ตอนที่ 30. ธรรมะกับสงคราม
เหมาเจ๋อตง ประธานกรรมการการทหาร แห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีน เคยกล่าวว่า สงครามในประวัติศาสตร์มีอยู่เพียงสองชนิดคือสงครามที่เป็นธรรม กับสงครามที่ไม่เป็นธรรม สงครามปฏิวัติทั้งปวงเป็นสงครามที่เป็นธรรม สงครามปฏิปักษ์ปฏิวัติทั้งปวงเป็นสงครามที่ไม่เป็นธรรม
สงครามรุกรานและสงครามที่กดขี่ข่มเหงราษฎรเป็นสงครามที่ไม่เป็นธรรม สงครามต่อต้านการรุกรานและสงครามที่ปลดปล่อยราษฎรให้พ้นจากการกดขี่ข่มเหงเป็นสงครามที่เป็นธรรม
กฏแห่งสงครามว่าไว้ว่า สงครามที่เป็นธรรม ย่อมชนะสงครามที่ไม่เป็นธรรม
ดังนั้นคู่สงครามแต่ครั้งประวัติศาสตร์เป็นต้นมา จึงพยายามช่วงชิงฐานะที่เป็นธรรมและกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งว่าทำสงครามที่ไม่เป็นธรรม ธรรมจึงเป็นสิ่งที่คู่สงครามทุกฝ่ายพยายามช่วงชิงและเชิดชูให้ผู้คนคล้อยตาม ในขณะที่ยัดเยียดกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นอธรรม แต่เป้าหมายสูงสุดแท้จริงของทุกฝ่ายนั้น หาได้อยู่ที่ธรรมไม่ หากอยู่ที่ชัยชนะในสงครามต่างหาก
พระมหาฤาษีผู้รจนามหาภารตะยุทธ์ ซึ่งเป็นสงครามที่ยาวนานมากที่สุดสงครามหนึ่งในประวัติศาสตร์ได้บรรยายคำรำพึงของเทพแห่งกาลเวลาไว้ว่าธรรมนำมาซึ่งความสงบสุข ดังที่ปรากฏในโศลกแรกแห่งมหาภารตะยุทธ์ว่า
“ข้าพเจ้าชูแขนขึ้นป่าวประกาศธรรม
แต่หามีใครเชื่อฟังข้าพเจ้าไม่
ธรรมนำมาซึ่งความสงบสุข
แต่ไฉนเล่าจึงไม่มีผู้ใดปฏิบัติธรรม”
ธรรมที่ว่านี้ย่อมหมายเอาสงครามที่เป็นธรรม ที่จะทำให้บังเกิดความสงบสุขขึ้น มิฉะนั้นแล้วอะไรเป็นสงครามที่เป็นธรรม และอะไรเป็นสงครามที่ไม่เป็นธรรมก็ไม่อาจจำแนกได้
เหตุนี้ฝ่ายเมืองหลวงซึ่งบัญชาการโดยตั๋งโต๊ะจอมทรราชย์ จึงอ้างว่าฝ่ายตนเป็นฝ่ายธรรมะ เพราะเป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายภายใต้พระปรมาภิไธยของฮ่องเต้ แล้วกล่าวหาว่ากองทัพปฏิวัติเป็นฝ่ายอธรรมเพราะเป็นขบถต่อแผ่นดิน
ในขณะที่กองทัพฝ่ายปฏิวัติก็อ้างว่าเป็นฝ่ายธรรมะ เพราะเป็นกองทัพที่มุ่งกำจัดทรราชย์ เทิดทูนฮ่องเต้ บำบัดทุกข์ร้อนแก่แผ่นดิน และราษฎร แล้วกล่าวหาว่ากองทัพฝ่ายเมืองหลวงเป็นฝ่ายอธรรม เพราะเป็นกองทัพที่ปกป้องระบอบทรราชย์ให้ก่อกรรมทำเข็ญต่อบ้านเมืองและราษฎรต่อไป
เมื่อเป็นเช่นนี้สงครามย่อมเกิดขึ้น และเป็นสงครามระหว่างขุนศึกกับขุนศึกเป็นครั้งแรกของสามก๊ก
กองทัพฝ่ายปฏิวัติได้ตั้งค่าย ณ ชายแดนเมืองลกเอี๋ยง เรียงรายกันไปถึงสองร้อยเส้น ลักษณาการตั้งทัพแบบนี้เป็นจุดอ่อนอันแสดงว่ากองทัพฝ่ายปฏิวัติยังคงขาดการประสานการรบอย่างมีอานุภาพ ขัดต่อพิชัยสงคราม เพราะการตั้งค่ายรายเรียงกันเช่นนี้หากอีกฝ่ายหนึ่งมีแผนการรบที่ดีแล้ว ก็ย่อมจะจัดทัพเข้าตีตัดออกเป็นสองหรือสามส่วน แล้วทำลายเสียทีละส่วนได้โดยสะดวก แต่เป็นโชคดีของกองทัพปฏิวัติที่ฝ่ายตั๋งโต๊ะไม่มีนักยุทธศาสตร์ที่จะทำลายกองทัพปฏิวัติในลักษณะที่กล่าวนี้
เห็นจะไม่ต้องสงสัยอะไร เพราะตั๋งโต๊ะนั้น ตั้งแต่ครั้งรบโจรโพกผ้าเหลือง ซึ่งเป็นเพียงกองทัพของชาวบ้านยังรบแพ้ได้ทุกครั้ง ไหนเลยจะมีสติปัญญาคิดอ่านบัญชาการระดับยุทธศาสตร์
เมื่อกองทัพฝ่ายปฏิวัติตั้งค่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว โจโฉจึงเชิญประชุมบรรดาเจ้าเมืองที่เป็นพันธมิตรในฝ่ายปฏิวัติ เพื่อเตรียมการเข้าตีเมืองลกเอี๋ยงต่อไป เจ้าเมืองและนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของแต่ละเมืองได้เข้าประชุมปรึกษาโดยพร้อมเพรียงกัน
อองของเจ้าเมืองโห้ลายได้เสนอต่อที่ประชุมว่า กองทัพฝ่ายปฏิวัติควรมีผู้บัญชาการใหญ่ ที่ถืออำนาจสิทธิขาดในการบัญชาการรบ มิฉะนั้นจะทำให้การรบขาดเอกภาพ ขาดพลังทางยุทธานุภาพ เนื่องจากต่างคนต่างทำ ซึ่งอาจไม่ประสานกันหรือขัดแย้งกัน
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับข้อเสนอของอองของเป็นเอกฉันท์ ปัญหาต่อไปจึงต้องพิจารณาคัดเลือกว่าใครสมควรได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมให้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพฝ่ายปฏิวัติ
โจโฉจึงเสนออ้วนเสี้ยว เป็นผู้บัญชาการใหญ่ โดยแสดงเหตุผลว่าอ้วนเสี้ยวเป็นเชื้อสายขุนนางในราชวงศ์ฮั่นมาถึงสี่ชั่วอายุคน เป็นที่รู้จักและยอมรับกันดีโดยทั่วไป จะทำให้กองทัพฝ่ายปฏิวัติเป็นเอกภาพได้
อ้วนเสี้ยวคงรู้ตัวดีว่าไร้ความสามารถจึงขอถอนตัว
แต่หัวเมืองทั้งปวงในที่นั้นยืนยันความเห็นเดิม โดยอ้างว่าหากอ้วนเสี้ยวไม่รับตำแหน่งแล้ว จะทำให้เกิดการแก่งแย่งชิงตำแหน่งกันขึ้น ทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งระหว่างหัวเมืองทั้งปวง อ้วนเสี้ยวเห็นว่าเมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้ จำต้องรักษาเอกภาพของกองทัพฝ่ายปฏิวัติไว้ก่อน จึงยอมรับตำแหน่ง
ที่ประชุมจึงมีมติเป็นเอกฉันท์แต่งตั้งให้อ้วนเสี้ยวเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพฝ่ายปฏิวัติ และเพื่อให้ทุกหัวเมืองยอมรับนับถือปฏิบัติตามคำบัญชาของผู้บัญชาการใหญ่ จึงมีมติมอบให้โจโฉตั้งโรงพิธีกระทำสัตย์สาบาน เพื่อให้เจ้าเมืองทั้งปวงได้กระทำสัตย์สาบาน ยอมรับนับถือปฏิบัติตามคำบัญชาของอ้วนเสี้ยวต่อไป
รุ่งขึ้นโจโฉจึงสั่งทหารให้จัดทำโรงพิธีเป็นปะรำสามชั้น กลางปะรำพิธีชั้นสาม ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดให้ปักธงสีเหลือง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของธาตุดิน ปลายธงประดับด้วยขนจามรีตั้งเป็นธงชัย และให้เอาขวานสงครามสีเหลืองผูกคาดไว้ที่คันธงชัยนั้น เป็นสัญลักษณ์ของแม่ทัพใหญ่
ภายใต้ธงชัยมีฐานรอง ตั้งแท่นวางหนังสือมติที่ประชุมที่แต่งตั้งให้อ้วนเสี้ยวเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพปฏิวัติ แล้ววางตราสำคัญประจำตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพปฏิวัติทับไว้บนหนังสือนั้น
ด้านหลังแท่นปักธงปฏิวัติ “ตงหงี” อันเป็นธงซึ่งโจโฉได้ปักขึ้นเป็นครั้งแรก ด้านหลังธงปฏิวัติปักไว้ด้วยธงประจำตัวเจ้าเมืองทั้งสิบเจ็ดหัวเมือง
บนพื้นดินทั้งสี่ทิศของปะรำพิธี ปักธงสีดำอันเป็นสัญลักษณ์ของธาตุน้ำไว้ทางทิศเหนือ ปักธงสีแดงอันเป็นสัญลักษณ์ของธาตุไฟไว้ทางทิศใต้ ปักธงสีเขียวอันเป็นสัญลักษณ์ของธาตุไม้ไว้ทางทิศตะวันออก และปักธงสีขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของธาตุทองไว้ทางทิศตะวันตก
ธงทั้งห้าสีคือสัญลักษณ์ของธาตุทั้งห้าแห่งจักรวาล ปักประจำทิศอันเป็นภูมิประจำธาตุเพื่อเป็นการชุมนุมเทวดาและความเป็นสิริมงคล ตามคตินิยมของชาวจีนมาแต่โบราณกาลจนถึงทุกวันนี้
ตั้งโรงพิธีเสร็จแล้วโจโฉจึงให้เชิญเจ้าเมืองทั้งปวงขึ้นไปบนปะรำพิธีชั้นสอง เชิญนายทหารชั้นผู้ใหญ่จากแต่ละหัวเมืองขึ้นไปบนปะรำพิธีชั้นล่าง บนพื้นทั้งสี่ทิศของปะรำพิธีรายล้อมไปด้วยนายทหารจากทุกหัวเมือง
ครั้นได้เวลาอันเป็นราชาฤกษ์แล้ว โจโฉจึงให้เชิญอ้วนเสี้ยวขึ้นบนปะรำพิธีชั้นสาม ยืนเบื้องหน้าแท่นตราอันปักธงชัยไว้เป็นสำคัญนั้น ผินหน้าไปทางทิศอันเป็นที่ตั้งศาลเทพบิดรแห่งราชวงศ์ฮั่น ในการนั้นอ้วนเสี้ยวแต่งตัวสวมเสื้อเกราะชุดออกศึก มือถือกระบี่ ยืนตรงทำอกผายไหล่ผึ่ง แสดงความลำพองและพึงใจแบบคนบ้ายศบ้าอย่างให้เห็นอย่างเด่นชัด
อ้วนเสี้ยวเมื่อเข้าประจำที่แล้วได้จุดเทียนแดงสิบเจ็ดเล่ม จุดธูปใหญ่สิบเจ็ดดอก ตามจำนวนหัวเมืองที่มาร่วมกองทัพฝ่ายปฏิวัติ แล้วอ่านประกาศนำให้เจ้าเมืองและบรรดาทหารทั้งปวงปฏิญาณสาบานตนว่า
“ข้าพเจ้าทั้งปวงพร้อมใจสามัคคีกันจัดตั้งกองทัพปฏิวัติขึ้น เพื่อโค่นล้ม ระบอบทรราชย์ของตั๋งโต๊ะให้สิ้นไป เทิดทูนฮ่องเต้ จงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮั่น มุ่งมั่นทำนุบำรุงแผ่นดิน และราษฎรให้เป็นสุข ขอปวงเทพยดาอารักษ์ได้เป็นทิพย์พยาน และดลบันดาลให้ความปรารถนาร่วมกันของข้าพเจ้าทั้งหลายได้บรรลุผลสำเร็จ และบัดนี้ข้าพเจ้าทั้งปวงได้พร้อมใจกันมอบหมายให้อ้วนเสี้ยวเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพปฏิวัติ มีอำนาจสิทธิขาดในการบัญชาการกองทัพทั้งปวงของกองทัพปฏิวัติ ข้าพเจ้าสาบานว่าจะยอมรับนับถือและปฏิบัติตามคำบัญชาการของผู้บัญชาการใหญ่อย่างเคร่งครัด หากผิดคำสาบานนี้ขอให้เทพยดาสังหารผลาญชีวิตข้าพเจ้าเสีย อย่าให้ซากศพมีอาการครบทั้งสามสิบสองเลย”
คำปฏิญาณสาบานนี้มิได้บังคับถึงการใช้อำนาจผู้บัญชาการใหญ่ของอ้วนเสี้ยวว่าจะต้องเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมของทั้งกองทัพ โดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว เพื่อให้ได้รับชัยชนะในสงครามแต่ประการใด
กล่าวคำปฏิญาณสาบานดั่งนี้แล้ว อ้วนเสี้ยวจึงหยิบจอกสุราหน้าแท่นขึ้นมาจอกหนึ่ง โจโฉก็สั่งให้ทหารเอาจอกสุราอีกสิบหกจอกไปส่งให้เจ้าเมืองอีกสิบหกหัวเมือง และให้ทหารเอาจอกสุราอีกสิบเจ็ดจอกไปส่งให้แก่ทหารเอกของแต่ละเมือง ตัวโจโฉเองนั้นรับมาอีกจอกหนึ่ง
เมื่อพร้อมกันแล้วอ้วนเสี้ยวจึงประกาศอีกครั้งหนึ่งว่า “จงสามัคคีกันกำจัดทรราชย์ เทิดทูนฮ่องเต้ บำรุงราษฎร” แล้วเชิญคนทั้งปวงนั้นดื่มสุราสาบาน
การตั้งให้อ้วนเสี้ยว ผู้เป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง และไร้สติปัญญาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ ให้อำนาจสิทธิขาดโดยคำนึงแต่เพียงฐานะที่เป็นเชื้อสายขุนนางเก่าสี่ชั่วอายุคน เป็นการขัดต่อพิชัยสงครามว่าด้วยการตั้งขุนพล เพราะขุนพลนั้นถือเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งของชัยชนะหรือความพ่ายแพ้สงคราม
ภูเขาสูงเสียดฟ้า รักษาน้ำไว้ไม่ได้ ตรงข้ามกับพระมหาสมุทรเป็นที่รวมแห่งน้ำ เพราะตั้งตนในที่ต่ำฉันใด การตั้งคนเจ้ายศเจ้าอย่างเป็นผู้บัญชาการใหญ่จึงไม่เป็นที่ตั้งแห่งความสามัคคีฉันนั้น จึงเป็นการขัดต่อหลักการของความเป็นผู้นำคนสถานหนึ่ง
การตั้งคนไร้สติปัญญาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ย่อมไม่สามารถชี้นำสงครามและนำกองทัพไปสู่ชัยชนะได้ เป็นการขัดต่อหลักการของความเป็นผู้นำคนอีกสถานหนึ่ง
ทั้งสองสถานนี้คือสิ่งกำหนดชัยชนะและความพ่ายแพ้ของสงครามครั้งนี้
เสร็จจากพิธีทำสัตย์สาบานแล้ว โจโฉจึงเชิญผู้บัญชาการใหญ่ และเจ้าเมืองทั้งปวงไปที่โรงซึ่งปลูกสร้างขึ้นสำหรับเป็นที่ประชุมปรึกษาและบัญชาการสงคราม พร้อมกันแล้วโจโฉจึงว่า แต่นี้ไปพวกเราต้องสามัคคีสมานฉันท์ ตั้งใจทำการอันได้ปฏิญาณสาบานตนให้เกิดผลสำเร็จโดยไว
อ้วนเสี้ยวแสร้งทำทีเป็นถ่อมตัวแล้วกล่าวว่าข้าพเจ้านี้มีปัญญาน้อย พวกท่านสนับสนุนวางใจให้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ครั้งนี้เกินกำลังสติปัญญาของข้าพเจ้านัก ขอท่านทั้งปวงได้สนับสนุนช่วยเหลือต่อไปจนกว่าการจักสำเร็จ สำหรับตัวข้าพเจ้านั้นเมื่อได้รับธุระฉะนี้แล้ว ก็จะตั้งใจทำโดยเต็มกำลังปัญญาความสามารถ ยึดถือพิชัยสงครามเป็นหลักปฏิบัติของกองทัพ ผู้ใดมีความชอบก็จะปูนบำเหน็จตามควรแก่ความชอบ ผู้ใดมีความผิดก็จะลงโทษตามควรแก่โทษานุโทษ ไม่ลำเอียงเข้าข้างคนชอบและคนผิด
โจโฉและเจ้าเมืองทั้งปวงก็รับเอาคำที่อ้วนเสี้ยวกล่าวนั้น
จากนั้นอ้วนเสี้ยวจึงเริ่มออกลาย ใช้อำนาจผู้บัญชาการใหญ่แต่งตั้งให้อ้วนสุดผู้น้องเป็นแม่ทัพรับผิดชอบด้านเสบียง ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งของการทำสงคราม เป็นความเป็นความตายอย่างหนึ่งของกองทัพ บ่งบอกความคิดเกี่ยวกับการใช้คนของอ้วนเสี้ยวว่าใช้คนแต่โดยอาศัยความสนิทชิดเชื้อ หาได้คำนึงถึงความสามารถและความเหมาะแก่การไม่ แต่เพื่อให้ทุกหัวเมืองคลายใจ อ้วนเสี้ยวจึงกำชับอ้วนสุดผู้น้องว่าตัวจงทำหน้าที่จัดหาและลำเลียงเสบียงแก่ทุกกองทัพ อย่าให้ขัดสนเป็นอันขาด
ปรึกษาแผนการรบกันต่อไปแล้ว อ้วนเสี้ยวจึงมีคำสั่งให้กองทัพหัวเมืองทั้งปวงที่ยกมารักษาเวรยามกวดขันให้มั่นคง ให้กองทัพทุกหัวเมืองตั้งมั่นอยู่ ณ ที่เดิม แล้วแต่งตั้งให้ซุนเกี๋ยน เจ้าเมืองเตียงสาเป็นกองทัพหน้า ยกไปตีด่านกิสุยก๋วน ซึ่งเป็นด่านสำคัญนอกกำแพงเมืองลกเอี๋ยง
ซุนเกี๋ยนมีใจแกร่งกล้าเป็นนักรบ ครั้นได้รับคำสั่งให้เป็นกองทัพหน้าก็ดีใจ รีบออกมาจากกองบัญชาการกองทัพปฏิวัติ กลับมาที่ค่ายสั่งทหารให้จัดเตรียมกองทัพให้พร้อมที่จะเคลื่อนทัพในวันรุ่งขึ้น.
สงครามรุกรานและสงครามที่กดขี่ข่มเหงราษฎรเป็นสงครามที่ไม่เป็นธรรม สงครามต่อต้านการรุกรานและสงครามที่ปลดปล่อยราษฎรให้พ้นจากการกดขี่ข่มเหงเป็นสงครามที่เป็นธรรม
กฏแห่งสงครามว่าไว้ว่า สงครามที่เป็นธรรม ย่อมชนะสงครามที่ไม่เป็นธรรม
ดังนั้นคู่สงครามแต่ครั้งประวัติศาสตร์เป็นต้นมา จึงพยายามช่วงชิงฐานะที่เป็นธรรมและกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งว่าทำสงครามที่ไม่เป็นธรรม ธรรมจึงเป็นสิ่งที่คู่สงครามทุกฝ่ายพยายามช่วงชิงและเชิดชูให้ผู้คนคล้อยตาม ในขณะที่ยัดเยียดกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นอธรรม แต่เป้าหมายสูงสุดแท้จริงของทุกฝ่ายนั้น หาได้อยู่ที่ธรรมไม่ หากอยู่ที่ชัยชนะในสงครามต่างหาก
พระมหาฤาษีผู้รจนามหาภารตะยุทธ์ ซึ่งเป็นสงครามที่ยาวนานมากที่สุดสงครามหนึ่งในประวัติศาสตร์ได้บรรยายคำรำพึงของเทพแห่งกาลเวลาไว้ว่าธรรมนำมาซึ่งความสงบสุข ดังที่ปรากฏในโศลกแรกแห่งมหาภารตะยุทธ์ว่า
“ข้าพเจ้าชูแขนขึ้นป่าวประกาศธรรม
แต่หามีใครเชื่อฟังข้าพเจ้าไม่
ธรรมนำมาซึ่งความสงบสุข
แต่ไฉนเล่าจึงไม่มีผู้ใดปฏิบัติธรรม”
ธรรมที่ว่านี้ย่อมหมายเอาสงครามที่เป็นธรรม ที่จะทำให้บังเกิดความสงบสุขขึ้น มิฉะนั้นแล้วอะไรเป็นสงครามที่เป็นธรรม และอะไรเป็นสงครามที่ไม่เป็นธรรมก็ไม่อาจจำแนกได้
เหตุนี้ฝ่ายเมืองหลวงซึ่งบัญชาการโดยตั๋งโต๊ะจอมทรราชย์ จึงอ้างว่าฝ่ายตนเป็นฝ่ายธรรมะ เพราะเป็นรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายภายใต้พระปรมาภิไธยของฮ่องเต้ แล้วกล่าวหาว่ากองทัพปฏิวัติเป็นฝ่ายอธรรมเพราะเป็นขบถต่อแผ่นดิน
ในขณะที่กองทัพฝ่ายปฏิวัติก็อ้างว่าเป็นฝ่ายธรรมะ เพราะเป็นกองทัพที่มุ่งกำจัดทรราชย์ เทิดทูนฮ่องเต้ บำบัดทุกข์ร้อนแก่แผ่นดิน และราษฎร แล้วกล่าวหาว่ากองทัพฝ่ายเมืองหลวงเป็นฝ่ายอธรรม เพราะเป็นกองทัพที่ปกป้องระบอบทรราชย์ให้ก่อกรรมทำเข็ญต่อบ้านเมืองและราษฎรต่อไป
เมื่อเป็นเช่นนี้สงครามย่อมเกิดขึ้น และเป็นสงครามระหว่างขุนศึกกับขุนศึกเป็นครั้งแรกของสามก๊ก
กองทัพฝ่ายปฏิวัติได้ตั้งค่าย ณ ชายแดนเมืองลกเอี๋ยง เรียงรายกันไปถึงสองร้อยเส้น ลักษณาการตั้งทัพแบบนี้เป็นจุดอ่อนอันแสดงว่ากองทัพฝ่ายปฏิวัติยังคงขาดการประสานการรบอย่างมีอานุภาพ ขัดต่อพิชัยสงคราม เพราะการตั้งค่ายรายเรียงกันเช่นนี้หากอีกฝ่ายหนึ่งมีแผนการรบที่ดีแล้ว ก็ย่อมจะจัดทัพเข้าตีตัดออกเป็นสองหรือสามส่วน แล้วทำลายเสียทีละส่วนได้โดยสะดวก แต่เป็นโชคดีของกองทัพปฏิวัติที่ฝ่ายตั๋งโต๊ะไม่มีนักยุทธศาสตร์ที่จะทำลายกองทัพปฏิวัติในลักษณะที่กล่าวนี้
เห็นจะไม่ต้องสงสัยอะไร เพราะตั๋งโต๊ะนั้น ตั้งแต่ครั้งรบโจรโพกผ้าเหลือง ซึ่งเป็นเพียงกองทัพของชาวบ้านยังรบแพ้ได้ทุกครั้ง ไหนเลยจะมีสติปัญญาคิดอ่านบัญชาการระดับยุทธศาสตร์
เมื่อกองทัพฝ่ายปฏิวัติตั้งค่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว โจโฉจึงเชิญประชุมบรรดาเจ้าเมืองที่เป็นพันธมิตรในฝ่ายปฏิวัติ เพื่อเตรียมการเข้าตีเมืองลกเอี๋ยงต่อไป เจ้าเมืองและนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของแต่ละเมืองได้เข้าประชุมปรึกษาโดยพร้อมเพรียงกัน
อองของเจ้าเมืองโห้ลายได้เสนอต่อที่ประชุมว่า กองทัพฝ่ายปฏิวัติควรมีผู้บัญชาการใหญ่ ที่ถืออำนาจสิทธิขาดในการบัญชาการรบ มิฉะนั้นจะทำให้การรบขาดเอกภาพ ขาดพลังทางยุทธานุภาพ เนื่องจากต่างคนต่างทำ ซึ่งอาจไม่ประสานกันหรือขัดแย้งกัน
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับข้อเสนอของอองของเป็นเอกฉันท์ ปัญหาต่อไปจึงต้องพิจารณาคัดเลือกว่าใครสมควรได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมให้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพฝ่ายปฏิวัติ
โจโฉจึงเสนออ้วนเสี้ยว เป็นผู้บัญชาการใหญ่ โดยแสดงเหตุผลว่าอ้วนเสี้ยวเป็นเชื้อสายขุนนางในราชวงศ์ฮั่นมาถึงสี่ชั่วอายุคน เป็นที่รู้จักและยอมรับกันดีโดยทั่วไป จะทำให้กองทัพฝ่ายปฏิวัติเป็นเอกภาพได้
อ้วนเสี้ยวคงรู้ตัวดีว่าไร้ความสามารถจึงขอถอนตัว
แต่หัวเมืองทั้งปวงในที่นั้นยืนยันความเห็นเดิม โดยอ้างว่าหากอ้วนเสี้ยวไม่รับตำแหน่งแล้ว จะทำให้เกิดการแก่งแย่งชิงตำแหน่งกันขึ้น ทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งระหว่างหัวเมืองทั้งปวง อ้วนเสี้ยวเห็นว่าเมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้ จำต้องรักษาเอกภาพของกองทัพฝ่ายปฏิวัติไว้ก่อน จึงยอมรับตำแหน่ง
ที่ประชุมจึงมีมติเป็นเอกฉันท์แต่งตั้งให้อ้วนเสี้ยวเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพฝ่ายปฏิวัติ และเพื่อให้ทุกหัวเมืองยอมรับนับถือปฏิบัติตามคำบัญชาของผู้บัญชาการใหญ่ จึงมีมติมอบให้โจโฉตั้งโรงพิธีกระทำสัตย์สาบาน เพื่อให้เจ้าเมืองทั้งปวงได้กระทำสัตย์สาบาน ยอมรับนับถือปฏิบัติตามคำบัญชาของอ้วนเสี้ยวต่อไป
รุ่งขึ้นโจโฉจึงสั่งทหารให้จัดทำโรงพิธีเป็นปะรำสามชั้น กลางปะรำพิธีชั้นสาม ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดให้ปักธงสีเหลือง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของธาตุดิน ปลายธงประดับด้วยขนจามรีตั้งเป็นธงชัย และให้เอาขวานสงครามสีเหลืองผูกคาดไว้ที่คันธงชัยนั้น เป็นสัญลักษณ์ของแม่ทัพใหญ่
ภายใต้ธงชัยมีฐานรอง ตั้งแท่นวางหนังสือมติที่ประชุมที่แต่งตั้งให้อ้วนเสี้ยวเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพปฏิวัติ แล้ววางตราสำคัญประจำตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพปฏิวัติทับไว้บนหนังสือนั้น
ด้านหลังแท่นปักธงปฏิวัติ “ตงหงี” อันเป็นธงซึ่งโจโฉได้ปักขึ้นเป็นครั้งแรก ด้านหลังธงปฏิวัติปักไว้ด้วยธงประจำตัวเจ้าเมืองทั้งสิบเจ็ดหัวเมือง
บนพื้นดินทั้งสี่ทิศของปะรำพิธี ปักธงสีดำอันเป็นสัญลักษณ์ของธาตุน้ำไว้ทางทิศเหนือ ปักธงสีแดงอันเป็นสัญลักษณ์ของธาตุไฟไว้ทางทิศใต้ ปักธงสีเขียวอันเป็นสัญลักษณ์ของธาตุไม้ไว้ทางทิศตะวันออก และปักธงสีขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของธาตุทองไว้ทางทิศตะวันตก
ธงทั้งห้าสีคือสัญลักษณ์ของธาตุทั้งห้าแห่งจักรวาล ปักประจำทิศอันเป็นภูมิประจำธาตุเพื่อเป็นการชุมนุมเทวดาและความเป็นสิริมงคล ตามคตินิยมของชาวจีนมาแต่โบราณกาลจนถึงทุกวันนี้
ตั้งโรงพิธีเสร็จแล้วโจโฉจึงให้เชิญเจ้าเมืองทั้งปวงขึ้นไปบนปะรำพิธีชั้นสอง เชิญนายทหารชั้นผู้ใหญ่จากแต่ละหัวเมืองขึ้นไปบนปะรำพิธีชั้นล่าง บนพื้นทั้งสี่ทิศของปะรำพิธีรายล้อมไปด้วยนายทหารจากทุกหัวเมือง
ครั้นได้เวลาอันเป็นราชาฤกษ์แล้ว โจโฉจึงให้เชิญอ้วนเสี้ยวขึ้นบนปะรำพิธีชั้นสาม ยืนเบื้องหน้าแท่นตราอันปักธงชัยไว้เป็นสำคัญนั้น ผินหน้าไปทางทิศอันเป็นที่ตั้งศาลเทพบิดรแห่งราชวงศ์ฮั่น ในการนั้นอ้วนเสี้ยวแต่งตัวสวมเสื้อเกราะชุดออกศึก มือถือกระบี่ ยืนตรงทำอกผายไหล่ผึ่ง แสดงความลำพองและพึงใจแบบคนบ้ายศบ้าอย่างให้เห็นอย่างเด่นชัด
อ้วนเสี้ยวเมื่อเข้าประจำที่แล้วได้จุดเทียนแดงสิบเจ็ดเล่ม จุดธูปใหญ่สิบเจ็ดดอก ตามจำนวนหัวเมืองที่มาร่วมกองทัพฝ่ายปฏิวัติ แล้วอ่านประกาศนำให้เจ้าเมืองและบรรดาทหารทั้งปวงปฏิญาณสาบานตนว่า
“ข้าพเจ้าทั้งปวงพร้อมใจสามัคคีกันจัดตั้งกองทัพปฏิวัติขึ้น เพื่อโค่นล้ม ระบอบทรราชย์ของตั๋งโต๊ะให้สิ้นไป เทิดทูนฮ่องเต้ จงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮั่น มุ่งมั่นทำนุบำรุงแผ่นดิน และราษฎรให้เป็นสุข ขอปวงเทพยดาอารักษ์ได้เป็นทิพย์พยาน และดลบันดาลให้ความปรารถนาร่วมกันของข้าพเจ้าทั้งหลายได้บรรลุผลสำเร็จ และบัดนี้ข้าพเจ้าทั้งปวงได้พร้อมใจกันมอบหมายให้อ้วนเสี้ยวเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพปฏิวัติ มีอำนาจสิทธิขาดในการบัญชาการกองทัพทั้งปวงของกองทัพปฏิวัติ ข้าพเจ้าสาบานว่าจะยอมรับนับถือและปฏิบัติตามคำบัญชาการของผู้บัญชาการใหญ่อย่างเคร่งครัด หากผิดคำสาบานนี้ขอให้เทพยดาสังหารผลาญชีวิตข้าพเจ้าเสีย อย่าให้ซากศพมีอาการครบทั้งสามสิบสองเลย”
คำปฏิญาณสาบานนี้มิได้บังคับถึงการใช้อำนาจผู้บัญชาการใหญ่ของอ้วนเสี้ยวว่าจะต้องเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมของทั้งกองทัพ โดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว เพื่อให้ได้รับชัยชนะในสงครามแต่ประการใด
กล่าวคำปฏิญาณสาบานดั่งนี้แล้ว อ้วนเสี้ยวจึงหยิบจอกสุราหน้าแท่นขึ้นมาจอกหนึ่ง โจโฉก็สั่งให้ทหารเอาจอกสุราอีกสิบหกจอกไปส่งให้เจ้าเมืองอีกสิบหกหัวเมือง และให้ทหารเอาจอกสุราอีกสิบเจ็ดจอกไปส่งให้แก่ทหารเอกของแต่ละเมือง ตัวโจโฉเองนั้นรับมาอีกจอกหนึ่ง
เมื่อพร้อมกันแล้วอ้วนเสี้ยวจึงประกาศอีกครั้งหนึ่งว่า “จงสามัคคีกันกำจัดทรราชย์ เทิดทูนฮ่องเต้ บำรุงราษฎร” แล้วเชิญคนทั้งปวงนั้นดื่มสุราสาบาน
การตั้งให้อ้วนเสี้ยว ผู้เป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง และไร้สติปัญญาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ ให้อำนาจสิทธิขาดโดยคำนึงแต่เพียงฐานะที่เป็นเชื้อสายขุนนางเก่าสี่ชั่วอายุคน เป็นการขัดต่อพิชัยสงครามว่าด้วยการตั้งขุนพล เพราะขุนพลนั้นถือเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งของชัยชนะหรือความพ่ายแพ้สงคราม
ภูเขาสูงเสียดฟ้า รักษาน้ำไว้ไม่ได้ ตรงข้ามกับพระมหาสมุทรเป็นที่รวมแห่งน้ำ เพราะตั้งตนในที่ต่ำฉันใด การตั้งคนเจ้ายศเจ้าอย่างเป็นผู้บัญชาการใหญ่จึงไม่เป็นที่ตั้งแห่งความสามัคคีฉันนั้น จึงเป็นการขัดต่อหลักการของความเป็นผู้นำคนสถานหนึ่ง
การตั้งคนไร้สติปัญญาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ย่อมไม่สามารถชี้นำสงครามและนำกองทัพไปสู่ชัยชนะได้ เป็นการขัดต่อหลักการของความเป็นผู้นำคนอีกสถานหนึ่ง
ทั้งสองสถานนี้คือสิ่งกำหนดชัยชนะและความพ่ายแพ้ของสงครามครั้งนี้
เสร็จจากพิธีทำสัตย์สาบานแล้ว โจโฉจึงเชิญผู้บัญชาการใหญ่ และเจ้าเมืองทั้งปวงไปที่โรงซึ่งปลูกสร้างขึ้นสำหรับเป็นที่ประชุมปรึกษาและบัญชาการสงคราม พร้อมกันแล้วโจโฉจึงว่า แต่นี้ไปพวกเราต้องสามัคคีสมานฉันท์ ตั้งใจทำการอันได้ปฏิญาณสาบานตนให้เกิดผลสำเร็จโดยไว
อ้วนเสี้ยวแสร้งทำทีเป็นถ่อมตัวแล้วกล่าวว่าข้าพเจ้านี้มีปัญญาน้อย พวกท่านสนับสนุนวางใจให้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ครั้งนี้เกินกำลังสติปัญญาของข้าพเจ้านัก ขอท่านทั้งปวงได้สนับสนุนช่วยเหลือต่อไปจนกว่าการจักสำเร็จ สำหรับตัวข้าพเจ้านั้นเมื่อได้รับธุระฉะนี้แล้ว ก็จะตั้งใจทำโดยเต็มกำลังปัญญาความสามารถ ยึดถือพิชัยสงครามเป็นหลักปฏิบัติของกองทัพ ผู้ใดมีความชอบก็จะปูนบำเหน็จตามควรแก่ความชอบ ผู้ใดมีความผิดก็จะลงโทษตามควรแก่โทษานุโทษ ไม่ลำเอียงเข้าข้างคนชอบและคนผิด
โจโฉและเจ้าเมืองทั้งปวงก็รับเอาคำที่อ้วนเสี้ยวกล่าวนั้น
จากนั้นอ้วนเสี้ยวจึงเริ่มออกลาย ใช้อำนาจผู้บัญชาการใหญ่แต่งตั้งให้อ้วนสุดผู้น้องเป็นแม่ทัพรับผิดชอบด้านเสบียง ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งของการทำสงคราม เป็นความเป็นความตายอย่างหนึ่งของกองทัพ บ่งบอกความคิดเกี่ยวกับการใช้คนของอ้วนเสี้ยวว่าใช้คนแต่โดยอาศัยความสนิทชิดเชื้อ หาได้คำนึงถึงความสามารถและความเหมาะแก่การไม่ แต่เพื่อให้ทุกหัวเมืองคลายใจ อ้วนเสี้ยวจึงกำชับอ้วนสุดผู้น้องว่าตัวจงทำหน้าที่จัดหาและลำเลียงเสบียงแก่ทุกกองทัพ อย่าให้ขัดสนเป็นอันขาด
ปรึกษาแผนการรบกันต่อไปแล้ว อ้วนเสี้ยวจึงมีคำสั่งให้กองทัพหัวเมืองทั้งปวงที่ยกมารักษาเวรยามกวดขันให้มั่นคง ให้กองทัพทุกหัวเมืองตั้งมั่นอยู่ ณ ที่เดิม แล้วแต่งตั้งให้ซุนเกี๋ยน เจ้าเมืองเตียงสาเป็นกองทัพหน้า ยกไปตีด่านกิสุยก๋วน ซึ่งเป็นด่านสำคัญนอกกำแพงเมืองลกเอี๋ยง
ซุนเกี๋ยนมีใจแกร่งกล้าเป็นนักรบ ครั้นได้รับคำสั่งให้เป็นกองทัพหน้าก็ดีใจ รีบออกมาจากกองบัญชาการกองทัพปฏิวัติ กลับมาที่ค่ายสั่งทหารให้จัดเตรียมกองทัพให้พร้อมที่จะเคลื่อนทัพในวันรุ่งขึ้น.