ตอนที่ 42. ขุนศึกจากเสียงสัน

 ผ่านศึกวันแรกแล้วทั้งกองทัพเมืองปักเป๋งของกองซุนจ้านและกองทัพเมืองกิจิ๋วของอ้วนเสี้ยวยังคงปักหลักคุมเชิงกันอยู่คนละฟากแม่น้ำพวนโห้ ที่มีสะพานศิลาทอดเชื่อมระหว่างสองฟาก

            ตกค่ำลงอ้วนเสี้ยวจึงให้หาห้องกีมาปรึกษาแผนการรบในวันรุ่งขึ้น ห้องกีเสนอแผนการ “ปราบโจรต้องฆ่าหัวหน้าโจรก่อน” และวางแผนให้จัดกำลังโดยมุ่งสังหารกองซุนจ้านเป็นสำคัญ สิ้นกองซุนจ้านแล้วกองทัพเมืองปักเป๋งก็จะแตกทัพไปเป็นแน่แท้

            อ้วนเสี้ยวเห็นด้วยกับแผนการของห้องกี จึงสั่งให้งันเหลียง บุนทิว สองทหารเอกนำกำลังเกาทัณฑ์คนละพันไปซุ่มอยู่ในป่าอ้อเชิงสะพานฟากเมืองกิจิ๋วทั้งสองด้าน เมื่อได้สัญญาณแล้วให้ระดมยิงกองซุนจ้านพร้อมกัน

            แล้วตั้งให้จ๊กยี่เป็นกองหน้า คุมพลเกาทัณฑ์แปดร้อยและทหารอีกหมื่นห้าพันยกไปตั้งมั่นอยู่ที่เชิงสะพาน รอฟังสัญญาณแล้วเข้าตีพร้อมกัน ส่วนอ้วนเสี้ยวคุมกำลังพลห้าหมื่นเป็นกองหลังตั้งหลักอยู่ในค่าย ให้ทุกหน่วยเข้าประจำจุดรบให้เสร็จสิ้นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น

            ฝ่ายกองซุนจ้านค่ำนั้นก็กำหนดแผนการรบสั่งให้ยำก๋งทหารเอกเป็นกองหน้า จัดทหารอีกสองกองเป็นปีกซ้าย ปีกขวา ส่วนกองซุนจ้านเป็นทัพหลวง ให้จูล่งเป็นกองหลังคอยระวังเสบียง

            รุ่งขึ้นกองซุนจ้านก็ยกทหารไปที่เชิงสะพานตั้งขบวนตามแผนการรบที่วางไว้ แล้วให้ทหารตีกลองศึกท้ารบด้วยกองทัพของอ้วนเสี้ยว แต่ห้องกีนิ่งเฉยไว้ไม่โต้ตอบ เสียงกลองศึกท้ารบดังมาจากฝ่ายกองซุนจ้านตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง เหตุการณ์ข้างฟากของอ้วนเสี้ยวยังคงเงียบสงบ

            ถึงเที่ยงแล้วทหารฝ่ายกองซุนจ้านทั้งร้อนทั้งอิดโรย ยำก๋งทหารเอกซึ่งเป็นกองหน้าของกองซุนจ้านอดรนทนต่อไปไม่ได้ จึงยกทหารข้ามสะพานศิลาปะทะกับจ๊กยี่ทหารเอกของอ้วนเสี้ยวซึ่งเป็นกองหน้า จ๊กยี่ทำทีล่อถอยมาจนพ้นเชิงสะพานจนกระทั่งกองหน้าของกองซุนจ้านมาถึงจุดซุ่มก็จุดพลุให้สัญญาณขึ้น

            ทหารของงันเหลียง บุนทิว ที่ซุ่มอยู่ทั้งสองข้างสะพานก็ใช้เกาทัณฑ์ระดมยิงถูกทหารยำก๋งล้มตายเป็นอันมาก ยำก๋งเห็นจะต้านทานไม่ได้ก็ถอยร่นมาทางเชิงสะพานข้างที่ฝ่ายตัวตั้งค่ายอยู่ จ๊กยี่เห็นเป็นทีจึงขับม้าฝ่าทหารเข้ารบกับยำก๋ง ต่อสู้กันห้าเพลงก็เอาง้าวฟันถูกยำก๋งตกม้าตาย

            ในขณะนั้นปีกซ้าย ปีกขวาของกองซุนจ้านก็ยกทหารเข้าโจมตีกองหน้าของจ๊กยี่ แต่ถูกกองซุ่มของงันเหลียง บุนทิว ระดมยิงเกาทัณฑ์สกัดไว้ ทหารทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันเป็นสามารถ

            ฝ่ายจ๊กยี่เมื่อสังหารยำก๋งแล้ว ก็ยกทหารเข้าตีทหารของยำก๋งที่แตกพ่ายแล้วถอยร่นไปจนถึงกองทัพหลวงของกองซุนจ้าน จ๊กยี่ฝ่าทหารเข้าไปฟันธงประจำตัวแม่ทัพของกองซุนจ้านล้มลงและสังหารพลธงนั้นเสีย

            กองทัพหลวงของกองซุนจ้านกับกองหน้าของจ๊กยี่จึงตะลุมบอนกันขึ้นที่เชิงสะพานนั้น กองซุนจ้านต้านไว้ไม่อยู่ ถอยร่นมาถึงกองหลัง จูล่งเห็นดังนั้นจึงขับม้าศึกเข้าช่วยกองซุนจ้าน ปรี่เข้าไปหาจ๊กยี่แล้วเอาทวนแทงจ๊กยี่ตกม้าตาย

            แล้วจูล่งจึงขับม้าฝ่าเข้าไปในท่ามกลางทหารของจ๊กยี่ สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) บรรยายสถานการณ์การรบตรงนี้ว่า “จูล่งขับม้าไปข้างขวาก็ขวาแตก ไปข้างซ้ายก็ซ้ายแตก หาผู้ใดต้านทานมิได้”

            กองซุนจ้านครั้นเห็นจูล่งเข้าแก้สถานการณ์จนทหารกองหน้าของจ๊กยี่แตกฮือระส่ำระสายก็คุมทหารกลับมาช่วยจูล่งฆ่าทหารจ๊กยี่เสียเป็นอันมาก กองหน้าของจ๊กยี่จึงแตกหนีกลับข้ามสะพานไปทางด้านค่ายของอ้วนเสี้ยว

            ในขณะที่จ๊กยี่บุกเข้าฟันธงประจำแม่ทัพของกองซุนจ้านล้มลงนั้น หน่วยลาดตระเวนของอ้วนเสี้ยวเห็นเหตุการณ์จึงเข้าไปรายงานอ้วนเสี้ยวถึงในค่าย อ้วนเสี้ยวคิดว่ากองทัพของกองซุนจ้านแตกแล้ว จึงคิดประมาทคุมทหารเกาทัณฑ์ห้าสิบคนพร้อมพลทหารอีกสามร้อยคนยกออกมานอกค่าย เห็นสถานการณ์อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำพวนโห้ที่ทัพหลวงของกองซุนจ้านแตกถอยร่นไปด้านกองหลังก็หัวเราะเยาะขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าเราคิดกลเพียงเท่านี้ ไอ้กองซุนจ้านก็แพ้เสียแล้ว

            อ้วนเสี้ยวหัวเราะไม่ทันสิ้นเสียง ทั้งจูล่งและกองซุนจ้านตีกองหน้าของจ๊กยี่แตกแล้วไล่ตามตีข้ามสะพานมา โดยที่กองซุ่มของงันเหลียงและบุนทิวก็ถูกปีกซ้ายขวาของกองซุนจ้านรบสกัดไว้ ดังนั้นเมื่อกองซุนจ้านและจูล่งเห็นอ้วนเสี้ยวคุมทหารออกมาจึงยกทหารเข้าไปล้อมอ้วนเสี้ยวไว้

            อ้วนเสี้ยวและทหารตกอยู่ในวงล้อมของทหารกองซุนจ้าน ในขณะนั้น งันเหลียง ซึ่งทำหน้าที่เป็นกองซุ่มอยู่ข้างสะพานข้างหนึ่ง เห็นอ้วนเสี้ยวตกอยู่ในอันตรายจึงยกทหารออกจากจุดซุ่ม เข้าไปล้อมกองซุนจ้านและจูล่งไว้อีกวงหนึ่ง

            การรบ ณ จุดนี้เกิดเป็นการล้อมสองชั้นโดยอ้วนเสี้ยวอยู่ชั้นในสุด ล้อมไว้ด้วยทหารของกองซุนจ้าน โดยมีจูล่งอยู่ในที่นั้นด้วย ในขณะที่งันเหลียงและทหารอ้วนเสี้ยวก็ล้อมกองซุนจ้าน จูล่ง ไว้รอบนอก สภาพเช่นนี้อ้วนเสี้ยวตกอยู่ในวงล้อมชั้นหนึ่ง แต่ในอีกลักษณะหนึ่งกองซุนจ้านและจูล่งก็ถูกล้อมประกบไว้ถึงสองชั้น คืออ้วนเสี้ยวอยู่ชั้นหนึ่งและงันเหลียงอยู่อีกชั้นหนึ่ง

            จูล่งเห็นดังนั้นก็รู้ว่าเหตุการณ์กำลังจะเข้าที่คับขันเพราะทหารของอ้วนเสี้ยวกำลังหนุนเนื่องเข้ามาอีก จึงพากองซุนจ้านกับทหารรบตีฝ่าวงล้อมของงันเหลียงออกมาหนีข้ามสะพานจะกลับไปทางค่ายตัว อ้วนเสี้ยวและงันเหลียงก็คุมทหารไล่ตามตีฆ่าฟันทหารกองซุนจ้านล้มตายและตกน้ำลงเป็นอันมาก

            อ้วนเสี้ยวและงันเหลียงยกทหารไล่ตามตีกองซุนจ้านและจูล่งไปเป็นระยะทางถึงห้าสิบเส้นถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นอ้วนเสี้ยวได้ยินเสียงกึกก้องฝุ่นตลบ เห็นกองทัพหนึ่งเคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็วตรงมายังทิศทางที่กำลังไล่ตามกองซุนจ้านอยู่นั้น

            กองทัพที่เคลื่อนมานั้นคุ้มกันรับเอากองซุนจ้าน จูล่ง และทหารที่หนีไป แล้วยังคงเคลื่อนกองหน้าซึ่งเป็นทหารม้าล้วนตรงมายังกองทหารของอ้วนเสี้ยวและงันเหลียง เห็นธงประจำทัพพื้นเหลือง ขอบธงเป็นสีแสดพลิ้วสบัด มีชื่อเล่าปี่เป็นแม่ทัพ ใกล้เข้ามาก็เห็นเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ขับม้านำทหารตรงเข้ามาสกัดทหารหน้าม้าของอ้วนเสี้ยวแล้วตีฝ่าเข้ามาจะรบด้วยอ้วนเสี้ยว

            อ้วนเสี้ยวเห็นดังนั้น “ก็ตกใจหาสติมิได้ ง้าวที่ถืออยู่นั้นก็พลัดตกลงจากมือ” จึงรีบชักม้ากลับมาทางด้านหลัง สั่งให้ทหารถอยหนีกลับไปค่ายที่ริมน้ำพวนโห้นั้น

            อ้วนเสี้ยวหนีกลับไปแล้ว เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย จึงพากันมาคารวะกองซุนจ้าน ต่างฝ่ายต่างยินดีที่ได้พบกัน แล้วพากันกลับมายังค่ายที่ริมน้ำพวนโห้

            ถึงค่ายแล้วกองซุนจ้านได้จัดเลี้ยงต้อนรับเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ณ ค่ายบัญชาการของตัว แล้วกล่าวแก่เล่าปี่ว่าครั้งก่อนบุนทิวทหารเอกอ้วนเสี้ยวไล่ตามจะสังหารเรา จูล่งได้เข้าช่วยไว้ ชีวิตจึงรอดมา ครั้งนี้อ้วนเสี้ยวไล่ตามตีเรา ท่านก็มาเข้าช่วยเหลือไว้ได้ทันท่วงที จึงได้รอดชีวิตด้วยมือท่าน นับเป็นคุณล้นเหลือแก่ตัวเรา ว่าแล้วก็ส่งสุราแก่เล่าปี่ แล้วคำนับเป็นการแสดงความขอบคุณ

            เล่าปี่จึงว่าท่านอย่าได้ติดใจในเรื่องนี้เลย เราเป็นศิษย์สำนักเดียวกันดุจดั่งพี่น้อง ทุกข์ของท่านก็ดั่งทุกข์ของข้าพเจ้า ครั้งนี้ข้าพเจ้าได้ยินข่าวว่าท่านยกกองทัพมารบด้วยอ้วนเสี้ยวจึงรีบยกตามมา ตัวข้าพเจ้านี้ยังคิดถึงคุณท่านที่ได้ช่วยกราบทูลถวายฎีกาต่อพระเจ้าเลนเต้ โดยไม่เกรงภัยจากสิบขันที จนข้าพเจ้าได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองเพงง้วนก๋วน ได้อยู่เป็นสุขจนถึงทุกวันนี้

            ในขณะที่กล่าวกับกองซุนจ้านนั้น เล่าปี่เห็นจูล่งกำลังมองมาก็ยิ้มให้ด้วยไมตรีแล้วค้อมศีรษะลงเป็นทีคำนับ ด้วยวาสนาที่ได้ทำนุบำรุงกันมาแต่ปางก่อน ทั้งเล่าปี่ จูล่งต่างมีความรู้สึกผูกพันพึงใจนับถือศรัทธากันตั้งแต่บัดนั้น  
        
            กองซุนจ้านเห็นเล่าปี่เขม้นมองจูล่ง จึงเรียกจูล่งเข้ามาแล้วว่านี่คือจูล่งคนที่ช่วยชีวิตข้าพเจ้าแล้วให้จูล่งคารวะทำความรู้จักกับเล่าปี่ เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงก้าวเข้าไปเอามือทั้งสองกุมมือทั้งสองของจูล่งไว้แล้วโอบกอดและว่า ข้าพเจ้ากับกองซุนจ้านนี้เป็นศิษย์ร่วม
สำนัก ท่านได้ช่วยเหลือกองซุนจ้านไว้ในครั้งนี้ก็เหมือนกับได้ทำคุณไว้กับใจข้าพเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน

            จูล่งค้อมตัวลงคารวะเล่าปี่อีกครั้งหนึ่ง แต่มิได้พูดจาประการใด ความศรัทธาและใจรักเล่าปี่ประดังขึ้นมาเต็มลำคอ ออกเสียงประการใดมิได้ คารวะแล้วจึงยืนนิ่งอยู่

            การศึกทั้งสองวันทำให้ทั้งสองฝ่ายสูญเสียทหารเป็นอันมาก ดังนั้นทั้งกองทัพอ้วนเสี้ยว และกองทัพกองซุนจ้านจึงได้แต่คุมเชิงตั้งมั่นอยู่สองฟากของแม่น้ำพวนโห้ จนเวลาล่วงไปเดือนเศษ

            ข้างฝ่ายตั๋งโต๊ะครองอำนาจอยู่ในเมืองเตียงอันราชธานีใหม่ ในขณะที่กองทัพเมืองปักเป๋งยกมารบกับกองทัพเมืองกิจิ๋วนั้น หน่วยลาดตระเวนทราบเหตุการณ์ก็ส่งข่าวเข้าเมืองหลวงรายงานต่อลิยู กุนซือเจ้าปัญญาของตั๋งโต๊ะ รายงานการศึกให้ทราบทุกประการ

            ลิยูทราบความแล้วจึงเข้าไปรายงานต่อตั๋งโต๊ะแล้วเสนอว่ากองทัพเมืองปักเป๋งและกองทัพเมืองกิจิ๋วที่ทำสงครามกันอยู่นี้หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ชัยชนะก็จะมีน้ำใจกำเริบ ตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ แล้วจะยกมาทำร้ายเราเป็นมั่นคง

            ตั๋งโต๊ะฟังดังนั้นจึงปรึกษาด้วยลิยูว่าท่านจะคิดอ่านประการใด ลิยูจึงว่าขอให้ทำเป็นรับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้ถึงอ้วนเสี้ยวและกองซุนจ้าน ให้ยุติสงครามแก่กัน และให้แต่ละฝ่ายยกทัพกลับคืนเมืองของตน ดังนี้แล้วทั้งสองเมืองก็จะอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของท่านสืบไป ทั้งจะคุมเชิงกันและกันอยู่ตลอดไป ไม่เป็นภัยแก่เราได้อีก

            ตั๋งโต๊ะเห็นชอบกับแผนการของลิยู จึงให้ปลอมพระบรมราชโองการของพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วให้เตียวกี กับม้าหยิดเชิญพระบรมราชโองการปลอมนั้นไปให้แก่อ้วนเสี้ยวและกองซุนจ้าน ณ กองทัพสองฟากแม่น้ำพวนโห้

            อ้วนเสี้ยวครั้นทราบว่ามีพระบรมราชโองการมาถึงตัวก็แต่งพิธีรับพระบรมราชโองการตามธรรมเนียม รับทราบพระบรมราชโองการแล้วก็ยอมทำตามรับสั่ง แต่ตั้งมั่นฟังความจากฝ่ายกองซุนจ้านอยู่

            สองขุนนางที่เชิญพระบรมราชโองการจึงไปยังกองทัพของกองซุนจ้าน ฝ่าย กองซุนจ้านเมื่อรู้ว่ามีพระบรมราชโองการถึงตัวก็แต่งพิธีรับพระบรมราชโองการเช่นเดียวกัน แล้วถามสองขุนนางที่เชิญพระบรมราชโองการว่าฝ่ายอ้วนเสี้ยวมีความคิดอ่านประการใด ในส่วนของข้าพเจ้านั้นพร้อมที่จะปฏิบัติตามพระบรมราชโองการทุกประการ สองขุนนางจึงว่าฝ่ายอ้วนเสี้ยวพร้อมที่จะปฏิบัติตามพระบรมราชโองการนั้น แล้วบอกกำหนดให้กองซุนจ้านยกกองทัพกลับเมืองปักเป๋ง กองซุนจ้านก็ยินยอมรับเอา

            สองขุนนางจึงกลับไปบอกความแก่อ้วนเสี้ยวถึงกำหนดวันยกทัพกลับเมืองกิจิ๋วอ้วนเสี้ยวก็รับเอา สองขุนนางจึงเดินทางกลับเมืองหลวง รายงานให้ตั๋งโต๊ะทราบ

            ถึงวันกำหนดทั้งกองทัพเมืองปักเป๋งและกองทัพเมืองกิจิ๋วจึงเลิกทัพกลับ ฝ่ายกองซุนจ้าน เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย เมื่อเดินทัพกลับถึงเมืองเพงง้วนก๋วนจึงหยุดทัพอยู่แล้วร่ำลากันตามธรรมเนียม

            ในระหว่างที่ร่ำลากันนั้น จูล่งได้เข้ามาค้อมตัวคารวะเล่าปี่แล้วว่า “แต่ก่อนข้าพเจ้าเห็นว่าอ้วนเสี้ยวเป็นคนหยาบช้า ข้าพเจ้าจึงมาอยู่ด้วยกองซุนจ้าน บัดนี้เห็นว่ากองซุนจ้านนี้หามีความคิดมิได้ ข้าพเจ้าจึงมีความลำบากใจ ครั้นมาเห็นท่านค่อยมีสติปัญญาคิดว่าจะทำราชการด้วยก็ต่างคนต่างอยู่ มิรู้ที่จะทำประการใด” ขณะที่กล่าวนั้นสีหน้าจูล่งเศร้าหมองนัก เต็มไปด้วยความอาลัย

            เล่าปี่เข้าไปจับมือจูล่งมากุมไว้กับอกแล้วว่าท่านกับเราแม้เพียงพบกันครั้งแรกก็รู้สึกประหนึ่งมีวาสนาร่วมกันมาแต่ปางก่อน น้ำใจข้าพเจ้าใคร่ได้ท่านมาทำการด้วยนัก แต่กองซุนจ้านกับข้าพเจ้านั้นเป็นศิษย์ร่วมสำนักมีคุณต่อกันเป็นอันมาก “ท่านจงค่อยอยู่กับกองซุนจ้านก่อนเถิด ถ้าชีวิตมิตายสืบไปภายหน้า ท่านจะได้ทำราชการด้วยเราเป็นมั่นคง จงจำคำนี้ไว้อย่าลืม”
             กล่าวดังนี้แล้วสีหน้าเล่าปี่ก็สลดลง น้ำตาเอ่อคลอเต็มทั้งสองเบ้าตา อาลัยจูล่งยิ่งนัก จูล่งเห็นเช่นนั้นก็พลอยร้องไห้รักเล่าปี่             ร่ำลากันเสร็จแล้ว เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย จึงยกเข้าเมืองเพงง้วนก๋วน ส่วน  กองซุนจ้านก็นำทหารกลับไปเมืองปักเป๋งดังเก่า.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร