแก่ความตายอยู่ในที่นั้น
ซุนเกี๋ยนเป็นนักรบที่แกล้วกล้าเหี้ยมหาญ มีใบหน้าขาวดังหยกสีขาว จึงได้รับสมญาว่า “เสือขาวแห่งกังตั๋ง” ณ อายุเพียงสามสิบเจ็ดปี ดาวเสือขาวก็ร่วงลับฟ้ากังตั๋งในซอกเขาฮีสันด้วยประการฉะนี้
ลีก๋งเห็นดังนั้นก็รู้สึกนับถือความคิดของเก๊งเหลียงเป็นอันมาก จึงยกทหารลงมาฆ่าทหารที่ตามซุนเกี๋ยนตายจนหมดสิ้น
ฝ่ายเก๊งเหลียงเตรียมทหารพร้อมอยู่ ครั้นได้ยินเสียงพลุสัญญาณก็ให้เก๊งอวด หองจอ และชัวมอ คุมทหารออกตีทัพซุนเกี๋ยนเป็นสามด้าน ทหารซุนเกี๋ยนไม่ทันรู้ตัวก็แตกตื่นล้มตาย
ขณะนั้นอุยกายซึ่งรักษาการณ์อยู่ที่กองทัพเรือ ได้ยินเสียงโห่ร้องก็คุมทหารยกขึ้นมาช่วยรบพบหองจอต่อสู้กันได้หกเพลง อุยกายก็จับเป็นหองจอได้ ในขณะที่ เทียเภา ซุนเซ็กยกตามซุนเกี๋ยนไปพบเข้ากับลีก๋ง เทียเภารบกับลีก๋งได้ห้าเพลงก็เอาทวนแทง ลีก๋งตกม้าตาย ทหารทั้งสองฝ่ายได้รบพุ่งกันเป็นสามารถ บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมากครั้นใกล้สว่างทหารซุนเกี๋ยนก็กลับเข้าค่าย ส่วนทหารฝ่ายเล่าเปียวก็เอาศพซุน เกี๋ยนกลับเข้าเมือง
ฝ่ายซุนเซ็กและเทียเภาตามหาซุนเกี๋ยนจนสว่างก็ได้พบทหารเลวคนหนึ่งบอกว่าซุนเกี๋ยนถูกเกาทัณฑ์ตายที่ซอกเขาฮีสัน ทหารเล่าเปียวนำศพเข้าเมืองไปแล้ว ซุนเซ็กก็ร้องไห้เพราะรักบิดาเป็นอันมาก
ทหารของซุนเกี๋ยนเมื่อทราบว่าซุนเกี๋ยนตายแล้วก็พร้อมใจกันยกซุนเซ็กขึ้นเป็นผู้นำ สายขึ้นก็ส่งคนไปเจรจาด้วยเล่าเปียวขอรับศพซุนเกี๋ยนกลับเมืองกังตั๋ง แลกกับหองจอทหารเอกเมืองเกงจิ๋ว
เก๊งเหลียงคัดค้านและเสนอให้รีบตีกองทัพเมืองกังตั๋งซึ่งขณะนี้กำลังขวัญเสีย แต่เล่าเปียวไม่ฟังคำ ตกลงคืนศพซุนเกี๋ยนให้กับกองทัพกังตั๋งแลกกับหองจอทหารเอกเมืองเกงจิ๋ว
วันรุ่งขึ้นซุนเซ็กจึงให้คุมหองจอไปส่งแก่เล่าเปียว ณ ประตูเมือง แล้วรับเอาศพซุนเกี๋ยนมาลงเรือยกทัพกลับเมืองกังตั๋ง
ดาวเสือขาวดับลับฟ้าเมืองกังตั๋ง หรือจะเป็นด้วยแรงแห่งอาถรรพ์ของตราพระลัญจกร อันเป็นที่หมายปองของขุนศึกทุกตัวคน.