สามก๊ก ฉบับนักบริหาร:บทที่ 32 เล่าปี่แตกทัพ-กวนอูยอมจำนน
การกำจัดตังสินกับพวก รวมทั้งได้รายชื่อแกนนำที่ร่วมขบวนการโค่นล้มโจโฉ ทำให้โจโฉยิ่งเพิ่มความระแวงในสถานการณ์มากยิ่งขึ้น ยิ่งรู้ว่าเล่าปี่แม้มาพึ่งใบบุญยังลงชื่ออยู่ในนั้นด้วย โจโฉถึงกับหลุดปากด่าออกมาว่า อ้ายพวกนี้เหมือนสัตว์เดียรัจฉาน ควรหรือจะคิดทำร้ายกู นับแต่นั้นเป็นต้นมา โจโฉมุ่งคิดแต่จะทำลายฝ่ายตรงข้ามที่เป็นปรปักษ์ทางความคิดและการเมือง
โจโฉจึงถามเทียหยกว่า เราได้กำจัดตังสินกับพวกไปแล้ว ยังเหลือแต่เจ้าตัวการเล่าปี่กับม้าเท้ง เราคิดอย่างไรถึงจะจับพวกมันมาฆ่าเสีย เทียหยกจึงว่า ม้าเท้งอยู่เมืองเสเหลียงมีกองกำลังทหารจำนวนมากยกทัพไปตีก็เป็นเรื่องน่ากังวลอยู่ ขอให้ท่านจัดหาคนมีสติปัญญาไปเกลี้ยกล่อมม้าเท้งให้กลับเข้ามา อย่าทันให้ม้าเท้งรู้ว่าท่านได้จับตังสินกับพวกฆ่าจนหมดแล้ว ถ้ามันหลงเข้ามาก็จับม้าเท้งฆ่าเสียโดยง่าย ส่วนทัพอ้วนเสี้ยวแม้จะมีกำลังมาก แต่ขาดเอกภาพทางยุทธศาสตร์ ไม่เด็ดขาดพอที่จะสู้รบให้แตกหักกับเราได้ นายทัพนายกองต่างแก่งแย่งชิงดีกัน ได้ยินดังนั้น โจโฉจึงตัดสินใจฉวยโอกาสยกทัพไปปราบเล่าปี่
ครั้นทัพโจโฉมาประชิดชีจิ๋ว เล่าปี่มีหนังสือให้ซุนเขียนเดินทางไปยื่นแก่อ้วนเสี้ยวขอให้ยกทัพมาช่วย เตียนห้องเห็นโอกาสเหมาะ เสนอให้อ้วนเสี้ยวยกทัพไปตีเมืองหลวงฮูโต๋ แต่อ้วนเสี้ยวอ้างว่าลูกชายคนเล็กป่วยเป็นโรคฝี ไม่มีใจคิดจะรบ เมื่อซุนเขียนออกปากขอให้ไปช่วยเล่าปี่ อ้วนเสี้ยวผู้นำอัลไซม์เมอร์จอมโลเลตอบว่า ให้เล่าปี่ช่วยตัวเองไปก่อน ถ้าอับจนเข้าจริงๆ จงมาหาข้าพเจ้า จะให้การเลี้ยงดูมิให้ขัดสน สงครามระหว่างโจโฉกับเล่าปี่ครั้งนั้น เล่าปี่ตกเป็นเบี้ยล่างเสียเปรียบทุกด้านไม่เพียงแต่ว่ามีกองกำลังน้อยกว่า แต่ทัพเล่าปี่อุปมาเหมือนหนึ่งลูกนกอันขนปีกยังขึ้นไม่พร้อมกัน กองทัพเล่าปี่จึงแตกพ่ายเสียหายยับเยิน
เตียวหุยหนีไปอยู่บนเขาบองเอี๋ยง เล่าปี่หนีไปขออาศัยอยู่กับอ้วนเสี้ยวที่เมืองกิจิ๋ว โจโฉยึดได้เมืองเสียวพ่ายกับชีจิ๋ว แล้วจึงยกทัพไปจับกวนอูที่เมืองแห้ฝือ โจโฉนึกนิยมกวนอูมาตั้งแต่ตอนที่กวนอูตัดหัวฮัวหยงทั้งที่สุรายังมิทันหายอุ่น อยากได้กวนอูมาเป็นพวก สั่งทหารอย่าได้ทำร้ายแต่ให้จับเป็นกวนอู ทัพกวนอูถูกต้อนไปติดอยู่บนยอดเขา โจโฉจึงใช้ให้เตียวเลี้ยวทหารเอกขึ้นไปเจรจากับกวนอูให้ยอมจำนน กวนอูเคยมีบุญคุณต่อเตียวเลี้ยวมาก่อน ก็ยอมเจรจาด้วย เตียวเลี้ยวเกลี้ยกล่อมอยู่นานมิให้กวนอูสู้จนตัวตาย อย่างน้อยก็ควรมีชีวิตอยู่ดูแลภรรยาทั้งสองของเล่าปี่
กวนอูจึงยอมภายใต้เงื่อนไข 3 ประการ คือ 1. การยอมจำนนครั้งนี้ เป็นการยอมต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ มิใช่ยอมจำนนแก่โจโฉ 2. ภรรยาทั้งสองของเล่าปี่จะต้องได้รับการเคารพ เลี้ยงดูให้เกียรติอย่างดี ห้ามมิให้ผู้ใดรบกวนรังแกเป็นอันขาด และ 3. ถ้าวันใดรู้ว่าเล่าปี่อยู่ที่ใด ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล กวนอูจะกลับไปหาเล่าปี่ทันที
เงื่อนไขทั้ง 3 ข้อโจโฉรับไม่ได้ เตียวเลี้ยวจึงให้เหตุผลว่า อันเล่าปี่นั้นเป็นแต่ขุนนางผู้น้อย เลี้ยงดูกวนอูไม่ถึงขนาด กวนอูยังมีน้ำใจกตัญญูต่อเล่าปี่มิยอมทอดทิ้งกัน ส่วนท่านเป็นถึงสมุหนายกมีอำนาจบารมีมากกว่าเล่าปี่ ถ้าท่านเลี้ยงดูกวนอูให้ดีถึงขนาด ข้าพเจ้าเชื่อว่ากวนอูจะมีความกตัญญูต่อท่านเป็น แม่นมั่น โจโฉได้ยินดังนี้ก็เห็นด้วย แต่ในใจคิดอยากทดสอบความเป็นมนุษย์ของกวนอูว่า จะต้านความเย้ายวนของลาภยศสรรเสริญได้ดีสักแค่ไหน จึงยอมตกลงรับเงื่อนไข 3 ข้อของกวนอู กวนอูจึงยอมจำนนต่อโจโฉแต่โดยดี
โจโฉจึงนำกวนอูกับภรรยาทั้งสองของเล่าปี่เข้าเมืองฮูโต๋ราชธานี ทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงแต่งตั้งให้กวนอูเป็นนายทหารชั้นขุนพล จัดงานเลี้ยงแสดงความยินดีแก่กวนอูใหญ่โต โจโฉเฝ้าเอาใจกวนอูยิ่งกว่าทหารทั้งปวง ทุกสามวันแต่งโต๊ะไปให้กวนอู จัดสาวน้อยรูปงาม 10 คนให้อยู่ปรนนิบัติกวนอู หวังผูกใจกวนอูไว้ให้ได้ แต่กวนอูกลับมิใยดี สั่งสาวน้อยทั้ง 10 ให้ไปเฝ้าปรนนิบัติรับใช้ภรรยาเล่าปี่
วันหนึ่งโจโฉเห็นกวนอูขี่ม้าผอม ถามกวนอูได้ความว่าม้าทนน้ำหนักกวนอูมิได้จึงผอมโซ โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงสั่งให้ทหารไปเอาม้าเซกเธาว์มาให้กวนอู กวนอูจำได้ว่าเป็นม้าลิโป้ที่ตายไป โจโฉจึงยกม้านั้นให้กวนอู กวนอูดีใจคุกเข่าคำนับโจโฉหลายครั้งหลายหน ปากก็พร่ำขอบคุณติดๆ กันจนโจโฉแปลกใจถามว่า ข้าพเจ้าให้สิ่งของเงินทองแก่ท่านเป็นอันมาก ไม่เห็นท่านดีใจ แต่ไฉนม้าตัวนี้จึงทำให้ท่านชื่นชมยินดีมากกว่าอื่น กวนอูคำนับอีกครั้งหนึ่งแล้วตอบว่า ม้าเซกเธาว์ตัวนี้มีกำลังฝีเท้าเดินทางได้ถึงวันละพันลี้ เผื่อข้าพเจ้ารู้ข่าวว่าเล่าปี่อยู่ที่ใด ข้าพเจ้าจะได้ขี่ม้าตัวนี้รุดไปหาเล่าปี่ได้ดังใจ โจโฉได้ฟังดังนั้น ก็นึกน้อยใจที่กวนอูยังรักภักดีต่อเล่าปี่มากกว่าตน
เมื่อเข้าฤดูร้อน ฝ่ายอ้วนเสี้ยวจึงปรึกษาเล่าปี่จะยกทัพไปตีโจโฉที่เมืองฮูโต๋ราชธานีอีก เตียนห้องที่ปรึกษาค้านว่าเวลานี้โจโฉยึดได้เมืองชีจิ๋ว แห้ฝือและเสียวพ่ายไว้เป็นกำลังเพิ่มขึ้นจึงควรงดไว้ก่อน รอเวลาให้โจโฉยกทัพไปย่ำยีเมืองใด จึงค่อยยกทัพไปตีกระหนาบก็จะได้ชัยยึดฮูโต๋ได้โดยง่าย
เล่าปี่คิดถึงกวนอูเตียวหุยกับครอบครัวที่พลัดพรากจากกัน จึงแนะนำอ้วนส้วนแบบมีวาระแฝงว่า โจโฉเป็นขบถต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ พวกเราไม่คิดกำจัดราชศัตรูมัวนิ่งอยู่หาควรไม่ เตียนห้องยืนยันความคิดเดิม อ้วนเสี้ยวก็โกรธตวาดว่า มึงดีแต่พูดอัปมงคลอวดรู้พิชัยสงคราม จะรอให้พระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นอันตรายก่อนหรือ ว่าแล้วอ้วนเสี้ยวชักกระบี่ออกจะฟันเตียนห้อง เล่าปี่ห้ามไว้ อ้วนเสี้ยวจึงให้นำเตียนห้องไปจำคุกไว้ก่อน แล้วสั่งให้ยกทัพไปตีพระนครฮูโต๋
ทัพหน้าของโจโฉกับอ้วนเสี้ยวปะทะกัน งันเหลียงทหารเอกอ้วนเสี้ยวฆ่านายทหารฝีมือดีโจโฉไปหลายคน โจโฉต้องสั่งตีระฆังถอยทัพกลับเข้าค่าย เทียหยกจึงบอกแก่โจโฉว่า ขณะนี้มีกวนอูคนเดียวเท่านั้นที่จะเอาชนะงันเหลียงได้ โจโฉไม่เห็นด้วย เพราะกวนอูเคยออกปากว่า ถ้ายังมิได้ทำคุณให้แก่โจโฉจะไม่ยอมลาจาก
เทียหยกใช้วิสัยทัศน์กุศโลบายหนามบ่งหนาม แนะนำโจโฉให้ใช้กวนอูออกรบ ถ้ากวนอูฆ่านายทหารเอกอ้วนเสี้ยวได้ ก็เท่ากับยืมมือกวนอูฆ่าเล่าปี่ เมื่อสิ้นเล่าปี่แล้วกวนอูจะหนีไปไหน โจโฉตาวาวเห็นด้วยกับกลอุบายเหนือชั้นของเทียหยก สั่งให้กวนอูเดินทางจากฮูโต๋มาหน้าแนวรบ โจโฉชี้ให้กวนอูรู้ว่าคนไหนคืองันเหลียง โจโฉต้องผงะเมื่อกวนอูบอกว่า งันเหลียงเป็นแค่คนขายเต้าฮวย พูดจบกวนอูควบม้าเซกเธาว์ด้วยกำลังพุ่งเร็ว ร้องด้วยเสียงอันดัง งันเหลียงเห็นกวนอูรูปหน้าแดงประหลาด แค่ออกปากจะถามทหารว่าเป็นใคร กวนอูก็เข้าประชิดตัว เอาง้าวฟันคองันเหลียงขาด โดยที่งันเหลียงก็ยังมิรู้ตัวก่อนตายว่าคนที่ฆ่าตัวนั้นคือกวนอู กวนอูตัดเอาศีรษะงันเหลียงกลับมาให้โจโฉในค่าย
โจโฉดีใจสรรเสริญกวนอูว่า ท่านนี้มิใช่ทหารมนุษย์ แต่ฝีมือรวดเร็วดุจเทพยดา กวนอูได้ทีกระหยิ่มใจ อย่างน้อยก็ได้ทำคุณตอบแทนโจโฉเพื่อสะดวกในตอนที่จะต้องลาจาก แต่ก็แกล้งถ่อมตัวว่า อันฝีมือของตนนั้นเป็นแค่พอประมาณ น้องที่ชื่อเตียวหุยมีกำลังฝีมือห้าวหาญยิ่งกว่า สามารถฝ่าแนวต้านทหารสักร้อยหมื่นเข้าไปตัดศีรษะนายทัพมาได้ในเวลาแค่พริบตา อุปมาดั่งหยิบผลส้มในลัง โจโฉได้ฟังก็คิดหวั่นเกรงฝีมือเตียวหุย แอบสั่งให้ทหารเขียนอักษรเตือนไว้บนเสื้อทุกคนว่า ถ้าผู้ใดพบเตียวหุยอย่าเพิ่งรบ ให้รอหยั่งเชิงดูกำลังเสียก่อน
โจโฉจึงถามเทียหยกว่า เราได้กำจัดตังสินกับพวกไปแล้ว ยังเหลือแต่เจ้าตัวการเล่าปี่กับม้าเท้ง เราคิดอย่างไรถึงจะจับพวกมันมาฆ่าเสีย เทียหยกจึงว่า ม้าเท้งอยู่เมืองเสเหลียงมีกองกำลังทหารจำนวนมากยกทัพไปตีก็เป็นเรื่องน่ากังวลอยู่ ขอให้ท่านจัดหาคนมีสติปัญญาไปเกลี้ยกล่อมม้าเท้งให้กลับเข้ามา อย่าทันให้ม้าเท้งรู้ว่าท่านได้จับตังสินกับพวกฆ่าจนหมดแล้ว ถ้ามันหลงเข้ามาก็จับม้าเท้งฆ่าเสียโดยง่าย ส่วนทัพอ้วนเสี้ยวแม้จะมีกำลังมาก แต่ขาดเอกภาพทางยุทธศาสตร์ ไม่เด็ดขาดพอที่จะสู้รบให้แตกหักกับเราได้ นายทัพนายกองต่างแก่งแย่งชิงดีกัน ได้ยินดังนั้น โจโฉจึงตัดสินใจฉวยโอกาสยกทัพไปปราบเล่าปี่
ครั้นทัพโจโฉมาประชิดชีจิ๋ว เล่าปี่มีหนังสือให้ซุนเขียนเดินทางไปยื่นแก่อ้วนเสี้ยวขอให้ยกทัพมาช่วย เตียนห้องเห็นโอกาสเหมาะ เสนอให้อ้วนเสี้ยวยกทัพไปตีเมืองหลวงฮูโต๋ แต่อ้วนเสี้ยวอ้างว่าลูกชายคนเล็กป่วยเป็นโรคฝี ไม่มีใจคิดจะรบ เมื่อซุนเขียนออกปากขอให้ไปช่วยเล่าปี่ อ้วนเสี้ยวผู้นำอัลไซม์เมอร์จอมโลเลตอบว่า ให้เล่าปี่ช่วยตัวเองไปก่อน ถ้าอับจนเข้าจริงๆ จงมาหาข้าพเจ้า จะให้การเลี้ยงดูมิให้ขัดสน สงครามระหว่างโจโฉกับเล่าปี่ครั้งนั้น เล่าปี่ตกเป็นเบี้ยล่างเสียเปรียบทุกด้านไม่เพียงแต่ว่ามีกองกำลังน้อยกว่า แต่ทัพเล่าปี่อุปมาเหมือนหนึ่งลูกนกอันขนปีกยังขึ้นไม่พร้อมกัน กองทัพเล่าปี่จึงแตกพ่ายเสียหายยับเยิน
เตียวหุยหนีไปอยู่บนเขาบองเอี๋ยง เล่าปี่หนีไปขออาศัยอยู่กับอ้วนเสี้ยวที่เมืองกิจิ๋ว โจโฉยึดได้เมืองเสียวพ่ายกับชีจิ๋ว แล้วจึงยกทัพไปจับกวนอูที่เมืองแห้ฝือ โจโฉนึกนิยมกวนอูมาตั้งแต่ตอนที่กวนอูตัดหัวฮัวหยงทั้งที่สุรายังมิทันหายอุ่น อยากได้กวนอูมาเป็นพวก สั่งทหารอย่าได้ทำร้ายแต่ให้จับเป็นกวนอู ทัพกวนอูถูกต้อนไปติดอยู่บนยอดเขา โจโฉจึงใช้ให้เตียวเลี้ยวทหารเอกขึ้นไปเจรจากับกวนอูให้ยอมจำนน กวนอูเคยมีบุญคุณต่อเตียวเลี้ยวมาก่อน ก็ยอมเจรจาด้วย เตียวเลี้ยวเกลี้ยกล่อมอยู่นานมิให้กวนอูสู้จนตัวตาย อย่างน้อยก็ควรมีชีวิตอยู่ดูแลภรรยาทั้งสองของเล่าปี่
กวนอูจึงยอมภายใต้เงื่อนไข 3 ประการ คือ 1. การยอมจำนนครั้งนี้ เป็นการยอมต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ มิใช่ยอมจำนนแก่โจโฉ 2. ภรรยาทั้งสองของเล่าปี่จะต้องได้รับการเคารพ เลี้ยงดูให้เกียรติอย่างดี ห้ามมิให้ผู้ใดรบกวนรังแกเป็นอันขาด และ 3. ถ้าวันใดรู้ว่าเล่าปี่อยู่ที่ใด ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล กวนอูจะกลับไปหาเล่าปี่ทันที
เงื่อนไขทั้ง 3 ข้อโจโฉรับไม่ได้ เตียวเลี้ยวจึงให้เหตุผลว่า อันเล่าปี่นั้นเป็นแต่ขุนนางผู้น้อย เลี้ยงดูกวนอูไม่ถึงขนาด กวนอูยังมีน้ำใจกตัญญูต่อเล่าปี่มิยอมทอดทิ้งกัน ส่วนท่านเป็นถึงสมุหนายกมีอำนาจบารมีมากกว่าเล่าปี่ ถ้าท่านเลี้ยงดูกวนอูให้ดีถึงขนาด ข้าพเจ้าเชื่อว่ากวนอูจะมีความกตัญญูต่อท่านเป็น แม่นมั่น โจโฉได้ยินดังนี้ก็เห็นด้วย แต่ในใจคิดอยากทดสอบความเป็นมนุษย์ของกวนอูว่า จะต้านความเย้ายวนของลาภยศสรรเสริญได้ดีสักแค่ไหน จึงยอมตกลงรับเงื่อนไข 3 ข้อของกวนอู กวนอูจึงยอมจำนนต่อโจโฉแต่โดยดี
โจโฉจึงนำกวนอูกับภรรยาทั้งสองของเล่าปี่เข้าเมืองฮูโต๋ราชธานี ทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงแต่งตั้งให้กวนอูเป็นนายทหารชั้นขุนพล จัดงานเลี้ยงแสดงความยินดีแก่กวนอูใหญ่โต โจโฉเฝ้าเอาใจกวนอูยิ่งกว่าทหารทั้งปวง ทุกสามวันแต่งโต๊ะไปให้กวนอู จัดสาวน้อยรูปงาม 10 คนให้อยู่ปรนนิบัติกวนอู หวังผูกใจกวนอูไว้ให้ได้ แต่กวนอูกลับมิใยดี สั่งสาวน้อยทั้ง 10 ให้ไปเฝ้าปรนนิบัติรับใช้ภรรยาเล่าปี่
วันหนึ่งโจโฉเห็นกวนอูขี่ม้าผอม ถามกวนอูได้ความว่าม้าทนน้ำหนักกวนอูมิได้จึงผอมโซ โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงสั่งให้ทหารไปเอาม้าเซกเธาว์มาให้กวนอู กวนอูจำได้ว่าเป็นม้าลิโป้ที่ตายไป โจโฉจึงยกม้านั้นให้กวนอู กวนอูดีใจคุกเข่าคำนับโจโฉหลายครั้งหลายหน ปากก็พร่ำขอบคุณติดๆ กันจนโจโฉแปลกใจถามว่า ข้าพเจ้าให้สิ่งของเงินทองแก่ท่านเป็นอันมาก ไม่เห็นท่านดีใจ แต่ไฉนม้าตัวนี้จึงทำให้ท่านชื่นชมยินดีมากกว่าอื่น กวนอูคำนับอีกครั้งหนึ่งแล้วตอบว่า ม้าเซกเธาว์ตัวนี้มีกำลังฝีเท้าเดินทางได้ถึงวันละพันลี้ เผื่อข้าพเจ้ารู้ข่าวว่าเล่าปี่อยู่ที่ใด ข้าพเจ้าจะได้ขี่ม้าตัวนี้รุดไปหาเล่าปี่ได้ดังใจ โจโฉได้ฟังดังนั้น ก็นึกน้อยใจที่กวนอูยังรักภักดีต่อเล่าปี่มากกว่าตน
เมื่อเข้าฤดูร้อน ฝ่ายอ้วนเสี้ยวจึงปรึกษาเล่าปี่จะยกทัพไปตีโจโฉที่เมืองฮูโต๋ราชธานีอีก เตียนห้องที่ปรึกษาค้านว่าเวลานี้โจโฉยึดได้เมืองชีจิ๋ว แห้ฝือและเสียวพ่ายไว้เป็นกำลังเพิ่มขึ้นจึงควรงดไว้ก่อน รอเวลาให้โจโฉยกทัพไปย่ำยีเมืองใด จึงค่อยยกทัพไปตีกระหนาบก็จะได้ชัยยึดฮูโต๋ได้โดยง่าย
เล่าปี่คิดถึงกวนอูเตียวหุยกับครอบครัวที่พลัดพรากจากกัน จึงแนะนำอ้วนส้วนแบบมีวาระแฝงว่า โจโฉเป็นขบถต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ พวกเราไม่คิดกำจัดราชศัตรูมัวนิ่งอยู่หาควรไม่ เตียนห้องยืนยันความคิดเดิม อ้วนเสี้ยวก็โกรธตวาดว่า มึงดีแต่พูดอัปมงคลอวดรู้พิชัยสงคราม จะรอให้พระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นอันตรายก่อนหรือ ว่าแล้วอ้วนเสี้ยวชักกระบี่ออกจะฟันเตียนห้อง เล่าปี่ห้ามไว้ อ้วนเสี้ยวจึงให้นำเตียนห้องไปจำคุกไว้ก่อน แล้วสั่งให้ยกทัพไปตีพระนครฮูโต๋
ทัพหน้าของโจโฉกับอ้วนเสี้ยวปะทะกัน งันเหลียงทหารเอกอ้วนเสี้ยวฆ่านายทหารฝีมือดีโจโฉไปหลายคน โจโฉต้องสั่งตีระฆังถอยทัพกลับเข้าค่าย เทียหยกจึงบอกแก่โจโฉว่า ขณะนี้มีกวนอูคนเดียวเท่านั้นที่จะเอาชนะงันเหลียงได้ โจโฉไม่เห็นด้วย เพราะกวนอูเคยออกปากว่า ถ้ายังมิได้ทำคุณให้แก่โจโฉจะไม่ยอมลาจาก
เทียหยกใช้วิสัยทัศน์กุศโลบายหนามบ่งหนาม แนะนำโจโฉให้ใช้กวนอูออกรบ ถ้ากวนอูฆ่านายทหารเอกอ้วนเสี้ยวได้ ก็เท่ากับยืมมือกวนอูฆ่าเล่าปี่ เมื่อสิ้นเล่าปี่แล้วกวนอูจะหนีไปไหน โจโฉตาวาวเห็นด้วยกับกลอุบายเหนือชั้นของเทียหยก สั่งให้กวนอูเดินทางจากฮูโต๋มาหน้าแนวรบ โจโฉชี้ให้กวนอูรู้ว่าคนไหนคืองันเหลียง โจโฉต้องผงะเมื่อกวนอูบอกว่า งันเหลียงเป็นแค่คนขายเต้าฮวย พูดจบกวนอูควบม้าเซกเธาว์ด้วยกำลังพุ่งเร็ว ร้องด้วยเสียงอันดัง งันเหลียงเห็นกวนอูรูปหน้าแดงประหลาด แค่ออกปากจะถามทหารว่าเป็นใคร กวนอูก็เข้าประชิดตัว เอาง้าวฟันคองันเหลียงขาด โดยที่งันเหลียงก็ยังมิรู้ตัวก่อนตายว่าคนที่ฆ่าตัวนั้นคือกวนอู กวนอูตัดเอาศีรษะงันเหลียงกลับมาให้โจโฉในค่าย
โจโฉดีใจสรรเสริญกวนอูว่า ท่านนี้มิใช่ทหารมนุษย์ แต่ฝีมือรวดเร็วดุจเทพยดา กวนอูได้ทีกระหยิ่มใจ อย่างน้อยก็ได้ทำคุณตอบแทนโจโฉเพื่อสะดวกในตอนที่จะต้องลาจาก แต่ก็แกล้งถ่อมตัวว่า อันฝีมือของตนนั้นเป็นแค่พอประมาณ น้องที่ชื่อเตียวหุยมีกำลังฝีมือห้าวหาญยิ่งกว่า สามารถฝ่าแนวต้านทหารสักร้อยหมื่นเข้าไปตัดศีรษะนายทัพมาได้ในเวลาแค่พริบตา อุปมาดั่งหยิบผลส้มในลัง โจโฉได้ฟังก็คิดหวั่นเกรงฝีมือเตียวหุย แอบสั่งให้ทหารเขียนอักษรเตือนไว้บนเสื้อทุกคนว่า ถ้าผู้ใดพบเตียวหุยอย่าเพิ่งรบ ให้รอหยั่งเชิงดูกำลังเสียก่อน