สามก๊ก ฉบับนักบริหาร:บทที่ 37 อ้วนเสี้ยว-ผู้เป็นศัตรูของตัวเอง

เมื่อซุนเซ็กตายมีอายุเพียง 26 ปี นับว่าเป็นนักรบหนุ่มที่มีวีรกรรมสร้างกังตั๋งได้ตั้งแต่อายุยังน้อย การตายของซุนเซ็กจึงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดถึง เว้นแต่กุยแกกุนซือโจโฉคนเดียวที่หลุดปากวิจารณ์ออก ไปว่า ซุนเซ็กไม่นานจะต้องตายด้วยฝีมือทหารเลว และคำของกุยแกก็มีส่วนจริง เพราะสาเหตุหนึ่งแห่งการตายของซุนเซ็กเกิดขึ้นจากการลอบทำร้ายด้วยฝีมือทหารเค้าก๋อง 3 นายร่วมอยู่ด้วย

แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อว่าซุนเซ็กตายเพราะไปลบหลู่ดูหมิ่นถึงขั้นทำร้ายฆ่าเซียนผู้วิเศษอิเกียด ในหนังสือสามก๊กยังได้พรรณานาถึงปาฏิหาริย์หลากหลายที่อิเกียดได้ทำให้ทุกคนรวมทั้งซุนเซ็กได้เห็นอย่างน่าอัศจรรย์ ช่วงสุดท้ายเมื่ออิเกียดสิ้นชีวิตแล้ว ศพก็ยังอัตรธานหายไปอย่างลึกลับ

ซุนเซ็กรู้ตัวว่าจะตายจึงสั่งเสียกับนางงอฮูหยินมารดากับนางไต้เกี้ยว ให้เรียกตัวน้องชายซุนกวนมาสั่งความให้รับช่วงการสร้างชาติหงอก๊กตามเจตนารมย์ของซุนเกี๋ยนผู้พ่อต่อไป ขอให้มารดาคอยดูแลสอนสั่งอย่าให้ซุนกวนที่ยังเด็กนัก ทำหยาบช้าเกินเลยกับทหารของบิดา อีกทั้งยังกำชับว่า งานใหญ่จะสำเร็จได้ก็ด้วยการใช้คน ต้องหาคนเก่งๆ มาช่วยงานแผ่นดิน การใช้งานผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ต้องเลือกคนให้ดี เมื่อได้คนดีแล้ว ต้องเชื่อถือเขา ถ้าไม่เชื่อถือ ก็เท่ากับไว้ใจ แต่มิได้วางใจเขา แล้วทำงานใหญ่ให้สำเร็จได้ก็จะยาก

ก่อนสิ้นใจตายซุนเซ็กสั่งซุนกวนว่า การเมืองฝ่ายในให้ปรึกษาเตียวเจียว การศึกสงครามถ้าขัดสนประการใดให้คิดอ่านกับจิวยี่ ให้ไต้เกี้ยวภรรยาจงไปว่าแก่น้องสาวนางเสียวเกี้ยวที่เป็นภรรยาจิวยี่ ให้ว่ากล่าวเอาใจจิวยี่ช่วยทำนุบำรุงซุนกวนกับแผ่นดินกังตั๋ง

ซุนกวนปฏิบัติตนตามคำของพี่ชายสั่งทุกประการ เข้าหาจิวยี่ขอให้เห็นแก่พ่อกับพี่ชายสนับสนุนปกครองบ้านเมือง จิวยี่จึงแนะซุนกวนว่า คำโบราณกล่าวไว้ ผู้ใดที่จะเป็นเจ้าบ้านผ่านเมือง ให้เกลี้ยกล่อมดึงคนที่มีสติปัญญา แลทหารที่มีฝีมือมาไว้ให้พร้อม บ้านเมืองจึงจะปรกติสุข ถ้าผู้นำใดทิ้งคำโบราณนี้เสีย บ้านเมืองก็จะเกิดอันตราย

จิวยี่แนะนำซุนกวนให้ไปเกลี้ยกล่อมโลซกชาวเมืองตังฉวน บอกว่าคนผู้นี้นอก จากจะมีสติปัญญาแล้ว ยังเป็นคนมีคุณธรรม โอบอ้อมอารี ไม่โลภในโภคทรัพย์ ให้ทานแจกจ่ายของแก่คนยากไร้เนือง ๆ โดยมิหวังผลตอบแทน ซุนกวนได้ฟังก็ยินดียิ่งนัก จัดสิ่งของให้จิวยี่เอาไปให้โลซกเป็นอันมาก ซุนกวนจึงได้โลซกมาทำการด้วยพร้อมทั้งจูกัดกิ๋น พี่ชายขงเบ้งเพื่อนโลซกที่อยู่เมืองเกงจิ๋วมาทำการที่เมืองกังตั๋ง กาลครั้งนั้นกังตั๋งแม้ว่าจะขาดซุนเซ็ก แต่ทุกอย่างได้เริ่มผนึกแน่นเป็นปึกแผ่น ซุนกวนกับบรรดาขุนนางล้วนแต่มีอุดมการณ์หวังดีต่อชาติบ้านเมือง คอรัปชั่นมีน้อย นักการเมืองไม่ซื้อเสียง ราษฎรไม่โฉดเขลาเห็นแก่เงินไม่กี่อีแปะขายเสียง ไพร่ฟ้าประชาชนพลเมืองต่างอยู่เย็นเป็นสุข ราษฎรต่างมีใจยินดีต่อการปกครองของซุนกวนเป็นอันมาก

ฝ่ายโจโฉเมื่อรู้ข่าวว่าซุนเซ็กตาย จึงปรึกษากับนายทหารทั้งปวงจะยกทัพไปตีเมืองกังตั๋ง เตียวเหียนจึงแกล้งออกอุบายว่า ซุนกวนกับญาติยังกำลังแต่งการศพซุนเซ็กอยู่ ถ้าท่านยกทัพไปตีกังตั๋งในขณะนี้ ผู้คนก็จะครหาท่านได้ อีกประการหนึ่งถ้าทำสงครามแล้วเสียทีก็จะอัปยศเป็นอันมาก สู้เอาใจซุนกวนกล่อมเอาไว้เป็นพวกมิดีกว่าหรือ โจโฉเห็นชอบด้วย จึงกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ตั้งซุนกวนเป็นเจ้าเมืองกังตั๋ง ให้เตียวเหียนเป็นปลัดเมือง

โดยวิธีนี้กังตั๋งก็เท่ากับว่ายังอยู่ภายใต้การปกครองของฮูโต๋ ซุน กวนก็ดีใจที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้ามาพร้อมกับตราเจ้าเมืองจากฮ่องเต้ อีกทั้งยังได้ตัวเตียวเหียนกลับคืนมา ลาภยศที่คนๆ หนึ่งอย่างซุนกวนได้รับ มีหรือจะไม่เป็นใจเข้าด้วยกับสายอำนาจอย่างโจโฉ แผนแยบยลของโจโฉครั้งนี้ ยังผลให้อ้วนเสี้ยวที่เคยคิดอ่านเป็นพันธมิตรกับซุนเซ็กเพื่อตีโจโฉต้องถูกแยกโดดเดี่ยว เมื่อซุนกวนถูกโจโฉใช้ลาภยศล่อซื้อใจจนไขว้เขว มิได้ยึดแนวนโยบายเดิม แผนที่ซุนเซ็กเคยคิดจะนำพากังตั๋งร่วมกับอ้วนเสี้ยวสู้รบโจโฉจึงต้องพับฐานไป

การเมืองพลิกผันเป็นรายวัน อ้วนเสี้ยวเห็นเหตุการณ์ปรับเปลี่ยนอย่างคาดไม่ถึงจึงเกิดมานะจิตแรงฮึด สั่งระดมพลยกไปตีพระนครฮูโต๋โดยลำพัง มิยอมฟังคำติท้วงของคนเก่ง ๆ รอบตัว เตียนห้องกุนซือที่ถูกจองจำอยู่ในคุกตั้งแต่ครั้งก่อน ด้วยเลือดรักชาติและหวังดีต่อบ้านเมือง ทำหนังสือจากในที่คุมขังถึงอ้วนเสี้ยวขอให้งดการยกทัพไปตีฮูโต๋ ใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า ธรรมดาไม่มีภัย อย่าได้คิดไปหาภัยมาใส่ตัว ให้ตั้งมั่นไว้โจโฉมิอาจจะทำอันตรายต่อท่านได้ คอยฟังโอกาสที่โจโฉเพลี่ยงพล้ำเมื่อใด จึงค่อยยกทัพไปตีเอาเมืองฮูโต๋การก็จะสำเร็จได้โดยง่าย

อ้วนเสี้ยวทราบความในหนังสือก็ยังนิ่งเฉยคิดอยู่ ต่อเมื่อฮองกี๋กุนซืออีกคนที่ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดีกว่าตนจึงใส่ความว่าเตียนห้องกล่าวเช่นนี้เป็นการทำให้เสียฤกษ์ดีในการศึก อ้วนเสี้ยวถึงได้โกรธจะให้เอาเตียนห้องไปฆ่าเสีย ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงต่างห้ามไว้ อ้วนเสี้ยวจึงให้จำเตียนห้องไว้ คาดโทษถ้าได้ตัวโจโฉมาเมื่อใดจึงจะฆ่าให้ตายพร้อมกัน

ผู้นำทัพอย่างอ้วนเสี้ยว ยังไม่ทันออกรบก็เริ่มก่อศัตรู และศัตรูที่ร้ายกาจของอ้วนเสี้ยวหาใช่ใครที่ไหน ที่แท้ก็คือตัวของอ้วนเสี้ยวเอง สั่งลงโทษที่ปรึกษาเถรตรงอย่างเตียนห้องยังไม่พอ อ้วนเสี้ยวยังลามไปลงโทษจอสิว คนเก่งซื่อสัตย์ต่อหน้าที่รับผิดชอบอีกคนหนึ่งเมื่อค้านว่า จะไปรบกับโจโฉ ทหารของเรามากกว่าก็จริง แต่ไม่กล้าหาญชำนาญศึกเหมือนทหารของโจโฉ จุดอ่อนของทัพโจโฉอยู่ที่มีเสบียงน้อยกว่า เราน่าจะประวิงเวลาการรบไว้ให้ยาวนาน เมื่อเสบียงทัพโจโฉหมดก็จะถอยร่นไปเอง แค่นี้อ้วนเสี้ยวก็โกรธ ตั้งข้อหาจอสิวว่า คอยแต่พูดจาหน่วงเหนี่ยวไม่ต้องด้วยขบวนการศึก จึงสั่งเอาตัวจอสิวไปจำไว้อีกคน เสร็จศึกเมื่อใดจะฆ่าเสียให้ตาย

จอสิวทอดใจใหญ่รำพึงกับผู้คุมและเพื่อนที่มาเยี่ยมว่า เราทั้งปวงจะต้องตายในวันนี้พรุ่งนี้เป็นแม่นมั่น จะเอาซากศพไปไว้ที่ใดตำบลใดก็มิรู้แจ้ง ว่าแล้วจอสิวก็หลั่งน้ำตาร้องไห้ นี่คือจุดอ่อนในชีวิตผู้นำอย่างอ้วนเสี้ยวที่ชอบทำร้ายคนรอบข้างที่เก่งและหวังดี ศัตรูของอ้วนเสี้ยวจึงมิใช่ใครอื่นที่ไหน ที่แท้ อ้วนเสี้ยวเป็นศัตรูของตัวเอง ชอบทำลายสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่รอบกายโดยมิรู้ตัว

การรบในสมัยเมื่อ 1800 ปีก่อนทุกสมรภูมิชี้ความแตกหักที่เสบียง 1 ใน 3 ของจำนวนทหารต้องรับภาระในการขนย้าย เก็บรักษาและแจกจ่ายเสบียง ถ้าเปรียบการทำสงครามเป็นการบริหารองค์กรสมัยนี้ เสบียงอาหารจะเหมือนกับ Cash Flow หรือสภาพคล่องนั่นเอง ศึกกัวต๋อยุคนั้นก็เช่นกัน กำลังทัพของอ้วนเสี้ยวมีไพร่พลมากถึง 70 หมื่นในขณะที่กองทัพของโจโฉมีแค่ 7 หมื่น อ้วนเสี้ยวเหนือกว่าโจโฉถึง10 เท่า เสบียงของกองทัพจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยหลัก ที่มีส่วนชี้ขาดผลแพ้ชนะการศึกของทั้งสองฝ่าย

เมื่อทัพของอ้วนเสี้ยวกับโจโฉยันปะทะกันที่ตำบลกัวต๋อ ทัพอ้วนเสี้ยวยังสดกับฮึกเหิมอยู่ มีการคิดค้นใช้ยุทธการแบบใหม่อิงภูมิศาสตร์ด้วยการถมดินให้เป็นเนินสูงรอบค่ายทหารโจโฉ ทุกเนินถูกแปลงเป็นหอรบสูงมองเห็นภายในค่ายของข้าศึกได้ชัดเจน แล้วเกณฑ์พลเกาทัณฑ์ขึ้นประจำบนเนินเหล่านั้น พอจุดประทัดเป็นสัญญาณก็ระดมยิงเกาทัณฑ์เข้าไปในค่ายทหารโจโฉเป็นห่าฝน

ทหารโจโฉแตกตื่นกระจัดกระจายมิเป็นขบวน สาละวนอยู่กับการใช้โล่ป้องกันตัว ไม่อาจจะทำการสู้รบตอบโต้ได้ กุยแกแนะ นำโจโฉให้เร่งทำศึกแตกหัก เพราะเสบียงอาหารมีน้อยมิบังควรทำศึกยืดเยื้อ โจโฉใจไม่ถึงด้วยเห็นข้าศึกมีกำลังมากกว่าถึง10 เท่าจึงไม่เห็นด้วย สถานการณ์ช่วงนั้นทำให้ผู้นำเจนศึกอย่างโจโฉอยู่ในสภาพงงเป็นไก่ตาแตก เข้าทำนอง ผู้อยู่ในเหตุการณ์มักหลง ผู้อยู่นอกเหตุการณ์มักแจ้ง

โจโฉคิดท้อใจมิรู้จะหาทางออกอย่างไร ลำพังจำนวนไพร่พลที่มากกว่าของข้าศึกก็น่าหนักใจอยู่แล้ว การศึกยังมาพบกับยุทธการใหม่ที่อาศัยภูมิศาสตร์มายึดความได้เปรียบ ขณะที่โจโฉกำลังพะวักพะวงใจอยู่นั้น เล่าหัวเสนาธิการช่างเดินเข้ามาในห้อง

โจโฉรำพึงออกมาพอได้ยินว่า ศึกนี้เห็นทีจะต้องถอยไปตั้งรับที่ฮูโต๋เสียแล้ว เล่าหัวจ้องหน้านายเขม็งแล้วว่า นายท่านคิดอะไรอย่างนี้ เรายังไม่แพ้ศึก เหตุใดจึงคิดจะยกทัพกลับ ที่เรายันทัพที่มีกำลังเหนือกว่าเรา 10 เท่าถึงกว่าหนึ่งเดือน แสดงว่าอ้วนเสี้ยวไร้กึ๋น ขาดสมรรถภาพในการรบมิใช่หรือ โจโฉฟังคำของเล่าหองถึงกับตะลึงได้คิด คำพูดของเล่าหัวมีเหตุผลแลน้ำหนักไม่น้อย แต่ก็ยังลังเลใจหาทางออกมิได้ ความคิดยกทัพกลับยังคาอยู่ในหัวใจโจโฉ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘