ตอนที่ 33. สงครามของคนไร้ปัญญา
ตำราพิชัยสงครามของซุนวูว่าไว้ในบทแรกสุดว่า “การณรงค์สงครามเป็นงานใหญ่ของประเทศชาติ เป็นจุดความเป็นความตาย เป็นวิถีทางอันนำไปสู่ความยืนยงคงอยู่ หรือดับสูญหายนะ พึงพินิจพิเคราะห์จงหนักทีเดียว”
และได้กล่าวในบทถัดมาว่า “ฉะนั้นจึ่งวินิจฉัยด้วยกรณียกิจห้าประการ เปรียบเทียบถึงภาวะต่าง ๆ เพื่อทราบความจริง กล่าวคือ 1 ธรรม 2 ดินฟ้าอากาศ 3 ภูมิประเทศ 4 ขุนพล 5 ระเบียบวินัย” และว่า “ขุนพลคือผู้กอปรด้วยสติปัญญา ความเที่ยงธรรม ความเมตตา ความกล้าหาญ และความเข้มงวดเด็ดขาด”
แต่ทว่าสงครามที่บัญชาการโดยอ้วนเสี้ยวฝ่ายหนึ่ง และโดยตั๋งโต๊ะอีกฝ่ายหนึ่งนั้น กลับกระทำการกันแบบคนสิ้นคิด ไร้สติปัญญา ดังนั้นสงครามจึงดำเนินไปแบบไร้ทิศทาง ไร้แผนการยุทธ์ และเป็นไปตามยถากรรม
ฝ่ายเตียวหุยน้องเล็กแห่งสวนท้อเห็นกวนอูพี่รองมีความชอบอยากจะแสดงฝีมือบ้าง จึงลุกขึ้นเสนอต่อที่ประชุมว่า “กวนอูพี่ข้าพเจ้าได้อาสาตัดเอาศีรษะฮัวหยงมาให้แล้ว ข้าพเจ้าผู้น้องจะขออาสาตีเข้าไปในเมืองหลวง แล้วจะจับเอาตัวตั๋งโต๊ะมาให้ท่าน”
ความไม่รู้การอันควรไม่ควรของเตียวหุยนี้ทำให้สถานการณ์ของเล่าปี่ยุ่งยากขึ้นมา เปลี่ยนสถานการณ์ที่พึงได้ให้กลายเป็นเสียไป เพราะอ้วนเสี้ยวซึ่งไม่พอใจกับชัยชนะของกวนอูด้วยรู้สึกว่าเสียหน้าอยู่แล้ว มาบัดนี้ภัยคุกคามของฮัวหยงที่หน้าค่ายสิ้นไป ความบ้ายศบ้าอย่างจึงโหมกลับมาครองใจอีกครั้งหนึ่ง พอได้ยินเช่นนั้นก็ระบายโทสะเอากับเตียวหุย ลุกขึ้นยืนตวาดเอากับเตียวหุยว่าไอ้ทหารเลว จงหุบปากเสียทันที ที่นี่เป็นที่ประชุมขุนนางผู้ใหญ่ ไม่มีใครปรึกษาหาความเห็นกับทหารเลวเช่นเจ้า สิกลับมาออกความเห็นหักหน้าแม่ทัพนายกองทั้งปวง หมิ่นน้ำใจเรานัก จงออกไปเสียให้พ้นจากที่ประชุม
โจโฉเห็นอ้วนเสี้ยวลุแก่โทสะ ล่วงวิสัยผู้นำทัพเช่นนั้น จึงลุกขึ้นประสานมือคารวะอ้วนเสี้ยวแล้วว่า “อย่างธรรมเนียมศึกนั้น ถ้าผู้ใดมีความชอบในการสงคราม ก็จะปูนบำเหน็จตามสมควร ถ้าผู้ใดกระทำความผิดก็จะลงโทษ ซึ่งจะมาถืออิสริยยศในท่ามกลางศึกดังนี้ไม่สมควร”
คำพูดของโจโฉมุ่งต่อการเตือนสติอ้วนเสี้ยวให้รำลึกถึงหลักการนำทัพของแม่ทัพตามพิชัยสงครามอย่างหนึ่ง และสะกิดใจอ้วนเสี้ยวให้รำลึกถึงคำพูดในวันปฏิญาณสาบานตนที่จะปกครองทหารโดยยุติธรรมอีกอย่างหนึ่ง แต่อ้วนเสี้ยวลุแก่โทสะ ละความผิดชอบชั่วดีเสียสิ้น ยินคำโจโฉแล้วไม่ฟังคำ กล่าวหาโจโฉด้วยเสียงอันดังว่าเมื่อท่านเห็นทหารเลวมีความสำคัญกว่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าย่อมไม่สามารถนำทัพได้อีกต่อไป จะขอยกทัพกลับแต่บัดนี้ แล้วทำท่าผลุนผลันจะออกจากที่ประชุม
โจโฉรีบก้าวเข้าไปยุดเอามืออ้วนเสี้ยวขอร้องให้หยุดอยู่ก่อน ประสานมือคำนับแล้วว่าเรื่องใหญ่ของเราที่ยกกองทัพมาเมืองลกเอี๋ยงนี้ยังไม่สำเร็จ อย่าถือสากับเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้เลย เห็นแก่การแผ่นดินแลราษฎรเถิด ว่าแล้วก็หันมาทางกองซุนจ้านขอให้พาเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย กลับไปค่ายก่อน
อ้วนเสี้ยวค่อยคลายโทสะลง แล้วปิดประชุมเสียดื้อ ๆ จากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับไปยังค่ายของแต่ละเมือง
ส่วนโจโฉนั้นเห็นถึงความสำคัญของสามพี่น้องแห่งสวนท้อ ติดตามจับตาความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด และเพื่อให้เกิดความรู้สึกที่เป็นมิตรต่อกัน จึงสั่งให้ทหารนำหมูเห็ดเป็ดไก่ไปปลอบขวัญเล่าปี่และพี่น้องร่วมสาบานถึงในค่าย
บรรยากาศการประชุมในวันนี้ทำให้อ้วนเสี้ยวสูญเสียความเชื่อถือไปเป็นอันมาก หลายเมืองเริ่มเห็นว่ากองทัพปฏิวัติกำลังเกิดปัญหาขึ้นแล้ว เนื่องจากการวางตัวและการทำงานของอ้วนเสี้ยวนี่เอง
สถานการณ์ถึงวันนี้เพียงแค่เดินทัพมาถึงชายแดนเมืองลกเอี๋ยง กองทัพปฏิวัติได้สูญเสียทหารเอกไปแล้วถึงสี่คน และถูกตีแตกพ่ายไปถึงสองกองทัพ ในขณะที่ฝ่ายเมืองหลวงสูญเสียเพียงโฮจิ้นทหารเอก เป็นแต่ว่ากวนอูได้กู้หน้าคืนให้กับกองทัพปฏิวัติตัดศีรษะฮัวหยงแม่ทัพใหญ่ฝ่ายเมืองหลวงได้สำเร็จ ในขณะที่สุราในจอกยังไม่ทันหายอุ่น แต่กระนั้นกองทัพปฏิวัติก็ยังคงมิได้กำหนดแผนการรบใด ๆ ที่ชัดเจนเพื่อการเข้ายึดเมืองลกเอี๋ยง แม้ฝ่ายเมืองหลวงเองตั๋งโต๊ะก็หาได้มีแผนการใด ๆ ที่จะตีทัพของกองทัพปฏิวัติให้แตกพ่ายไปไม่ สถานการณ์ยังคงเป็นไปตามยถาบุญยถากรรมต่อไป
ฝ่ายทหารของฮัวหยงเมื่อเห็นฮัวหยงศีรษะหลุดจากบ่าเพียงชั่วการประง้าวกับกวนอูได้ไม่ถึงเพลงก็พากันตกใจ แตกหนีกลับเข้าด่านกิสุยก๋วน รายงานการศึกให้รองแม่ทัพลิซกทราบ ลิซกทราบข่าวปราชัยของฮัวหยงแล้วก็ตกใจ รีบส่งรายงานเข้าเมืองหลวง ครั้นตั๋งโต๊ะทราบแล้วก็ตกใจเช่นเดียวกัน เพราะคาดไม่ถึงว่าแม่ทัพมีฝีมือระดับฮัวหยงจะพ่ายแพ้แก่ทหารซึ่งไม่ปรากฏชื่อเสียงเรียงนามมาก่อน จึงให้ทหารไปเชิญลิยูที่ปรึกษาและอัศวินงูเห่าลิโป้มาพบที่จวน
ลิยูกุนซือเจ้าความคิดทราบความศึกแล้วเสียดายฮัวหยงเป็นอันมาก ความกลัวเข้าครอบงำความคิดและสติปัญญาไปสิ้น เสนอความเห็นอันวิปริตขึ้นว่ากองทัพที่ยกมาครั้งนี้มีอ้วนเสี้ยวเป็นผู้นำทัพ และอ้วนเสี้ยวนั้นมีอาชื่ออ้วนหงุยเป็นราชครูอยู่ในเมืองหลวง อาจคบคิดกันเป็นไส้ศึก จำจะต้องประหารอ้วนหงุยและครอบครัวเสียให้สิ้น
ตั๋งโต๊ะฟังความเห็นอันวิปริตของลิยูแล้วต้องด้วยอัธยาศัยโฉดชั่วของตนจึงสั่งให้ลิฉุย กุยกี สองทหารเอกคุมทหารห้าร้อยยกไปจับอ้วนหงุยพร้อมครอบครัวและผู้คนในบ้านสังหารเสียสิ้น โดยที่คนเหล่านี้ไม่มีความผิดใด ๆ แล้วสั่งให้ตัดศีรษะอ้วนหงุยส่งไปด่านกิสุยก๋วน เสียบไว้ที่นอกค่ายเป็นการเยาะเย้ยอ้วนเสี้ยว
ความคิดของลิยูเจ้าปัญญาในครั้งนี้ทำให้ได้รู้กันว่าลิยูนั้นมีความรู้ ความเข้าใจใช้เป็นที่ปรึกษาได้ก็แต่ด้านการเมือง หากเป็นด้านการศึกสงครามแล้วต้องนับว่าขี้เท่อสิ้นดี เพราะไม่เพียงแต่ไม่สามารถเสนอแผนการรบที่จะเอาชัยข้าศึกได้เท่านั้น ยังไม่รู้ข้อมูลข่าวสารการสงครามแม้แต่น้อย จึงได้แต่หลับตาคิดเอาเองแล้วเสนอให้สังหารคนไม่มีความผิดเสียเป็นจำนวนมาก
จากนั้นตั๋งโต๊ะจึงให้ลิฉุย กุยกี สองทหารเอกนำทหารห้าหมื่นยกออกจากเมืองหลวงไปรักษาด่านกิสุยก๋วน มีคำสั่งห้ามยกออกไปรบด้วยข้าศึกเป็นอันขาด ให้เพียงแต่คุมกำลังตั้งมั่นรักษาด่านไว้เท่านั้น
ส่วนตั๋งโต๊ะเองพร้อมด้วยลิยู ลิโป้ หลงเตียว และเตียวเจ คุมทหารอีกสิบห้าหมื่นยกจากเมืองหลวงไปที่ด่านเฮาโลก๋วน ห่างเมืองลกเอี๋ยงประมาณห้าร้อยเส้น แล้วให้ลิโป้แยกทหารสามหมื่นยกไปตั้งค่ายอยู่นอกกำแพงด่าน
การจัดกำลังทหารของตั๋งโต๊ะครั้งนี้ ความจริงหามีแผนการทางยุทธวิธีที่ชัดเจนแต่อย่างใดไม่ แต่ทว่าโดยชัยภูมิของเมืองหลวงและการจัดตั้งด่านทั้งสองนี้เป็นการจัดวางด้วยภูมิปัญญาของยอดขุนพลในอดีต มีลักษณะรุกและรับอยู่ในที ดังนั้นเพียงแต่ยกทหารไปตั้งยันทัพข้าศึกอยู่ในด่านทั้งสองนี้ ก็สามารถคุกคามกดดันกองทัพของข้าศึกให้ต้องประหวั่นพรั่นพรึง
ยิ่งการตั้งทัพโดยวิธีการตั้งค่ายรายเรียงกันไปถึงสองร้อยเส้นแบบโง่เขลาเบาปัญญาของอ้วนเสี้ยวด้วยแล้ว ยิ่งถูกคุกคามหนักขึ้น เพราะสภาพกลายเป็นว่าค่ายของฝ่ายปฏิวัติที่เรียงรายอยู่ถึงสองร้อยเส้นนั้นตกอยู่ระหว่างทั่งกับฆ้อนเหล็กมหึมา
นั่นคือแนวหน้าสุดของกองทัพปฏิวัติปะทะอยู่กับทั่งคือด่านกิสุยก๋วนที่มีกำลังตั้งรับห้าหมื่นคน ส่วนต้นทางหรือแนวหลังสุดของกองทัพปฏิวัติอยู่ใกล้กับตัวฆ้อนมหึมาคือด่านเฮาโลก๋วน ที่มีกำลังพลถึงสิบห้าหมื่นคน โดยมีลิโป้ตั้งค่ายอยู่นอกกำแพงด่านพร้อมจะรุกรบอยู่ตลอดเวลา
นี่คือสถานการณ์เช่นเดียวกันกับที่คณะเสนาธิการของเยอรมันได้วางแผนให้กับกองทัพของเจียงไคเช็ก ตีทัพของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในสงครามปลดแอก ส่งผลให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่จนต้องเดินทัพทางไกลขึ้นสู่เยียนอาน
สภาพภูมิการวางกำลังเป็นดั่งนี้ ดังนั้นกองทัพปฏิวัติจึงถูกกดดันคุกคามจากพลังยุทธานุภาพของกองทัพฝ่ายเมืองหลวง ทั้ง ๆ ที่แม้ว่าตั๋งโต๊ะจะมิได้รู้ความนัยนั้นก็ตาม
หน่วยลาดตระเวนของกองทัพปฏิวัติทราบข่าว จึงรายงานให้อ้วนเสี้ยวทราบ อ้วนเสี้ยวจึงเรียกประชุมกองบัญชาการกองทัพปฏิวัติ ปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด บรรดาหัวเมืองเหล่านั้นไม่มีผู้ใดเสนอความเห็น โจโฉจึงเสนอขึ้นว่า “ซึ่งตั๋งโต๊ะยกออกมาตั้งอยู่หน้าค่ายนั้นหวังจะสกัดต้นทางไว้ เราจำจะแบ่งเอานายทัพ นายกองคนละครึ่งยกไปตีอย่าให้ตั๋งโต๊ะอยู่ได้”
ข้อเสนอของโจโฉคือแบ่งกองทัพปฏิวัติออกเป็นสองกอง กองหนึ่งตั้งมั่นอยู่ในที่เดิม อีกกองหนึ่งยกเข้าตีด่านเฮาโลก๋วน ที่ตั๋งโต๊ะรักษาด่านอยู่ ส่วนด่านกิสุยก๋วนมีกองทัพของซุนเกี๋ยนตั้งยันไว้แล้วที่ตำบลเลียงต๋ง เป้าหมายของแผนการนี้คืองัดฆ้อนมหึมานั้นไม่ให้ทุบลงมายังกองทัพปฏิวัติได้นั่นเอง แต่ยังคงเป็นความคิดของการยันสงครามเท่านั้น หาใช่การรุกทางยุทธวิธีแต่ประการใดไม่
อ้วนเสี้ยวเห็นด้วยกับข้อเสนอของโจโฉ จึงออกคำสั่งให้กองทัพของอองของเมืองโห้ลาย เตียวเมาเมืองตันลิว เปาสิ้นเมืองเจปัก อ้วนอุ๋ย เมืองซุนหยง ขงเล่งเมืองปักไฮ เตียนเอี๋ยงเมืองเสียงต๋ง โตเกี๋ยมเมืองซีจิ๋ว และกองซุนจ้านเมืองปักเป๋ง รวมแปดกองทัพยกไปตีด่านเฮาโลก๋วน กองทัพนอกนั้นให้ตั้งมั่นอยู่ที่เดิม ยกเว้นกองทัพของโจโฉ ให้ทำหน้าที่ลาดตระเวนและประสานงานระหว่างกองทัพทุกกองของฝ่ายปฏิวัติ
สามพี่น้องแห่งสวนท้อ เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย จึงได้ร่วมไปกับกลุ่มทัพส่วนนี้ โดยสังกัดอยู่ในกองทัพของกองซุนจ้าน ยกไปด่านเฮาโลก๋วน
กองทัพของทั้งแปดเมืองเคลื่อนจากที่ตั้งสู่ด่านเฮาโลก๋วนเป็นสามขบวน โดยกองทัพของอองของเมืองโห้ลายเป็นกองทัพหน้า กองทัพของเตียวเมาเมืองตันลิวและกองทัพของอ้วนอุ๋ยเมืองซุนหยงเป็นกองกลาง อีกห้ากองทัพที่เหลือเป็นกองหลัง
กองทัพหน้าปะทะกับลิโป้สูญเสียหองหยกทหารเอกจึงถอยร่นมา พอดีกองกลางหนุนเนื่องขึ้นไป ลิโป้เห็นว่ามีกองทัพหนุนมาเป็นอันมากก็ยกกลับเข้าค่ายที่หน้าด่านเฮาโลก๋วนนั้น
กองทัพหน้าและกองกลางทั้งสามทัพจึงตั้งค่ายยันค่ายลิโป้ไว้ในระยะห่างกันเพียงสามสิบเส้น ครั้นกองหลังทั้งห้ากองทัพเคลื่อนมาถึงจึงตั้งค่ายอยู่ในบริเวณเดียวกัน
ตั้งค่ายเสร็จแล้ว เจ้าเมืองทั้งแปดจึงมาประชุมปรึกษากันที่ค่ายของกองซุนจ้าน ถือโอกาสนี้แสดงความชื่นชมยินดีต่อสามพี่น้องแห่งสวนท้อที่กู้หน้ากองทัพปฏิวัติไว้ได้เมื่อวันก่อน
ขณะปรึกษากันอยู่นั้น ลิโป้ได้ยกทหารออกจากค่ายมาท้ารบกับกองทัพของเจ้าเมืองทั้งแปดที่หน้าค่ายของกองซุนจ้าน เจ้าเมืองทั้งแปดจึงพากันขึ้นไปดูบนหอคอยในค่าย เห็นลิโป้คุมทหารมีธงทิวปลิวไสว ทั้งนายและพลต่างเริงร่าห้าวหาญคะนองนัก
กองทัพของแปดหัวเมืองส่งบอกสุ้นทหารเอกของเมืองเสียงต๋งออกรบ ไม่ถึงสามเพลงก็ถูกลิโป้เอาทวนแทงตกม้าตาย จึงส่งบู๋อันก๋งทหารเอกเมืองปักไฮออกรบอีก ก็ถูกลิโป้ใช้ทวนหวดมือบู๋อันก๋งขาด กระบองเหล็กหลุดกระเด็น บู๋อันก๋งจึงขับม้าหนี เจ้าเมืองทั้งแปดหัวเมืองจึงยกทหารออกไปกันเอาบู๋อันก๋งกลับเข้าค่าย แล้วตั้งมั่นอยู่ในค่ายนั้น
และได้กล่าวในบทถัดมาว่า “ฉะนั้นจึ่งวินิจฉัยด้วยกรณียกิจห้าประการ เปรียบเทียบถึงภาวะต่าง ๆ เพื่อทราบความจริง กล่าวคือ 1 ธรรม 2 ดินฟ้าอากาศ 3 ภูมิประเทศ 4 ขุนพล 5 ระเบียบวินัย” และว่า “ขุนพลคือผู้กอปรด้วยสติปัญญา ความเที่ยงธรรม ความเมตตา ความกล้าหาญ และความเข้มงวดเด็ดขาด”
แต่ทว่าสงครามที่บัญชาการโดยอ้วนเสี้ยวฝ่ายหนึ่ง และโดยตั๋งโต๊ะอีกฝ่ายหนึ่งนั้น กลับกระทำการกันแบบคนสิ้นคิด ไร้สติปัญญา ดังนั้นสงครามจึงดำเนินไปแบบไร้ทิศทาง ไร้แผนการยุทธ์ และเป็นไปตามยถากรรม
ฝ่ายเตียวหุยน้องเล็กแห่งสวนท้อเห็นกวนอูพี่รองมีความชอบอยากจะแสดงฝีมือบ้าง จึงลุกขึ้นเสนอต่อที่ประชุมว่า “กวนอูพี่ข้าพเจ้าได้อาสาตัดเอาศีรษะฮัวหยงมาให้แล้ว ข้าพเจ้าผู้น้องจะขออาสาตีเข้าไปในเมืองหลวง แล้วจะจับเอาตัวตั๋งโต๊ะมาให้ท่าน”
ความไม่รู้การอันควรไม่ควรของเตียวหุยนี้ทำให้สถานการณ์ของเล่าปี่ยุ่งยากขึ้นมา เปลี่ยนสถานการณ์ที่พึงได้ให้กลายเป็นเสียไป เพราะอ้วนเสี้ยวซึ่งไม่พอใจกับชัยชนะของกวนอูด้วยรู้สึกว่าเสียหน้าอยู่แล้ว มาบัดนี้ภัยคุกคามของฮัวหยงที่หน้าค่ายสิ้นไป ความบ้ายศบ้าอย่างจึงโหมกลับมาครองใจอีกครั้งหนึ่ง พอได้ยินเช่นนั้นก็ระบายโทสะเอากับเตียวหุย ลุกขึ้นยืนตวาดเอากับเตียวหุยว่าไอ้ทหารเลว จงหุบปากเสียทันที ที่นี่เป็นที่ประชุมขุนนางผู้ใหญ่ ไม่มีใครปรึกษาหาความเห็นกับทหารเลวเช่นเจ้า สิกลับมาออกความเห็นหักหน้าแม่ทัพนายกองทั้งปวง หมิ่นน้ำใจเรานัก จงออกไปเสียให้พ้นจากที่ประชุม
โจโฉเห็นอ้วนเสี้ยวลุแก่โทสะ ล่วงวิสัยผู้นำทัพเช่นนั้น จึงลุกขึ้นประสานมือคารวะอ้วนเสี้ยวแล้วว่า “อย่างธรรมเนียมศึกนั้น ถ้าผู้ใดมีความชอบในการสงคราม ก็จะปูนบำเหน็จตามสมควร ถ้าผู้ใดกระทำความผิดก็จะลงโทษ ซึ่งจะมาถืออิสริยยศในท่ามกลางศึกดังนี้ไม่สมควร”
คำพูดของโจโฉมุ่งต่อการเตือนสติอ้วนเสี้ยวให้รำลึกถึงหลักการนำทัพของแม่ทัพตามพิชัยสงครามอย่างหนึ่ง และสะกิดใจอ้วนเสี้ยวให้รำลึกถึงคำพูดในวันปฏิญาณสาบานตนที่จะปกครองทหารโดยยุติธรรมอีกอย่างหนึ่ง แต่อ้วนเสี้ยวลุแก่โทสะ ละความผิดชอบชั่วดีเสียสิ้น ยินคำโจโฉแล้วไม่ฟังคำ กล่าวหาโจโฉด้วยเสียงอันดังว่าเมื่อท่านเห็นทหารเลวมีความสำคัญกว่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าย่อมไม่สามารถนำทัพได้อีกต่อไป จะขอยกทัพกลับแต่บัดนี้ แล้วทำท่าผลุนผลันจะออกจากที่ประชุม
โจโฉรีบก้าวเข้าไปยุดเอามืออ้วนเสี้ยวขอร้องให้หยุดอยู่ก่อน ประสานมือคำนับแล้วว่าเรื่องใหญ่ของเราที่ยกกองทัพมาเมืองลกเอี๋ยงนี้ยังไม่สำเร็จ อย่าถือสากับเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้เลย เห็นแก่การแผ่นดินแลราษฎรเถิด ว่าแล้วก็หันมาทางกองซุนจ้านขอให้พาเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย กลับไปค่ายก่อน
อ้วนเสี้ยวค่อยคลายโทสะลง แล้วปิดประชุมเสียดื้อ ๆ จากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับไปยังค่ายของแต่ละเมือง
ส่วนโจโฉนั้นเห็นถึงความสำคัญของสามพี่น้องแห่งสวนท้อ ติดตามจับตาความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด และเพื่อให้เกิดความรู้สึกที่เป็นมิตรต่อกัน จึงสั่งให้ทหารนำหมูเห็ดเป็ดไก่ไปปลอบขวัญเล่าปี่และพี่น้องร่วมสาบานถึงในค่าย
บรรยากาศการประชุมในวันนี้ทำให้อ้วนเสี้ยวสูญเสียความเชื่อถือไปเป็นอันมาก หลายเมืองเริ่มเห็นว่ากองทัพปฏิวัติกำลังเกิดปัญหาขึ้นแล้ว เนื่องจากการวางตัวและการทำงานของอ้วนเสี้ยวนี่เอง
สถานการณ์ถึงวันนี้เพียงแค่เดินทัพมาถึงชายแดนเมืองลกเอี๋ยง กองทัพปฏิวัติได้สูญเสียทหารเอกไปแล้วถึงสี่คน และถูกตีแตกพ่ายไปถึงสองกองทัพ ในขณะที่ฝ่ายเมืองหลวงสูญเสียเพียงโฮจิ้นทหารเอก เป็นแต่ว่ากวนอูได้กู้หน้าคืนให้กับกองทัพปฏิวัติตัดศีรษะฮัวหยงแม่ทัพใหญ่ฝ่ายเมืองหลวงได้สำเร็จ ในขณะที่สุราในจอกยังไม่ทันหายอุ่น แต่กระนั้นกองทัพปฏิวัติก็ยังคงมิได้กำหนดแผนการรบใด ๆ ที่ชัดเจนเพื่อการเข้ายึดเมืองลกเอี๋ยง แม้ฝ่ายเมืองหลวงเองตั๋งโต๊ะก็หาได้มีแผนการใด ๆ ที่จะตีทัพของกองทัพปฏิวัติให้แตกพ่ายไปไม่ สถานการณ์ยังคงเป็นไปตามยถาบุญยถากรรมต่อไป
ฝ่ายทหารของฮัวหยงเมื่อเห็นฮัวหยงศีรษะหลุดจากบ่าเพียงชั่วการประง้าวกับกวนอูได้ไม่ถึงเพลงก็พากันตกใจ แตกหนีกลับเข้าด่านกิสุยก๋วน รายงานการศึกให้รองแม่ทัพลิซกทราบ ลิซกทราบข่าวปราชัยของฮัวหยงแล้วก็ตกใจ รีบส่งรายงานเข้าเมืองหลวง ครั้นตั๋งโต๊ะทราบแล้วก็ตกใจเช่นเดียวกัน เพราะคาดไม่ถึงว่าแม่ทัพมีฝีมือระดับฮัวหยงจะพ่ายแพ้แก่ทหารซึ่งไม่ปรากฏชื่อเสียงเรียงนามมาก่อน จึงให้ทหารไปเชิญลิยูที่ปรึกษาและอัศวินงูเห่าลิโป้มาพบที่จวน
ลิยูกุนซือเจ้าความคิดทราบความศึกแล้วเสียดายฮัวหยงเป็นอันมาก ความกลัวเข้าครอบงำความคิดและสติปัญญาไปสิ้น เสนอความเห็นอันวิปริตขึ้นว่ากองทัพที่ยกมาครั้งนี้มีอ้วนเสี้ยวเป็นผู้นำทัพ และอ้วนเสี้ยวนั้นมีอาชื่ออ้วนหงุยเป็นราชครูอยู่ในเมืองหลวง อาจคบคิดกันเป็นไส้ศึก จำจะต้องประหารอ้วนหงุยและครอบครัวเสียให้สิ้น
ตั๋งโต๊ะฟังความเห็นอันวิปริตของลิยูแล้วต้องด้วยอัธยาศัยโฉดชั่วของตนจึงสั่งให้ลิฉุย กุยกี สองทหารเอกคุมทหารห้าร้อยยกไปจับอ้วนหงุยพร้อมครอบครัวและผู้คนในบ้านสังหารเสียสิ้น โดยที่คนเหล่านี้ไม่มีความผิดใด ๆ แล้วสั่งให้ตัดศีรษะอ้วนหงุยส่งไปด่านกิสุยก๋วน เสียบไว้ที่นอกค่ายเป็นการเยาะเย้ยอ้วนเสี้ยว
ความคิดของลิยูเจ้าปัญญาในครั้งนี้ทำให้ได้รู้กันว่าลิยูนั้นมีความรู้ ความเข้าใจใช้เป็นที่ปรึกษาได้ก็แต่ด้านการเมือง หากเป็นด้านการศึกสงครามแล้วต้องนับว่าขี้เท่อสิ้นดี เพราะไม่เพียงแต่ไม่สามารถเสนอแผนการรบที่จะเอาชัยข้าศึกได้เท่านั้น ยังไม่รู้ข้อมูลข่าวสารการสงครามแม้แต่น้อย จึงได้แต่หลับตาคิดเอาเองแล้วเสนอให้สังหารคนไม่มีความผิดเสียเป็นจำนวนมาก
จากนั้นตั๋งโต๊ะจึงให้ลิฉุย กุยกี สองทหารเอกนำทหารห้าหมื่นยกออกจากเมืองหลวงไปรักษาด่านกิสุยก๋วน มีคำสั่งห้ามยกออกไปรบด้วยข้าศึกเป็นอันขาด ให้เพียงแต่คุมกำลังตั้งมั่นรักษาด่านไว้เท่านั้น
ส่วนตั๋งโต๊ะเองพร้อมด้วยลิยู ลิโป้ หลงเตียว และเตียวเจ คุมทหารอีกสิบห้าหมื่นยกจากเมืองหลวงไปที่ด่านเฮาโลก๋วน ห่างเมืองลกเอี๋ยงประมาณห้าร้อยเส้น แล้วให้ลิโป้แยกทหารสามหมื่นยกไปตั้งค่ายอยู่นอกกำแพงด่าน
การจัดกำลังทหารของตั๋งโต๊ะครั้งนี้ ความจริงหามีแผนการทางยุทธวิธีที่ชัดเจนแต่อย่างใดไม่ แต่ทว่าโดยชัยภูมิของเมืองหลวงและการจัดตั้งด่านทั้งสองนี้เป็นการจัดวางด้วยภูมิปัญญาของยอดขุนพลในอดีต มีลักษณะรุกและรับอยู่ในที ดังนั้นเพียงแต่ยกทหารไปตั้งยันทัพข้าศึกอยู่ในด่านทั้งสองนี้ ก็สามารถคุกคามกดดันกองทัพของข้าศึกให้ต้องประหวั่นพรั่นพรึง
ยิ่งการตั้งทัพโดยวิธีการตั้งค่ายรายเรียงกันไปถึงสองร้อยเส้นแบบโง่เขลาเบาปัญญาของอ้วนเสี้ยวด้วยแล้ว ยิ่งถูกคุกคามหนักขึ้น เพราะสภาพกลายเป็นว่าค่ายของฝ่ายปฏิวัติที่เรียงรายอยู่ถึงสองร้อยเส้นนั้นตกอยู่ระหว่างทั่งกับฆ้อนเหล็กมหึมา
นั่นคือแนวหน้าสุดของกองทัพปฏิวัติปะทะอยู่กับทั่งคือด่านกิสุยก๋วนที่มีกำลังตั้งรับห้าหมื่นคน ส่วนต้นทางหรือแนวหลังสุดของกองทัพปฏิวัติอยู่ใกล้กับตัวฆ้อนมหึมาคือด่านเฮาโลก๋วน ที่มีกำลังพลถึงสิบห้าหมื่นคน โดยมีลิโป้ตั้งค่ายอยู่นอกกำแพงด่านพร้อมจะรุกรบอยู่ตลอดเวลา
นี่คือสถานการณ์เช่นเดียวกันกับที่คณะเสนาธิการของเยอรมันได้วางแผนให้กับกองทัพของเจียงไคเช็ก ตีทัพของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในสงครามปลดแอก ส่งผลให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่จนต้องเดินทัพทางไกลขึ้นสู่เยียนอาน
สภาพภูมิการวางกำลังเป็นดั่งนี้ ดังนั้นกองทัพปฏิวัติจึงถูกกดดันคุกคามจากพลังยุทธานุภาพของกองทัพฝ่ายเมืองหลวง ทั้ง ๆ ที่แม้ว่าตั๋งโต๊ะจะมิได้รู้ความนัยนั้นก็ตาม
หน่วยลาดตระเวนของกองทัพปฏิวัติทราบข่าว จึงรายงานให้อ้วนเสี้ยวทราบ อ้วนเสี้ยวจึงเรียกประชุมกองบัญชาการกองทัพปฏิวัติ ปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด บรรดาหัวเมืองเหล่านั้นไม่มีผู้ใดเสนอความเห็น โจโฉจึงเสนอขึ้นว่า “ซึ่งตั๋งโต๊ะยกออกมาตั้งอยู่หน้าค่ายนั้นหวังจะสกัดต้นทางไว้ เราจำจะแบ่งเอานายทัพ นายกองคนละครึ่งยกไปตีอย่าให้ตั๋งโต๊ะอยู่ได้”
ข้อเสนอของโจโฉคือแบ่งกองทัพปฏิวัติออกเป็นสองกอง กองหนึ่งตั้งมั่นอยู่ในที่เดิม อีกกองหนึ่งยกเข้าตีด่านเฮาโลก๋วน ที่ตั๋งโต๊ะรักษาด่านอยู่ ส่วนด่านกิสุยก๋วนมีกองทัพของซุนเกี๋ยนตั้งยันไว้แล้วที่ตำบลเลียงต๋ง เป้าหมายของแผนการนี้คืองัดฆ้อนมหึมานั้นไม่ให้ทุบลงมายังกองทัพปฏิวัติได้นั่นเอง แต่ยังคงเป็นความคิดของการยันสงครามเท่านั้น หาใช่การรุกทางยุทธวิธีแต่ประการใดไม่
อ้วนเสี้ยวเห็นด้วยกับข้อเสนอของโจโฉ จึงออกคำสั่งให้กองทัพของอองของเมืองโห้ลาย เตียวเมาเมืองตันลิว เปาสิ้นเมืองเจปัก อ้วนอุ๋ย เมืองซุนหยง ขงเล่งเมืองปักไฮ เตียนเอี๋ยงเมืองเสียงต๋ง โตเกี๋ยมเมืองซีจิ๋ว และกองซุนจ้านเมืองปักเป๋ง รวมแปดกองทัพยกไปตีด่านเฮาโลก๋วน กองทัพนอกนั้นให้ตั้งมั่นอยู่ที่เดิม ยกเว้นกองทัพของโจโฉ ให้ทำหน้าที่ลาดตระเวนและประสานงานระหว่างกองทัพทุกกองของฝ่ายปฏิวัติ
สามพี่น้องแห่งสวนท้อ เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย จึงได้ร่วมไปกับกลุ่มทัพส่วนนี้ โดยสังกัดอยู่ในกองทัพของกองซุนจ้าน ยกไปด่านเฮาโลก๋วน
กองทัพของทั้งแปดเมืองเคลื่อนจากที่ตั้งสู่ด่านเฮาโลก๋วนเป็นสามขบวน โดยกองทัพของอองของเมืองโห้ลายเป็นกองทัพหน้า กองทัพของเตียวเมาเมืองตันลิวและกองทัพของอ้วนอุ๋ยเมืองซุนหยงเป็นกองกลาง อีกห้ากองทัพที่เหลือเป็นกองหลัง
กองทัพหน้าปะทะกับลิโป้สูญเสียหองหยกทหารเอกจึงถอยร่นมา พอดีกองกลางหนุนเนื่องขึ้นไป ลิโป้เห็นว่ามีกองทัพหนุนมาเป็นอันมากก็ยกกลับเข้าค่ายที่หน้าด่านเฮาโลก๋วนนั้น
กองทัพหน้าและกองกลางทั้งสามทัพจึงตั้งค่ายยันค่ายลิโป้ไว้ในระยะห่างกันเพียงสามสิบเส้น ครั้นกองหลังทั้งห้ากองทัพเคลื่อนมาถึงจึงตั้งค่ายอยู่ในบริเวณเดียวกัน
ตั้งค่ายเสร็จแล้ว เจ้าเมืองทั้งแปดจึงมาประชุมปรึกษากันที่ค่ายของกองซุนจ้าน ถือโอกาสนี้แสดงความชื่นชมยินดีต่อสามพี่น้องแห่งสวนท้อที่กู้หน้ากองทัพปฏิวัติไว้ได้เมื่อวันก่อน
ขณะปรึกษากันอยู่นั้น ลิโป้ได้ยกทหารออกจากค่ายมาท้ารบกับกองทัพของเจ้าเมืองทั้งแปดที่หน้าค่ายของกองซุนจ้าน เจ้าเมืองทั้งแปดจึงพากันขึ้นไปดูบนหอคอยในค่าย เห็นลิโป้คุมทหารมีธงทิวปลิวไสว ทั้งนายและพลต่างเริงร่าห้าวหาญคะนองนัก
กองทัพของแปดหัวเมืองส่งบอกสุ้นทหารเอกของเมืองเสียงต๋งออกรบ ไม่ถึงสามเพลงก็ถูกลิโป้เอาทวนแทงตกม้าตาย จึงส่งบู๋อันก๋งทหารเอกเมืองปักไฮออกรบอีก ก็ถูกลิโป้ใช้ทวนหวดมือบู๋อันก๋งขาด กระบองเหล็กหลุดกระเด็น บู๋อันก๋งจึงขับม้าหนี เจ้าเมืองทั้งแปดหัวเมืองจึงยกทหารออกไปกันเอาบู๋อันก๋งกลับเข้าค่าย แล้วตั้งมั่นอยู่ในค่ายนั้น