สามก๊ก ฉบับนักบริหาร : บทที่ 2 เล่าปี่พบทองแท้บนกองทราย
ขุนพลโฮจิ๋นนำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ จึงโปรดให้มีสารตราแจ้งไปยังทุกหัวเมือง เปิดรับอาสาสมัคร หากผู้ใดมีฝีมือกล้าหาญช่วยปราบม็อบโจรโพกผ้าเหลืองได้ ทางการจะปูนบำเหน็จความดีความชอบให้เป็นขุนนาง ข่าวนี้แพร่ออกไปเปิดโอกาสให้ชาวบ้านกลุ่มเป้าหมาย มองเห็นหนทางสร้างความก้าวแก่ชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม ต่างทยอยสมัครเข้าเป็นทหารกันมากมาย
สถานการณ์บ้านเมืองของจีนในตอนนั้น ว่ากันตามจริงแล้ว รัฐก่อม็อบชนม็อบ ปลุกปั่นให้ผู้คนในแผ่นดินเข่นฆ่ากันเอง ก๊กกับก๊วนต่าง ๆ ประดาหน้าออกมาอ้างประกาศความรักชาติ รักบ้านเมือง รักประชาชน แต่ส่วนใหญ่ขาดอุดมการณ์ ขาดความสัตย์ซื่อ ขาดความถูกต้อง และขาดความเที่ยงธรรม
สังคมจีนยุคนั้นเป็นยุคที่ขาดการบริหารแบบธรรมาภิบาล และที่สำคัญที่สุด ขาดผู้นำดีเด่นที่ชัดเจนเด็ดขาด เป็นที่ศรัทธาของปวงชนสามารถกอบกู้สถานการณ์บ้านเมืองให้สงบราบคาบลงได้ และในครั้งนั้น ณ ตลาดเมืองตุ้นก้วน มีชายสามคนมาประจัญหน้าพบกันโดยบังเอิญ
คนแรกชื่อ เล่าปี่ เป็นคนทอเสื่อขาย เมื่อน้อยเรียนหนังสืออยู่ชื่อ เหี้ยนเต็ก เป็นบุตรเล่าเหงขุนนางคงแก่เรียน เล่าเหงเป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าฮั่นเกงเต้ แต่เสียชีวิตเมื่อยังหนุ่ม ครอบครัวเล่าปี่กับมารดาจึงตกยากอาศัยอยู่ที่เมืองตุ้นก้วน ยึดอาชีพทอเสื่อกับร้องเท้าฟางขายเลี้ยงชีวิต ณ หมู่บ้านเล่าซองฉุน
คนต่อมาชื่อกวนอู เมื่อน้อยชื่อ หุนเตี๋ยง เป็นชาวเมืองฮอตังไกเหลียง สูง 9 ฟุตจีน หน้าแดงดั่งผลพุทราสุก ปากแดงดังชาดแต้ม ตาดั่งนกการะเวก คิ้วดั่งตัวไหม กิริยาท่าทางองอาจน่าเกรงขาม เป็นคนขายถั่วในตลาด เป็นคนสัตย์ซื่อ รักความยุติธรรม เห็นคนมีฐานะดีสามหาวข่มเหงคนทั้งปวง ทนไม่ได้เลยฆ่าเสีย หลบคดีอาญาหนีกระเซอะกระเซิงมาหลายเมือง จนมาโผล่ที่เมืองนี้
คนที่สามชื่อ เตียวหุย เมื่อน้อยชื่อเอ๊กเต๊ก สูง 8 ฟุตจีน ศีรษะเหมือนเสือดาว ตาโต คางแหลม หนวดแหยมดั่งเสือ เสียงดั่งฟ้าร้อง กิริยาดั่งม้าดีดกะโหลก เป็นคนขวานผ่าซาก พูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์กลสาไถยกับใคร เตียวหุยผู้นี้เป็นคนมีฐานะดี มีทรัพย์สินไร่นาเป็นอันมาก ตั้งร้านขายหมูขายสุราอยู่ในเมืองตุ้นก้วน รักที่จะคบหาคนดีมีสติปัญญา
ทั้งสามคนพบสนทนาถูกคอกัน ต่างพบว่ามีอุดมการณ์ตรงกัน ยิ่งรู้ว่าเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าฮั่นเกงเต้ ก็ยิ่งเลื่อมใส เห็นลักษณะท่าทางเล่าปี่เยือกเย็นสุขุม เจรจาหลักแหลม มีจิตใจดี รูปร่างสูง หูยานถึงบ่า มือยาวถึงเข่า ตายาวชำเลืองไปเห็นใบหู ผิวนวลดั่งหยอก ริมฝีปากแดงดั่งแต้มชาต
เตียวหุยจำได้ว่าบ้านที่เล่าปี่อยู่นั้นชื่อบ้านเล่าซองฉุน เรือนนั้นปลูกอยู่ริมต้นหม่อนสูง 8 วา มีกิ่งเป็นพุ่มดั่งฉัตร ซินแสหมอดูเดินมาเห็นภูมิบ้านกับต้นหม่อนต้องตำรา จึงทายว่าบ้านนี้เป็นที่อยู่ของผู้มีบุญ ชะรอยเล่าปี่ต้องเป็นผู้มีบุญตามที่ซินแสทำนายไว้
เล่าปี่ใช้คุณลักษณะของความเป็นผู้นำ ที่ยืนอยู่บนฐานแห่งความถูกต้องชอบธรรม สมถะ มักน้อย ที่เป็นต้นทุนสำคัญของเล่าปี่ คือ พูดจาไพเราะหูชักจูงผู้คนได้ผลสัมฤทธิ์ เมื่อกวนอูกับเตียวหุยพนมมือคำนับเล่าปี่ พร้อมปวารณาจะถวายชีวิตให้ความร่วมมือก่อการใหญ่กู้ชาติบ้านเมือง เล่าปี่พนมมือคำนับตอบ พร้อมทั้งหลั่งมธุรสวาจาให้กวนอูกับเตียวหุยว่า
"พวกท่านเปรียบเสมือนผู้นำฟืนมาให้ยามหนาว มาบัดนี้ ข้าฯ ได้พบทองแท้บนกองทรายแล้ว นับว่าสวรรค์เมตตาให้วาสนาข้าฯ ได้มาพบกับท่านทั้งสอง.... "
กวนอูเลื่อมใสเล่าปี่ ถึงกับออกปากเผยความในใจออกมาว่า
" นกดีต้องรู้จักเลือกกิ่งไม้เกาะ คนฉลาดต้องรู้จักเลือกนาย...."
หลังบ้านเตียวหุย ดอกท้อกำลังบานเต็มสวน ทั้งสามจัดเครื่องเซ่นไหว้ คุกเข่าตั้งสัตย์ปฏิญาณต่อฟ้าดินสาบานเป็นพี่น้องกัน"สามใจรวมเป็นหนึ่ง ดินเหลืองกลายเป็นทอง แม้นมิได้เกิดวันเดือนปีเดียวกัน แต่ขอตายวันเดือนปีเดียวกัน..."
ล่อกวนตงร่ายโศลกการสาบานของสามพี่น้องวีรชนในสวนท้อไว้ดังนี้.-
"คารวะหนึ่ง ยามจลาจล มาพบ คนรู้ใจ
ดอกท้อยิ้ม บานไสวส่อง แท่นบวงสรวง
ปณิธานสร้างสันติ แทนคุณชาติ ประกาศวีรกรรม
คารวะสอง จงภักดีหาญกล้า ทุกข์ยากร่วมฝ่าฟัน สัญญาไม่แยกกัน
คารวะสาม ถึงตายไม่แปรผัน ดินฟ้าตะวันจันทรา ยิ่งเสริมเติมใจ ให้หาญกล้า..."
ด้วยทุนเงินของเตียวหุย สามพี่น้องร่วมสาบานเกลี้ยกล่อมชาวบ้านได้300 คนจัดตั้งกองอาสาสมัครประชาชนขึ้น ผลิตอาวุธเท่าที่จำเป็น เล่าปี่หาช่างตีเหล็กทำกระบี่ 2 เล่มเป็นคู่มือ กวนอูให้ช่างตีเป็นง้าวยาว 11 ศอก หนัก 82 ชั่ง ส่วนเตียวหุยใช้อาวุธทวนยาว 10 ศอก ทำเครื่องเกราะกับอานม้าสำหรับออกรบ แล้วเล่าปี่ก็พาพลพรรคไปอาสาสมัครต่อเล่าเอี๋ยนเจ้าเมืองตุ้นก้วน คนแซ่เดียวกันกับเล่าปี่
เพียงไม่กี่วัน ทหารเอกของเตียวก๊กโจรโพกผ้าเหลืองชื่อเทียอ้วนจี้ ยกพลห้าหมื่นมาประชิดแดนเมืองตุ้นก้วน เล่าเอี๋ยนจึงสั่งให้เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยคุมพลห้าร้อยคนไปจับโจร แม้ว่ากำลังจะน้อยกว่าร้อยเท่า ในการรบครั้งแรก กวนอูใช้ฝีมือง้าวฟันเทียอ้วนจี้ทหารเอกโจรโพกผ้าเหลืองตัวขาดสองท่อนตกจากม้าตายเป็นประเดิม ส่วนเตียวหุยใช้ทวนแทงเตงเมารองแม่ทัพตกม้าตายเช่นเดียวกัน ขาดแม่ทัพพวกโจรก็แตกกระจาย ถูกจับได้เป็นจำนวนมาก
ในการรบครั้งที่สองที่เมืองเฉงจิ๋ว สามสหายร่วมสาบานเอาชนะโจรโพกผ้าเหลืองได้อีก ระหว่างทางพบโลติดผู้เคยเป็นครูของเล่าปี่ถูกข้าหลวงคุมคนโทษจับใส่กรง ทั้ง ๆ ที่โลติดคุมทหารหลวงรบกับเตียวก๊กที่เมืองกงจ๋ง เล่าปี่โจนลงจากหลังม้าด้วยความตกใจ สอบได้ความว่า ขณะที่โลติดล้อมเตียวก๊กกำลังจะได้ชัยอยู่แล้ว พระเจ้าเลนเต้ใช้จูฮงขันทีมาตรวจราชการ จูฮงพยายามรีดไถเรียกสินบนของกำนัล พอไม่ได้จูฮงก็โกรธ กลับไปเพ็ดทูลว่าโลติดนั่งกินนอนกินไปวัน ๆ มิได้ใส่ใจรบพุ่ง ทรงเชื่อจูฮงขันที จึงสั่งให้จับโลติดไปรับโทษที่เมืองหลวง พร้อมกับสั่งให้ตั๋งโต๊ะที่คุมทหารนอกเมืองหลวงมาบัญชาการรบแทน
เตียวหุยได้ฟังเรื่องราวโกรธนัก ชักกระบี่ออกจะฆ่าผู้คุมเพื่อปล่อยตัวโลติด แต่เล่าปี่ห้ามไว้ เพราะนี่เป็นรับสั่งจากเมืองหลวง ทำอะไรลงไปจะมีความผิดต่อกฎหมายแผ่นดิน "เราจะทำราชการด้วยนั้นเห็นขัดสน ทำชอบอาจผิดอย่างครูโลติด... อย่ากระนั้นเลยเรากลับไปบ้านเราที่ตุ้นก้วนดีกว่า.."
สถานการณ์บ้านเมืองของจีนในตอนนั้น ว่ากันตามจริงแล้ว รัฐก่อม็อบชนม็อบ ปลุกปั่นให้ผู้คนในแผ่นดินเข่นฆ่ากันเอง ก๊กกับก๊วนต่าง ๆ ประดาหน้าออกมาอ้างประกาศความรักชาติ รักบ้านเมือง รักประชาชน แต่ส่วนใหญ่ขาดอุดมการณ์ ขาดความสัตย์ซื่อ ขาดความถูกต้อง และขาดความเที่ยงธรรม
สังคมจีนยุคนั้นเป็นยุคที่ขาดการบริหารแบบธรรมาภิบาล และที่สำคัญที่สุด ขาดผู้นำดีเด่นที่ชัดเจนเด็ดขาด เป็นที่ศรัทธาของปวงชนสามารถกอบกู้สถานการณ์บ้านเมืองให้สงบราบคาบลงได้ และในครั้งนั้น ณ ตลาดเมืองตุ้นก้วน มีชายสามคนมาประจัญหน้าพบกันโดยบังเอิญ
คนแรกชื่อ เล่าปี่ เป็นคนทอเสื่อขาย เมื่อน้อยเรียนหนังสืออยู่ชื่อ เหี้ยนเต็ก เป็นบุตรเล่าเหงขุนนางคงแก่เรียน เล่าเหงเป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าฮั่นเกงเต้ แต่เสียชีวิตเมื่อยังหนุ่ม ครอบครัวเล่าปี่กับมารดาจึงตกยากอาศัยอยู่ที่เมืองตุ้นก้วน ยึดอาชีพทอเสื่อกับร้องเท้าฟางขายเลี้ยงชีวิต ณ หมู่บ้านเล่าซองฉุน
คนต่อมาชื่อกวนอู เมื่อน้อยชื่อ หุนเตี๋ยง เป็นชาวเมืองฮอตังไกเหลียง สูง 9 ฟุตจีน หน้าแดงดั่งผลพุทราสุก ปากแดงดังชาดแต้ม ตาดั่งนกการะเวก คิ้วดั่งตัวไหม กิริยาท่าทางองอาจน่าเกรงขาม เป็นคนขายถั่วในตลาด เป็นคนสัตย์ซื่อ รักความยุติธรรม เห็นคนมีฐานะดีสามหาวข่มเหงคนทั้งปวง ทนไม่ได้เลยฆ่าเสีย หลบคดีอาญาหนีกระเซอะกระเซิงมาหลายเมือง จนมาโผล่ที่เมืองนี้
คนที่สามชื่อ เตียวหุย เมื่อน้อยชื่อเอ๊กเต๊ก สูง 8 ฟุตจีน ศีรษะเหมือนเสือดาว ตาโต คางแหลม หนวดแหยมดั่งเสือ เสียงดั่งฟ้าร้อง กิริยาดั่งม้าดีดกะโหลก เป็นคนขวานผ่าซาก พูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์กลสาไถยกับใคร เตียวหุยผู้นี้เป็นคนมีฐานะดี มีทรัพย์สินไร่นาเป็นอันมาก ตั้งร้านขายหมูขายสุราอยู่ในเมืองตุ้นก้วน รักที่จะคบหาคนดีมีสติปัญญา
ทั้งสามคนพบสนทนาถูกคอกัน ต่างพบว่ามีอุดมการณ์ตรงกัน ยิ่งรู้ว่าเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าฮั่นเกงเต้ ก็ยิ่งเลื่อมใส เห็นลักษณะท่าทางเล่าปี่เยือกเย็นสุขุม เจรจาหลักแหลม มีจิตใจดี รูปร่างสูง หูยานถึงบ่า มือยาวถึงเข่า ตายาวชำเลืองไปเห็นใบหู ผิวนวลดั่งหยอก ริมฝีปากแดงดั่งแต้มชาต
เตียวหุยจำได้ว่าบ้านที่เล่าปี่อยู่นั้นชื่อบ้านเล่าซองฉุน เรือนนั้นปลูกอยู่ริมต้นหม่อนสูง 8 วา มีกิ่งเป็นพุ่มดั่งฉัตร ซินแสหมอดูเดินมาเห็นภูมิบ้านกับต้นหม่อนต้องตำรา จึงทายว่าบ้านนี้เป็นที่อยู่ของผู้มีบุญ ชะรอยเล่าปี่ต้องเป็นผู้มีบุญตามที่ซินแสทำนายไว้
เล่าปี่ใช้คุณลักษณะของความเป็นผู้นำ ที่ยืนอยู่บนฐานแห่งความถูกต้องชอบธรรม สมถะ มักน้อย ที่เป็นต้นทุนสำคัญของเล่าปี่ คือ พูดจาไพเราะหูชักจูงผู้คนได้ผลสัมฤทธิ์ เมื่อกวนอูกับเตียวหุยพนมมือคำนับเล่าปี่ พร้อมปวารณาจะถวายชีวิตให้ความร่วมมือก่อการใหญ่กู้ชาติบ้านเมือง เล่าปี่พนมมือคำนับตอบ พร้อมทั้งหลั่งมธุรสวาจาให้กวนอูกับเตียวหุยว่า
"พวกท่านเปรียบเสมือนผู้นำฟืนมาให้ยามหนาว มาบัดนี้ ข้าฯ ได้พบทองแท้บนกองทรายแล้ว นับว่าสวรรค์เมตตาให้วาสนาข้าฯ ได้มาพบกับท่านทั้งสอง.... "
กวนอูเลื่อมใสเล่าปี่ ถึงกับออกปากเผยความในใจออกมาว่า
" นกดีต้องรู้จักเลือกกิ่งไม้เกาะ คนฉลาดต้องรู้จักเลือกนาย...."
หลังบ้านเตียวหุย ดอกท้อกำลังบานเต็มสวน ทั้งสามจัดเครื่องเซ่นไหว้ คุกเข่าตั้งสัตย์ปฏิญาณต่อฟ้าดินสาบานเป็นพี่น้องกัน"สามใจรวมเป็นหนึ่ง ดินเหลืองกลายเป็นทอง แม้นมิได้เกิดวันเดือนปีเดียวกัน แต่ขอตายวันเดือนปีเดียวกัน..."
ล่อกวนตงร่ายโศลกการสาบานของสามพี่น้องวีรชนในสวนท้อไว้ดังนี้.-
"คารวะหนึ่ง ยามจลาจล มาพบ คนรู้ใจ
ดอกท้อยิ้ม บานไสวส่อง แท่นบวงสรวง
ปณิธานสร้างสันติ แทนคุณชาติ ประกาศวีรกรรม
คารวะสอง จงภักดีหาญกล้า ทุกข์ยากร่วมฝ่าฟัน สัญญาไม่แยกกัน
คารวะสาม ถึงตายไม่แปรผัน ดินฟ้าตะวันจันทรา ยิ่งเสริมเติมใจ ให้หาญกล้า..."
ด้วยทุนเงินของเตียวหุย สามพี่น้องร่วมสาบานเกลี้ยกล่อมชาวบ้านได้300 คนจัดตั้งกองอาสาสมัครประชาชนขึ้น ผลิตอาวุธเท่าที่จำเป็น เล่าปี่หาช่างตีเหล็กทำกระบี่ 2 เล่มเป็นคู่มือ กวนอูให้ช่างตีเป็นง้าวยาว 11 ศอก หนัก 82 ชั่ง ส่วนเตียวหุยใช้อาวุธทวนยาว 10 ศอก ทำเครื่องเกราะกับอานม้าสำหรับออกรบ แล้วเล่าปี่ก็พาพลพรรคไปอาสาสมัครต่อเล่าเอี๋ยนเจ้าเมืองตุ้นก้วน คนแซ่เดียวกันกับเล่าปี่
เพียงไม่กี่วัน ทหารเอกของเตียวก๊กโจรโพกผ้าเหลืองชื่อเทียอ้วนจี้ ยกพลห้าหมื่นมาประชิดแดนเมืองตุ้นก้วน เล่าเอี๋ยนจึงสั่งให้เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยคุมพลห้าร้อยคนไปจับโจร แม้ว่ากำลังจะน้อยกว่าร้อยเท่า ในการรบครั้งแรก กวนอูใช้ฝีมือง้าวฟันเทียอ้วนจี้ทหารเอกโจรโพกผ้าเหลืองตัวขาดสองท่อนตกจากม้าตายเป็นประเดิม ส่วนเตียวหุยใช้ทวนแทงเตงเมารองแม่ทัพตกม้าตายเช่นเดียวกัน ขาดแม่ทัพพวกโจรก็แตกกระจาย ถูกจับได้เป็นจำนวนมาก
ในการรบครั้งที่สองที่เมืองเฉงจิ๋ว สามสหายร่วมสาบานเอาชนะโจรโพกผ้าเหลืองได้อีก ระหว่างทางพบโลติดผู้เคยเป็นครูของเล่าปี่ถูกข้าหลวงคุมคนโทษจับใส่กรง ทั้ง ๆ ที่โลติดคุมทหารหลวงรบกับเตียวก๊กที่เมืองกงจ๋ง เล่าปี่โจนลงจากหลังม้าด้วยความตกใจ สอบได้ความว่า ขณะที่โลติดล้อมเตียวก๊กกำลังจะได้ชัยอยู่แล้ว พระเจ้าเลนเต้ใช้จูฮงขันทีมาตรวจราชการ จูฮงพยายามรีดไถเรียกสินบนของกำนัล พอไม่ได้จูฮงก็โกรธ กลับไปเพ็ดทูลว่าโลติดนั่งกินนอนกินไปวัน ๆ มิได้ใส่ใจรบพุ่ง ทรงเชื่อจูฮงขันที จึงสั่งให้จับโลติดไปรับโทษที่เมืองหลวง พร้อมกับสั่งให้ตั๋งโต๊ะที่คุมทหารนอกเมืองหลวงมาบัญชาการรบแทน
เตียวหุยได้ฟังเรื่องราวโกรธนัก ชักกระบี่ออกจะฆ่าผู้คุมเพื่อปล่อยตัวโลติด แต่เล่าปี่ห้ามไว้ เพราะนี่เป็นรับสั่งจากเมืองหลวง ทำอะไรลงไปจะมีความผิดต่อกฎหมายแผ่นดิน "เราจะทำราชการด้วยนั้นเห็นขัดสน ทำชอบอาจผิดอย่างครูโลติด... อย่ากระนั้นเลยเรากลับไปบ้านเราที่ตุ้นก้วนดีกว่า.."