ตอนที่ 39. เปิดยุคสงครามขุนศึก
การสลายตัวของกองทัพปฏิวัติทำให้ความขัดแย้งในปลายราชวงศ์ฮั่นเปลี่ยนเนื้อหาจากเดิมไปสู่เนื้อหาใหม่ และนำไปสู่ความเป็นสามก๊ก
การจัดตั้งกองทัพปฏิวัติโดยหัวเมืองเอกสิบหกหัวเมือง และอีกสองกองทัพคือกองทัพของโจโฉ และกองทัพของเล่าปี่ ทำให้ฐานะตามกฎหมายของเจ้าเมืองและกองทัพเหล่านั้นกลายเป็นกบฏต่อแผ่นดิน เป็นปรปักษ์ต่อรัฐบาลกลางที่ตั๋งโต๊ะเป็นผู้ถืออำนาจรัฐอยู่ ในขณะที่อำนาจรัฐของรัฐบาลกลางก็หดแคบลงตามเขตพื้นที่ที่ฝ่ายปฏิวัติยึดครองไว้
ดังนั้นความขัดแย้งหลักจึงเป็นความขัดแย้งระหว่างอำนาจรัฐส่วนกลางกับกองทัพปฏิวัติ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นขุนศึก เป็นแต่ว่าขุนศึกตั๋งโต๊ะเป็นฝ่ายรัฐบาลกลาง และฝ่ายปฏิวัติเป็นฝ่ายต่อต้านรัฐบาลกลาง
ครั้นกองทัพปฏิวัติสลายตัวลง ความขัดแย้งจึงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกลางกับเจ้าเมืองและกองทัพกบฏแต่ละเมืองชนิดหนึ่ง และความขัดแย้งระหว่างเจ้าเมืองและกองทัพกบฏด้วยกันเองอีกชนิดหนึ่ง
ดังนั้นเมื่อความขัดแย้งทั้งสองชนิดนี้ไม่สามารถแก้ไขได้โดยหนทางสันติ หรือโดยวิถีทางการเมือง ความขัดแย้งนั้นจึงกลายเป็นสงคราม และเป็นสงครามระหว่างขุนศึกด้วยกันเอง
พลันที่กองทัพปฏิวัติสลายตัวลง ฉากแห่งสงครามระหว่างขุนศึกหัวเมืองต่าง ๆ จึงเปิดฉากขึ้นตั้งแต่บัดนั้น และสงครามนี้จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นสามก๊ก ครั้นเป็นสามก๊กแล้วสงครามก็ยังดำเนินต่อไป จนกระทั่งราชวงศ์ฮั่นดับสูญ
สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าทรงพระราชนิพนธ์ความในเวนิสวานิชไว้ตอนหนึ่งว่า “ในกระแสแห่งยุติธรรมา ยากจะหาความเกษมเปรมปรีดิ์” ในกระแสแห่งสงครามก็เช่นเดียวกันย่อมไม่อาจหาความเกษมเปรมปรีดิ์ได้ ซุนหวู่จึงกล่าวไว้ว่า “อันการศึกติดพันกันเป็นเวลานาน แต่ประเทศชาติกลับได้รับประโยชน์จากเหตุนั้นยังไม่เคยปรากฏเลย”
แต่กระนั้นสงครามก็ใช่ว่าจะมีแต่ผลเสียเพียงด้านเดียวหามิได้ หากย่อมมีด้านที่เป็นผลดีดำรงอยู่ด้วย เพราะสงครามนั้นเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองชนิดหนึ่ง คือเป็นการเคลื่อนไหวที่หลั่งเลือด และเป็นไปเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง ดังนั้นถ้าหากการเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชนโดยส่วนรวมแล้ว การทำสงครามเพื่อการเมืองชนิดนี้ย่อมนับว่าเป็นผลดีต่อบ้านเมืองและราษฎร
ตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่จึงระบุไว้ว่า “จึ่งผู้ใดยังไม่ทราบผลร้ายของสงครามโดยถ่องแท้แล้ว ผู้นั้นยังไม่ซาบซึ้งในผลดีของสงครามเช่นเดียวกัน”
เหตุนี้แม้ว่าสงครามจะไม่ใช่สิ่งที่พึงปรารถนา แต่สงครามก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรต้องเกรงกลัว ขอเพียงแต่เป็นสงครามที่เป็นธรรมและเป็นสงครามที่เป็นไปเพื่อบรรลุถึงผลประโยชน์ของบ้านเมืองและราษฎร ก็ควรต้องพร้อมที่จะเข้าทำสงครามนั้นจนถึงที่สุด
โดยที่ยากจะหาความเกษมเปรมปรีดิ์จากสงคราม ดังนั้นจึงย่อมยากที่จะพรรณนาความสงครามในช่วงแต่นี้ไปให้เกิดความหฤหรรษ์ดั่งนิยายอื่นได้ แต่ทว่าการดำเนินสงครามในสามก๊กนั้นหาใช่เป็นสงครามที่โดดเดี่ยวไม่ หากเป็นสงครามที่เอิบอาบไปด้วยศาสตร์และศิลป์นานัปการ ศาสตร์และศิลป์เหล่านี้จะถือไม่ได้เจียวหรือว่าคือความหฤหรรษ์อันล้ำเลิศชนิดหนึ่งของมนุษยชาติ
เริ่มต้นที่เล่าเปียวเชื้อสายพระราชวงศ์ฮั่นเช่นเดียวกับเล่าปี่ ครองตำแหน่งเป็นที่เจ้าเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งเป็นหัวเมืองเอกแห่งราชอาณาจักรฮั่น เมืองเกงจิ๋วนี้เป็นเมืองชายทะเลตั้งอยู่คนละฟากแม่น้ำแยงซีกับเมืองเตียงสาแห่งดินแดนกังตั๋ง
ภายใต้อำนาจรัฐแห่งราชอาณาจักรฮั่น ทั้งเมืองเกงจิ๋วและเมืองเตียงสาต่างก็เป็นหัวเมืองเอกขึ้นต่อรัฐบาลกลาง จึงไม่มีข้อพิพาทบาดหมางกัน หากมีความขัดแย้งเกิดขึ้นก็อาศัยถ้อยทีปฏิบัติ หรืออาศัยอำนาจรัฐส่วนกลางเข้าแก้ไขตามระบบราชการ ดังนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองเมืองนี้จึงมีความเป็นปกติต่อกันตลอดมา
ครั้นซุนเกี๋ยนเจ้าเมืองเตียงสาเข้าร่วมกับกองทัพปฏิวัติ ไม่ขึ้นต่ออำนาจรัฐส่วนกลาง แล้วต่อมากองทัพปฏิวัติได้สลายตัวลง เหตุปัจจัยที่เคยทำให้ทั้งสองเมืองนี้เป็นปกติต่อกันก็เปลี่ยนแปลงไป เพราะต่างเมืองต่างต้องระมัดระวังตนด้วยเกรงว่าจะถูกอีกเมืองหนึ่งรุกรานยึดครอง เหตุนี้ความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติจึงเกิดขึ้น
หลังจากเล่าเปียวได้รับหนังสือจากอ้วนเสี้ยวแจ้งความเรื่องซุนเกี๋ยนพบตราพระลัญจกร ปิดบังความเสียแล้วยักยอกเอาตราพระลัญจกรนั้นเป็นของตน เพื่อจะตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าแต่ผู้เดียว จึงให้เล่าเปียวยกทหารออกไปสกัดกองทัพซุนเกี๋ยนเพื่อยึดตราพระลัญจกรส่งมอบแก่อ้วนเสี้ยวเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ต่อไป
เล่าเปียวรับหนังสืออ้วนเสี้ยวแล้ว ถือว่าในฐานะเชื้อพระวงศ์ฮั่นย่อมเป็นหน้าที่ที่จะต้องเอาตราพระลัญจกรคืนแก่ฮ่องเต้สถานหนึ่ง และเกรงว่าหากซุนเกี๋ยนได้ตราพระลัญจกรไปแล้วย่อมตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า อันตรายจะเกิดแก่เมืองเกงจิ๋ว จำเป็นที่จะต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม ยึดเอาตราพระลัญจกรจากซุนเกี๋ยนให้จงได้อีกสถานหนึ่ง
ดังนั้นเล่าเปียวจึงตัดสินใจปฏิบัติตามหนังสือของอ้วนเสี้ยว แล้วสั่งให้ยกทหารออกจากเมืองเกงจิ๋วไปตั้งสกัดทัพซุนเกี๋ยนในเส้นทางที่กองทัพเมืองเตียงสาจะต้องเดินทัพกลับแคว้นกังตั๋ง
เพื่อหวังผลที่จะช่วงชิงตราพระลัญจกรให้จงได้ เล่าเปียวจึงสั่งการให้เกงอวด ชัวมอ สองทหารเอกยกทหารห้าหมื่นไปตั้งสกัดทัพซุนเกี๋ยนไว้ข้างหน้า ตัวเล่าเปียวเป็นกองกลางคุมทหารซุ่มอยู่บนเนินเขา และจัดกองหลังแยกเป็นสองกองซุ่มอยู่ในป่าทั้งสองข้าง แล้วสั่งว่าเมื่อกองหน้าปะทะกับทหารของซุนเกี๋ยนแล้ว ให้ถอยมายังจุดที่กองกลางของเล่าเปียวซุ่มอยู่ เมื่อกองกลางเข้าปะทะแล้วก็จะทำทีถอยไปยังจุดซุ่มของกองหลัง พร้อมกันนั้นให้กองหน้ายกอ้อมไปทางด้านหลังของกองทัพซุนเกี๋ยน ให้ทั้งสี่กองฟังสัญญาณแล้วยกตีกระหนาบเข้ามาทั้งสี่ด้านก็จะจับตัวซุนเกี๋ยนยึดเอาตราพระลัญจกรได้โดยง่าย
กำหนดแผนการรบและบัญชาการรบเสร็จแล้ว เล่าเปียวและทหารทั้งสี่กองก็ตั้งมั่นคอยทีทัพซุนเกี๋ยนอยู่ ครั้นกองทัพเมืองเตียงสายกมาตามทางนั้นก็ปะทะกับกองหน้าของเล่าเปียว สองทหารเอกของเล่าเปียวชักม้าออกไปชี้หน้าซุนเกี๋ยนว่ากบฏต่อแผ่นดิน ยักยอกตราพระลัญจกรของฮ่องเต้ ให้รีบส่งมอบมาโดยไว
ซุนเกี๋ยนได้ยินก็โกรธสั่งทหารเข้าตีกองหน้าของเล่าเปียว กองหน้าของเล่าเปียวก็ถอยมาตามเชิงยุทธ์ ใกล้จุดที่กองกลางซุ่มอยู่ก็วกเข้าป่ายกอ้อมไปทางด้านหลังของกองทัพเมืองเตียงสา คอยฟังสัญญาณจากเล่าเปียวอยู่
เล่าเปียวเห็นกองทัพซุนเกี๋ยนยกมาถึงเนินเขาก็ยกทหารออกมาจากจุดซุ่ม เผชิญหน้ากับซุนเกี๋ยน ฝ่ายซุนเกี๋ยนเห็นเล่าเปียวคุมทัพมาก็ชักม้าขึ้นมาหน้าทหาร คารวะเล่าเปียวแล้วว่าท่านอย่าหลงเชื่อฟังคำอ้วนเสี้ยวที่ใส่ร้ายกล่าวหาข้าพเจ้าว่ายักยอกตราพระลัญจกร ขอได้เห็นแก่ไมตรีของสองเมืองที่มีมาแต่ก่อน เปิดทางให้ข้าพเจ้าเดินทัพกลับเมืองเตียงสา ไมตรีของทั้งสองเมืองก็จะเป็นปกติสืบไป
เล่าเปียวฟังคำซุนเกี๋ยนแล้วจึงว่า ความจริงได้ประจักษ์ชัดต่อหน้าหัวเมืองทั้งปวงแล้วว่าตัวท่านได้ตราพระลัญจกรของฮ่องเต้ไว้ แล้วยักยอกเป็นของตัวเพื่อจะตั้งตนขึ้นเป็นเจ้า ทำการกบฏต่อพระราชวงศ์ฮั่น เราขอให้ท่านกลับตัวกลับใจเสียแต่บัดนี้ รีบส่งมอบตราพระลัญจกรคืนให้แก่เรา เพื่อส่งคืนแก่ฮ่องเต้ต่อไป
ซุนเกี๋ยนได้ฟังเล่าเปียวแล้วก็โกรธ แต่ฝืนใจกล่าวว่าหากท่านไม่เชื่อฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ขอสาบานต่อฟ้าว่าข้าพเจ้าหาได้ครอบครองตราพระลัญจกรไม่ หากข้าพเจ้ายักยอกตราพระลัญจกรไว้แล้ว ขอให้เทพยดาลงโทษข้าพเจ้าด้วย ศัตราวุธต่าง ๆ
เล่าเปียวจึงว่าเรายังเชื่อคำสาบานท่านไม่ได้ก่อน แต่จะขอตรวจค้นทหารทุกคนที่มาในกองทัพของท่าน หากไม่พบตราพระลัญจกรแล้วเราจะขออภัยต่อท่านแล้วจะเปิดทางให้ท่านเดินทัพกลับเมืองเตียงสา
ซุนเกี๋ยนได้ยินเช่นนั้นถือว่าเล่าเปียวเหยียดหยามเกียรติยศศักดิ์ศรีของตนก็โกรธหนัก สั่งทหารเข้ารบด้วยเล่าเปียว พอทหารใกล้จะปะทะกันเล่าเปียวทำทีเป็นกลัว ชักม้าหนี ยกทหารถอยไปทางจุดที่กองกลังซุ่มอยู่สองข้างทางนั้น ซุนเกี๋ยนไม่รู้กลก็ยกทหารไล่ตามไป
ครั้นกองทัพเมืองเตียงสามาถึงจุดซุ่ม เล่าเปียวก็ให้ทหารโห่ร้องตีม้าล่อเป็นสัญญาณ แล้วแปรขบวนทัพจากถอยหันหน้าเข้าเผชิญด้วยซุนเกี๋ยน ในขณะที่กองซุ่มทั้งสองกองก็ยกออกจากสองข้างทาง และกองหน้าซึ่งวกอ้อมไปด้านหลังได้ยกตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกันทั้งสี่ด้าน กองทัพเมืองเตียงสาจึงตกอยู่ในที่ล้อม
การกำหนดแผนการรบของเล่าเปียวครั้งนี้เป็นการรบโดยใช้กำลังทหาร ประกอบด้วยกลอุบาย ซึ่งไม่เคยปรากฏในการรบระหว่างกองทัพปฏิวัติกับกองทัพจากเมืองหลวง ดังนั้นจึงทำให้แลเห็นได้ว่าบรรดากองทัพที่ร่วมในกองทัพปฏิวัตินั้นไม่ได้มีความจริงใจต่อกันมาแต่ต้น ต่างคนต่างพยายามเป็นฝ่ายนั่งดูเพื่อจะช่วงชิงเอาความได้เปรียบในขั้นสุดท้าย หรือไม่ก็รอคอยให้เหตุการณ์พัฒนาไปเองจนกว่าทุกฝ่ายจะอ่อนแรงลงแล้วจึงชิงโอกาสกระทำการในภายหลัง คงมีแต่หัวเมืองที่อยากเด่นดังบางหัวเมืองเท่านั้นที่กระหือรือออกรบแล้วต้องเสียทีแก่กองทัพเมืองหลวง
กองทัพเมืองเตียงสาครั้นตกอยู่ในที่ล้อมก็ตกใจ ทั้งถูกทหารเล่าเปียวตีกระหนาบเข้ามาฆ่าฟันล้มตายลงเป็นอันมาก ซุนเกี๋ยนรบอยู่ท่ามกลางวงล้อมของทหารเล่าเปียว และอ่อนกำลังลง เทียเภา อุยกาย และฮันต๋ง สามทหารเอกซึ่งถูกล้อมอยู่อีกวงหนึ่งเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นจึงรีบตีฝ่าวงล้อมออกมา แล้วตีฝ่าวงล้อมที่ล้อมซุนเกี๋ยนเข้าไปแก้เอาซุนเกี๋ยนออกมาได้
ซุนเกี๋ยนและสามทหารเอกเห็นสถานการณ์ตกอยู่ในความคับขัน จึงนำทหารที่เหลือตีฝ่าวงล้อมทหารเล่าเปียวแล้วหนีไปเมืองเตียงสา
ผลการรบครั้งนี้แม้ว่าเล่าเปียวจะได้รับชัยชนะอย่างงดงามด้วยวิธีการรบแบบใช้กำลังทหารและกลอุบาย แต่ไม่สามารถบรรลุภารกิจในการยึดตราพระลัญจกรกลับคืน ทั้งทำให้เล่าเปียวกับซุนเกี๋ยนต้องพิพาทและผูกพยาบาทต่อกัน
ซุนเกี๋ยนเมื่อยกทัพกลับเมืองเตียงสาแล้วก็คิดตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าตามคำของ เทียเภา สั่งให้ออกประกาศรับสมัครผู้มีสติปัญญาความสามารถเพื่อเข้ามารับราชการเป็นขุนนาง และประกาศรับชายฉกรรจ์จำนวนมากเข้ามาเป็นทหาร ทำการฝึกซ้อมทหารทั้งกลางวันและกลางคืน ในขณะเดียวกันได้สั่งให้ต่อเรือรบ เรือเร็ว และเรือลาดตระเวนจำนวนมาก เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ชัดเจนว่านี่คือการเตรียการทำสงครามแผ่แสนยานุภาพทางการทหารทั้งทางด้านกองทัพบกและด้านกองทัพเรือ
เมื่อเล่าเปียวทราบว่าฝ่ายซุนเกี๋ยนระดมผู้คนทั้งขุนนางที่ปรึกษาและทหารอย่างขนานใหญ่เช่นนี้ก็เกรงว่าเมืองเกงจิ๋วจะตกอยู่ในอันตราย จึงสั่งให้ประกาศรับสมัครผู้มีสติปัญญาความสามารถเข้ามารับราชการเป็นขุนนาง และประกาศรับชายฉกรรจ์จำนวนมากเข้ามาเป็นทหารประจำการทั้งด้านกองทัพบกและด้านกองทัพเรือ ทั้งสั่งการให้ต่อเรือรบ เรือลาดตระเวน ประจำการในกองทัพเรือเป็นจำนวนมาก ทำการฝึกซ้อมทหารและซ่องสุมเสบียงไว้เป็นกำลังต่อไป
แต่นั้นมาทั้งเมืองเกงจิ๋วและเมืองเตียงสาจึงต่างคุมเชิงระมัดระวังกันและกัน เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ที่เป็นปกติต่อกันมาเป็นความสัมพันธ์ที่พร้อมจะทำสงครามต่อกันทุกเมื่อ.
การจัดตั้งกองทัพปฏิวัติโดยหัวเมืองเอกสิบหกหัวเมือง และอีกสองกองทัพคือกองทัพของโจโฉ และกองทัพของเล่าปี่ ทำให้ฐานะตามกฎหมายของเจ้าเมืองและกองทัพเหล่านั้นกลายเป็นกบฏต่อแผ่นดิน เป็นปรปักษ์ต่อรัฐบาลกลางที่ตั๋งโต๊ะเป็นผู้ถืออำนาจรัฐอยู่ ในขณะที่อำนาจรัฐของรัฐบาลกลางก็หดแคบลงตามเขตพื้นที่ที่ฝ่ายปฏิวัติยึดครองไว้
ดังนั้นความขัดแย้งหลักจึงเป็นความขัดแย้งระหว่างอำนาจรัฐส่วนกลางกับกองทัพปฏิวัติ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นขุนศึก เป็นแต่ว่าขุนศึกตั๋งโต๊ะเป็นฝ่ายรัฐบาลกลาง และฝ่ายปฏิวัติเป็นฝ่ายต่อต้านรัฐบาลกลาง
ครั้นกองทัพปฏิวัติสลายตัวลง ความขัดแย้งจึงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกลางกับเจ้าเมืองและกองทัพกบฏแต่ละเมืองชนิดหนึ่ง และความขัดแย้งระหว่างเจ้าเมืองและกองทัพกบฏด้วยกันเองอีกชนิดหนึ่ง
ดังนั้นเมื่อความขัดแย้งทั้งสองชนิดนี้ไม่สามารถแก้ไขได้โดยหนทางสันติ หรือโดยวิถีทางการเมือง ความขัดแย้งนั้นจึงกลายเป็นสงคราม และเป็นสงครามระหว่างขุนศึกด้วยกันเอง
พลันที่กองทัพปฏิวัติสลายตัวลง ฉากแห่งสงครามระหว่างขุนศึกหัวเมืองต่าง ๆ จึงเปิดฉากขึ้นตั้งแต่บัดนั้น และสงครามนี้จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นสามก๊ก ครั้นเป็นสามก๊กแล้วสงครามก็ยังดำเนินต่อไป จนกระทั่งราชวงศ์ฮั่นดับสูญ
สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าทรงพระราชนิพนธ์ความในเวนิสวานิชไว้ตอนหนึ่งว่า “ในกระแสแห่งยุติธรรมา ยากจะหาความเกษมเปรมปรีดิ์” ในกระแสแห่งสงครามก็เช่นเดียวกันย่อมไม่อาจหาความเกษมเปรมปรีดิ์ได้ ซุนหวู่จึงกล่าวไว้ว่า “อันการศึกติดพันกันเป็นเวลานาน แต่ประเทศชาติกลับได้รับประโยชน์จากเหตุนั้นยังไม่เคยปรากฏเลย”
แต่กระนั้นสงครามก็ใช่ว่าจะมีแต่ผลเสียเพียงด้านเดียวหามิได้ หากย่อมมีด้านที่เป็นผลดีดำรงอยู่ด้วย เพราะสงครามนั้นเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองชนิดหนึ่ง คือเป็นการเคลื่อนไหวที่หลั่งเลือด และเป็นไปเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง ดังนั้นถ้าหากการเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชนโดยส่วนรวมแล้ว การทำสงครามเพื่อการเมืองชนิดนี้ย่อมนับว่าเป็นผลดีต่อบ้านเมืองและราษฎร
ตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่จึงระบุไว้ว่า “จึ่งผู้ใดยังไม่ทราบผลร้ายของสงครามโดยถ่องแท้แล้ว ผู้นั้นยังไม่ซาบซึ้งในผลดีของสงครามเช่นเดียวกัน”
เหตุนี้แม้ว่าสงครามจะไม่ใช่สิ่งที่พึงปรารถนา แต่สงครามก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรต้องเกรงกลัว ขอเพียงแต่เป็นสงครามที่เป็นธรรมและเป็นสงครามที่เป็นไปเพื่อบรรลุถึงผลประโยชน์ของบ้านเมืองและราษฎร ก็ควรต้องพร้อมที่จะเข้าทำสงครามนั้นจนถึงที่สุด
โดยที่ยากจะหาความเกษมเปรมปรีดิ์จากสงคราม ดังนั้นจึงย่อมยากที่จะพรรณนาความสงครามในช่วงแต่นี้ไปให้เกิดความหฤหรรษ์ดั่งนิยายอื่นได้ แต่ทว่าการดำเนินสงครามในสามก๊กนั้นหาใช่เป็นสงครามที่โดดเดี่ยวไม่ หากเป็นสงครามที่เอิบอาบไปด้วยศาสตร์และศิลป์นานัปการ ศาสตร์และศิลป์เหล่านี้จะถือไม่ได้เจียวหรือว่าคือความหฤหรรษ์อันล้ำเลิศชนิดหนึ่งของมนุษยชาติ
เริ่มต้นที่เล่าเปียวเชื้อสายพระราชวงศ์ฮั่นเช่นเดียวกับเล่าปี่ ครองตำแหน่งเป็นที่เจ้าเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งเป็นหัวเมืองเอกแห่งราชอาณาจักรฮั่น เมืองเกงจิ๋วนี้เป็นเมืองชายทะเลตั้งอยู่คนละฟากแม่น้ำแยงซีกับเมืองเตียงสาแห่งดินแดนกังตั๋ง
ภายใต้อำนาจรัฐแห่งราชอาณาจักรฮั่น ทั้งเมืองเกงจิ๋วและเมืองเตียงสาต่างก็เป็นหัวเมืองเอกขึ้นต่อรัฐบาลกลาง จึงไม่มีข้อพิพาทบาดหมางกัน หากมีความขัดแย้งเกิดขึ้นก็อาศัยถ้อยทีปฏิบัติ หรืออาศัยอำนาจรัฐส่วนกลางเข้าแก้ไขตามระบบราชการ ดังนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองเมืองนี้จึงมีความเป็นปกติต่อกันตลอดมา
ครั้นซุนเกี๋ยนเจ้าเมืองเตียงสาเข้าร่วมกับกองทัพปฏิวัติ ไม่ขึ้นต่ออำนาจรัฐส่วนกลาง แล้วต่อมากองทัพปฏิวัติได้สลายตัวลง เหตุปัจจัยที่เคยทำให้ทั้งสองเมืองนี้เป็นปกติต่อกันก็เปลี่ยนแปลงไป เพราะต่างเมืองต่างต้องระมัดระวังตนด้วยเกรงว่าจะถูกอีกเมืองหนึ่งรุกรานยึดครอง เหตุนี้ความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติจึงเกิดขึ้น
หลังจากเล่าเปียวได้รับหนังสือจากอ้วนเสี้ยวแจ้งความเรื่องซุนเกี๋ยนพบตราพระลัญจกร ปิดบังความเสียแล้วยักยอกเอาตราพระลัญจกรนั้นเป็นของตน เพื่อจะตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าแต่ผู้เดียว จึงให้เล่าเปียวยกทหารออกไปสกัดกองทัพซุนเกี๋ยนเพื่อยึดตราพระลัญจกรส่งมอบแก่อ้วนเสี้ยวเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ต่อไป
เล่าเปียวรับหนังสืออ้วนเสี้ยวแล้ว ถือว่าในฐานะเชื้อพระวงศ์ฮั่นย่อมเป็นหน้าที่ที่จะต้องเอาตราพระลัญจกรคืนแก่ฮ่องเต้สถานหนึ่ง และเกรงว่าหากซุนเกี๋ยนได้ตราพระลัญจกรไปแล้วย่อมตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า อันตรายจะเกิดแก่เมืองเกงจิ๋ว จำเป็นที่จะต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม ยึดเอาตราพระลัญจกรจากซุนเกี๋ยนให้จงได้อีกสถานหนึ่ง
ดังนั้นเล่าเปียวจึงตัดสินใจปฏิบัติตามหนังสือของอ้วนเสี้ยว แล้วสั่งให้ยกทหารออกจากเมืองเกงจิ๋วไปตั้งสกัดทัพซุนเกี๋ยนในเส้นทางที่กองทัพเมืองเตียงสาจะต้องเดินทัพกลับแคว้นกังตั๋ง
เพื่อหวังผลที่จะช่วงชิงตราพระลัญจกรให้จงได้ เล่าเปียวจึงสั่งการให้เกงอวด ชัวมอ สองทหารเอกยกทหารห้าหมื่นไปตั้งสกัดทัพซุนเกี๋ยนไว้ข้างหน้า ตัวเล่าเปียวเป็นกองกลางคุมทหารซุ่มอยู่บนเนินเขา และจัดกองหลังแยกเป็นสองกองซุ่มอยู่ในป่าทั้งสองข้าง แล้วสั่งว่าเมื่อกองหน้าปะทะกับทหารของซุนเกี๋ยนแล้ว ให้ถอยมายังจุดที่กองกลางของเล่าเปียวซุ่มอยู่ เมื่อกองกลางเข้าปะทะแล้วก็จะทำทีถอยไปยังจุดซุ่มของกองหลัง พร้อมกันนั้นให้กองหน้ายกอ้อมไปทางด้านหลังของกองทัพซุนเกี๋ยน ให้ทั้งสี่กองฟังสัญญาณแล้วยกตีกระหนาบเข้ามาทั้งสี่ด้านก็จะจับตัวซุนเกี๋ยนยึดเอาตราพระลัญจกรได้โดยง่าย
กำหนดแผนการรบและบัญชาการรบเสร็จแล้ว เล่าเปียวและทหารทั้งสี่กองก็ตั้งมั่นคอยทีทัพซุนเกี๋ยนอยู่ ครั้นกองทัพเมืองเตียงสายกมาตามทางนั้นก็ปะทะกับกองหน้าของเล่าเปียว สองทหารเอกของเล่าเปียวชักม้าออกไปชี้หน้าซุนเกี๋ยนว่ากบฏต่อแผ่นดิน ยักยอกตราพระลัญจกรของฮ่องเต้ ให้รีบส่งมอบมาโดยไว
ซุนเกี๋ยนได้ยินก็โกรธสั่งทหารเข้าตีกองหน้าของเล่าเปียว กองหน้าของเล่าเปียวก็ถอยมาตามเชิงยุทธ์ ใกล้จุดที่กองกลางซุ่มอยู่ก็วกเข้าป่ายกอ้อมไปทางด้านหลังของกองทัพเมืองเตียงสา คอยฟังสัญญาณจากเล่าเปียวอยู่
เล่าเปียวเห็นกองทัพซุนเกี๋ยนยกมาถึงเนินเขาก็ยกทหารออกมาจากจุดซุ่ม เผชิญหน้ากับซุนเกี๋ยน ฝ่ายซุนเกี๋ยนเห็นเล่าเปียวคุมทัพมาก็ชักม้าขึ้นมาหน้าทหาร คารวะเล่าเปียวแล้วว่าท่านอย่าหลงเชื่อฟังคำอ้วนเสี้ยวที่ใส่ร้ายกล่าวหาข้าพเจ้าว่ายักยอกตราพระลัญจกร ขอได้เห็นแก่ไมตรีของสองเมืองที่มีมาแต่ก่อน เปิดทางให้ข้าพเจ้าเดินทัพกลับเมืองเตียงสา ไมตรีของทั้งสองเมืองก็จะเป็นปกติสืบไป
เล่าเปียวฟังคำซุนเกี๋ยนแล้วจึงว่า ความจริงได้ประจักษ์ชัดต่อหน้าหัวเมืองทั้งปวงแล้วว่าตัวท่านได้ตราพระลัญจกรของฮ่องเต้ไว้ แล้วยักยอกเป็นของตัวเพื่อจะตั้งตนขึ้นเป็นเจ้า ทำการกบฏต่อพระราชวงศ์ฮั่น เราขอให้ท่านกลับตัวกลับใจเสียแต่บัดนี้ รีบส่งมอบตราพระลัญจกรคืนให้แก่เรา เพื่อส่งคืนแก่ฮ่องเต้ต่อไป
ซุนเกี๋ยนได้ฟังเล่าเปียวแล้วก็โกรธ แต่ฝืนใจกล่าวว่าหากท่านไม่เชื่อฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ขอสาบานต่อฟ้าว่าข้าพเจ้าหาได้ครอบครองตราพระลัญจกรไม่ หากข้าพเจ้ายักยอกตราพระลัญจกรไว้แล้ว ขอให้เทพยดาลงโทษข้าพเจ้าด้วย ศัตราวุธต่าง ๆ
เล่าเปียวจึงว่าเรายังเชื่อคำสาบานท่านไม่ได้ก่อน แต่จะขอตรวจค้นทหารทุกคนที่มาในกองทัพของท่าน หากไม่พบตราพระลัญจกรแล้วเราจะขออภัยต่อท่านแล้วจะเปิดทางให้ท่านเดินทัพกลับเมืองเตียงสา
ซุนเกี๋ยนได้ยินเช่นนั้นถือว่าเล่าเปียวเหยียดหยามเกียรติยศศักดิ์ศรีของตนก็โกรธหนัก สั่งทหารเข้ารบด้วยเล่าเปียว พอทหารใกล้จะปะทะกันเล่าเปียวทำทีเป็นกลัว ชักม้าหนี ยกทหารถอยไปทางจุดที่กองกลังซุ่มอยู่สองข้างทางนั้น ซุนเกี๋ยนไม่รู้กลก็ยกทหารไล่ตามไป
ครั้นกองทัพเมืองเตียงสามาถึงจุดซุ่ม เล่าเปียวก็ให้ทหารโห่ร้องตีม้าล่อเป็นสัญญาณ แล้วแปรขบวนทัพจากถอยหันหน้าเข้าเผชิญด้วยซุนเกี๋ยน ในขณะที่กองซุ่มทั้งสองกองก็ยกออกจากสองข้างทาง และกองหน้าซึ่งวกอ้อมไปด้านหลังได้ยกตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกันทั้งสี่ด้าน กองทัพเมืองเตียงสาจึงตกอยู่ในที่ล้อม
การกำหนดแผนการรบของเล่าเปียวครั้งนี้เป็นการรบโดยใช้กำลังทหาร ประกอบด้วยกลอุบาย ซึ่งไม่เคยปรากฏในการรบระหว่างกองทัพปฏิวัติกับกองทัพจากเมืองหลวง ดังนั้นจึงทำให้แลเห็นได้ว่าบรรดากองทัพที่ร่วมในกองทัพปฏิวัตินั้นไม่ได้มีความจริงใจต่อกันมาแต่ต้น ต่างคนต่างพยายามเป็นฝ่ายนั่งดูเพื่อจะช่วงชิงเอาความได้เปรียบในขั้นสุดท้าย หรือไม่ก็รอคอยให้เหตุการณ์พัฒนาไปเองจนกว่าทุกฝ่ายจะอ่อนแรงลงแล้วจึงชิงโอกาสกระทำการในภายหลัง คงมีแต่หัวเมืองที่อยากเด่นดังบางหัวเมืองเท่านั้นที่กระหือรือออกรบแล้วต้องเสียทีแก่กองทัพเมืองหลวง
กองทัพเมืองเตียงสาครั้นตกอยู่ในที่ล้อมก็ตกใจ ทั้งถูกทหารเล่าเปียวตีกระหนาบเข้ามาฆ่าฟันล้มตายลงเป็นอันมาก ซุนเกี๋ยนรบอยู่ท่ามกลางวงล้อมของทหารเล่าเปียว และอ่อนกำลังลง เทียเภา อุยกาย และฮันต๋ง สามทหารเอกซึ่งถูกล้อมอยู่อีกวงหนึ่งเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นจึงรีบตีฝ่าวงล้อมออกมา แล้วตีฝ่าวงล้อมที่ล้อมซุนเกี๋ยนเข้าไปแก้เอาซุนเกี๋ยนออกมาได้
ซุนเกี๋ยนและสามทหารเอกเห็นสถานการณ์ตกอยู่ในความคับขัน จึงนำทหารที่เหลือตีฝ่าวงล้อมทหารเล่าเปียวแล้วหนีไปเมืองเตียงสา
ผลการรบครั้งนี้แม้ว่าเล่าเปียวจะได้รับชัยชนะอย่างงดงามด้วยวิธีการรบแบบใช้กำลังทหารและกลอุบาย แต่ไม่สามารถบรรลุภารกิจในการยึดตราพระลัญจกรกลับคืน ทั้งทำให้เล่าเปียวกับซุนเกี๋ยนต้องพิพาทและผูกพยาบาทต่อกัน
ซุนเกี๋ยนเมื่อยกทัพกลับเมืองเตียงสาแล้วก็คิดตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าตามคำของ เทียเภา สั่งให้ออกประกาศรับสมัครผู้มีสติปัญญาความสามารถเพื่อเข้ามารับราชการเป็นขุนนาง และประกาศรับชายฉกรรจ์จำนวนมากเข้ามาเป็นทหาร ทำการฝึกซ้อมทหารทั้งกลางวันและกลางคืน ในขณะเดียวกันได้สั่งให้ต่อเรือรบ เรือเร็ว และเรือลาดตระเวนจำนวนมาก เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ชัดเจนว่านี่คือการเตรียการทำสงครามแผ่แสนยานุภาพทางการทหารทั้งทางด้านกองทัพบกและด้านกองทัพเรือ
เมื่อเล่าเปียวทราบว่าฝ่ายซุนเกี๋ยนระดมผู้คนทั้งขุนนางที่ปรึกษาและทหารอย่างขนานใหญ่เช่นนี้ก็เกรงว่าเมืองเกงจิ๋วจะตกอยู่ในอันตราย จึงสั่งให้ประกาศรับสมัครผู้มีสติปัญญาความสามารถเข้ามารับราชการเป็นขุนนาง และประกาศรับชายฉกรรจ์จำนวนมากเข้ามาเป็นทหารประจำการทั้งด้านกองทัพบกและด้านกองทัพเรือ ทั้งสั่งการให้ต่อเรือรบ เรือลาดตระเวน ประจำการในกองทัพเรือเป็นจำนวนมาก ทำการฝึกซ้อมทหารและซ่องสุมเสบียงไว้เป็นกำลังต่อไป
แต่นั้นมาทั้งเมืองเกงจิ๋วและเมืองเตียงสาจึงต่างคุมเชิงระมัดระวังกันและกัน เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ที่เป็นปกติต่อกันมาเป็นความสัมพันธ์ที่พร้อมจะทำสงครามต่อกันทุกเมื่อ.