ตอนที่ 28. ชูธงธรรม กำจัดทรราชย์

 โจโฉซึ่งหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ ตื่นขึ้นในเพลาใกล้รุ่งไม่เห็นตันก๋ง เดินดูทั่วศาลเจ้าร้างก็ไม่พบตัว คาดคะเนว่าตันก๋งไม่พอใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงหลบหนีไป

            คิดระแวงแต่จะเอาชีวิตรอดดั่งนี้แล้ว เห็นว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไปจะเป็นอันตราย ด้วยตันก๋งอาจไปแจ้งข่าวให้ทางการมาจับกุมในตอนเช้า จำจะต้องรีบไปเสียตั้งแต่เพลาใกล้รุ่งนี้

            โจโฉเก็บสัมภาระแล้วขึ้นม้า รีบขี่ไปเมืองตันลิวตั้งแต่เวลานั้น ถึงเมืองตันลิวแล้วสอบถามหาบ้านโจโก๋จนพบ แล้วเข้าไปหาบิดา เล่าความแต่หลังให้ฟังทั้งสิ้นแล้วว่าข้าพเจ้าหนีมาหาบิดาท่านในครั้งนี้ เพื่อจะขอทรัพย์สินเงินทองไปทำการใหญ่กอบกู้แผ่นดิน โดยจะนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการซ่องสุมผู้คนและจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์    พร้อมแล้วจะได้อ้างเอารับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ประสานงานให้หัวเมืองต่าง ๆ ยกกองทัพเข้าไปเมืองหลวงจับทรราชย์ตั๋งโต๊ะฆ่าเสีย

            โจโก๋จึงว่าที่เจ้าคิดทำการดั่งนี้ชอบใจเราแล้ว แต่ทรัพย์สินเงินทองของเรามีน้อยไม่พอแก่การซึ่งคิดจะทำ ในเมืองนี้มีมหาเศรษฐีอยู่ผู้หนึ่งชื่ออุยหอง เป็นคนจงรักภักดีในราชวงศ์ฮั่น มีน้ำใจกตัญญูรู้คุณบิดามารดาเห็นประจักษ์ ฮ่องเต้จึงพระราชทานป้ายเกียรติยศว่าเป็นบุตรกตัญญู คนผู้นี้เป็นที่เคารพนับถือของคนทั้งปวง เจ้าจงไปหาเล่าความเหมือนกับที่เล่าแก่เรา แล้วขอให้อุยหองช่วยเหลือเพื่อถวายความจงรักภักดีแก่ราชสำนักเถิด

            โจโฉจึงว่าการทั้งนี้ต้องขอพึ่งบารมีบิดาท่าน เชิญอุยหองมากินโต๊ะที่บ้านเราจะควรแก่การกว่า เพราะสามารถเกลี้ยกล่อมได้ถนัดปาก ไม่ต้องพะวงคนในบ้านของอุยหองว่าจะนำความไปแจ้งแก่ทางราชการ หรือทัดทานเป็นอื่นให้เสียการไป

            โจโก๋เห็นด้วยกับความคิดของบุตรตนจึงให้เตรียมแต่งโต๊ะจัดเลี้ยง แล้วให้คนไปเชิญอุยหองมากินโต๊ะที่บ้าน

            อุยหองมหาเศรษฐีป้ายกตัญญูพระราชทานมาที่บ้านโจโก๋ตามคำเชิญ คารวะทักทายปราศรัยกันตามธรรมเนียมแล้ว โจโก๋จึงเชิญอุยหองเข้าที่จัดแต่งโต๊ะไว้ แล้วแนะนำโจโฉผู้บุตรแก่อุยหอง

            โจโฉแสดงความคารวะตามประสาผู้น้อย ผู้ใหญ่ แล้วเล่าความที่ตั๋งโต๊ะจอมทรราชย์ทำหยาบช้าต่อฮ่องเต้ ต่อราชสำนัก ตลอดจนขุนนางแลราษฎรทั้งปวง เป็นเหตุให้ตัวต้องเป็นกบฏแล้วหลบหนีมา จากนั้นจึงได้หลอกอุยหองว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ตรอมพระทัย เพราะทรงเป็นห่วงใยแผ่นดินแลราษฎรนัก จึงโปรดให้ข้าพเจ้าอัญเชิญรับสั่งเป็นการลับ ประสานงานกับหัวเมืองทั้งปวงยกกองทัพเข้าไปเมืองหลวงกำจัดตั๋งโต๊ะเสีย

            แล้วกล่าวต่อไปว่า “ข้าพเจ้าคิดจะทำนุบำรุงแผ่นดินและฆ่าตั๋งโต๊ะเสียให้ได้ แต่ว่ากำลังแลทรัพย์สินข้าพเจ้าน้อยนัก ข้าพเจ้าจึงหนีมา จะคิดอ่านเกลี้ยกล่อมซ่องสุมผู้คนให้ได้มาก แล้วจะยกเข้าไปทำการล้างตั๋งโต๊ะเสีย บัดนี้ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านมีทรัพย์เป็นอันมาก และน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะขอทรัพย์ท่านไปจัดซื้ออาวุธแลม้าจะได้ทำการสืบไป”

            อุยหองมีใจภักดีกตัญญูต่อพระราชวงศ์ฮั่น ฟังโจโฉแล้วสำนึกในอุดมการณ์ก็พลุ่งขึ้นจึงว่าตัวเรานี้มีกตัญญูต่อแผ่นดินพระเจ้าฮั่นโกโจ ติดตามข่าวสารบ้านเมืองที่เป็นจลาจลวุ่นวายจากการกระทำของทรราชย์ตั๋งโต๊ะมิได้ขาด มีความชิงชังคิดเคียดแค้นเป็นทุกข์ร้อนแทนฮ่องเต้และคนทั้งปวง คิดจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินอยู่ แต่ตัวเราเป็นพ่อค้าวานิชไม่สันทัดการเมือง จึงพยายามหาคนมีสติปัญญากล้าหาญเป็นหลักนำคนทั้งปวงไปล้มล้างทรราชย์ตั๋งโต๊ะ บัดนี้มาได้ยินคำท่านจึงมีความยินดีชอบใจนัก ท่านอย่าได้ห่วงใยเลย เราจะมอบทุนให้แก่ท่านให้ทำการสำเร็จดังประสงค์ ราษฎรจะได้เป็นสุขถ้วนหน้ากัน ให้ท่านเร่งรีบทำการตามความคิดเถิด

            โจโฉ และโจโก๋ผู้บิดาฟังคำอุยหองแล้วดีใจนัก กินโต๊ะปรึกษาในรายละเอียดกันต่ออีกพักใหญ่ แล้วอุยหองก็ขอตัวลากลับบ้าน

            รุ่งขึ้นโจโฉจึงให้จัดทำธงแขวนสีขาวผืนใหญ่ขึ้นผืนหนึ่ง เขียนอักษรสีดำลงบนผืนธงว่า “ตงหงี” ซึ่งแปลว่า “ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน จงรักภักดีฮ่องเต้” ซึ่งสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แปลว่า “ให้คนทั้งปวงมีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน”

            นั่นเป็นการแปลโดยพยัญชนะ ถ้าหากจะแปลเอาความหมายของคำว่า “ตงหงี” ในสถานการณ์เช่นนั้นก็ต้องแปลว่า “ทั่วประเทศจงสามัคคีกัน กำจัดทรราชย์ เทิดทูนฮ่องเต้”

            โจโฉให้ปักธง “ตงหงี” ผืนนี้ขึ้นที่หน้าบ้าน นับเป็นการชูธงปฏิวัติของประชาชนขึ้น เพื่อจะล้มล้างอำนาจทรราชย์ของตั๋งโต๊ะ โดยยึดเอาความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ของปวงชนเป็นแกนหลักรวมน้ำใจคน นี่คือการเสนอเข็มมุ่งทางการเมืองที่สอดคล้องกับความปรารถนาอันร้อนแรงของผู้คนทั้งแผ่นดิน

            บรรดาชาวเมืองซึ่งเคียดแค้นระบอบทรราชย์อยู่เต็มอก เห็นธงปฏิวัติแล้วจึงเล่าขานกันต่อไปอย่างรวดเร็ว แล้วพากันมาเข้าร่วมด้วยโจโฉเป็นอันมาก แม้ข้าราชการบ้านนอกได้ทราบข่าวแล้วสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ความว่าโจโฉกระทำการโดยถือรับสั่งลับของพระเจ้าเหี้ยนเต้ และการที่ทำนั้นก็สอดคล้องกับความปรารถนาของตน จึงพากันมาเข้าร่วมด้วย

            พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้สรุปความคิดของเหมาเจ๋อตงเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในสรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตงว่า พรรคการเมืองพรรคหนึ่งนั้น ต้องอาศัยการเมืองที่ถูกต้องไปนำพรรค แนวทางการเมืองที่ถูกต้องย่อมทำให้ได้มาซึ่งดินแดน กองทัพ และอำนาจรัฐ แต่ถ้าแนวทางการเมืองผิดพลาด แม้จะครองอำนาจรัฐ ดินแดน และกองทัพอยู่ ก็จะต้องสูญสิ้นไป

            แนวทางการเมืองของโจโฉที่ปรากฎในธงปฏิวัตินั้น ถูกต้อง สอดคล้องกับสถานการณ์และความต้องการของประชาชน ดังนั้นขบวนการปฏิวัติของโจโฉจึงเติบใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว

            สองพี่น้องตระกูล “แฮหัว” คือแฮหัวตุ้น ผู้พี่ และแฮหัวเอี๋ยน ผู้น้อง ชาวเมืองไพก๊ก เป็นศิษย์มีครูในเชิงชั้นการสงคราม สองพี่น้องตระกูล “โจ” ซึ่งแซ่เดียวกับโจโฉคือโจหยินและโจหอง ได้ร่ำเรียนเชิงอาวุธมาแต่น้อย รวมทั้งงักจิ้น ชาวเมืองยงเป๋ง และลิเตียน ชาวเมืองซัวหยง ซึ่งร่ำเรียนการศึกมาแต่ก่อน และมีน้ำใจชังตั๋งโต๊ะเป็นทุนเดิม ได้ทราบข่าวการชูธงปฏิวัติของโจโฉ ณ ท้องทุ่งเมืองตันลิว ต้องด้วยความคิดตัว จึงพากันมาเข้าร่วมด้วยโจโฉ

            แฮหัวตุ้น และแฮหัวเอี๋ยนนั้น ได้เกลี้ยกล่อมชายฉกรรจ์บ้านเดียวกันได้จำนวนพันเศษ พร้อมม้าและอาวุธครบมือ สองพี่น้องโจหยินและโจหอง ก็ได้เกลี้ยกล่อมพรรคพวกอีกพันเศษ ส่วนงักจิ้นและลิเตียนต่างก็นำพรรคพวกมาอีกคนละพันเศษ ยกมาเข้าร่วมกับโจโฉ

            บรรดาชายฉกรรจ์ในเมืองนั้นและเมืองข้างเคียงรู้ข่าว และเห็นผู้คนหลั่งไหลมาเข้าร่วมกับโจโฉก็ตื่นเต้น เลือดหนุ่มที่เร่าร้อนด้วยความภักดีต่อแผ่นดินจึงชวนกันจัดหาม้าและอาวุธประจำกายแล้วพากันมาเข้าด้วยโจโฉเป็นอันมาก

            อุยหองเห็นธงปฏิวัติมีความเป็นที่ต้องใจก็เบิกบานยินดี ครั้นเห็นผู้คนมาเข้าร่วมด้วยโจโฉเป็นจำนวนมากก็จัดหาเงินทองมอบแก่โจโฉสำหรับซื้อม้าอาวุธยุทโธปกรณ์และธงทิวสำหรับกองทัพ ตลอดจนเสบียงกรังอย่างเต็มที่ ทำให้โจโฉไม่ต้องพะวงหลังด้วยเรื่องเหล่านี้

            โจโฉเห็นผู้คนจากทั่วสารทิศมาเข้าร่วมก็มีความยินดียิ่งนัก จึงให้ปลูกค่ายสำหรับทหารขึ้นพร้อมกับโรงสำหรับเป็นที่วางแผนปรึกษาบัญชาการ แล้วจัดแบ่งพลเป็นหมวดหมู่เหมือนกับการจัดกองทัพในเมืองหลวง กำหนดหน้าที่นายและพล จัดระเบียบวินัยกองทัพ แล้วทำการฝึกปรือคนเหล่านั้นเป็นทหารในลักษณะเดียวกันกับทหารประจำการ

            โจโฉเองเคยเป็นนายพันทหารสารวัตร แห่งกองกำลังรักษาพระนคร ได้ร่ำเรียนพิชัยสงคราม และเรียนรู้ถึงวิธีจัดกำลังพลการบัญชาการทหารเป็นอย่างดี ดังนั้นทุกวันทั้งเช้าและเย็น โจโฉจึงได้ออกมาเป็นประธานในการฝึกซ้อมทหาร ในการจัดกระบวนทัพ และการบัญชาการทางยุทธวิธี แล้วถือโอกาสนี้ปลุกระดมทางความคิดให้กำลังพลเข้าใจสภาพการณ์ทางการเมือง และความจำเป็นที่จะต้องจัดตั้งเป็นกองทัพเพื่อกำจัดทรราชย์ตั๋งโต๊ะให้จงได้

            โจโฉอ้างเหตุผลในการจัดตั้งกองทัพว่าเมื่อจะทำการปฏิวัติ ก็ต้องจัดตั้งกองทัพปฏิวัติขึ้นกองทัพหนึ่ง จะมัวแต่ร้องแรกแหกกระเชอ หรือใช้เสียงข้างมากย่อมไม่มีทางล้มล้างทรราชย์ได้สำเร็จ ซึ่งบิสมาร์ค ผู้นำเยอรมันในยุคหลังก็ได้กล่าวเช่นเดียวกันว่า ปัญหาใหญ่ของแผ่นดินไม่อาจแก้ไขได้ด้วยเสียงข้างมาก หากต้องแก้ด้วยเลือดและเหล็ก ซึ่งก็คือความกล้าหาญกับปืนเท่านั้น (The great questions are not decided by speech or majority vote,  but by blood and iron)

            น้ำใจผู้คนจึงพร้อมเพรียงสามัคคีกัน ภายใต้แนวทางการเมืองที่จะกำจัดทรราชย์ เทิดทูนฮ่องเต้ ดังนั้นความคิดและความรับรู้ทางการเมืองจึงค่อย ๆ ถูกหล่อหลอมจนเกิดเป็นเอกภาพที่ร้อนแรงด้วยขวัญและกำลังใจสู้รบ

            อันผู้นำนั้นมีภารกิจหลักอยู่แต่เพียงสองประการ คือต้องเป็นแกนแห่งความสามัคคีของประชาชนอย่างหนึ่ง และต้องชี้ทิศนำทางที่ถูกต้องแก่ประชาชนไปบรรลุถึงอุดมการณ์อันสูงส่งอีกอย่างหนึ่ง ผู้นำคนใดกุมภารกิจสองประการนี้ได้แล้วเพียรพยายามปฏิบัติจนมีความเป็นเอกภาพทั้งกายใจ หรือที่มักใช้เป็นสำนวนว่า “ร่วมแรง ร่วมใจ” แล้ว ความสำเร็จย่อมบังเกิดแก่ผู้นำผู้นั้น

            ในทางตรงกันข้าม หากผู้นำคนใดไม่ใส่ใจกุมภารกิจทั้งสองประการให้เป็นผลสำเร็จ หรือมัวแต่สาละวนอยู่แต่เรื่องเล็ก จู้จี้จุกจิกอันไม่เป็นสาระแล้ว ย่อมประสบความล้มเหลว และจักต้องสูญเสียฐานะนำไปอย่างไม่ต้องสงสัย

            โจโฉในวันนี้แม้จะถูกอำนาจรัฐทรราชย์ตราหน้าว่าเป็นกบฏต่อแผ่นดิน เป็นที่ต้องการตัวของทางราชการ ทั้งหากใครเข้าร่วมช่วยเหลือก็จะถูกถือว่าเป็นกบฏด้วยกัน มีโทษถึงประหารทั้งครอบครัวก็ตาม แต่ข้อหาและการสร้างความกลัวเช่นนั้นกลับต้องพ่ายแพ้ต่อพลานุภาพของความถูกต้องแห่งแนวทางการเมืองอันโจโฉได้จารึกไว้ในผืนธงปฏิวัตินั้น

            ดังนี้โจโฉจึงเป็นผู้นำเต็มตัว และมีบทบาทนำที่เด่นชัด กลายเป็นผู้นำในระดับชาติ ในขณะที่ทั้งซุนเกี๋ยนและเล่าปี่ยังคงเป็นแค่เจ้าเมืองบ้านนอกอยู่นั่นเอง

            ข่าวคราวการชูธงปฏิวัติของโจโฉสะพัดไปทั่วประเทศ ยินไปถึงอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองปุดไฮซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตอยู่กับตั๋งโต๊ะ ดังนั้นอ้วนเสี้ยวซึ่งถึงแม้จะชิงชังทรราชย์สักปานไหน แต่หาได้มีแผนการที่เป็นรูปธรรมใด ๆ ในการล้มล้างอำนาจตั๋งโต๊ะไม่ จึงได้เชิญบรรดากรมการเจ้าหน้าที่เมืองปุดไฮมาปรึกษาว่าเราชอบที่จะยกกองทัพไปเข้าร่วมกับ โจโฉ จึงจะกำจัดทรราชย์ตั๋งโต๊ะได้สำเร็จ

            นี่คือความคิดของคนระดับเจ้าเมืองที่มีทุกอย่างพร้อมอยู่ในมือ หากแต่ขาดสติปัญญาและความเป็นผู้นำ จึงได้แต่คิดเพียงแค่ติดตามคนอื่นเท่านั้น

            กรมการเจ้าหน้าที่เมืองปุดไฮประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นชอบกับความคิดของอ้วนเสี้ยว ดังนั้นอ้วนเสี้ยวจึงสั่งให้จัดกองทัพพลสามหมื่น นำทัพเคลื่อนออกจากเมืองปุดไฮไปสมทบด้วยโจโฉ

            ถึงที่อันโจโฉตั้งค่ายทหารอยู่แล้ว อ้วนเสี้ยวจึงให้ปลงทัพไว้ตั้งค่ายตามกระบวนศึกแล้วจึงออกไปหาโจโฉ ส่วนโจโฉทราบข่าวอ้วนเสี้ยวยกกองทัพมาสมทบก็มีความยินดียิ่งนัก เพราะเคยรู้จักคุ้นเคยกันมาแต่ครั้งอยู่ด้วยกันกับโฮจิ๋น ทั้งยังเป็นเชื้อสายขุนนางเก่าถึงสี่ชั่วคน การมาเข้าร่วมของอ้วนเสี้ยวจะก่อเกิดแบบอย่างให้หัวเมืองต่าง ๆ มาเข้าร่วมได้โดยง่าย การที่คิดไว้ก็จะเบาแรงลง ครั้นรู้ว่าอ้วนเสี้ยวมาพบ โจโฉจึงรีบออกนอกค่ายมาต้อนรับ

            โจโฉ อ้วนเสี้ยวคารวะกันตามธรรมเนียมแล้ว โจโฉจึงเชิญอ้วนเสี้ยวเข้าไปปรึกษาหารือกันภายในค่ายของโจโฉ
             ธงปฏิวัติสะบัดโบกพลิ้วเหนือท้องทุ่งเมืองตันลิว ท่ามกลางเสียงกึกก้องกัมปนาทอันเกิดแต่การฝึกทหาร การจัดกระบวนทัพ และการฝึกฝนทางยุทธวิธี ทั้งจากค่ายโจโฉและจากค่ายของอ้วนเสี้ยว ประกอบเข้ากับธงทิวปลิวไสวเป็นที่ตื่นตาตื่นใจของผู้คน ปลุกเร้ากำลังขวัญกำลังใจของทหารทั้งสองทัพและผู้คนให้แกร่งกล้าคึกคะนอง ไม่กลัวยากลำบาก ไม่กลัวตายอีกต่อไป.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร