ตอนที่ 30 : ซุนเกี๋ยน ซุนเซ็ก ซุนกวน (Sun Clan)- สามพ่อลูกพยัคฆ์แห่งแดนใต้ (2)

         ถ้าจะว่ากันตามตรงล่ะก็ เรื่องสามก๊กอย่างที่เราๆรู้จักและอ่านกันอย่างแพร่หลาย น่าจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเรื่อง สองก๊ก ไม่ก็ เล่าปี่และโจโฉ หรือเรื่องขงเบ้งไปเลยมากกว่า เพราะเรื่องราวในสามก๊กนั้นถูกเทบทบาทไปให้แก่ราชวงศ์จกฮั่นหรือจ๊กก๊กและราชวงศ์วุยหรือวุยก๊กเสียเป็นส่วนมาก ในขณะที่อาณาจักรง่อหรือง่อก๊กนั้น ถูกเขียนขึ้นอย่างเสียมิได้ราวกับเป็นเพียงตัวประกอบของเรื่องอย่างไรอย่างนั้น



         โดยเฉพาะเรื่องของซุนกวน ผู้นำคนที่สามแห่งยุคนั้น ในสามก๊กได้พูดถึงบทบาทของเขาน้อยมากหากเทียบกับผู้นำอีกสองก๊กอย่างเล่าปี่และโจโฉ และยังน้อยกว่าตัวละครอย่างขงเบ้ง กวนอูซะด้วยซ้ำ



         มีคนตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นเพราะซุนกวนขาดช่วงชีวิตสำคัญนั่นคือช่วงการก่อร่างสร้างตัวซึ่งมันเป็นช่วงเวลาแห่งสีสันของผู้ที่จะได้ชื่อว่าวีรบุรุษในภายหลัง ในขณะที่เล่าปี่และโจโฉต่างก็ผ่านช่วงเวลาดังกล่าวมาด้วยกันทั้งคู่ ซุนกวนกลับเริ่มต้นบทบาทด้วยการรับเอามรดกจากพ่อและพี่ชายมาเป็นผู้นำแคว้นทันที เราก็เลยไม่ได้เห็นส่วนของการสร้างตัวซึ่งเป็นบทพิสูจน์ของผู้กล้าไปและยังผลให้ซุนกวนดูต่ำกว่าอีกสองคนโดยปริยาย



         แต่ดูเหมือนผู้คนจะลืมคำกล่าวที่ว่า "สร้างขึ้นนั้นง่าย แต่รักษาไว้นั้นยากยิ่ง"



         ซุนกวนคือตัวอย่างของผู้ที่รักษาเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมคนหนึ่งในยุคนั้น และยังผลให้ง่อก๊กเป็นก๊กที่มีอายุยืนยาวที่สุดในสามก๊ก





ประวัติโดยย่อ



         ซุนกวน ชื่อรอง จงโหมว เกิดปี ค.ศ.182 เป็นบุตรชายคนรองของซุนเกี๋ยนและเป็นน้องชายของซุนเซ็ก ซึ่งทั้งสองต่างเป็นยอดขุนศึกชื่อดังแห่งยุคนั้นที่ได้ทำการสร้างแคว้นกังหนำทางตะวันออกเฉียงใต้จนเข้มแข็งและเป็นปึกแผ่น



         ซุนกวนในวัยเด็กนั้นเป็นคนชอบโลดโผน และชอบการล่าสัตว์โดยเฉพาะการล่าเสือ ซึ่งลักษณะนิสัยนี้จะเหมือนกับพ่อและพี่ชาย อาจเป็นเพราะสายเลือดแห่งตระกูลซุนอันเป็นตระกูลนักรบที่สืบทอดต่อๆกันมานับตั้งแต่ซุนหวู่ จึงทำให้คนในตระกูลนี้มีความสามารถในการรบทัพจับศึกกันตั้งแต่ยังหนุ่ม

        

         ในปี ค.ศ. 200 หลังจากการตายของพ่อและพี่ชาย ซุนกวนก็ได้ขึ้นครองสืบทอดอำนาจปกครองดินแดนต่อมาด้วยวัยเพียง 18 ปี ซึ่งถือว่ายังอายุน้อยมากสำหรับงานใหญ่ขนาดนั้น แต่เขาก็ยังโชคดีที่ได้รับสืบทอดเอาเหล่ายอดแม่ทัพ นักรบและเสนาธิการ ที่ปรึกษาชื่อดังและเก่งกาจมากมายเอาไว้ ซึ่งตัวเขาก็ได้คนเหล่านี้ช่วยกันค้ำจุนดินแดนกังหนำเอาไว้



         ก่อนที่ซุนเซ็กจะตายได้ฝากฝังคำพูดแก่ซุนกวนว่า "เรื่องภายในให้ปรึกษาเตียวเจียว ภายนอกให้ปรึกษาจิวยี่" ซึ่งเขาก็ปฏิบัติตามเป็นอย่างดี โดยเตียวเจียวเป็นที่ปรึกษาอาวุโสสูงสุดมีอำนาจในการดูแลบริหารบ้านเมือง ส่วนจิวยี่เป็นผู้ควบคุมกองทัพ ดูแลกิจการด้านการทหารทั้งหมด โดยเฉพาะกองทัพเรือ ซึ่งกองทัพเรือของง่อนั้นได้ชื่อว่าเป็นทัพเรือที่เข้มแข็งและทันสมัยที่สุดในยุคนั้น นั่นก็มาจากผลงานของจิวยี่นี่เอง



         ซุนกวนแม้จะยังหนุ่มแต่ก็เป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์และความคิดอ่านไม่เลวคนหนึ่ง เขารับฟังความสอนก่อนตายจากพี่ชายและนึกถึงการตายของพ่อ จึงทำให้เข้าใจได้ว่าการศึกนั้นไม่อาจใช้แต่เพียงฝีมือการรบ พละกำลัง หรือความห้าวหาญแต่เพียงอย่างเดียว ด้วยเหตุนี้เขาจึงเน้นการพัฒนาและปกครองบ้านเมืองกังหนำมากกว่าจะขยายดินแดน โดยดินแดนที่เป็นเป้าหมายในการขยายดินแดนของซุนกวนนั้นมีเพียงที่เดียวนั่นคือดินแดนเกงจิ๋ว เพราะเกงจิ๋วเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่จะใช้ป้องกันการบุกของโจโฉที่กำลังเริ่มเป็นใหญ่ในดินแดนภาคกลางหลังจากปราบอ้วนเสี้ยวลงได้ รวมกับเล่าเปียวผู้ปกครองเกงจิ๋วนั้นถือได้ว่าเป็นศัตรูเก่าแก่ตั้งแต่สมัยซุนเกี๋ยนผู้พ่ออีกด้วย



         ช่วงที่ซุนกวนปกครองกังหนำสืบต่อจากพี่ชายนั้นในนิยายสามก๊กแทบไม่ได้กล่าวถึงบทบาทของเขาเลยแม้สักนิดเดียว ซึ่งก็ช่วยไม่ได้ เพราะซุนกวนไม่เหมือนกับเล่าปี่ที่วิ่งวุ่นไปโน่นทีนี่ที และไม่เหมือนโจโฉที่เอาแต่ลุยๆๆลูกเดียว



         แต่ก็เพราะแบบนั้นเขาเลยกลายเป็นเพียงตัวประกอบของเรื่องไป



         อันที่จริงซุนกวนถือเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถในการบัญชาการศึกและพอจะมีฝีมือยุทธอยู่บ้างคนหนึ่ง ในวัยเด็กนั้นเขามักจะติดตามพ่อออกไปในสนามรบเสมอเพราะซุนเกี๋ยนมีนโยบายในการสร้างทายาทให้เป็นนักรบ ด้วยการพาลูกๆไปออกศึกด้วยตั้งแต่เด็ก และไม่เกี่ยวว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม



         แน่นอนว่าในฐานะของนักรบซุนกวนย่อมไม่อาจเทียบกับพ่อและพี่ชายได้ แต่ในฐานะผู้บัญชาการทหารเขานับว่าทำได้ดีมาก เนื่องจากเขารับเอาแนวความคิดที่ว่าผู้เป็นแม่ทัพไม่จำเป็นต้องออกศึกอยู่แนวหน้าด้วยตนเอง แต่ต้องสามารถบัญชาการอยู่แนวหลัง กำหนดและควบคุมการศึกได้ ซึ่งตรงจุดนี้เขาเหนือกว่าพ่อและพี่ชายซึ่งมักจะนำทัพออกศึกแนวหน้าเองตลอด แม้การออกศึกอยู่แนวหน้าเองจะเป็นการดีในเรื่องของการสร้างขวัญกำลังใจแก่ทหารและเป็นการแสดงสปิริตของผู้นำ แต่ซุนเกี๋ยนและซุนเซ็กกลับเน้นการออกศึกแนวหน้าในทุกครั้ง ซึ่งมันออกจะเกินไป



         นอกจานี้สิ่งที่ซุนกวนได้พิสูจน์ตัวว่าเหนือกว่าพ่อและพี่ชายก็คือการที่เขาสามารถเป็นนักปกครองหรือผู้นำที่สามารถรักษาดินแดนกังหนำให้อยู่รอดปลอดภัยได้จนกระทั่งสิ้นลมและทายาทของเขาก็ยังสามารถรักษาเอาไว้ได้อีกหลายสิบปี



         โบราณว่าการสร้างนั้นง่าย แต่รักษากลับยากยิ่งกว่า เช่นนี้เราควรให้เครดิตแก่ซุนกวนที่เขาทำเรื่องหลังได้ดี



         กลับมาพูดถึงเรื่องเส้นทางชีวิตอีกครั้ง ในปีค.ศ.208 หลังจากโจโฉยึดครองภาคกลางได้สำเร็จ ก็เบนเป้ามาที่การครองภาคใต้ ซึ่งทำสำเร็จไปแล้วส่วนหนึ่งด้วยการสามารถยึดครองเกงจิ๋ว อันเป็นประตูลงใต้ได้สำเร็จ



         แดนกังหนำนั้นตกอยู่ในภาวะล่อแหลม ซุนกวนจึงระดมประชุมเหล่าแม่ทัพ ที่ปรึกษา ขุนนางอย่างเร่งด่วนเพื่อหาทางแก้ไข



         ในนิยายสามก๊กเล่าว่าเหล่าที่ปรึกษาของซุนกวนมีความเห็นแตกแยกแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกเสนอให้ยอมจำนนนำโดยเตียวเจียวที่ปรึกษาใหญ่และเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋น ส่วนฝ่ายที่ให้สู้นั้นคือเหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ มีหัวแรงคือพวกแม่ทัพอาวุโสอย่าง ฮันต๋ง อุยกาย เทียเภา



         เตียวเจียวเสนอแนะให้ซุนกวนยอมจำนน ซึ่งอันที่จริงเหตุผลของเขาถือว่าสมเหตุสมผล และเป็นการมองการณ์ไกลมาก นั่นคือเตียวเจียวมองว่าขณะนี้โจโฉเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน และยังควบคุมฮ่องเต้อ้างพระราชโองการต่างๆจนราวกับว่าคำสั่งของโจโฉนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและชอบธรรม และขณะเดียวกันการรวมภาคกลางและเหนือได้ของโจโฉนั้นยังเป็นการยุติไฟสงครามที่มีมาหลายสิบปีได้ ซึ่งที่ผ่านมาสงครามที่เกิดขึ้นนั้นได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ชาวประชาอดอยาก แต่โจโฉเปรียบเสมือนวีรบุรุษที่เข้าไปช่วยเหลือแผ่นดินที่กำลังฟอนเฟะให้ฟื้นกลับมาอีกครั้ง ดังนั้นเพื่อมิให้เกิดสงครามจนผู้คนต้องล้มตายไปอีก จึงสมควรที่ซุนกวนจะเห็นแก่ประชาชนที่จะลำบากหากเกิดสงครามและยอมจำนนแก่โจโฉ



         ซุนกวนเองก็ลังเลใจและลำบากใจไม่น้อยเมื่อเจอเตียวเจียวอ้างเหตุผลเช่นนี้ แต่ในใจลึกๆแล้วนั้น ซุนกวนอยากจะเปิดศึกกับโจโฉ ในฐานะที่เป็นทายาทของนักรบเขาย่อมมีทิฐิมานะมากพอจนไม่อาจที่จะยอมจำนนได้ และแน่นอนเขาย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าการที่พ่อและพี่ชายสู้วางรากฐานมาอย่างลำบากนั้น มีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่การทำให้ตระกูลซุนผงาดขึ้นมาเป็นใหญ่เหนือใครในแผ่นดิน ดังนั้นจะให้เลิกล้มการใหญ่นี้ได้เช่นไร



         เพียงแต่เตียวเจียวมีเหตุผลหรือถ้าจะบอกว่าเป็นข้ออ้างที่ดีและยากจะโต้เถียงได้ แม้ซุนกวนจะเป็นผู้นำของง่อแต่ความเห็นของเตียวเจียวซึ่งเป็นที่ปรึกษาเอกนั้นมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้เหล่าขุนนางและซุนกวนต้องังและไม่กล้าเปิดศึก ด้วยเหตุนี้เมื่อขงเบ้งผู้เป็นตัวแทนของเล่าปี่เข้ามาเจรจาขอผูกพันธมิตรเพื่อรบกับโจโฉและสามารถหาข้ออ้างที่ดีกว่ามาโต้แย้งกับเตียวเจียวจนชนะ ซุนกวนจึงคิดจะเปิดศึกกับโจโฉตามความต้องการแท้จริง



         แต่ในนิยายนั้นคงต้องการทำให้การพบกันระหว่างขงเบ้งและจิวยี่ดูตื่นเต้นสมค่ากับการพบกันของสองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเสนาธิการและแม่ทัพหนุ่มที่ฉลาดที่สุดในตอนนั้น ก็เลยแต่งให้ขงเบ้งเข้าเจรจากับจิวยี่และอ้างเอาบทกลอนปราสาทนกยูงมายั่วจนจิวยี่ยอมประกาศศึก อันนี้ก็เป็นความเห็นส่วนตัวของผมนะ



         เมื่อเป็นเช่นนี้จึงขอพูดถึงแนวทางการบริหารงานและใช้คนของซุนกวนสักนิด เขาเป็นผู้ที่ยึดนโยบายการบริหารในแนวทาง "เมื่อใช้งานแล้วไม่ระแวง" ซึ่งเป็นแนวทางการบริหารเดียวกับนักบริหารจำนวนมากในยุคนี้ นั่นคือก่อนจะเริ่มโครงการอะไรสักอย่างจะมีการประชุมร่วมกันกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดทิศทางนโยบายและเป้าหมายหลักของงาน จากนั้นก็มอบนโยบายนั้นให้แก่ทีมงานฝ่ายปฏิบัติเป็นผู้ลงมือทำ โดยจะต้องมีคนรับผิดชอบสูงสุดอยู่คนหนึ่ง ซึ่งงานนี้ก็คือจิวยี่ที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุด ทำหน้าที่ควบคุมทหาร บัญชากองทัพ วางแผนการศึก และนำทัพออกรบเพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมาย โดยที่ตัวของซุนกวนในฐานะผู้บริหารสูงสุดจะไม่เข้ามาก้าวก่ายหรือแทรกแซงแต่อย่างใด ซึ่งเขาทำด้วยการมอบกระบี่อาญาสิทธิ์ให้แก่จิวยี่เพื่อเป็นการมอบอำนาจสิทธิ์ขาดสูงสุดในการศึกอย่างเต็มที่ การใช้คนและบริหารงานในแนวทางนี้เป็นการผ่อนแรงของตัวซุนกวนเองมาก เขามีหน้าที่แค่คอยติดตามผลงานและรับฟังสถานการณ์ต่างๆอยู่เบื้องบน บางครั้งก็อาจจะเสนอความเห็นหรือแนวทางลงมาบ้าง แต่อำนาจการทำงานทั้งหมดเป็นของจิวยี่



         จะว่าไประบบการบริหารของซุนกวนค่อนข้างจะเป็นแบบบริษัทมหาชนมากที่สุด เมื่อเทียบกับของเล่าปี่และโจโฉซึ่งจะออกไปในแนวเจ้าของกิจการซะมากกว่า



         ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจหากก๊กง่อจะเป็นก๊กที่มีสภาพเศรษฐกิจดีที่สุดและมีคนเก่งขึ้นมารับตำแหน่งสูงสุดทางการทหารอย่างต่อเนื่อง เพราะการบริหารแนวทางนี้เป็นการทำให้บุคลากรขององค์กรได้แสดงฝีมือออกมาอย่างเต็มที่ โดยอยู่ภายใต้การกุมหัวเรือของซุนกวนอีกที



         แนวการการบริหารของเล่าปี่นั้นเน้นพระคุณเป็นหลัก แต่ละคนจะมีตำแหน่งต่างกันไปตามความชอบความเกลียดและความสนิทสนมหรือผลประโยชน์ที่มีให้ จะเห็นว่าคนในตำแหน่งสูงของเล่าปี่มีไม่น้อยที่ไม่ใช่คนที่มีความสามารถอะไรนัก เพียงแต่มีบารมีหรือมีผลประโยชน์เฉพาะหน้าให้แก่เล่าปี่ในตอนนั้นเท่านั้นเอง เช่นพวกงออี้ งอปั้น สองแม่ทัพในตำแหน่งใหญ่ ที่ได้ดีเพราะเกี่ยวดองเป็นเขยของเล่าปี่ เคาเจ้งนักวิชาการชราที่ได้ดีเพราะมีชื่อเสียง



         ส่วนโจโฉนั้นเดินสายพระเดช จุดเด่นอยู่ที่มีระบบการให้รางวัลและบทลงโทษที่ชัดเจนมาก เขาเน้นคนที่ความสามารถเป็นหลัก คนที่จะมาทำงานให้เขาต้องมีความสามารถตรงตามตำแหน่งงาน ไม่เช่นนั้นไม่มีทางอยู่ได้ เขาไม่สนใจชาติกำเนิด ประวัติ หรือที่มา ต่อให้เป็นคนเลว โจรร้ายแค่ไหรน หากมีความสามารถเขาก็พร้อมจะรับใช้งาน นโยบายนี้เป็นการเปิดกว้างมากที่ทำให้เขาได้คนเก่งมากมายมาอยู่ด้วย แม้จะมีพวกที่ขวางคลองอยู่บ้าง เขาก็จะใช้งานไปก่อนและตัดทิ้งภายหลังเช่นพวกเขาฮิว เอียวสิ้ว ส่วนพวกที่มีความแค้นกันมาก่อนแต่มีความสามารถสูง เขาก็รับไว้ และใช้ให้ทำงานสำคัญๆ หากว่าไม่ทำตัวขวางคลองเช่นกาเซี่ยง แต่นโยบายนี้ก็มีข้อเสียตรงที่ทำให้ได้คนที่ไม่มีความจริงใจมาอยู่ด้วย และไม่ใช่แค่ไม่จริงใจธรรมดา แต่ยังร้ายกาจและแสบสันต์มาก เช่นคนอย่างสุมาอี้



         ในด้านการทหารนั้นเล่าปี่มอบอำนาจเต็มแก่ขงเบ้งในการบัญชาทัพ ส่วนโจโฉไม่ไว้ใจใคร และบังคับบัญชากองทัพเอง ซุนกวนคล้ายเล่าปี่ที่มอบอำนาจเต็มแก่จิวยี่ แต่ซุนกวนเหนือกว่าตรงที่แม้สิ้นจิวยี่ไป ก็ยังสามารถดันคนอย่างโลซก ลิบอง ลกซุนขึ้นมารับช่วงแทนได้อย่างไม่เคอะเขิน 



         ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าซุนกวนคือนักบริหารคนมือหนึ่งแห่งยุคสามก๊ก



         ย้อนกลับไปนิดนึงถึงเรื่องวิสัยทัศน์ของซุนกวน ตอนที่จิวยี่ชักชวนโลซกให้มาอยู่กับซุนกวนนั้น ทั้งคู่ได้นอนปรึกษาถึงเรื่องบ้านเมืองด้วยกันทั้งคืน ซึ่งโลซกได้เสนอนโยบายการรวมประสานเพื่อต้านโจโฉขึ้นมา จนนโยบายนี้กลายเป็นนโยบายหลักของง่อก๊กในภายหลังที่เรียกว่านโยบายบนยี่ภู่



         ซุนกวนได้มอบหมายงานสำคัญและตำแหน่งที่ปรึกษาสำคัญให้แก่โลซก ซึ่งการก้าวกระโดดแบบพรวดพราดในฐานะขุนนางของโลซกทำให้บรรดาขุนนางเก่าๆบางคนในง่อไม่ค่อยชอบใจนัก โดยเฉพาะเตียวเจียวที่เป็นที่ปรึกษาใหญ่ เพราะโลซกนับเป็นคนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้าที่มีวิสัยทัศน์ ความนึกคิดที่ผิดแผกไปจากเหล่าที่ปรึกษาเก่าๆของตระกูลซุนทั้งหลาย



         โลซกนั้นเป็นคนหนุ่มอายุรุ่นเดียวกับจิวยี่ และได้รับงานสำคัญจากซุนกวนในฐานะตัวกลางคอยประสานพันธมิตรกับฝ่ายเล่าปี่ ซึ่งซุนกวนไว้วางใจมอบหน้าที่นี้ให้เขาอย่างเต็มที่จนเตียวเจียวอดแขวะไม่ได้ว่าโลซกนั้นยังอายุน้อย ยังถ่อมตนและมีประสบการณ์ไม่มากพอ แต่ซุนกวนไม่สนใจและไว้ใจให้โลซกทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังจนพันธมิตรเล่า-ซุนมั่นคงแข็งแกร่ง สามารถต้านทานกองทัพของโจโฉได้ นับว่าการใช้งานโลซกของซุนกวนเองก็เข้าหลักใช้งานแล้วไม่ระแวงเช่นกัน



         ระหว่างที่ศึกเซ็กเพ็กดำเนินผ่านไป ซุนกวนมิได้มีบทบาทมากนัก เพราะอำนาจสั่งการทหารเขามอบให้จิวยี่ไปจนหมด แต่การที่เขาใช้งานจิวยี่แล้วสามารถเอาชนะทัพนับแสนของโจโฉในศึกนี้ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ซุนกวนถือว่าประสบความสำเร็จในฐานะของผู้นำที่ใช้คนเป็นและมองคนได้ทะลุคนหนึ่ง



         หลังศึกใหญ่ผ่านไปซุนกวนก็ต้องมานั่งปวดหัวกับปัญหาเรื่องใหม่นั่นคือเล่าปี่ผู้เป็นพันธมิตรค่อนข้างจะมีลูกเล่นกับเขาสูงมาก ด้วยการยึดเอาหัวเมืองใหญ่ทั้งห้าและหัวเมืองเล็กอีกสี่ของแดนเกงจิ๋วไปในช่วงที่ง่อรบกับโจโฉ ทั้งที่การขับไล่โจโฉไปนั้น ถือเป็นผลงานแห่งชีวิตของจิวยี่



         ซุนกวนมอบหมายให้จิวยี่หาทางเอาหัวเมืองต่างๆของเกงจิ๋วกลับมา เพราะในแง่ยุทธ์ศาสตร์ หัวเมืองต่างๆของเกงจิ๋วถือเป็นประตูสู่ภาคกลางและภาคตะวันตกซึ่งจะช่วยรับรองความปลอดภัยให้ล่อในอนาคตได้ ซึ่งจิวยี่ได้ใช้ให้โลซกดำเนินการทางการทูตอีกต่อหนึ่ง แต่ก็ไม่ค่อยได้ผลและเพราะเล่ห์ของขงเบ้ง โลซกยังจำต้องทำสัญญาให้ยืมเมืองเกงจิ๋วกับเล่าปี่อีกต่างหาก 



         แสดงว่าความสามารถในการใช้คนของซุนกวนเองก็ยังมีข้อบกพร่อง โลซกนั้นเป็นคนมีมารยาท พูดจาดี ใจกว้าง และวิสัยทัศน์ไกลแต่เขาเหมาะกับการทูตในรูปแบบที่ต้องการผูกมิตรกับผู้อื่น การทวงเกงจิ๋วจำต้องอาศัยการทูตอีกรูปแบบนั่นคือการทูตที่ใช้เล่ห์กลและมุ่งผลลัพธ์เป็นหลัก ซึ่งค่อนข้างเหมาะกับขงเบ้ง ดังนั้นในการเจรจาเรื่องเกงจิ๋วโลซกจึงไม่อาจทวงได้ อันนี้ต้องโทษซุนกวนเองที่ใช้คนใจดีอย่างโลซกไป ซึ่งอาจเพราะซุนกวนมองว่าโลซกมีมิตรภาพอันดีกับฝ่ายเล่าปี่ จึงน่าจะทวงกลับมาได้ แต่เขาหารู้ไม่ว่าเล่าปี่และขงเบ้งคือโคตรของนักการเมืองผู้มีความสามารถในการดึงเกมให้เอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายตนโดยไม่สนใจวิธีการ ดังนั้นงานนี้ซุนกวนจึงต้องหน้าแตก และได้แต่เก็บความเจ็บใจไว้



         หลังจากจิวยี่ป่วยตายลง ซุนกวนก็ได้ตั้งโลซกขึ้นมารับสืบทอดอำนาจทางทหารต่อ สไตล์ของจิวยี่และโลซกนั้นค่อนข้างต่างกันมาก จิวยี่เป็นแม่ทัพผู้เก่งในการวางแผนและบัญชาการศึกเรียกว่าครบเครื่องไม่ว่าจะเป็นแนวหน้าหรือแนวหลังก็ได้ เปรียบไปจิวยี่ก็คือโจโฉในด้านที่เย็นกว่า ส่วนโลซกนั้นไม่ได้เป็นผู้ออกศึกเองในแนวหน้าแต่กำหนดแผนการรบอยู่ด้านหลัง ในนิยายสามก๊กเองก็ไม่ได้บรรยายว่าโลซกเป็นยอดนักวางแผนในการศึกที่เก่งกาจอะไร เพียงแต่ในเรื่องของวิสัยทัศน์ และการวางนโยบายให้กองทัพนั้น เขาถือว่าเป็นอันดับต้นๆในยุคนั้น แต่ซุนกวนก็เอาจุดเด่นตรงนี้ของโลซกมาใช้ในการคุมกองทัพใหญ่ได้อย่างดี



         ในช่วงนั้นเองที่ซุนกวนเกิดอยากจะลองเป็นฝ่ายบุกโจโฉดูบ้าง และได้บัญชาการนำทัพออกศึกเองที่หับป๋าโดยบัญชาการทหารไปถึงแสนคน แต่ในศึกนั้นซุนกวนต้องเจอกับแม่ทัพเตียวเลี้ยว ยอดขุนพลผู้ที่ภายหลังกลายเป็นสุดยอดแม่ทัพของฝ่ายวุยเมื่อเขาสามารถใช้กำลังพลเพียง 800 คน ยันทัพใหญ่กว่าแสนคนของซุนกวนได้



         เตียวเลี้ยวยันจนกระทั่งโจโฉนำทัพใหญ่มาถึง และการศึกครั้งใหญ่ก็ระเบิดขึ้น ตัวซุนกวนซึ่งออกรบเองในแนวหน้านั้นก็เกือบพลาดท่าในสนามรบ แต่ก็สามารถรอดมาได้หวุดหวิด และในศึกนี้เองกำเหลงแม่ทัพอดีตโจรสลัดของซุนกวนก็ได้สร่างชื่อจนระบือในฐานะแม่ทัพสายเลือดใหม่ของยุคด้วยการนำหน่วยกองโจรผู้ไม่กลัวตายจำนวนร้อยกว่าคน ซุ่มเข้าโจมตีค่ายของโจโฉ โดยตัวเขาบุกตะลุยอย่างบ้าบิ่นและเกือบจะเข้าถึงตัวโจโฉเลยด้วยซ้ำไป



         ดังนั้นในศึกนี้ซุนกวนจึงปล่อยคำพูดอมตะคำหนึ่งที่ว่า "โจโฉมีเตียวเลี้ยว ข้ามีกำเหลง" และเป็นการประกาศชื่อของสองแม่ทัพผู้เข้มแข็งและกล้าบ้าบิ่นสองคนนี้ขจรขจายไปทั่วแผ่นดิน



         หลังจากนั้นโจโฉกับซุนกวนก็ได้หย่าศึกออกไปพร้อมกันเมื่อเห็นว่าไม่อาจทำอะไรกันได้มากกว่านี้ ซึ่งโจโฉเองก็ได้กล่าวชมซุนกวนว่า "มีบุตรต้องให้ได้อย่างซุนกวน" สิ่งนี้คือการแสดงให้เห็นว่าในบรรดาผู้นำรุ่นหนุ่มของยุคนั้น หากไม่นับตัวเขาและเล่าปี่ที่เขาเคยยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษเมื่อครั้งดื่มสุราถกวีรบุรุษเมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว ซุนกวนนับว่าเป็นวีรบุรุษอีกคนของยุคนี้



         หลังศึกนี้ได้ไม่นาน โลซกก็ป่วยตาย นั่นคือจุดเริ่มที่ทำให้พันธมิตรเล่า-ซุนเกิดรอยร้าวเมื่อขาดคนคอยประสานอย่างโลซกไป โดยซุนกวนได้ตั้งให้ลิบองแม่ทัพหนุ่มอีกคนซึ่งกำลังเริ่มมีชื่อเสียงในวงการในฐานะของบุคคลตัวอย่างที่ไต่เต้ามาจากทหารชั้นล่างที่ไม่รู้หนังสือแต่อาศัยความขยัน ศึกษาพิชัยสงครามจนแตกฉาน ให้ขึ้นมารับตำแหน่งคุมกองทัพต่อ



         จะว่าไปการที่ลิบองสามารถกลายเป็นแม่ทัพแถวหน้าของยุคได้นั้นก็มาจากการผลักดันของซุนกวน เป็นเขานี่เองที่สนับสนุนให้ลิบองศึกษาหาความรู้ จนแตกฉาน กระทั่งโลซกที่เคยมองลิบองไม่ขึ้น ยังกล่าวยกย่องและยอมรับลิบองมากในภายหลัง



         ลิบองได้คุมกองทัพมาประจำอยู่ที่กังแฮ เพื่อถ่วงดุลกับทางกวนอูที่กังเหลง ซึ่งตอนนี้สภาพพันธมิตรใกล้แตกหักเต็มทน



         ในบรรดาแม่ทัพสายเลือดใหม่ของแผ่นดินจีนในตอนนั้น ชื่อของลิบองได้ผงาดขึ้นมาพร้อมๆกับกลุ่มของซิหลง เตียวคับ ม้าเฉียว อุยเอี๋ยน กำเหลง แม้กระทั่งกวนอูเองก็ยังไม่กล้าประมาทเมื่อมีลิบองตั้งทัพจ่อคอเกงจิ๋วอยู่



         ลิบองหาจังหวะยึดเมืองเกงจิ๋วอยู่ แต่กวนอูนั้นระวังตัวแจจนไม่อาจทำได้ แม้กวนอูจะรุกขึ้นเหนือและรบกับโจหยินอยู่ก็ตาม เผอิญว่าลกซุนซึ่งตอนนั้นเป็นทหารชั้นผู้น้อยถูกส่งมาช่วยงานที่เกงจิ๋วจึงได้เสนอแผนการลวงให้กวนอูตายใจ



         ลกซุนแนะให้ลิบองแกล้งป่วยส่วนตัวเองรับหน้าที่ดูแลกังแฮและส่งจดหมายไปหากวนอูในเชิงให้ความเคารพและยกยอกวนอูจนตัวลอย เมื่อกวนอูคลายความระแวงยกทัพขึ้นเหนือเต็มกำลัง ลิบองก็อาศัยช่วงนั้นนำกำลังทหารลอบเข้าเกงจิ๋วและยึดมาโดยง่าย



         กวนอูอยู่ในสภาวะทางตันรุกไม่ได้ ถอยไม่ได้ ในที่สุดก็ถูกลิบองจับตัวได้และถูกประหาร



         ซุนกวนดีใจมากกับความสำเร็จที่ลิบองสามารถเอาเมืองเกงจิ๋วคืนมาและยกย่องลิบองว่าเหนือกว่าจิวยี่และโลซกซะอีก แต่ไม่นานนักลิบองก็ป่วยตาย



         กรณีเรื่องการยึดเกงจิ๋วของลิบองนี้ มีการวิจารณ์ว่าอาจเป็นการทำเองโดยพลการของลิบองที่มุ่งมั่นจะสร้างชื่อ เพราะยุทธ์ศาสตร์และนโยบายที่โลซกทิ้งไว้ให้แก่ซุนกวนก่อนตายนั้น คือการผูกมิตรเล่าปี่ตีโจโฉ โลซกทุ่มเทให้เรื่องนี้มากเพราะเขาเข้าใจดีกว่าการจะต้านโจโฉที่มีกองทัพมหาศาลได้ ต้องผูกมิตรกับเล่าปี่เพียงเท่านั้น แต่ซุนกวนกลับมองเพียงแค่เรื่องจะเอาเกงจิ๋วคืนเป็นหลัก เมื่อตอนโลซกยังอยู่เขาก็ยังเกรงใจและทำตามแนวทางนี้ แต่เมื่อสิ้นโลซก แม้จะยึดแนวทางนี้เป็นหลัก แต่เมื่อลิบองมีกลยุทธ์ที่จะเอาเกงจิ๋วคืนมาโดยที่ต้องสังหารกวนอู เขาก็ไม่ทัดทาน   

 

         สุดท้ายด้วยความต้องการเฉพาะหน้าและการเลือกวิธีแตกหักด้วยการสังหารกวนอู ทำให้นำไปสู่ความแค้นที่ไม่อาจอภัยกับเล่าปี่ได้



         ในปีค.ศ.221 เล่าปี่ที่เก็บความแค้นมาเกือบ 2 ปี ได้ตัดสินใจยกทัพใหญ่ถึง 7 แสนคนบุกง่อก๊กหมายล้างแค้นให้กวนอู ศึกนี้มีชื่อว่าศึกอิเหลง



         ทัพของเล่าปี่บุกตามรายทางสามารถตีเมืองต่างๆได้ จนซุนกวนผวาและแทบจะย้ายเมืองหนี เขายื่นข้อเสนอหวังคืนความเป็นพันธมิตรแต่ไม่สำเร็จ จึงเรียกประชุมด่วนเพื่อแก้ไขสภาวะฉุกเฉิน



         เวลานั้นแม่ทัพคนสำคัญเก่าๆของง่อได้ล้มตายไปมาก พวกที่เหลืออยู่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะนำกองทัพรบกับทัพอันใหญ่โตของเล่าปี่ได้ แถมยังต้องระวังโจผีแห่งวุยที่พร้อมจะหาโอกาสบุกอีกทางทุกเมื่อ



         ซุนกวนเป็นผู้ที่ยอมพลิกแพลงและพร้อมจะละทิ้งศักดิ์ศรีหากว่ามันสามารถจะรักษาก๊กและบ้านเมืองของตนไว้ได้ เขาจึงส่งบรรณาการยอมรับและเป็นข้าของโจผี ทั้งนี้เพื่อจะได้สามารถรวมศูนย์กองทัพทั้งหมดมาตั้งรับการรุกของเล่าปี่ได้



         ปัญหาต่อมาคือจะให้ใครมารับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ในครั้งนี้ หลังจากลิบองตายลงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารก็ว่างลงเพราะยังหาผู้เหมาะสมไม่ได้ ในที่ประชุมต่างถกกันเครียด ตัวซุนกวนเองก็กังวลใจมาก จนกระทั่งขุนนางชื่องำเต๊กได้เสนอชื่อของลกซุนขึ้นมา



         ลกซุนนั้นเป็นเพียงนายทหารชั้นผู้น้อยและยังเป็นบัณฑิตที่สำคัญอายุยังน้อย จึงมีเสียงคัดค้านมากโดยเฉพาะจากกลุ่มอาวุโสเช่นเตียวเจียว แต่งำเต๊กถึงกับเอาชีวิตตนและครบครัวเป็นประกันว่าหากไม่ใช้ลกซุน ง่อคงอวสาน ซุนกวนจึงยอมตามคำขอ



         และในที่สุดก็ไม่พลาด ลกซุนกลายเป็นวีรบุรุษผู้เผาทำลายกองทัพ 7 แสนของเล่าปี่จนวอดวายและทำให้ง่อประกาศศักดากลายเป็นแคว้นที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจจะรุกรานเข้ามาได้



         หลังจากศึกอิเหลงจบลง ซุนกวนได้มอบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารให้แก่ลุกซุน ส่วนเรื่องการบริหารงานบ้านเมืองนั้นยังคงอาศัยเตียวเจียว โกะหยง จูกัดจิ๋นเป็นหลัก กระทั่งในปี ค.ศ.229หลังจากที่เล่าปี่และโจผีได้สถาปนาตนเป็นฮ่องเต้กันหมดแล้ว ซุนกวนก็สถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ ณ เมืองเกี๋ยนเงียบ ประกาศตนไม่ขึ้นกับวุยอีก



         หลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว ซุนกวนก็ยังคงดำเนินนโยบายตั้งรับมากว่ารุก โดยความเป็นพันธมิตรระหว่างง่อและจ๊กนั้นได้คืนกลับมาก่อนหน้านั้นหลายปี ด้วยความสามารถของทูตเจรจาที่ขงเบ้งส่งมานามเตงจี๋



         หลังจากนั้นซุนกวนก็ด้ส่งทูตเจรจาไปที่จ๊กบ้าง นั่นคือเตียวอุ๋นยอดนักการทูตที่เคยช่วยให้วุยกลายเป็นพันธมิตรของง่อเมื่อหลายปีก่อน



         เตียวอุ๋นเมื่อได้เข้าพบขงเบ้งนั้น ได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติ และได้รับการเปิดหูเปิดตาจากเหล่านักปราชญ์ บัณฑิตที่รับราชการกับขงเบ้ง จนเมื่อเตียวอุ๋นกลับไปที่ง่อแล้วได้บรรยายถึงความยอดเยี่ยมและความรอบรู้ของผู้คนที่จ๊กก๊กแก่ซุนกวน



         ซุนกวนได้ฟังคำเยินยอของเตียวอุ๋นต่อเหล่าบัณฑิตในจ๊กก๊กรวมถึงแนวทางการบริหารแล้วก็ไม่พอใจ หาว่าเตียวอุ๋นเอาใจออกห่างตน ดังนั้นเตียวอุ๋นจึงถูกปลดออกจากราชการ



         จะเห็นว่าซุนกวนเริ่มแสดงข้อเสียทางด้านนิสัยของตนออกมาแล้วลังจากที่ได้เป็นฮ่องเต้



         ซุนกวนนั้นโดยธาตุแท้แล้วเป็นคนวู่วามใจร้อน แต่เมื่อก่อนที่ข้อเสียนี้ไม่ส่งผลออกมาเพราะมีคนมากมายที่ปรามเขาได้ และเขาก็ยอมฟังคนเหล่านั้นเนื่องจากถือว่าตนอายุไม่มากและต้องใช้งานคนเหล่านั้นในการสร้างบ้านเมืองและรบกับศัตรู เช่นจิวยี่ โลซก เตียวเจียว แต่บัดนี้เมื่อได้อำนาจสูงสุดมาอย่างที่หวัง และตนก็มีฐานะสูงส่งผิดกับแต่ก่อน จึงเริ่มเบื่อที่จะฟังในสิ่งที่คนขัดใจ ซึ่งมีบันทึกว่าหากมีขุนนางคนไหนวิจารณ์การบริหารของเขา หรือเขาไม่พอใจใครก็จะสั่งปลดไม่ก็ลงโทษอย่างรุนแรง จนผู้คนขยาดไปตามๆกัน และไม่มีขุนนางคนใดกล้าจะทักท้วงต่อซุนกวนอีก



         อีกเรื่องคือซุนกวนไม่ค่อยจะถูกโรคกับพวกนักวิชาการหรือขุนนางฝ่ายบุ๋น เขาชื่นชมเหล่านักรบที่ใช้กำลังมากกว่าอาจเพราะเหล่าคนที่เขาใช้งานแล้วประสบความสำเร็จนั้นส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มทั้งสิ้น ในราชสำนักของง่อช่วงหลังจึงขาดแคลนบุคลากรทางบุ๋นซึ่งเปี่ยมไปด้วยมารยาทและศีลธรรมจรรยาที่ดี



         ในปี ค.ศ.232 ซุนกวนจัดทัพใหญ่เป็นสามสายเพื่อบุกวุยตามสัญญาพันธมิตรกับขงเบ้ง ซึ่งตัวเขานำทัพบุกเองทางหนึ่ง อีกสองสายเป็นหน้าที่ของลกซุน และจูกัดจิ๋นทัพหน้า



         แต่ทัพหน้าของจูกัดจิ๋นพี่ชายของขงเบ้งนั้นประมาทข้าศึกจึงถูกลอบโจมตีและแตกพ่ายยับเยิน ดังนั้นลกซุนจึงเปลี่ยนแผนและหาทางให้สามทัพถอยกลับอย่างปลอดภัย ซึ่งก็ทำได้สำเร็จ แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าแม้ง่อจะเป็นเลิศในการตั้งรับ แต่พวกเขาก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเป็นฝ่ายรุกเพื่อเอาชนะวุยได้



         ซุนกวนเริ่มคิดถึงเรื่องการบุกวุยอีก และใช้ชีวิตในช่วงท้ายของการครองราชย์หมดไปในการหาความสุข การที่ซุนกวนไม่ใส่ใจราชกิจนี่เองทำให้ในราชสำนักของง่อช่วงหลังเต็มไปด้วยความวุ่นวายเพราะลูกๆของซุนกวนที่มีหลายคนต่างพยายามแย่งชิงอำนาจกันเอง



         ในที่สุดเมื่อถึงปี ค.ศ.252 ซุนกวนในวัย 70 ปีก็สิ้นพระชนมลง พระเจ้าซุนเหลียงได้ขึ้นครองราชย์สืบมาภายใต้การค้ำบัลลังก์ของจูกัดเก๊ก บุตรของจูกัดจิ๋น ส่วนพระเจ้าซุนกวนได้รับการอวยยศให้เป็นต้าหวงตี้



         เรื่องของผู้นำคนที่สามแห่งสามก๊กก็จบลงตรงนี้.......... 

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร