ตอนที่ 32. เพชรประกายแสง

ฝ่ายฮัวหยงกับทหารที่ขับไล่ตามซุนเกี๋ยนไปนั้น อาศัยเพียงแสงสลัวแห่งพระจันทร์เสี้ยวประดับดาวบนอากาศ จึงจำซุนเกี๋ยนได้จากหมวกเกราะที่สวมไว้เท่านั้น ครั้นเห็นหมวกเกราะซึ่งโจเมาแลกมาจากซุนเกี๋ยนสวมอยู่ที่ศีรษะ และกำลังขับม้าหนี สำคัญว่าเป็นซุนเกี๋ยน จึงขับม้าไล่ตามโจเมาไป

            โจเมาเห็นจวนตัวก็ชักม้าเข้าราวป่า ฟันต้นไม้เพียงระดับศีรษะแล้วเอาหมวกเกราะของซุนเกี๋ยนสวมไว้ ตัวเองชักม้าอ้อมมาซุ่มพุ่มไม้คอยทีอยู่ ฮัวหยงแลทหารไล่ตามมาถึงราวป่ามองลึกเข้าไป เห็นหมวกเกราะต้องประกายแสงจันทร์เสี้ยวอยู่ ไม่รู้กลโจเมาคิดว่าเป็นซุนเกี๋ยน ถอยไปตั้งหลักสู้ในป่า จึงให้ทหารล้อมไว้แล้วใช้เกาทัณฑ์ยิงอยู่พักหนึ่ง แต่ทุกอย่างยังคงอยู่ในสภาพเดิมก็สงสัย จึงพาทหารบุกป่าเข้าไปดู

            โจเมาซุ่มอยู่เห็นเป็นที จึงชักม้าเข้ามาหาฮัวหยง เสียงเท้าม้าเหยียบหญ้าและกิ่งไม้ทำให้ฮัวหยงเหลียวไปดู เห็นโจเมาขับม้าตรงมาเงื้อง้าวจะฟัน ฮัวหยงจึงชักม้าเข้าเผชิญหน้า ตวาดด้วยเสียงอันดังแล้วเอาง้าวฟันโจเมาตัวขาดสองท่อนตกม้าตายในที่นั้น พอดีใกล้สางฮัวหยงจึงคุมทหารยกกลับเข้าด่านกิสุยก๋วน

            ฝ่ายซุนเกี๋ยนหลังจากเปลี่ยนหมวกเกราะกับโจเมาแล้ว ขับม้าหนีไปอีกทางหนึ่งจึงพบเทียเภา, อุยกาย, ฮันต๋ง และทหารซึ่งหนีออกจากค่ายแล้วติดตามหาซุนเกี๋ยน จึงยกไปตั้งค่ายที่ตำบลเลียงต๋ง แล้วมีหนังสือบอกข่าวศึกไปยังอ้วนเสี้ยว และกล่าวหาอ้วนสุดว่าถ่วงเวลาไม่จัดส่งเสบียง เป็นเหตุให้กองทัพของตนต้องพ่ายแพ้ ขอให้พิจารณาโทษตามวินัยศึก

            อ้วนเสี้ยวรับหนังสือซุนเกี๋ยนแล้ว ในส่วนที่เกี่ยวกับอ้วนสุดพัวพันถึงตัวอยู่ก็ตกใจ รีบสั่งคนสนิทให้ไปแจ้งข่าวให้อ้วนสุดทราบ แล้วว่าถ้าซุนเกี๋ยนเอาความเรื่องนี้ก็ให้ซัดทอดทหารเลวเป็นแพะรับบาป โดยอ้างว่าได้สั่งการไปแล้วแต่คนรับคำสั่งบิดพลิ้วจากนั้นให้ฆ่าทหารเลวปิดปากเสีย สองพี่น้องจะได้พ้นมลทิน

            ความคิดของอ้วนเสี้ยวไม่เพียงแต่โง่อย่างเดียวเท่านั้น หากยังเป็นความคิดที่เลวทรามต่ำช้า ผิดแล้วไม่ยอมรับผิดและหาทางป้ายผิดเอาชีวิตคนซึ่งไม่เกี่ยวข้องเป็นเครื่องสังเวยความชั่วช้าของตนเสียอีก

            ในส่วนที่เกี่ยวกับกองทัพซุนเกี๋ยนที่เสียโจเมาและแตกพ่ายมานั้น เป็นเรื่องใหญ่ของกองทัพปฏิวัติ ทั้งเกรงว่ากองทัพจากเมืองหลวงจะยกตามตีจึงมีความวิตกนัก คิดอะไรเองไม่ออก จึงให้เชิญบรรดาเจ้าเมืองมาร่วมประชุมปรึกษา แต่กองซุนจ้านนั้นเดินเข้ามาประชุมในภายหลังโดยมีเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ติดตามมายืนอยู่ข้างหลัง

            อ้วนเสี้ยวเห็นเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ยืนอยู่ข้างหลังกองซุนจ้าน มีลักษณะน่าเกรงขามจึงถามกองซุนจ้านว่าทั้งสามคนนั้นเป็นผู้ใด กองซุนจ้านจูงมือเล่าปี่ออกไปยืนข้างหน้าอ้วนเสี้ยวคู่กับตนแล้วแนะนำว่าท่านผู้นี้คือเล่าปี่ เป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าฮั่น โกโจเป็นศิษย์ร่วมสำนักของข้าพเจ้า ส่วนอีกสองคนเป็นน้องร่วมสาบานของเล่าปี่ เมื่อครั้งสงครามโจรโพกผ้าเหลือง ทั้งสามพี่น้องได้เข้าร่วมปราบโจรโพกผ้าเหลืองหลายครั้ง ทำความชอบแก่แผ่นดินไว้เป็นอันมาก พระเจ้าเลนเต้จึงโปรดให้ไปเป็นเจ้าเมืองเพงง้วนก๋วน และบัดนี้ได้ร่วมกับข้าพเจ้ามาทำการด้วยกองทัพปฏิวัติ

            อ้วนเสี้ยวเป็นคนบ้ายศบ้าอย่าง และเกรงใจต่อคนผู้มียศฐานันดรตามวิสัยความคิดศักดินา ได้ยินว่าเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็เกรงใจ จึงสั่งทหารให้จัดที่นั่งให้เล่าปี่เสมอกับที่นั่งเจ้าเมืองไว้ตรงปลายสุดของที่ประชุม กวนอู เตียวหุย จึงย้ายมายืนข้างหลังเล่าปี่

            อ้วนเสี้ยวแจ้งข่าวศึกที่ซุนเกี๋ยนแตกทัพมานั้นให้ที่ประชุมทราบ แต่ปกปิดเรื่องเปาสิ้นเจ้าเมืองเจปัก ให้เปาต๋งผู้น้องยกทหารไปชิงเข้าตีด่านกิสุยก๋วนแล้วแตกพ่ายมา โดยเปาต๋งตายในที่รบ และเรื่องอ้วนสุดไม่ส่งเสบียงแก่กองทัพซุนเกี๋ยนเสียไม่แจ้งให้ที่ประชุมทราบ

            ในขณะที่กำลังประชุมกันอยู่นั้นฮัวหยงได้ยกทหารออกจากด่านกิสุยก๋วนตรงมายังค่ายของกองทัพปฏิวัติ เห็นธงประจำตัวอ้วนเสี้ยวผู้บัญชาการใหญ่ก็ยกมาที่หน้าค่ายนั้น แล้วให้ทหารเอาหมวกเกราะของซุนเกี๋ยนครอบไว้บนปลายหอก ชูขึ้นแกว่งแล้วเยาะเย้ยว่านี่เป็นหมวกแม่ทัพของพวกกบฏ ให้เจ้าของหมวกรีบมารับเอาไป แล้วว่าผู้ใดเป็นนายของเจ้าของหมวกนี้ หากมิใช่สุนัขขี้แพ้แล้วอย่ามัวลอยตัวหลีกภัยอยู่ต่อไป ให้รีบโผล่หัวออกมาจากกระดอง มาลองเพลงทวนกับเราสักหน่อยจะเป็นไร

            ทหารรักษาการณ์จึงเอาความไปรายงานแก่อ้วนเสี้ยวในที่ประชุม อ้วนเสี้ยวจึงถามว่าจะมีผู้ใดอาสาไปรบด้วยฮัวหยง ขณะนั้นยูสิดทหารเอกของอ้วนสุดลุกขึ้นขออาสา อ้วนเสี้ยวเห็นเป็นลูกน้องของน้องชายตนจึงรีบอนุญาตแล้วจัดทหารออกจากค่ายไปรบด้วยฮัวหยง

            กลองศึกของทั้งสองฝ่ายดังขึ้นไม่ทันไรก็หยุดลง ทหารที่ติดตามยูสิดวิ่งหนีกลับเข้าค่ายแล้วเข้าไปรายงานให้อ้วนเสี้ยวทราบว่ายูสิดประเพลงทวนกับฮัวหยงได้เพียงสามเพลงก็ถูกฮัวหยงเอาง้าวฟันตายคาหลังม้า

            อ้วนเสี้ยวไม่รู้กำลังทหาร ยังคงคิดที่จะเอาอ่อนสู้แข็งต่อไป จึงถามที่ประชุมว่าจะมีใครอาสา ดังนั้นฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋ว จึงเสนอให้พัวหองทหารเอกของตนเป็นผู้ไปตัดศีรษะฮัวหยง อ้วนเสี้ยวก็อนุญาตและจัดทหารให้พัวหองยกไป

            เสียงกลองศึกดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่ทันไรก็เงียบลงเหมือนครั้งก่อนเพราะพัวหองรำขวานใหญ่เข้ารบด้วยฮัวหยงได้เพียงสามเพลงก็ถูกฮัวหยงเอาง้าวฟันตกม้าตายอีกคนหนึ่ง ทหารที่ติดตามก็พากันหนีเข้าค่ายมารายงานให้อ้วนเสี้ยวทราบ

            ที่ประชุมฟังรายงานแล้วก็ตกใจ อ้วนเสี้ยวจึงกล่าวขึ้นว่าฮัวหยงมีฝีมือกล้าแข็งนัก เสียดายที่อัศวินยอดฝีมือของข้าพเจ้าทั้งสองคืองันเหลียงและบุนทิวมิได้ติดตามมาด้วย มิฉะนั้นเราคงไม่แพ้ต้องสูญเสียทหารเอกถึงสองคนดังนี้ แล้วฝืนใจถามที่ประชุมว่าครั้งนี้จะมีผู้ใดอาสาไปปราบฮัวหยง

            ในขณะที่ที่ประชุมนิ่งอึ้งอยู่นั้น ก็มีเสียงดังกังวานมาจากด้านหลังของที่ประชุมว่า “ข้าพเจ้าขออาสาไปตัดหัวฮัวหยงเอง”

            สิ้นเสียงลงอ้วนเสี้ยวและทุกคนต่างหันมองไปทางเจ้าของเสียงนั้น เห็นชายหนึ่งสูงหกศอก หนวดยาวเส้นละเอียดดุจใยไหม หน้าแดงดังผลพุทราสุก ปากแดงดังชาดแต้ม คิ้วดังตัวไหม จักษุยาวดังนกการเวก ศีรษะโพกด้วยผ้าไหมสีเขียวใบไม้ สวมเกราะชุดออกศึก ในมือถือง้าวยาวสิบเอ็ดศอก หนักแปดสิบสองชั่งสีดำสนิท ยืนแน่วนิ่งใบหน้าผินไปทางประตูค่าย ดูสง่าน่าเกรงขามยิ่งนัก นั่นคือกวนอูแห่งเมืองไก่เหลียง น้องรองแห่งคำสาบานสวนท้อ

            อ้วนเสี้ยวเห็นกวนอูยืนอยู่ข้างหลังเล่าปี่ หาใช่ที่สำหรับทหารเอกไม่ จึงสงสัยแล้วถามขึ้นว่าท่านนี้มีชื่อและตำแหน่งใดในกองทัพ

            การถามทั้งนี้แสดงว่าอ้วนเสี้ยวความจำเสื่อมหรือไม่ก็หูตึง เพราะกองซุนจ้านเคยแนะนำมาครั้งหนึ่งแล้วในตอนที่อ้วนเสี้ยวเห็นเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ยืนอยู่ข้างหลังกองซุนจ้าน หรือไม่ก็เป็นการฟังคำแนะนำโดยไม่สนใจและไม่ใส่ใจจำ หรือมิฉะนั้นก็ต้องการจะหักหน้าคนอื่นว่ามีตำแหน่งแหล่งที่ต่ำไม่สมฐานะ

            กองซุนจ้านจึงลุกขึ้นรายงานซ้ำอีกว่าท่านผู้นี้คือกวนอู เป็นน้องร่วมสาบานของเล่าปี่มิได้มีตำแหน่งใด ๆ ในกองทัพ เป็นเพียงทหารเลวถือเกาทัณฑ์หน้าม้าเล่าปี่เท่านั้น

            อ้วนเสี้ยวได้ฟังคำก็โกรธจัด ร้องตวาดไปทางกวนอูว่าไอ้ทหารเลว ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง บังอาจมาพูดต่อหน้าเจ้าเมืองผู้ใหญ่ ขันอาสาจะไปรบด้วยฮัวหยงทหารเอก เป็นการตีตัวเสมอทหารเอก ดูหมิ่นแม่ทัพนายกองทั้งปวง ว่าแล้วก็สั่งทหารให้ไปขับกวนอูออกจากที่ประชุม

            โจโฉเห็นเหตุการณ์ทั้งนั้นโดยตลอด พินิจดูบุคลิกลักษณะท่วงท่าของกวนอูและน้ำเสียงอาสาศึกแล้วสง่าน่าเกรงขามยิ่งนัก เห็นทีจะได้การ ครั้นได้ยินอ้วนเสี้ยวสั่งทหารให้ไปไล่กวนอูออกจากที่ประชุมจึงรีบลุกออกไปขวางหน้าทหารไว้บอกให้หยุดไว้ก่อน แล้วก้าวออกมาตรงหน้าอ้วนเสี้ยวและว่า “ท่านอย่าเพิ่งโกรธก่อน ท่วงทีกวนอูนี้จะมีฝีมือกล้าหาญอยู่จึงกล้าขันอาสา ถ้าไม่สมดังปากว่าจึงจะเอาโทษถึงตาย”

            แล้วโจโฉจึงได้กล่าวกับอ้วนเสี้ยวขอให้มีบัญชาให้กวนอูออกรบด้วยฮัวหยง อ้วนเสี้ยวจึงว่ากวนอูเป็นแค่ทหารเลว หากออกไปรบด้วยฮัวหยงแล้ว ฮัวหยงจะหมิ่นได้ว่ากองทัพของเราทั้งนี้สิ้นแล้วซึ่งทหารเอก ก็จะหัวเราะเยาะเราว่าเป็นพวกสิ้นคิด ไม่รู้ที่ควรไม่ควร ส่งทหารเลวไปรบด้วยทหารเอก เราก็จะเสียเกียรติยศไปเบื้องหน้า

            โจโฉยืนยันความเห็นเดิมแล้วว่า “ข้าพเจ้าเห็นรูปร่างกวนอูนี้ใหญ่โตคมสันอยู่ เห็นสมเป็นทหารเอก ฮัวหยงจะไม่รู้ว่าเป็นทหารเลว”

            เหตุการณ์นี้แสดงว่าโจโฉมองเห็นความเป็นทหารเอกที่ซ่อนอยู่ในตัวทหารเลวจากเมืองไก่เหลียง มองเห็นถึงเพชรเม็ดงามที่ประกายแสงแวววามเจิดจ้าอยู่ภายในก้อนหินอันยังมิได้เจียรไนนั้น ในขณะที่อ้วนเสี้ยวซึ่งเป็นถึงผู้บัญชาการใหญ่กลับเป็นคนตาบอด หรือถูกม่านแห่งความบ้ายศบ้าอย่างปิดสายตาไว้จนมืดมิด 
  
            กวนอูได้ยินโจโฉกล่าวเช่นนั้นแล้ว เห็นอ้วนเสี้ยวยังคงลังเลอยู่ ในขณะที่เล่าปี่หันหลังมาพยักหน้าเป็นทีเห็นด้วย กวนอูจึงกล่าวขึ้นว่า “ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปครั้งนี้ ถ้าไม่ได้ศีรษะฮัวหยงเข้ามา ขอท่านจงเอาศีรษะข้าพเจ้าไว้แทนเถิด” ว่าแล้วก้าวจากด้านหลังของเล่าปี่ออกมายืนถมึงอยู่ระหว่างกลางที่ด้านหลังของที่ประชุมนั้น ในมือกระชับง้าวไว้มั่น

             อ้วนเสี้ยวเห็นดังนั้นจึงอนุญาตให้กวนอูออกรบกับฮัวหยง และสั่งให้จัดทหารยกตามไปด้วยกวนอู
            โจโฉเห็นเช่นนั้นก็ดีใจ ยกมือเป็นทีว่าให้กวนอูหยุดไว้ก่อน แล้วหยิบเอาป้านสุราบ๊วยซึ่งอุ่นไว้รินใส่จอกส่งให้แก่กวนอู และอวยพรให้ทำการได้สำเร็จดังประสงค์

            กวนอูไม่รับสุราจอกนั้น เอามือทั้งสองกุมง้าวค้อมตัวลงคำนับโจโฉแล้วว่าขอขอบคุณน้ำใจของท่าน แต่ข้าพเจ้านี้เป็นแค่ทหารเลว ยังไม่มีความชอบ ขอท่านจงงดไว้ก่อน ไว้เมื่อใดที่ข้าพเจ้าทำความชอบควรแก่สุราของท่านแล้ว ข้าพเจ้าจะขอรับสุรามาดื่มคารวะต่อท่าน

            ว่าแล้วกวนอูก็รีบออกจากที่ประชุม ยกทหารออกไปนอกค่าย ท่ามกลางความประหลาดใจและตกตะลึงของหัวเมืองทั้งปวงในที่นั้น แม้โจโฉเองก็ยังคงถือจอกสุรารออยู่ ณ ที่เดิม

            ทันใดนั้น เสียงกลองศึกของทั้งสองฝ่ายก็ดังสนั่นขึ้นอีกครั้งหนึ่งเป็นสัญญาณว่ากวนอูได้เข้ารบกับฮัวหยงแล้ว ไม่ทันไรเสียงกลองศึกก็หยุดลงเหมือนกับทั้งสองครั้งก่อน ทุกคนในที่นั้นก้มหน้าสลดลงคาดว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอยเป็นครั้งที่สาม มีแต่โจโฉ เล่าปี่ เตียวหุยเท่านั้นที่ยังคงเป็นปกติอยู่

            ที่ประชุมยังไม่ทันจะว่ากล่าวสืบไปประการใด กวนอูก็ก้าวเข้ามาในที่ประชุมมือหนึ่งถือง้าว อีกมือหนึ่งหิ้วศีรษะฮัวหยง โยนลงที่พื้นของห้องประชุมแล้วกล่าวสั้น ๆ ว่า “ข้าพเจ้าตัดศีรษะฮัวหยงมาให้ท่านแล้ว”

            อ้วนเสี้ยวและหัวเมืองทั้งปวงยินดียิ่งนัก เล่าปี่ เตียวหุย เข้ามาจับเอามือกวนอูและโอบไหล่ร่วมยินดีกันทั้งสามพี่น้อง

            โจโฉจึงเอาสุราจอกที่ยังคงถืออยู่ในมือ และสุรานั้นยังคงอุ่นอยู่เข้ามาคำนับ กวนอู ส่งสุราให้แล้วว่าข้าพเจ้าคำนับท่านที่ทำความชอบด้วยสุราจอกนี้ กวนอูก็รับสุราจากโจโฉมาดื่มแล้วคำนับโจโฉเป็นการแสดงความขอบคุณ

            วีรชนนั้นมีอยู่ทุกกาลสมัย อยู่ที่ว่าใครจะมองเห็นและรู้จักช่วงใช้หรือไม่เท่านั้น และแม้ว่าจะไม่เห็นหรือไม่รู้จักช่วงใช้ แต่สภาพการณ์ย่อมกำหนดให้วีรชนปรากฏขึ้นต่อหน้าสายตามหาชนอยู่วันยังค่ำ
             อ้วนเสี้ยวคนมืดบอดทางปัญญา ไม่มีโอกาสได้รู้ว่าชายสามคนที่ยืนข้างหลังกองซุนจ้านในวันนี้ คนหนึ่งก็คือฮ่องเต้อีกพระองค์หนึ่งของราชวงศ์ฮั่น และทหารเลวอีกสองคนก็คือทหารเอกนามระบือแห่งแคว้นฉู่ส์ หรือจ๊กก๊ก และหนึ่งในนั้นก็คือเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ “กวนอู” ที่ผู้คนยังเคารพกราบไหว้จนถึงทุกวันนี้

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร