สามก๊ก ฉบับนักบริหาร:บทที่ 30 ยี่เอ๋ง-บัณฑิตอหังการ
เมื่อเตียวสิ้วเห็นด้วยที่จะผูกไมตรีกับโจโฉ กาเซี่ยงจึงพาเล่าหัวทูตจากโจโฉเข้าหาเตียวสิ้วคำนับแล้วจึงว่า ท่านอย่าได้แคลงใจมหาอุปราชเลย ถ้าโจโฉมีใจพยาบาทก็คงจะยกทัพมารบกับท่าน แต่นี่สิ้นพยาบาทแล้ว จึงให้ข้าพเจ้ามาเชิญให้ท่านหาทางสมานฉันท์ ช่วยร่วมกันทำนุบำรุงแผ่นดิน
เตียวสิ้ว ได้ฟังดังนั้นก็บังเกิดความยินดี เห็นช่องทางต่อท่อเสวยอำนาจในเมืองหลวง จึงจัดแจงทหารและผู้ติดตามรวมทั้งกุนซือคู่ใจกาเซี่ยงเดินทางกับเล่าหัวเข้าไปหาโจโฉที่ฮูโต๋ เตียวสิ้วคารวะโจโฉแล้วคุกเข่าอยู่แต่เบื้องต่ำ
โจโฉมีความยินดี จึงลงไปจูงมือเตียวสิ้วขึ้นมานั่งที่อันสมควร แล้วบรรเลงมธุรสวาจาสไตล์นัก การเมืองเต็มตัวว่า ก่อนหน้านี้เราได้ประมาทมีความผิดต่อท่าน ท่านจงอย่าถือโทษพยาบาทเราเลย โจโฉจึงแต่งตั้งให้เตียวสิ้วเป็นเอียงบู้จงกุ๋นตำแหน่งนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ให้กาเซี่ยงเป็นกิมจิมง่อ หรือที่ปรึกษา แล้วโจโฉจึงออกปากขอให้เตียวสิ้วกับกาเซี่ยงทำหนังสือไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วให้มาร่วมวงไพบูลย์ด้วย
กาเซี่ยงกุนซือขิงแก่หนาประสบการณ์ต่อเนื่องมาหลายแผ่นดิน เป็นผู้มองอ่านเหตุการณ์ถูกมากกว่าผิดมาแต่ไหนแต่ไร จึงแนะว่า เล่าเปียวเป็นคนชอบคบหาคนดัง มักเลือกคบเพื่อนที่มีสติปัญญา ถ้าจะให้ไปกล่อมเล่าเปียวอย่างได้ผล จะต้องจัดหาผู้ที่มีภูมิสติปัญญาเป็นเลิศถึงจะได้การ
โจโฉจึงถามซุนฮิวว่าท่านเห็นผู้ใดมีสติปัญญาที่จะเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวได้ ซุนฮิวแนะว่าเห็นมีแต่ขงหยงคนเดียว ขงหยงว่าข้าพเจ้าเป็นคนมีความรู้น้อย หาเหมาะสมกับงานนี้ไม่ แต่ในใจคิดแต่ว่าไปครั้งนี้ หากทำการมิสำเร็จ มีหรือที่เราจะพ้นโทษผิด
ซุนฮิวจึงรุกถามว่าแล้วท่านเห็นมีผู้ใดมีสติปัญญากว่าท่าน ขงหยงจึงบอกว่ามีเพื่อนคนหนึ่งชื่อยี่เอ๋ง มีสติแลปัญญามากกว่าเราสิบเท่า แม้อายุเพียง 20 ปี อย่าว่าแต่ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเลยจะเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยังได้ ทั้งสองจึงทำหนังสือกราบทูล แต่พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงหนังสือแล้วมิได้รับสั่งประการใด ยื่นหนังสือให้โจโฉตรัสว่าการทั้งนี้สุดแต่ท่านมหาอุปราชคิดอ่านจัดการเถิด
โจโฉกลับมาบ้านจึงให้คนไปตามตัวยี่เอ๋ง ยี่เอ๋งมาถึงก็คำนับโจโฉ แต่โจโฉเห็นว่าเป็นเด็กอยู่มิได้รับคำนับ แถมยังมิได้ปราศรัยตามธรรมเนียมที่ดี ยี่เอ๋งนึกน้อยใจอยู่ ทำเหม่อมองขึ้นฟ้าทอดใจแล้วร่ายโวหารว่า แผ่นดินนี้กว้างใหญ่นัก แต่จะหาคนดีสักคนก็ทั้งยาก
โจโฉได้ยินยี่เอ๋งว่าเปรียบเทียบดังนั้น แต่ยินไม่ถนัดเห็นผิดสังเกตจึงถามว่า คนทั้งโลกก็รู้ว่าแผ่นดินนี้ ข้ามีคนดีไว้ใช้สอยมากมาย ไฉนเจ้าจึงว่าจะหาคนดีสักคนก็ทั้งยาก ยี่เอ๋งถามสวนควันว่า แล้วใครบ้างที่ท่านสมุหนายกยกย่องว่าเป็นดนดี โจโฉตอบว่า ฝ่ายการเมืองข้ามี ซุนฮก ซุนฮิว กุยแก เทียหยก เป็นต้น ฝ่ายการทหารมีเตียวเลี้ยว เคาทู ลิเตียน งักจิ้น และอื่น ๆ อีกมากมาย
ยี่เอ๋งหงายหน้าหัวเราะงอหายแล้วว่า ซุนฮกนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าเหมาะสำหรับทำหน้าที่ไปเยี่ยมไข้ หรือไปร่วมในงานศพ ซุนฮิวนั้นเหมาะสำหรับทำหน้าที่เป็นนายป่าช้า กุยแกเหมาะสำหรับหน้าที่อ่านโคลงกลอน เทียหยกเหมาะสำหรับหน้าที่ภารโรงคอยเปิดปิดประตูหน้าต่าง ส่วนเตียวเลี้ยวนั้นเหมาะทำหน้าที่ตีฆ้องกลอง เคาทูเหมาะสำหรับเลี้ยงม้าวัว ลิเตียนเหมาะสำหรับเป็นนักการเดินหนังสือ งักจิ้นเหมาะสำหรับเป็นเสมียนในพระราชฐาน ไฉนท่านจึงหลงยกย่องคนเหล่านี้ว่าเป็นเอกในโลกไปได้
เจอคำตอบเข้าแบบนี้โจโฉต้องข่มสติอารมณ์โกรธอย่างยากเย็นจึงถามว่า เจ้าเห็นคนอื่นไม่ดีไปทั้งนั้น แล้วตัวเจ้าล่ะมีอะไรดี ยี่เอ๋งตอบว่า ข้าพเจ้ารู้จบฟ้าดิน เสมอด้วยท่านอาจารย์ขงจื๊อ และงันเอี๋ยน ที่ข้าพเจ้าลดตัวมาสนทนาแก่ท่านบัดนี้ เหมือนพูดกับคนบ้าที่มิรู้ภาษาคน
เตียวเลี้ยวนายทหารใหญ่อยู่ในที่นั้นด้วย อดรนทนความโอหังของนักวิชาการมาดเกินพิกัดมิได้ ชักกระบี่ออกจะฟันยี่เอ๋ง โจโฉห้ามไว้แล้วว่า เรายังขาดคนตีกลองในราชพิธี ข้าพเจ้าจะให้ยี่เอ๋งทำหน้าที่นี้ ยี่เอ๋งมิได้ปฏิเสธ แล้วอำลาออกไปแต่โดยดี
เตียวเลี้ยวจึงพูดกับโจโฉว่า อ้ายคนนี้มันพูดจาจองหองนัก ทำไมท่านไม่ฆ่ามันเสียให้สิ้นเรื่อง โจโฉตอบอย่างคนแก่เชิงว่า ยี่เอ๋งเป็นนักวิชาการมีชื่อเสียง ประชาชนรู้ จักมันมากจะหาว่าข้าพเจ้าทารุณโหดร้าย มันคุยว่ามันรู้จบดินฟ้าข้าพเจ้าจึงแกล้งให้มันทำหน้าที่ตีกลอง นักวิชาการมากด้วยอีโก้แบบนี้ ต้อง ให้มันน้อยใจทรมานตายไปเอง
งานพระราชพิธีเลี้ยงรับรองใหญ่ในเขตพระราชฐานได้มาถึง โจโฉหน้าใหญ่เชิญแขกมาร่วมงาน ด้วยเป็นจำนวนมาก หมู่กลองหลวงทำหน้าที่ตีกลองบรรเลงสร้างความครื้นเครงในงาน นักกลองทุกคนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าใหม่แลดูสวยงาม เว้นแต่ยี่เอ๋งคนเดียวสวมเสื้อกางเกงขาดเก่าโทรม แต่เสียงกลองที่ยี่เอ๋งบรรเลงตีนั้น สนั่นไพเราะเด่นจับใจแขกเหรื่อทั้งปวงยิ่งกว่านักกลองคนอื่น ๆ ทั้งสิ้น แต่ละคนนิ่งฟังยี่เอ๋งตีกลองเหมือนถูกมนต์สะกด บางคนถึงกับสะอื้นไห้ตามเสียงกลองของยี่เอ๋งไปด้วยก็มี
พอสิ้นเสียงกลองยี่เอ๋ง บรรดาแขกจึงเข้าไปถามยี่เอ๋งด้วยความประหลาดใจ เหตุใดจึงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่า ๆ ขาดวิ่นไม่สมเกียรติกับงานใหญ่ระดับนี้เลย ยี่เอ๋งได้ยินคำถามแทนที่จะตอบ กลับถอดเสื้อกางเกงออกหมด เหลือแต่กายล่อนจ้อน แขกเหรื่อทั้งหลายต่างพากันปิดหน้าอุจาดตา โจโฉเห็นยี่เอ๋งก่อเรื่องฉีกหน้าในงานเลี้ยงก็โกรธจัด ตวาดว่าทำไมมึงถึงได้บังอาจทำอุจาดในเขตพระราชฐานอย่างนี้
ยี่เอ๋งยืดหน้าตอบอย่างกล้าหาญว่า การดูหมิ่นผู้มีปัญญาน่าจะอุจาดมากกว่าการแก้ผ้าเปลือยกาย อย่างน้อยที่สุดทุกคนจะได้เห็นว่า กายข้าพเจ้าสะอาดบริสุทธิ์เพียงใด โจโฉยิ่งโกรธจัดตวาดว่ามึงว่ากายมึงบริสุทธิ์ แล้วกายใครที่มึงเห็นว่าสกปรกโสมม
ยี่เอ๋งได้ทีจึงตอบอย่างสอนสั่งว่า ตัวท่านมิรู้หรือว่าใครโง่ใครฉลาด ท่านจึงมีความเห็นอันโสมมท่านมิเคยอ่านคำโบราณหรือพงศาวดาร ท่านจึงพูดคำอันโสมม ท่านมิชอบพูดคำที่ตรงไปตรงมา ท่านจึงมีหูที่โสมม ท่านมิอาจปรับของเก่าให้เข้ากับใหม่ ท่านจึงโสมมภายนอก ท่านไร้ความโอบอ้อมแก่ขุนนาง ท่านจึงโสมมภายใน ท่านคิดเป็นขบถ ท่านจึงมีหัวใจอันโสมม ข้าพเจ้าเป็นนักปราชญ์มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ท่านกลับใช้ให้ทำหน้าที่เป็นคนตีกลอง อย่างนี้ท่านจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินได้อย่างไร
ขงหยงเพื่อนยี่เอ๋งได้ยินเพื่อนปากกล้าสาหัสนัก กลัวโจโฉจะสั่งฆ่า จึงเข้าไปคำนับโจโฉขอขมาโทษตายของยี่เอ๋งสักครั้งหนึ่ง แต่อาจจะใช้ยี่เอ๋งทำประโยชน์แก่ราชการอย่างอื่นได้ โจโฉชี้หน้ายี่เอ๋งแล้วว่า กูจะให้มึงไปเป็นทูตเจรจาเกลี้ย
กล่อมเล่าเปียว ถ้ามึงทำการได้สำเร็จกูจะตั้งมึงเป็นขุนนางใหญ่
ยี่เอ๋งปราชญ์ปากร้ายเดินทางถึงเกงจิ๋ว แทนที่จะใช้มธุรสวาจากล่าวยกย่องเล่าเปี่ยวตามวิธีการทูตกลับยกตนข่มท่านจนเล่าเปียวทนฟังคำโอหังของยี่เอ๋งไม่ไหว จึงออกอุบายบอกยี่เอ๋งว่า ขอให้ท่านไปเจรจาเกลี้ยกล่อมหองจอ เจ้าเมืองกังแฮให้ปลงใจเข้ากับโจโฉเสียก่อน หากทำได้ข้าพเจ้าก็จะปลงใจด้วย
เมื่อยี่เอ๋งไปแล้วบรรดาขุนนางจึงถามเล่าเปียวว่า ทำไมท่านปล่อยให้ยี่เอ๋งกล่าวคำโอหังกับท่านแล้วมิได้ฆ่าเสีย เล่าเปียวหัวเราะตอบว่า ยี่เอ๋งทำโอหังหยาบคายต่อโจโฉมากกว่านี้อีก โจโฉยังไม่ประหามันเลย โจโฉซ่อนเล่ห์หวังยืมมือข้าพเจ้าฆ่ายี่เอ๋ง ประชาชนจะได้เกลียดชังข้าพเจ้า ตอนนี้เราส่งยี่เอ๋งไปให้หองจอต่อ ให้โจโฉรู้ว่าเรารู้ทันในอุบาย
ฝ่ายยี่เอ๋งเมื่อไปถึงเมืองกังแฮ จึงเข้าไปเจรจากับหองจอ ในงานเลี้ยงพอเหล้าเข้าปาก หองจอถามยี่เอ๋งว่าในฮูโต๋ขุนนางคนใดมีสติปัญญาหลักแหลมที่สุด ยี่เอ๋งตอบว่าขงหยง หองจอจึงถามว่าแล้วตัวข้าพเจ้านี้ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไร ยี่เอ๋งตอบว่า ท่านเปรียบเสมือนเจ้าในศาล ใครมากราบไหว้ก็นั่งเฉย คอยรับแต่เครื่องเซ่นหาสติปัญญาใดมิได้ ผู้ซึ่งนับถือบวงสรวงนั้น อุปมาเหมือนหนึ่งกราบไหว้ขอนไม้ หองจอโกรธจัดที่ถูกยี่เอ๋งเปรียบเป็นเจว็ด จึงสั่งประหารชีวิต ยี่เอ๋งร้องด่าหองจอจนกระทั่งเพชฌฆาตลงดาบ เล่าเปียวทราบว่ายี่เอ๋งตาย ก็เลิกความคิดที่จะเข้ากับโจโฉ
ฝ่ายโจโฉเมื่อรู้ข่าวว่ายี่เอ๋งถูกฆ่าตาย หัวเราะแล้วพูดต่อหน้าคนใกล้ตัวว่า เจ้านักปราชญ์ใหญ่มันฟันคอของมันขาดด้วยลิ้นโอหังของมันเองแล้ว
เตียวสิ้ว ได้ฟังดังนั้นก็บังเกิดความยินดี เห็นช่องทางต่อท่อเสวยอำนาจในเมืองหลวง จึงจัดแจงทหารและผู้ติดตามรวมทั้งกุนซือคู่ใจกาเซี่ยงเดินทางกับเล่าหัวเข้าไปหาโจโฉที่ฮูโต๋ เตียวสิ้วคารวะโจโฉแล้วคุกเข่าอยู่แต่เบื้องต่ำ
โจโฉมีความยินดี จึงลงไปจูงมือเตียวสิ้วขึ้นมานั่งที่อันสมควร แล้วบรรเลงมธุรสวาจาสไตล์นัก การเมืองเต็มตัวว่า ก่อนหน้านี้เราได้ประมาทมีความผิดต่อท่าน ท่านจงอย่าถือโทษพยาบาทเราเลย โจโฉจึงแต่งตั้งให้เตียวสิ้วเป็นเอียงบู้จงกุ๋นตำแหน่งนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ให้กาเซี่ยงเป็นกิมจิมง่อ หรือที่ปรึกษา แล้วโจโฉจึงออกปากขอให้เตียวสิ้วกับกาเซี่ยงทำหนังสือไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วให้มาร่วมวงไพบูลย์ด้วย
กาเซี่ยงกุนซือขิงแก่หนาประสบการณ์ต่อเนื่องมาหลายแผ่นดิน เป็นผู้มองอ่านเหตุการณ์ถูกมากกว่าผิดมาแต่ไหนแต่ไร จึงแนะว่า เล่าเปียวเป็นคนชอบคบหาคนดัง มักเลือกคบเพื่อนที่มีสติปัญญา ถ้าจะให้ไปกล่อมเล่าเปียวอย่างได้ผล จะต้องจัดหาผู้ที่มีภูมิสติปัญญาเป็นเลิศถึงจะได้การ
โจโฉจึงถามซุนฮิวว่าท่านเห็นผู้ใดมีสติปัญญาที่จะเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวได้ ซุนฮิวแนะว่าเห็นมีแต่ขงหยงคนเดียว ขงหยงว่าข้าพเจ้าเป็นคนมีความรู้น้อย หาเหมาะสมกับงานนี้ไม่ แต่ในใจคิดแต่ว่าไปครั้งนี้ หากทำการมิสำเร็จ มีหรือที่เราจะพ้นโทษผิด
ซุนฮิวจึงรุกถามว่าแล้วท่านเห็นมีผู้ใดมีสติปัญญากว่าท่าน ขงหยงจึงบอกว่ามีเพื่อนคนหนึ่งชื่อยี่เอ๋ง มีสติแลปัญญามากกว่าเราสิบเท่า แม้อายุเพียง 20 ปี อย่าว่าแต่ไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเลยจะเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยังได้ ทั้งสองจึงทำหนังสือกราบทูล แต่พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงหนังสือแล้วมิได้รับสั่งประการใด ยื่นหนังสือให้โจโฉตรัสว่าการทั้งนี้สุดแต่ท่านมหาอุปราชคิดอ่านจัดการเถิด
โจโฉกลับมาบ้านจึงให้คนไปตามตัวยี่เอ๋ง ยี่เอ๋งมาถึงก็คำนับโจโฉ แต่โจโฉเห็นว่าเป็นเด็กอยู่มิได้รับคำนับ แถมยังมิได้ปราศรัยตามธรรมเนียมที่ดี ยี่เอ๋งนึกน้อยใจอยู่ ทำเหม่อมองขึ้นฟ้าทอดใจแล้วร่ายโวหารว่า แผ่นดินนี้กว้างใหญ่นัก แต่จะหาคนดีสักคนก็ทั้งยาก
โจโฉได้ยินยี่เอ๋งว่าเปรียบเทียบดังนั้น แต่ยินไม่ถนัดเห็นผิดสังเกตจึงถามว่า คนทั้งโลกก็รู้ว่าแผ่นดินนี้ ข้ามีคนดีไว้ใช้สอยมากมาย ไฉนเจ้าจึงว่าจะหาคนดีสักคนก็ทั้งยาก ยี่เอ๋งถามสวนควันว่า แล้วใครบ้างที่ท่านสมุหนายกยกย่องว่าเป็นดนดี โจโฉตอบว่า ฝ่ายการเมืองข้ามี ซุนฮก ซุนฮิว กุยแก เทียหยก เป็นต้น ฝ่ายการทหารมีเตียวเลี้ยว เคาทู ลิเตียน งักจิ้น และอื่น ๆ อีกมากมาย
ยี่เอ๋งหงายหน้าหัวเราะงอหายแล้วว่า ซุนฮกนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าเหมาะสำหรับทำหน้าที่ไปเยี่ยมไข้ หรือไปร่วมในงานศพ ซุนฮิวนั้นเหมาะสำหรับทำหน้าที่เป็นนายป่าช้า กุยแกเหมาะสำหรับหน้าที่อ่านโคลงกลอน เทียหยกเหมาะสำหรับหน้าที่ภารโรงคอยเปิดปิดประตูหน้าต่าง ส่วนเตียวเลี้ยวนั้นเหมาะทำหน้าที่ตีฆ้องกลอง เคาทูเหมาะสำหรับเลี้ยงม้าวัว ลิเตียนเหมาะสำหรับเป็นนักการเดินหนังสือ งักจิ้นเหมาะสำหรับเป็นเสมียนในพระราชฐาน ไฉนท่านจึงหลงยกย่องคนเหล่านี้ว่าเป็นเอกในโลกไปได้
เจอคำตอบเข้าแบบนี้โจโฉต้องข่มสติอารมณ์โกรธอย่างยากเย็นจึงถามว่า เจ้าเห็นคนอื่นไม่ดีไปทั้งนั้น แล้วตัวเจ้าล่ะมีอะไรดี ยี่เอ๋งตอบว่า ข้าพเจ้ารู้จบฟ้าดิน เสมอด้วยท่านอาจารย์ขงจื๊อ และงันเอี๋ยน ที่ข้าพเจ้าลดตัวมาสนทนาแก่ท่านบัดนี้ เหมือนพูดกับคนบ้าที่มิรู้ภาษาคน
เตียวเลี้ยวนายทหารใหญ่อยู่ในที่นั้นด้วย อดรนทนความโอหังของนักวิชาการมาดเกินพิกัดมิได้ ชักกระบี่ออกจะฟันยี่เอ๋ง โจโฉห้ามไว้แล้วว่า เรายังขาดคนตีกลองในราชพิธี ข้าพเจ้าจะให้ยี่เอ๋งทำหน้าที่นี้ ยี่เอ๋งมิได้ปฏิเสธ แล้วอำลาออกไปแต่โดยดี
เตียวเลี้ยวจึงพูดกับโจโฉว่า อ้ายคนนี้มันพูดจาจองหองนัก ทำไมท่านไม่ฆ่ามันเสียให้สิ้นเรื่อง โจโฉตอบอย่างคนแก่เชิงว่า ยี่เอ๋งเป็นนักวิชาการมีชื่อเสียง ประชาชนรู้ จักมันมากจะหาว่าข้าพเจ้าทารุณโหดร้าย มันคุยว่ามันรู้จบดินฟ้าข้าพเจ้าจึงแกล้งให้มันทำหน้าที่ตีกลอง นักวิชาการมากด้วยอีโก้แบบนี้ ต้อง ให้มันน้อยใจทรมานตายไปเอง
งานพระราชพิธีเลี้ยงรับรองใหญ่ในเขตพระราชฐานได้มาถึง โจโฉหน้าใหญ่เชิญแขกมาร่วมงาน ด้วยเป็นจำนวนมาก หมู่กลองหลวงทำหน้าที่ตีกลองบรรเลงสร้างความครื้นเครงในงาน นักกลองทุกคนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าใหม่แลดูสวยงาม เว้นแต่ยี่เอ๋งคนเดียวสวมเสื้อกางเกงขาดเก่าโทรม แต่เสียงกลองที่ยี่เอ๋งบรรเลงตีนั้น สนั่นไพเราะเด่นจับใจแขกเหรื่อทั้งปวงยิ่งกว่านักกลองคนอื่น ๆ ทั้งสิ้น แต่ละคนนิ่งฟังยี่เอ๋งตีกลองเหมือนถูกมนต์สะกด บางคนถึงกับสะอื้นไห้ตามเสียงกลองของยี่เอ๋งไปด้วยก็มี
พอสิ้นเสียงกลองยี่เอ๋ง บรรดาแขกจึงเข้าไปถามยี่เอ๋งด้วยความประหลาดใจ เหตุใดจึงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่า ๆ ขาดวิ่นไม่สมเกียรติกับงานใหญ่ระดับนี้เลย ยี่เอ๋งได้ยินคำถามแทนที่จะตอบ กลับถอดเสื้อกางเกงออกหมด เหลือแต่กายล่อนจ้อน แขกเหรื่อทั้งหลายต่างพากันปิดหน้าอุจาดตา โจโฉเห็นยี่เอ๋งก่อเรื่องฉีกหน้าในงานเลี้ยงก็โกรธจัด ตวาดว่าทำไมมึงถึงได้บังอาจทำอุจาดในเขตพระราชฐานอย่างนี้
ยี่เอ๋งยืดหน้าตอบอย่างกล้าหาญว่า การดูหมิ่นผู้มีปัญญาน่าจะอุจาดมากกว่าการแก้ผ้าเปลือยกาย อย่างน้อยที่สุดทุกคนจะได้เห็นว่า กายข้าพเจ้าสะอาดบริสุทธิ์เพียงใด โจโฉยิ่งโกรธจัดตวาดว่ามึงว่ากายมึงบริสุทธิ์ แล้วกายใครที่มึงเห็นว่าสกปรกโสมม
ยี่เอ๋งได้ทีจึงตอบอย่างสอนสั่งว่า ตัวท่านมิรู้หรือว่าใครโง่ใครฉลาด ท่านจึงมีความเห็นอันโสมมท่านมิเคยอ่านคำโบราณหรือพงศาวดาร ท่านจึงพูดคำอันโสมม ท่านมิชอบพูดคำที่ตรงไปตรงมา ท่านจึงมีหูที่โสมม ท่านมิอาจปรับของเก่าให้เข้ากับใหม่ ท่านจึงโสมมภายนอก ท่านไร้ความโอบอ้อมแก่ขุนนาง ท่านจึงโสมมภายใน ท่านคิดเป็นขบถ ท่านจึงมีหัวใจอันโสมม ข้าพเจ้าเป็นนักปราชญ์มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ท่านกลับใช้ให้ทำหน้าที่เป็นคนตีกลอง อย่างนี้ท่านจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินได้อย่างไร
ขงหยงเพื่อนยี่เอ๋งได้ยินเพื่อนปากกล้าสาหัสนัก กลัวโจโฉจะสั่งฆ่า จึงเข้าไปคำนับโจโฉขอขมาโทษตายของยี่เอ๋งสักครั้งหนึ่ง แต่อาจจะใช้ยี่เอ๋งทำประโยชน์แก่ราชการอย่างอื่นได้ โจโฉชี้หน้ายี่เอ๋งแล้วว่า กูจะให้มึงไปเป็นทูตเจรจาเกลี้ย
กล่อมเล่าเปียว ถ้ามึงทำการได้สำเร็จกูจะตั้งมึงเป็นขุนนางใหญ่
ยี่เอ๋งปราชญ์ปากร้ายเดินทางถึงเกงจิ๋ว แทนที่จะใช้มธุรสวาจากล่าวยกย่องเล่าเปี่ยวตามวิธีการทูตกลับยกตนข่มท่านจนเล่าเปียวทนฟังคำโอหังของยี่เอ๋งไม่ไหว จึงออกอุบายบอกยี่เอ๋งว่า ขอให้ท่านไปเจรจาเกลี้ยกล่อมหองจอ เจ้าเมืองกังแฮให้ปลงใจเข้ากับโจโฉเสียก่อน หากทำได้ข้าพเจ้าก็จะปลงใจด้วย
เมื่อยี่เอ๋งไปแล้วบรรดาขุนนางจึงถามเล่าเปียวว่า ทำไมท่านปล่อยให้ยี่เอ๋งกล่าวคำโอหังกับท่านแล้วมิได้ฆ่าเสีย เล่าเปียวหัวเราะตอบว่า ยี่เอ๋งทำโอหังหยาบคายต่อโจโฉมากกว่านี้อีก โจโฉยังไม่ประหามันเลย โจโฉซ่อนเล่ห์หวังยืมมือข้าพเจ้าฆ่ายี่เอ๋ง ประชาชนจะได้เกลียดชังข้าพเจ้า ตอนนี้เราส่งยี่เอ๋งไปให้หองจอต่อ ให้โจโฉรู้ว่าเรารู้ทันในอุบาย
ฝ่ายยี่เอ๋งเมื่อไปถึงเมืองกังแฮ จึงเข้าไปเจรจากับหองจอ ในงานเลี้ยงพอเหล้าเข้าปาก หองจอถามยี่เอ๋งว่าในฮูโต๋ขุนนางคนใดมีสติปัญญาหลักแหลมที่สุด ยี่เอ๋งตอบว่าขงหยง หองจอจึงถามว่าแล้วตัวข้าพเจ้านี้ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไร ยี่เอ๋งตอบว่า ท่านเปรียบเสมือนเจ้าในศาล ใครมากราบไหว้ก็นั่งเฉย คอยรับแต่เครื่องเซ่นหาสติปัญญาใดมิได้ ผู้ซึ่งนับถือบวงสรวงนั้น อุปมาเหมือนหนึ่งกราบไหว้ขอนไม้ หองจอโกรธจัดที่ถูกยี่เอ๋งเปรียบเป็นเจว็ด จึงสั่งประหารชีวิต ยี่เอ๋งร้องด่าหองจอจนกระทั่งเพชฌฆาตลงดาบ เล่าเปียวทราบว่ายี่เอ๋งตาย ก็เลิกความคิดที่จะเข้ากับโจโฉ
ฝ่ายโจโฉเมื่อรู้ข่าวว่ายี่เอ๋งถูกฆ่าตาย หัวเราะแล้วพูดต่อหน้าคนใกล้ตัวว่า เจ้านักปราชญ์ใหญ่มันฟันคอของมันขาดด้วยลิ้นโอหังของมันเองแล้ว