ตอนที่ 29. เคลื่อนทัพปฏิวัติสู่ลกเอี๋ยง

 โจโฉพาอ้วนเสี้ยวเดินเข้ามาภายในค่ายของตน แล้วขึ้นไปยังโรงสำหรับปรึกษาและบัญชาการ ทักทายปราศรัยกันถึงความเก่าครั้งอยู่ด้วยกับโฮจิ๋น และบัดนี้ต้องออกจากเมืองหลวงเพราะต่างก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตของจอมทรราชย์ตั๋งโต๊ะ มีผลประโยชน์ร่วมกันคือต้องล้างตั๋งโต๊ะให้สิ้น จึงจะปลอดภัยจากเงื้อมมือของทรราชย์ได้

            ณ บัดนี้ทั้งโจโฉและอ้วนเสี้ยวต่างก็มีกองทัพของตนอยู่ในมือ และประกาศตัวเป็นฝ่ายปฏิวัติโดยชัดแจ้งแล้ว ในขณะที่ซุนเกี๋ยน เล่าปี่ แม้ว่าจะเป็นเจ้าเมืองและมีกองทัพอยู่ในมือดุจกัน แต่ทั้งซุนเกี๋ยนและเล่าปี่ยังมิได้ประกาศตัวเป็นฝ่ายปฏิวัติ สถานภาพทางกฎหมายจึงถือได้ว่ายังเป็นเจ้าเมืองที่ขึ้นต่อเมืองหลวงภายใต้กรงเล็บปิศาจของตั๋งโต๊ะอยู่

            หลังจากโจโฉ อ้วนเสี้ยว ได้ทักทายปรารภความหลังกันตามควรแล้ว อ้วนเสี้ยวจึงว่ากับโจโฉว่า ท่านประกาศตัวต่อต้านตั๋งโต๊ะเช่นนี้ต้องด้วยใจเรา ดังนั้นเราจึงยกทหารมาร่วมทำการด้วยท่าน แล้วสังหารตั๋งโต๊ะเสียให้จงได้ ท่านจะคิดอ่านแผนการประการใด จงปรึกษาพร้อมกันเถิด

            โจโฉจึงว่ากำลังกองทัพของเราทั้งสองยังน้อยนัก เทียบไม่ได้กับกองทัพในอำนาจของตั๋งโต๊ะ และตั๋งโต๊ะอาจแอบอ้างเอาหมายรับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เรียกกองทัพหัวเมืองมารุมโจมตีพวกเรา เหมือนเมื่อครั้งปราบโจรโพกผ้าเหลืองในแผ่นดินพระเจ้าเลนเต้ แล้วว่า “บัดนี้เราสิจะทำการใหญ่ จำจะแต่งเป็นหนังสือรับสั่งลอบไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งปวง”

            ความคิดของโจโฉทั้งนี้เป็นไปตามแผนการเดิม คือแอบอ้างรับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ให้หัวเมืองต่าง ๆ ยกเข้าเมืองหลวงจับตั๋งโต๊ะสังหารเสีย ในขณะเดียวกันแผนการนี้จะทำให้หัวเมืองต่าง ๆ ต้องประกาศตนเป็นปฏิปักษ์กับอำนาจรัฐของตั๋งโต๊ะโดยตรงเหมือนกับตัว ชิงกำลังหัวเมืองมาอยู่ฝ่ายตัวและตัดกำลังของฝ่ายเมืองหลวงไปด้วย

            แผนการนี้คล้ายกับแผนการที่อ้วนเสี้ยวเคยเสนอให้โฮจิ๋นเรียกกองทัพหัวเมืองเข้าเมืองหลวง เพื่อจับสิบขันทีสังหารเสียนั่นเอง เป็นแต่วัตถุประสงค์ของแผนการแตกต่างกัน ดังนั้นทั้ง ๆ ที่แผนการอย่างเดียวกันนี้ ครั้งหนึ่งต้องถือว่าเป็นแผนการที่โง่บัดซบ มาครั้งนี้ภายใต้วัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันนั้นกลับเป็นแผนการที่เลิศที่สุด และเสนอขึ้นโดยโจโฉ ทั้ง ๆ ที่โจโฉเคยคัดค้านแผนการเช่นนี้ในสมัยนั้น

            อ้วนเสี้ยว ฟังแผนการของโจโฉแล้วเห็นชอบด้วย เพราะเป็นแผนการเดียวกับที่ตัวเคยเสนอมาก่อนตั้งแต่ครั้งโฮจิ๋น เป็นแต่ว่าอ้วนเสี้ยวหาได้เข้าใจความแตกต่างของภารกิจ และเป้าหมายที่ต่างกันของแผนการทั้งสองคราวนี้ไม่

            โจโฉจึงเสนอลึกลงไปในรายละเอียดว่าเนื่องจากแผนการนี้อิงอยู่กับการแอบอ้างรับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ดังนั้นในการปฏิบัติจึงจำต้องจำกัดวงให้แคบ แต่ให้ได้ผลมาก คือให้เรียกเอาเฉพาะกองทัพจากหัวเมืองเอกสิบหกหัวเมืองเท่านั้น ทั้งต้องทำการโดยลับและรวดเร็ว มิฉะนั้นหากข่าวแพร่งพรายไปถึงตั๋งโต๊ะก็จะคิดอ่านแก้ไขจัดทำเป็นพระบรมราชโองการของพระเจ้าเหี้ยนเต้ มีไปถึงหัวเมืองต่าง ๆ ห้ามกองทัพหัวเมืองเหล่านั้นเสีย การก็จะไม่สมความคิด

            โจโฉได้เสนอทั้งแผนการและวิธีปฏิบัติ ตลอดจนกลยุทธ์ในการปฏิบัติตามแผนอย่างครบครัน แสดงออกถึงความเป็นนักยุทธศาสตร์ ซึ่งอ้วนเสี้ยวฟังแล้วก็เห็นด้วยกับโจโฉ

            ดังนั้นโจโฉ อ้วนเสี้ยวจึงแต่งเป็นหมายรับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้ถึงเจ้าเมืองหัวเมืองเอกทั้งสิบหกหัวเมืองว่า “ทุกวันนี้ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยแลอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อน เพราะตั๋งโต๊ะเป็นขบถ ฆ่านางโฮเฮากับหองจูเปียนเสีย ยกให้เราเป็นเจ้าแผ่นดินเหมือนเจว็ด ตั้งตัวมันเป็นมหาอุปราช ราชการเมืองทั้งปวงสิทธิอยู่แก่ตั๋งโต๊ะสิ้น แลโจโฉมีกตัญญูต่อแผ่นดิน สาบานตัวต่อหน้าที่นั่งว่าจะอาสาล้างตั๋งโต๊ะเสียให้ได้ เราจึงให้โจโฉออกไปประกาศหัวเมืองทั้งปวง ถ้าผู้ใดมีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ก็ให้เข้าคิดอ่านกับโจโฉ แล้วยกเข้ามาล้างตั๋งโต๊ะซึ่งเป็นศัตรูราชสมบัติเสียจงได้”

            สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่า หนังสือนี้เป็นหนังสือของโจโฉโดยตรง เป็นแต่ได้อ้างพระราชโองการลับของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ให้หัวเมืองต่าง ๆ ยกกองทัพเข้าเมืองหลวงกำจัดตั๋งโต๊ะ ซึ่งดูแล้วไม่สมด้วยเหตุผล เพราะโจโฉเป็นขุนนางผู้น้อย ทั้งต้องข้อหากบฏต่อแผ่นดิน จะทำเป็นหนังสือของโจโฉเองนั้นใครจะเชื่อถือปฏิบัติ และถ้าเป็นหนังสือของโจโฉโดยตรงก็ไม่จำเป็นต้องเรียกเอาเฉพาะกองทัพจากสิบหกหัวเมือง ย่อมเรียกเอาจากทุก ๆ หัวเมืองโดยเปิดเผยได้ ไม่จำเป็นต้องลอบกระทำการ ดังนั้นกรณีเห็นจะสมกับสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) มากกว่า

            จัดทำหมายรับสั่งเสร็จแล้ว โจโฉ อ้วนเสี้ยว จึงให้ทหารลอบนำหมายรับสั่งนั้นไปมอบให้แก่เจ้าเมืองทั้งสิบหกหัวเมือง และขอให้ยกกองทัพมาพร้อมกัน ณ ท้องทุ่งเมืองตันลิว อันเป็นที่ตั้งค่ายโจโฉ อ้วนเสี้ยว

            เจ้าเมืองหัวเมืองเอกทั้งสิบหกหัวเมืองคือ อ้วนสุด เจ้าเมืองลำหยง, ตันฮก เจ้าเมืองกิจิ๋ว, ขงมอ เจ้าเมืองเซียงจิ๋ว, เล่าต้าย เจ้าเมืองอิวจิ๋ว, อองของ เจ้าเมืองโห้ลาย, เตียวเมา เจ้าเมืองตันลิว, เตียวโป้ เจ้าเมืองตองกุ๋น, อ้วนอุ๋ย เจ้าเมืองซุนหยง, เปาสิ้น เจ้าเมืองเจปัก, ขงเล่ง เจ้าเมืองปักไฮ, เตียวเถียว เจ้าเมืองก่องเล่ง, โตเกี๋ยม เจ้าเมืองซีจิ๋ว, ม้าเท้ง เจ้าเมืองเสเหลียง, เตียนเอี๋ยง เจ้าเมืองเสียงต๋ง, ซุนเกี๋ยน เจ้าเมืองเตียงสา และกองซุนจ้าน เจ้าเมืองปักเป๋ง

            เตียวโป้ เจ้าเมืองตองกุ๋น และเปาสิ้น เจ้าเมืองเจปัก เป็นคนละคนกับเตียวโป้ ที่เป็นโจรโพกผ้าเหลือง และเป็นคนละคนกับเปาสิ้น ขุนนางที่ไม่พอใจขุนนางด้วยกัน เนื่องจากเห็นว่ามีแต่พวกขี้ขลาดตาขาวแล้วหนีไปอยู่ที่ภูเขาไท้ซาน เป็นแต่ชื่อซ้ำกันเท่านั้น

            เจ้าเมืองทั้งสิบหกหัวเมืองได้รับหมายรับสั่งปลอมของโจโฉ อ้วนเสี้ยวแล้วก็เชื่อตาม เพราะไม่สามารถใช้โทรศัพท์มือถือหรือเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ และเนื้อความตามหมายรับสั่งก็ตรงกันกับที่ได้ทราบข่าวคราวมาแต่ก่อน ทั้งสอดคล้องกับความคิดที่เคียดแค้นชิงชังทรราชย์ตั๋งโต๊ะอยู่เป็นทุน ดังนั้นจึงต่างยกทัพ “เมืองละหมื่นหนึ่งบ้าง สองหมื่นบ้าง สามหมื่นบ้าง” ไปพร้อมกันที่ท้องทุ่งเมืองตันลิว ขาดแต่กองทัพกองซุนจ้าน เจ้าเมืองปักเป๋งเท่านั้น

            โจโฉ อ้วนเสี้ยวเห็นกองทัพสิบห้าหัวเมืองยกมาพร้อมกันเป็นจำนวนมากก็มีความยินดีนัก ปรึกษาพร้อมกันแล้วจึงเคลื่อนทัพทั้งปวงออกจากท้องทุ่งเมืองตันลิว ยกไปเมืองลกเอี๋ยงราชธานี ถึงชายแดนเมืองลกเอี๋ยงก็ให้ปลงทัพตั้งค่ายมั่นไว้ เตรียมบุกโจมตีเข้ายึดเมืองหลวงต่อไป

            ฝ่ายกองซุนจ้าน เจ้าเมืองปักเป๋ง ได้รับหมายรับสั่งแล้วจัดทหารได้หมื่นห้าพันคนเศษ แล้วยกไปตามหมายรับสั่งนั้น แต่เนื่องจากเมืองปักเป๋งในขณะนั้น หรือกรุงปักกิ่งในขณะนี้เป็นเมืองไกลสุดเกือบชายแดนของราชอาณาจักรฮั่น ใช้เวลาเดินทัพนานกว่ากองทัพของเจ้าเมืองอื่น กองทัพกองซุนจ้านจึงล่าช้าอยู่

            เส้นทางเดินทัพของกองซุนจ้าน จากเมืองปักเป๋งไปยังท้องทุ่งเมืองตันลิวจะต้องผ่านเมืองเพงง้วนก๋วน ซึ่งเล่าปี่เป็นเจ้าเมืองอยู่ แต่เล่าปี่มิได้รับหมายรับสั่ง เพราะมิใช่เป็นหัวเมืองเอก จึงมิได้ยกทัพไปด้วย ครั้นเล่าปี่ได้ข่าวว่ากองทัพกองซุนจ้าน ศิษย์สำนักเดียวกันเคลื่อนทัพผ่านมาทางเมืองเพงง้วนก๋วนก็มีความยินดีที่จะได้พบสหายเก่า จึงพากวนอู เตียวหุย และทหารห้าร้อยคนยกออกไปต้อนรับกองซุนจ้านถึงนอกเมือง

            กองซุนจ้าน เห็นกองทหารเคลื่อนมาข้างหน้า มีธงเหลืองประจำตัวนายทัพ บ่งบอกชื่อเล่าปี่แล้วดีใจนัก ปะหน้ากันแล้ว ทั้งกองซุนจ้านและเล่าปี่ต่างรีบลงจากหลังม้า วิ่งเข้ามาหาแล้วกอดกันด้วยความดีใจ

            กองซุนจ้านเห็นกวนอู เตียวหุย ลงม้าตามเล่าปี่เข้ามา มีบุคลิกลักษณะสง่าน่าเกรงขาม สมเป็นทหารเอก จึงถามเล่าปี่ว่าทหารสองคนที่ตามท่านมาด้วยนี้เป็นผู้ใด

เล่าปี่ตอบว่า สองคนนี้คือน้องร่วมสาบานของข้าพเจ้า คนสูงใหญ่หน้าแดงหนวดยาว ถือง้าวนั้นคือกวนอู อีกคนหนึ่งสูงใหญ่หน้าดำ เคราดก ท่าทางดุดัน ถือทวนนั้นคือเตียวหุย ทั้งสองคนนี้ยังมิได้รับยศตำแหน่งใด ๆ ทางทหาร เป็นแค่ทหารเลวถือเกาทัณฑ์นำหน้าม้าของข้าพเจ้าเท่านั้น ว่าแล้วก็แนะนำให้กวนอู เตียวหุย เข้าไปคารวะทำความรู้จักกับกองซุนจ้าน เพื่อนร่วมสำนักของตน
 แล้วเล่าปี่บอกกองซุนจ้านต่อไปว่าน้องทั้งสองคนนี้กล้าหาญ และมีกตัญญู จึงเป็นทั้งน้องทั้งกำลังหลักที่วางใจของข้าพเจ้า ครั้งก่อนได้ไปปราบโจรโพกผ้าเหลืองด้วยกัน ข้าพเจ้าได้ข่าวว่าท่านเดินทัพผ่านมา ระลึกถึงความเป็นศิษย์ร่วมสำนักและบุญคุณครั้งที่ถวายฎีกาต่อพระเจ้าเลนเต้ ให้ข้าพเจ้าได้มาเป็นเจ้าเมืองเพงง้วนก๋วนนี้ จึงรีบออกมารับ ขอเชิญท่านเข้าเมืองให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเลี้ยงโต๊ะท่าน แสดงน้ำใจคารวะต่อท่านให้เป็นที่สำราญสักมื้อหนึ่ง กองซุนจ้านฟังเล่าปี่แล้วก็จำกวนอู เตียวหุย เมื่อครั้งรบโจรโพกผ้าเหลืองได้ จึงกล่าวว่าน้องทั้งสองของท่านนี้มีความชอบแต่ครั้งนั้นมาก แต่หามีใครกราบทูลเสนอความชอบให้ไม่ จึงยังต้องตกเป็นทหารเลวอยู่ดั่งนี้ ข้าพเจ้าเสียดายแทนแผ่นดินนัก ที่คนดีมีความกล้าหาญ และทำความชอบต่อแผ่นดินแล้ว ยังต้องตกต่ำเป็นทหารเลวอยู่ฉะนี้
ว่าแล้วกองซุนจ้านจึงสั่งทหารให้ตั้งค่ายไว้นอกเมือง แต่ตัวเองนั้นเดินทางเข้าเมืองไปพร้อมกับเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย เล่าปี่จัดที่พักให้กองซุนจ้านที่เรือนรับรองแขกเมือง ค่ำลงทั้งเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ก็มารับกองซุนจ้านไปกินโต๊ะที่จวนเจ้าเมือง

หลังจากดื่มสุราแสดงคารวะและความระลึกถึงกันตามธรรมเนียมแล้ว กองซุนจ้านจึงเล่าความตามหนังสือรับสั่งนั้นให้เล่าปี่ฟังทุกประการ แล้วชวนเล่าปี่ว่าท่านรับราชการมานาน ทำความชอบไว้ก็มาก แต่ภายใต้ระบอบทรราชย์นี้เป็นได้แค่เพียงเจ้าเมืองหัวเมืองน้อย บัดนี้มีรับสั่งให้เรายกกองทัพเข้าเมืองหลวงกำจัดทรราชย์ตั๋งโต๊ะเสีย ท่านอย่าอยู่ในบังคับของระบอบทรราชย์ต่อไปเลย จงตามไปทำการด้วยเราเถิด การสำเร็จแล้วตัวท่านแลน้องทั้งสองย่อมมีความชอบมาก ดีร้ายจะได้เป็นเจ้าเมืองหัวเมืองเอก

เล่าปี่ฟังข้อเสนอของกองซุนจ้านแล้ว เลือดขัตติยะมานะเชื้อสายแห่งพระเจ้าฮั่นโกโจก็ระอุขึ้นในอก ตัดสินใจทิ้งยศศักดิ์อัครฐานเมืองเพงง้วนก๋วน แล้วตอบตกลงไปทำการด้วยกองซุนจ้าน

เตียวหุยนั่งฟังคำสนทนาอยู่จึงลำเลิกความแต่หนหลังว่าเมื่อครั้งเราสามพี่น้องเข้าตีทัพโจรโพกผ้าเหลืองที่ไล่ตามตีตั๋งโต๊ะซึ่งแตกทัพมา และช่วยตั๋งโต๊ะไว้นั้น ตั๋งโต๊ะทำหยาบช้าต่อเรา ไม่รู้คุณคน ข้าพเจ้าจะฆ่าเสีย พี่ใหญ่ก็ห้ามไว้ ถ้าพี่ใหญ่ไม่ห้ามปล่อยให้ข้าพเจ้าฆ่าตั๋งโต๊ะเสียแต่ครั้งนั้นย่อมไม่เกิดเหตุใหญ่ร้ายแรงถึงเพียงนี้

กวนอูได้ยินก็ห้ามเตียวหุยว่าอย่าได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อไปอีกเลย พี่เรามีใจเมตตาต่อสัตว์ผู้ยาก ทั้งขณะนั้นตั๋งโต๊ะก็เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ถืออาญาสิทธิ์ของฮ่องเต้ จะฆ่าเสียย่อมไม่ชอบ การที่พี่ใหญ่ตัดสินใจไปด้วยกองซุนจ้านนั้นข้าพเจ้าเห็นดีด้วย

เล่าปี่มาคำนวณดูระยะเวลาที่กองซุนจ้านเดินทัพมาแล้ว จึงให้ทหารตรวจสอบข่าวดูว่าบัดนี้กองทัพหัวเมืองต่าง ๆ เคลื่อนทัพไปถึงที่ใดแล้ว ทหารกลับเข้ามารายงานว่าบัดนี้กองทัพหัวเมืองต่าง ๆ สิบห้าหัวเมือง และกองทัพโจโฉ อ้วนเสี้ยว ได้เคลื่อนออกจากท้องทุ่งเมืองตันลิว เดินทัพไปเมืองลกเอี๋ยงแล้ว

หลังเลิกงานเลี้ยงแล้วกองซุนจ้านกลับไปพักที่เรือนรับรอง ส่วนเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ได้สั่งให้ทหารจัดเก็บข้าวของสัมภาระ คัดเลือกเอาแต่ทหารซึ่งสนิทร่วมเป็นร่วมตายให้ติดตามไปด้วยเพียงไม่กี่คน แล้วให้ทุกคนกลับไปพักผ่อนเตรียมตัวเดินทางในวันพรุ่ง

รุ่งขึ้นเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย จึงไปรับกองซุนจ้านที่เรือนรับรอง แล้วยกทหารที่ติดตามมาด้วยไปเข้าร่วมกับกองทัพของกองซุนจ้าน เคลื่อนทัพยกไปสมทบกับกองทัพของหัวเมืองต่าง ๆ ณ ชายแดนเมืองลกเอี๋ยง

โจโฉ เล่าปี่ ซุนเกี๋ยน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยร่วมสงครามปราบโจรโพกผ้าเหลือง ซึ่งเป็นกองกำลังกู้ชาติของประชาชน แต่มาถึงวันนี้กลับกระทำการอย่างเดียวกันกับโจรโพกผ้าเหลือง มีข้ออ้างอย่างเดียวกันคือกำจัดทรราชย์ และถูกฝ่ายเมืองหลวงกล่าวหาอย่างเดียวกันว่าเป็นพวกกบฏต่อแผ่นดิน

เป็นแต่ว่าครั้งก่อนเป็นสงครามระหว่างกองกำลังของประชาชนกับขุนศึก ส่วนครั้งนี้เป็นสงครามระหว่างขุนศึกด้วยกัน และเป้าหมายทางการเมืองก็แตกต่างกันตรงที่ครั้งนั้นเตียวก๊ก หัวหน้าโจรโพกผ้าเหลือง มีเป้าหมายเพื่อล้มราชวงศ์ฮั่น แล้วตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าเสียเอง แต่ครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อกำจัดทรราชย์ เทิดทูนฮ่องเต้
 ส่วนขุนศึกคนใดมีวาระซ่อนเร้นในใจที่จะชิงอำนาจ แล้วบงการฮ่องเต้แบบเดียวกับตั๋งโต๊ะก็คงจะได้เห็นกันต่อไป.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร