ตอนที่ 34. ประกายกระบี่ที่ซ่อนในฝัก

สถานการณ์สงครามในขณะนี้ อ้วนเสี้ยวผู้บัญชาการใหญ่และกองทัพเจ็ดหัวเมืองยังคงตั้งมั่นกินลมชมวิวอยู่ที่ชายแดนเมืองลกเอี๋ยง ในขณะที่กองทัพแปดหัวเมืองยันอยู่กับกองทัพของตั๋งโต๊ะ ลิโป้ที่ด่านเฮาโลก๋วน ส่วนซุนเกี๋ยนนั้นตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลเลียงต๋ง คุมเชิงด่านกิสุยก๋วน ซึ่งลิฉุย กุยกี สองทหารเอกของตั๋งโต๊ะรักษาด่านอยู่

            ฝ่ายลิโป้ซึ่งตั้งค่ายอยู่นอกกำแพงด่านเฮาโลก๋วน หลังจากได้รับชัยชนะกองทัพแปดหัวเมือง สังหารทหารเอกเสียคนหนึ่งและฟันทหารเอกบาดเจ็บพิการอีกคนหนึ่งแล้ว วันรุ่งขึ้นก็ยกทหารมาท้ารบกับกองทัพของแปดหัวเมืองอีกครั้งหนึ่ง

            เจ้าเมืองทั้งแปดหัวเมืองพร้อมทั้งเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย จึงยกทหารออกไปหน้าค่าย ตั้งกระบวนเรียงหน้ากระดาน เพื่อจะรบกับลิโป้ด้วยวิธีรบโดยอาศัยฝีมือทหารเอกดังเดิม  ทั้ง ๆ ที่รู้และสัมผัสตลอดมาแล้วว่าการรบด้วยฝีมือทหารเอกนั้นเป็นรองฝ่ายลิโป้ที่ฝีมือรบเข้มแข็งและองอาจกล้าหาญยิ่งนัก นับเป็นการรบที่ผิดหลักพิชัยสงคราม เพราะเป็นการรบที่ไม่เห็นชัยชนะ หากเป็นการรบที่อาศัยแต่ปาฏิหาริย์เป็นที่พึ่งเท่านั้น

            กองซุนจ้านเจ้าเมืองปักเป๋งได้ขับม้าออกจากขบวนแถวของแปดเจ้าเมือง เข้ารบด้วยลิโป้ ซึ่งขับม้าออกหน้าทหารมารออยู่ก่อนแล้ว กองซุนจ้านรบด้วยลิโป้ได้เพียงสิบเพลงก็อ่อนกำลังลงจึงชักม้าหนี

            ลิโป้ขับม้าไล่ตามใกล้เข้ามาถึงระยะทวนแทงแล้ว ลิโป้จึงเงื้อทวนแทงกองซุนจ้าน แต่พลันได้ยินเสียงตวาดดังสนั่นดุจฟ้าร้องว่า “เฮ้ย! ไอ้ลูกสามพ่อ ชิมคมทวนของกูดีกว่า” ม้าเซ็กเธาว์ที่ลิโป้ขี่จึงชะงักลง เสียงโลหะตันสองอันกระทบกันดัง   “เป๊ง” ยินสนั่นกลบเสียงกลองรบและเสียงโห่ร้องของทหารทั้งสองฝ่าย ทวนของเตียวหุยฟาดปัดเอาทวนของลิโป้กระดอนไป กองซุนจ้านฉวยโอกาสนั้นขับม้าหลบเข้ามาหลังทหาร

            คำด่า “ไอ้ลูกสามพ่อ” ที่เตียวหุยด่าลิโป้ครั้งนี้ตรงกับข้อเท็จจริงเพราะลิโป้มีพ่อตัวคนหนึ่ง มีเต๊งหงวนเป็นพ่อบุญธรรมอีกคนหนึ่ง ลิโป้ฆ่าเต๊งหงวนเสียแล้วมาอยู่ด้วยตั๋งโต๊ะ นับถือตั๋งโต๊ะเป็นพ่อบุญธรรมอีกคนหนึ่ง จึงเป็นลูกสามพ่อ เป็นคำด่านักการเมืองที่รุนแรงโดยมีความเต็มว่า “นักการเมืองสามพรรคเหมือนคนสามพ่อ เป็นจัญไรแผ่นดิน”

            ด้านเตียวหุยกับลิโป้กรายทวนรบกันบนหลังม้าโดยมีทหารของทั้งสองฝ่ายตั้งขบวนอยู่ด้านหลัง ธงทิวประจำกองทัพรับลมปลิวไสว เสียงกลองศึกดังสนั่นผสานเข้ากับเสียงโห่ร้องของทหารทั้งสองฝ่าย ทำให้ทั้งลิโป้ เตียวหุย ต่างคึกคะนองยิ่งนัก

            สิ้นเพลงที่ห้าสิบ กวนอูสังเกตเห็นม้าที่เตียวหุยขี่อยู่นั้นอ่อนกำลังลง ในขณะที่ม้าเซ็กเทาของลิโป้ยังเริงร่าคะนองคล่องแคล่วรวดเร็วดังเดิม เกรงว่าเตียวหุยจะเสียที จึงขับม้ากรายง้าวนิลนาคะ ออกไปกลางลานรบสมทบกับเตียวหุยรบด้วยลิโป้

            เล่าปี่ยืนม้าอยู่ข้างกองซุนจ้านทอดสายตาเขม้นมองเชิงรบแล้ว ความวิตกในการศึกก็หมดไปจากใจเห็นเป็นทีจะจับลิโป้ จึงขับม้ารำกระบี่คู่ถลันออกไปในลานรบล้อมลิโป้ไว้ แล้วแกว่งกระบี่โบกเป็นสัญญาณพร้อมตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “เต็ง”

            กวนอู เตียวหุย รู้ความหมายสัญญาณก็ชักม้าวนรอบลิโป้สลับไปมา แล้วตั้งเป็นขบวนพยุหะขึ้น โดยเล่าปี่เข้ารบตรงด้านหน้าของลิโป้ กวนอูเข้ารบทางด้านขวาของลิโป้ และเตียวหุยเข้ารบทางด้านซ้ายของลิโป้

            สามก๊กฉบับวิจารณ์ของจีนระบุว่า เล่าปี่ตวาดออกเสียงว่า “เต็ง” แล้วตั้งขบวนพยุหะ สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่า สามพี่น้องแห่งสวนท้อล้อมลิโป้ไว้ในลักษณะอักษรรูปตัว “T” ซึ่งตรงกับคำว่า “เต็ง” ในภาษาจีน

            ในขณะที่บางตำราว่าการตั้งขบวนรบชนิดนี้เป็นการตั้งขบวนแบบค่ายกลดาวไถ และถือเป็นขบวนพยุหะในการศึกชนิดหนึ่ง เป็นแต่ใช้กำลังคนน้อยเท่านั้น

            เล่าปี่ถือกระบี่คู่อยู่เผชิญหน้าเป็นตัวล่อ ดูประหนึ่งจะเสียเปรียบเพราะกระบี่เป็นอาวุธสั้นกว่าทวนของลิโป้ แต่เมื่อเป็นพยุหะดังนี้แล้ว ทวนยาวของลิโป้ก็ไร้พิษสง เพราะไม่ว่าจะฟาดหรือแทงก็จะติดขัดไปสิ้น นั่นคือหากจะแทงก็ต้องดึงทวนมาข้างหลัง สภาพเช่นนี้ทั้งง้าวของกวนอูและทวนของเตียวหุยย่อมกดดันทั้งในทางฟาดและทางแทงอยู่ทั้งสองด้าน หากจะฟันก็ต้องเงื้อทวนขึ้นทางด้านขวาย่อมจะติดง้าวของกวนอูอีก ทั้งจะเปิดช่องว่างทางด้านซ้ายให้เตียวหุยเอาทวนแทงที่ข้างตัวถึงหัวใจได้โดยสะดวก

            ขบวนพยุหะของสามพี่น้องแห่งสวนท้อกดดันบังคับให้วงล้อมแคบลงทุกที ลิโป้ติดขัดละล้าละลังไปเสียทุกทางก็ตกใจยิ่งนัก อาศัยแต่กำลังและความแคล่วคล่องว่องไวของม้าเซ็กเทาหลีกหลบป้องปัดอาวุธของสามพี่น้องแห่งสวนท้อเอาตัวรอดเพียงอย่างเดียวและตกเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างสิ้นเชิง จึงคิดหนีเอาตัวรอด

            แต่ธรรมดาม้านั้น ในยามเผชิญศึกดังนี้ไม่สามารถชักม้าถอยหลังได้ ดังนั้นลิโป้จึงตัดสินใจเสี่ยงโน้มตัวไปข้างหน้าจนเกือบซบคอม้า เอาทวนชี้ตรงไปทางเล่าปี่ ฝ่ายเล่าปี่ถือกระบี่คู่เป็นอาวุธสั้นกว่าปะหน้าทางตรงไม่ได้เพราะจะถูกทวนเสียก่อน เล่าปี่จึงเอากระบี่คู่ปัดทวนของลิโป้ ในพลันที่กระบี่คู่ของเล่าปี่ฟาดไปทางซ้ายเพื่อปัดทวนของลิโป้นั้น ลิโป้กระทืบโกลนม้าเซ็กเทาโผนกระโจนไปทางด้านขวาของเล่าปี่ ฝ่าวงล้อมออกไปได้อย่างหวุดหวิด แล้วอาศัยฝีเท้าอันรวดเร็วดุจพายุของม้าเซ็กเทาชักม้าหนีออกจากสนามรบ ราวกับเป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่มิได้วางแผนไว้ก่อนแต่ประการใด

            สามพี่น้องแห่งสวนท้อและทหารของทั้งแปดหัวเมืองจึงยกทหารไล่ตามลิโป้ไป เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย นั้นสกัดทางที่จะไปยังค่ายของลิโป้นอกกำแพงด่านไว้    ลิโป้และทหารเข้าค่ายไม่ได้จึงยกหนีเข้าด่านเฮาโลก๋วนแล้วปิดประตูด่านเสีย

             กองทัพของแปดหัวเมืองจึงยกเข้าไปประชิดด่านเฮาโลก๋วน ให้ทหารปีนหักเข้าตีด่านเป็นสามารถ ลิโป้อยู่บนเชิงเทินพร้อมกับทหารเอกคนอื่น ๆ ของตั๋งโต๊ะได้ให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ ทิ้งก้อนศิลาและทรายคั่วใส่ทหารของทั้งแปดหัวเมืองอย่างดุเดือด ทหารของทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บลงเป็นอันมาก
             กองทัพแปดหัวเมืองเห็นจะหักเอาด่านไม่สำเร็จ จึงให้สัญญาณถอยแล้วยกทหารกลับมาที่ค่ายดังเก่า
            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่าการที่กวนอูเข้าช่วยเตียวหุย แล้วเล่าปี่เข้าไปสมทบอีกคนหนึ่งเป็นเพราะกลัวแพ้นั้น น่าจะเป็นการเข้าใจผิดของล่ามจีนในขณะนั้น  เนื่องจากล่ามเหล่านั้นเป็นราษฎรสามัญที่หอบแต่เสื่อผืนหมอนใบมารับจ้างค้าขายในประเทศไทย ไม่มีความรู้ทางการทหารและพิชัยสงคราม เห็นสามคนรุมคนเดียวจึงเข้าใจเจตนาว่าช่วยกันรุมเพราะกลัวแพ้

            ตั้งแต่เข้าร่วมกองทัพปฏิวัติ เล่าปี่พยายามปิดบังอำพรางตนอยู่ตลอดมา ไม่เคยออกความเห็น ไม่เคยพูดจาเกี่ยวกับการศึกสงคราม และไม่เคยแสดงออกถึงความสามารถให้ปรากฏ แต่เมื่อเห็นว่าฝ่ายปฏิวัติจะเสียทีและเสียการใหญ่ จึงจำต้องแก้ไขสถานการณ์ให้เปลี่ยนแปลงจากรับเป็นรุกด้วยการหาทางจับลิโป้ให้จงได้ เหตุนี้จึงจำต้องเผยประกายความสามารถของตนเองให้ตั้งค่ายกลพยุหะ “เต็ง” ทั้ง ๆ ที่ใจจริงแล้วเล่าปี่คงไม่อยากแสดงออกเท่าใดนัก เพราะย่อมคิดอะไรอยู่ในใจเหมือนกับคนอื่น ๆ

            ก็เช่นเดียวกันกับโจโฉที่ปิดบังและอำพรางความสามารถของตนตลอดมา ถนอมและไม่ยอมใช้กำลังทัพของตนอย่างสุดชีวิต ตลอดระยะของสงครามที่มาถึงขั้นนี้ โจโฉไม่เคยออกรบ ไม่เคยให้ทหารของตัวออกรบ ทั้งไม่เคยเสนอแผนการรบที่จะเผด็จศึกต่อกองทัพปฏิวัติ ทำตนเป็นเพียงหน่วยลาดตระเวนและประสานงานระหว่างกองทัพทุกหัวเมืองเท่านั้น

            โจโฉแม้ว่าจะพยายามพรางความสามารถของตนไว้สักเพียงใด แต่ครั้นเห็นกองทัพปฏิวัติเสียทีถูกลิโป้สังหารทหารเอกเสียหลายคน และรุกรบอย่างไม่หยุดยั้ง โจโฉก็ต้องเผยความสามารถของตนออกมาให้เห็นด้วยการทำหนังสือรายงานการศึกถึงอ้วนเสี้ยวผู้บัญชาการใหญ่ว่า “ให้ปรึกษากันว่าผู้ใดจะคิดอ่านกลศึกประการใด จึงจะได้ตัวลิโป้ ถ้าได้ตัว ลิโป้แล้ว ก็จะได้ตัวตั๋งโต๊ะโดยง่าย”

หนังสือของโจโฉนี้คือการชี้นำสงคราม เสนอเข็มมุ่งให้จับตัวหรือฆ่าลิโป้เสียด้วยกลอุบาย เพราะโจโฉได้เห็นแล้วว่าการรบด้วยอาศัยฝีมือทหารเอกนั้นไม่สามารถเอาชัยต่อลิโป้ได้ และถ้าหากได้ตัวลิโป้แล้วก็สามารถเอาชนะตั๋งโต๊ะได้โดยง่าย ความคิดการศึกของโจโฉอันได้แสดงให้ปรากฏในรายงานการศึกนี้มีค่าแท้ควรทอง เพราะมีฐานะเสมือนกุญแจไขประตูแห่งชัยชนะในสงครามครั้งนี้ และสะท้อนถึงสติปัญญาความคิดของโจโฉในการอ่านการศึกของทั้งสองฝ่ายได้อย่างกระจ่างยิ่ง

แต่ผู้บัญชาการใหญ่อ้วนเสี้ยวไร้สติปัญญาความสามารถจึงเมื่อเห็นรายงานนี้แล้วก็ไม่เห็นถึงความนัยที่จะเอาชัยต่อตั๋งโต๊ะ ดังนั้นอ้วนเสี้ยวจึงไม่ได้สั่งการใด ๆ ตามที่โจโฉได้เสนอไว้

ความคิดของเล่าปี่ที่จะจับตัวลิโป้ และให้สัญญาณน้องร่วมสาบานตั้งค่ายกลพยุหะนั้น ก็คือความคิดอย่างเดียวกันกับความคิดของโจโฉ ต่างกันก็ตรงที่เล่าปี่ใช้กลพยุหะ ในขณะที่โจโฉต้องการใช้กลอุบาย

โจโฉ เล่าปี่ ต่างมองกันออกและอ่านกันและกันกระจ่าง ทั้ง ๆ ที่ต่างฝ่ายต่างก็พยายามพรางความรู้ความสามารถของตน

ดังนั้นในขณะที่โจโฉไม่มองเห็นเจ้าเมืองคนใดอยู่ในสายตาตัว แต่กับสามพี่น้องแห่งสวนท้อแล้ว โจโฉกลับมองอย่างสนใจทุกฝีก้าว และพยายามเข้าใกล้เอาใจอยู่เสมอไม่ว่าในครั้งที่สนับสนุนกวนอูให้ออกรบ การส่งสุราให้กำลังใจแก่กวนอู และแม้ในการส่งหมูเห็ดเป็ดไก่ไปเอาใจเล่าปี่ถึงในค่าย

พฤติกรรมเหล่านี้คือพฤติกรรมที่ทั้งโจโฉและเล่าปี่ต่างก็มีความนัยอยู่ในใจของตนเอง  และความนัยที่อยู่ในใจของทั้งสองคนนี้อาจจะเป็นเรื่องเดียวกันและเหมือนกันก็เป็นได้!

            อันการสงครามในยุคสามก๊กนั้น นอกจากจะรบกันด้วยฝีมือของทหารเอกแล้ว ยังมีการรบโดยรูปแบบอื่นอีกสี่วิธีคือ การรบด้วยกำลังทหาร การรบด้วยกลอุบาย การรบด้วยขบวนพยุหะ และ “การรบด้วยพลังจักรวาล อันเป็นมรรควิถีของยอดขุนพลผู้นำทัพ”

            เป็นหน้าที่ของขุนพลผู้นำทัพที่จะพิจารณาวินิจฉัยเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีเพื่อเอาชัยชนะต่อข้าศึก หาได้จำกัดหรือตายตัวแต่อย่างใดไม่

            การรบก่อนหน้าศึกครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายใช้วิธีการรบด้วยฝืมือทหารเอก ซึ่งฝ่ายเมืองหลวงได้เปรียบฝ่ายปฏิวัติตลอดมา เพราะฝ่ายเมืองหลวงมีทหารเอกที่มีฝีมือรบพุ่ง และมีความเชี่ยวชาญการรบมากกว่าฝีมือทหารเอกของหัวเมืองมากมายนัก ดังนั้นเพียงเพลงสองเพลงรบทหารเอกของกองทัพปฏิวัติจากหัวเมืองต่าง ๆ ก็หัวขาด ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

            ยกเว้นก็แต่ครั้งที่ทหารเลวไร้ชื่อเสียงเรียงนามผู้หนึ่งซึ่งหนวดยาว หน้าแดงถือง้าวนิลนาคะ นามว่ากวนอูได้ตัดหัวฮัวหยงทหารเอกฝ่ายเมืองหลวงได้ในเวลาชั่วสุรายังไม่ทันหายอุ่น จึงกู้หน้าให้แก่ฝ่ายปฏิวัติได้เป็นครั้งแรก

            ผู้นำทัพของทั้งสองฝ่ายต่างก็ขี้เท่อพอ ๆ กัน และรู้จักใช้แต่วิธีรบโดยอาศัยฝีมือทหารเอกเท่านั้น ไม่มีความสามารถและไม่มีความรู้ทางยุทธวิธีที่จะใช้วิธีการรบโดยวิธีอื่นได้ ดังนั้นเมื่อฮัวหยงหัวหลุดออกจากบ่า และลิโป้เสียทีแก่สามพี่น้อง จึงทำให้สถานการณ์สงครามที่ฝ่ายเมืองหลวงเป็นฝ่ายรุกและได้เปรียบ แปรเปลี่ยนไปโดยมูลฐาน

             ฝ่ายเมืองหลวงซึ่งเป็นฝ่ายรุกรบอย่างฮึกเหิมและได้เปรียบมาโดยตลอดต้องถอยกลับไปตั้งหลักอยู่ในด่าน ในขณะที่ฝ่ายปฏิวัติเปลี่ยนสภาพจากฝ่ายรับกลายเป็นฝ่ายรุกและรุกเข้าประชิดด่านเฮาโลก๋วน กดดันต่อความรู้สึกนึกคิดของตั๋งโต๊ะและกองทัพฝ่ายเมืองหลวงอย่างรุนแรงที่สุด เพราะความหวังที่จะอาศัยลิโป้กำราบศึกได้พังทะลายลงแล้ว และไม่สามารถคิดอ่านวิธีการรบแบบอื่นมาทดแทนได้.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร