สามก๊ก ฉบับนักบริหาร:บทที่ 27 โจโฉหยั่งเชิงเล่าปี่
เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้เจริญพระชันษามากขึ้น ความไม่พอพระทัยโจโฉก็ยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ ทรงอัดอั้นตันพระทัยที่โจโฉกระทำการโอหังรวบอำนาจฮ่องเต้ไปทุกส่วน ขุนนางน้อยใหญ่ที่กินเบี้ยหวัดหลวงก็หาได้อนาทรร้อนใจแทนพระองค์ จึงปรึกษาพระนางฮกเฮาพระมเหสีว่าจะกำจัดโจโฉอย่างไร
ความรู้ไปถึงฮกอ้วนบิดาพระนางฮกเฮา จึงทูลว่าภายในราชสำนักโจโฉได้วางคนไว้ทุกจุด นอกจากญาติข้างพระมเหสีแล้วนอกนั้นวางใจใครมิได้ เห็นมีแต่ท่านขุนพลตังสินพระญาติผู้ใหญ่คนเดียวเท่านั้น แต่ถ้าให้เข้าเฝ้าโดยขาดเหตุผลที่ดีความก็จะแตก ฮกอ้วนจึงกราบทูลให้พระองค์ทรงพระอักษรซ่อนไว้ในตะเข็บเสื้อ แล้วบอกให้ตังสินถึงบ้านแล้วจึงเลาะพระอักษรออกมาอ่าน ถ้าทำดังนี้ก็น่าจะรักษาความลับแม้ผีปีศาจก็มิอาจล่วงรู้ได้
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงเห็นด้วย ทรงนำพระแสงแทงนิ้วพระหัตถ์ ใช้พระโลหิตเขียนหนังสือลงผ้าแพรขาว แล้วให้พระนางฮกเฮาเย็บซ่อนไว้ในตะเข็บผ้าคาดเสื้อ จึงมีรับสั่งให้ตังสินเข้าเฝ้า พระราชทานเสื้อกับผ้าคาดแก่ตังสิน รับสั่งว่าเป็นบำเหน็บความดีความชอบที่เคยนำเสด็จหนีภัยลิกุยกับกุยกี แต่กระซิบสั่งว่าเมื่อถึงบ้านแล้วจงเลาะตะเข็บเสื้อออก จะได้รู้ถึงความทุกข์ของเราในนั้น แล้วหาทางช่วยเหลือเราด้วย
สายลับหญิงคนของโจโฉที่แฝงอยู่ในราชสำนัก รายงานให้โจโฉทราบว่าตังสินเข้าเฝ้า ได้รับพระราช ทานเสื้อกับผ้าคาดเป็นที่ผิดสังเกต โจโฉจึงรีบรุดเข้าวัง พบตังสินหน้าประตู โจโฉพยายามซักไซร้จับพิรุธตังสิน คาดคั้นถึงขั้นบีบตังสินขอดูผ้าคาด แล้วให้ถอดเสื้อออกมาดู โจโฉส่องเสื้อดูกับแสงแดด ตรวจดูเนื้อผ้าอย่างละเอียดแต่ก็มิได้พบสิ่งใด พลางลองใจตังสินขอเสื้อเอาดื้อๆ ตังสินยิ่งตกใจละล่ำละลักว่าเสื้อนี้เป็น ของพระราชทาน ถ้าท่านต้องการข้าพเจ้าจะจัดหาตัวอื่นมาให้
สุดท้ายตังสินกัดฟันบอกว่าถ้าท่านพึงประ สงค์เสื้อตัวนี้จริงๆ ข้าพเจ้าก็ยินดีมอบให้ โจโฉจึงว่าข้าพเจ้าล้อท่านเล่น ของพระราชทานข้าพเจ้าจะแย่งจากท่านได้อย่างไร ว่าแล้วโจโฉก็ถอดผ้าคาดกับเสื้อคืน ตังสินได้ของมาก็รีบกลับบ้าน พอตกกลางคืนจึงเลาะตะเข็บออก เห็นผ้าแพรขาวมีลายพระหัตถ์ทรงพระอักษรด้วยโลหิต มีตรามังกรเครื่องหมายราชลัญจกรมีความว่า
ทุกวันนี้โจโฉประพฤติตัวเป็นพาล ดูหมิ่นเหยียดหยามพระราชบัลลังก์ ทำลายหลักธรรมแห่งการบริหารปกครองแผ่นดิน ใช้อำนาจทหารและพวกข่มเหงคนทั้งปวง แต่งตั้งขุนนางหรือลงโทษผู้ใดโจโฉก็ทำไปโดยพละการ เราต้องทนขมขื่นใจอยู่ทุกวันคืน ถ้าไม่มีการแก้ไข ไม่ช้าราชบัลลังก์คงจะสูญสิ้น ท่านเป็นพระญาติวงศ์เสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ จงปรึกษาหารือขุนนางที่มีความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อเรา ช่วยกันกำจัดโจโฉสถา ปนาพระบรมเดชานุภาพฮ่องเต้ให้กลับคืนมาดั่งเดิม
ตังสินได้รับพระบรมราชโองการแล้วร้องไห้ จึงเชิญเพื่อนสนิทหลายคนคือ จูฮก ตันอิบ โงห้วน จูลัน ม้าเท้ง แล้วนำเอาพระราชโองการเลือดไปชวนเล่าปี่เข้าร่วมการด้วย เล่าปี่เห็นลายพระหัตถ์ก็ลงนามตกลงร่วมด้วย บรรดาผู้ก่อการต่างลงชื่อไว้ในแพรขาวเป็นการยืนยัน แผนโค่นล้มโจโฉจึงเริ่มก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ
ฝ่ายเล่าปี่ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในเมืองหลวง รู้ตัวตลอดเวลาว่าโจโฉมีความระแวงแหนงใจคอยจับตาอยู่ทุกย่างก้าว ยิ่งได้ทำสัญญาร่วมแผนกำจัดศัตรูแผ่นดินกับตังสิน จึงแกล้งทำเป็นคนถ่อมตัวมักน้อย ไม่คิดทะเยอทะยานทางการเมือง เอาไม้มากั้นเป็นรั้ว ตั้งหน้าตั้งตาทำสวน ขุดดิน ดายหญ้าปลูกผักผลไม้พรางตัวเองทุกวัน กวนอู เตียวหุยหารู้ความในใจของเล่าปี่มักจะค่อนแคะว่าพี่ใหญ่เสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื
่องทุกวันทำไม เล่าปี่ไม่ตอบแต่กลับดุเอาว่า พวกเจ้าไม่รู้อะไร จงอย่าได้วุ่นวายให้มากความ
อยู่มาวันหนึ่งกวนอูกับเตียวหุยไปฝึกยิงเกาทัณฑ์นอกเมือง โจโฉให้เคาทูกับเตียวเลี้ยวทหารเอกไป เชิญตัวเล่าปี่มาพบ เล่าปี่ตกใจถามว่าท่านสมุหนายกมีธุระสิ่งใดหรือ เคาทูตอบว่ามิทราบ เพียงแต่ได้รับคำสั่งให้มาเชิญตัว เล่าปี่จึงมากับนายทหารทั้งสอง พอโจโฉเห็นหน้าเล่าปี่ก็หัวเราะแล้วหยอกว่า ท่านกำลังคิดทำการใหญ่อยู่หรือ
เล่าปี่มิได้คาดว่าจะได้รับการจู่โจมด้วยวาจาในลักษณะนี้ ถึงกับตกใจตัวสั่นหน้าซีดเผือด มิรู้จะตอบประการใด คิดว่าที่ตนไปร่วมมือลงนามในพระราชโองการเลือดความคงแตก แต่เบาใจเมื่อโจโฉเข้ามาจูงมือเดินไปทางหลังสวนแล้วว่า การทำสวนปลูกผักของท่านที่ทำอยู่นั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ เลย เล่าปี่ค่อยโล่งอกตอบว่า ข้าพเจ้าทำสวนเล่นให้สบายอารมณ์ มิได้คิดทำจริงจังอะไรนัก
โจโฉเดินคุยกับเล่าปี่ในสวนอย่างคนสนิท ชี้ให้ดูมวลไม้กับต้นบ๊วยแล้วว่า ครั้งที่ข้าพเจ้านำทัพไปรบกับเตียวสิ้ว หนทางกันดารแห้งแล้งทหารหิวน้ำคอแห้ง ข้าพเจ้าแกล้งชี้ไปข้างหน้าแล้วบอกว่า ข้างหน้าเต็มไปด้วยต้นบ๊วยทหารได้ยินคำว่าบ๊วยน้ำลายสอหายคอแห้งกันทุกคน วันนี้ข้าพเจ้าคิดถึงเรื่องนี้และคิดถึงท่าน จึงให้อุ่นสุราไว้ เชิญท่านมาร่วมดื่มกินโต๊ะที่หอเย็นกลางสวน
ขณะที่ทั้งโจโฉกับเล่าปี่เสพย์สุราอยู่นั้น พลันเกิดพายุใหญ่ฟ้ามืดมัวฝน ทหารแลคนทั้งปวงร้องว่ามัง กรกำลังสำแดงเดชฤทธิ์เดชบนท้องฟ้า กลุ่มเมฆเกาะตัวเป็นรูปมังกร โจโฉจึงถามเล่าปี่ว่า ท่านทราบไหมว่า มังกรแผลงฤทธิ์นั้นเป็นอย่างไร เล่าปี่ตอบว่า ข้าพเจ้ายังหาทราบไม่
โจโฉจึงว่า มังกรนั้นแผลงฤทธิ์ได้ตัวใหญ่เล็กขนาดไหนก็ได้ ลอยฟ้าก็ได้ หายตัวก็ได้ ทำให้ฝนตกก็ได้ ให้หมอกลงก็ได้ ซ่อนตัวอยู่ในต้นผักก็ได้ แฝงตัวในเงามืดก็ได้ ถ้าขึ้นไปเบื้องบนสำแดงฤทธิ์แล้ว แม้แผ่นฟ้าก็ไม่พอตัว ถ้าลงไปเบื้องล่าง แม้ท้องสมุทรก็แคบไป เพลานี้อยู่กลางฤดูฝน มังกรชอบสำแดงแผลงฤทธิ์ต่าง ๆ อุปมาเหมือนคนที่ยิ่งใหญ่ ย่อมคิดจะครองโลกไว้เป็นของตัว แล้วโจโฉจึงถามว่า ท่านทราบไหมว่า เวลานี้ใครยิ่งใหญ่บ้าง
เล่าปี่ได้ฟังก็สะดุ้งตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา จะไปรู้เรื่องที่ใหญ่หลวงอย่างนี้ได้อย่างไร โจโฉจึงว่า ความคิดท่านก็มีอยู่ อย่าถ่อมตัวนักเลย เล่าปี่ตอบว่า ด้วยบารมีท่านสมุหนายก ทุกวันนี้ข้าพเจ้าถึงได้ตำแหน่งอยู่ในราชสำนัก ส่วนใครจะยิ่งใหญ่แค่ไหนข้าพเจ้ามิได้รู้จักเลยเป็นความสัตย์
โจโฉจึงว่า ถึงไม่รู้จักหน้า แต่ท่านจะต้องเคยได้ยินชื่อเสียงกิตติศัพท์คำเลื่องลือมาบ้าง เล่าปี่จีงถามว่า คนอย่างอ้วนสุดเมืองลำหยง ท่านเห็นว่ายิ่งใหญ่หรือไม่ โจโฉหัวเราะแล้วว่า อ้วนสุดนั้นอุปมาเหมือนหนึ่งกระดูกผุในป่าช้า ข้าพเจ้าจะเขี่ยทิ้งไปในไม่ช้า เล่าปี่จึงว่า ถ้าเช่นนั้นคงเป็นอ้วนเสี้ยว คนนี้สืบเชื้อสายจากตระกูลขุนนางเก่าถึง 4 ชั่วคน มีสมัครพรรคพวกมากมาย เวลานี้ใหญ่อยู่ที่กิจิ๋ว มีคนเก่ง ๆ อยู่ด้วยหลายคน ข้าพเจ้าเห็นว่าเขาจะต้องยิ่งใหญ่คนหนึ่งแน่ ๆ
โจโฉตอบว่า อันอ้วนเสี้ยวนั้น ทั้งโง่ทั้งขี้ขลาด ชอบทำใหญ่ทำโต แต่จิตใจโลเลไม่แน่นอน ทำไปเสียมากได้น้อย ได้ของกำนัลนิดหน่อยก็รวนเร คนอย่างนี้หาประโยชน์อันใดมิได้
เล่าปี่จึงว่า เล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว มีเมืองใหญ่ขึ้นถึงเก้าเมือง น้ำใจโอบอ้อมอารีเลื่องลือทุกสาระทิศ คงยิ่งใหญ่ได้กระมัง โจโฉตอบขึงขังว่าอันเล่าเปียวเป็นแต่คนปากหวาน ไม่จริงใจอะไรกับใคร ไร้สติปัญญาคนอย่างนี้จะยิ่งใหญ่หาได้ไม่
เล่าปี่จึงว่า ซุนเซ็กเจ้าเมืองกังตั๋ง ยังหนุ่มอยู่มีกำลังกล้าแข็ง ทั้งมีทหารเป็นอันมาก ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นคนมีความคิดกับฝีมือดีคนหนึ่ง โจโฉตอบว่า ซุนเซ็กมีฝีมือพอประมาณ ได้ทหารเก่าซุนเกี๋ยนผู้บิดาไว้จึงทำกำเริบได้ มันใหญ่เพราะพ่อมัน จึงไม่ใหญ่แท้ ซึ่งจะนับว่าเป็นคนมีความคิดนั้นเราไม่เห็นด้วย
เล่าปี่จึงว่า หัวเมืองทิศตะวันตกมีเล่าเจี๋ยงเจ้าเมืองเสฉวน มีสติปัญญา เป็นเชื้อพระวงศ์กษัตริย์มาแต่ก่อน โจโฉตอบว่าเล่าเจี๋ยงเป็นเชื้อพระวงศ์ก็จริง แต่หาความคิดมิได้ อุปมาเหมือนสุนัขเฝ้าประตู ซึ่งจะนับ ว่ามีสติปัญญานั้นหาได้ไม่
ความรู้ไปถึงฮกอ้วนบิดาพระนางฮกเฮา จึงทูลว่าภายในราชสำนักโจโฉได้วางคนไว้ทุกจุด นอกจากญาติข้างพระมเหสีแล้วนอกนั้นวางใจใครมิได้ เห็นมีแต่ท่านขุนพลตังสินพระญาติผู้ใหญ่คนเดียวเท่านั้น แต่ถ้าให้เข้าเฝ้าโดยขาดเหตุผลที่ดีความก็จะแตก ฮกอ้วนจึงกราบทูลให้พระองค์ทรงพระอักษรซ่อนไว้ในตะเข็บเสื้อ แล้วบอกให้ตังสินถึงบ้านแล้วจึงเลาะพระอักษรออกมาอ่าน ถ้าทำดังนี้ก็น่าจะรักษาความลับแม้ผีปีศาจก็มิอาจล่วงรู้ได้
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงเห็นด้วย ทรงนำพระแสงแทงนิ้วพระหัตถ์ ใช้พระโลหิตเขียนหนังสือลงผ้าแพรขาว แล้วให้พระนางฮกเฮาเย็บซ่อนไว้ในตะเข็บผ้าคาดเสื้อ จึงมีรับสั่งให้ตังสินเข้าเฝ้า พระราชทานเสื้อกับผ้าคาดแก่ตังสิน รับสั่งว่าเป็นบำเหน็บความดีความชอบที่เคยนำเสด็จหนีภัยลิกุยกับกุยกี แต่กระซิบสั่งว่าเมื่อถึงบ้านแล้วจงเลาะตะเข็บเสื้อออก จะได้รู้ถึงความทุกข์ของเราในนั้น แล้วหาทางช่วยเหลือเราด้วย
สายลับหญิงคนของโจโฉที่แฝงอยู่ในราชสำนัก รายงานให้โจโฉทราบว่าตังสินเข้าเฝ้า ได้รับพระราช ทานเสื้อกับผ้าคาดเป็นที่ผิดสังเกต โจโฉจึงรีบรุดเข้าวัง พบตังสินหน้าประตู โจโฉพยายามซักไซร้จับพิรุธตังสิน คาดคั้นถึงขั้นบีบตังสินขอดูผ้าคาด แล้วให้ถอดเสื้อออกมาดู โจโฉส่องเสื้อดูกับแสงแดด ตรวจดูเนื้อผ้าอย่างละเอียดแต่ก็มิได้พบสิ่งใด พลางลองใจตังสินขอเสื้อเอาดื้อๆ ตังสินยิ่งตกใจละล่ำละลักว่าเสื้อนี้เป็น ของพระราชทาน ถ้าท่านต้องการข้าพเจ้าจะจัดหาตัวอื่นมาให้
สุดท้ายตังสินกัดฟันบอกว่าถ้าท่านพึงประ สงค์เสื้อตัวนี้จริงๆ ข้าพเจ้าก็ยินดีมอบให้ โจโฉจึงว่าข้าพเจ้าล้อท่านเล่น ของพระราชทานข้าพเจ้าจะแย่งจากท่านได้อย่างไร ว่าแล้วโจโฉก็ถอดผ้าคาดกับเสื้อคืน ตังสินได้ของมาก็รีบกลับบ้าน พอตกกลางคืนจึงเลาะตะเข็บออก เห็นผ้าแพรขาวมีลายพระหัตถ์ทรงพระอักษรด้วยโลหิต มีตรามังกรเครื่องหมายราชลัญจกรมีความว่า
ทุกวันนี้โจโฉประพฤติตัวเป็นพาล ดูหมิ่นเหยียดหยามพระราชบัลลังก์ ทำลายหลักธรรมแห่งการบริหารปกครองแผ่นดิน ใช้อำนาจทหารและพวกข่มเหงคนทั้งปวง แต่งตั้งขุนนางหรือลงโทษผู้ใดโจโฉก็ทำไปโดยพละการ เราต้องทนขมขื่นใจอยู่ทุกวันคืน ถ้าไม่มีการแก้ไข ไม่ช้าราชบัลลังก์คงจะสูญสิ้น ท่านเป็นพระญาติวงศ์เสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ จงปรึกษาหารือขุนนางที่มีความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อเรา ช่วยกันกำจัดโจโฉสถา ปนาพระบรมเดชานุภาพฮ่องเต้ให้กลับคืนมาดั่งเดิม
ตังสินได้รับพระบรมราชโองการแล้วร้องไห้ จึงเชิญเพื่อนสนิทหลายคนคือ จูฮก ตันอิบ โงห้วน จูลัน ม้าเท้ง แล้วนำเอาพระราชโองการเลือดไปชวนเล่าปี่เข้าร่วมการด้วย เล่าปี่เห็นลายพระหัตถ์ก็ลงนามตกลงร่วมด้วย บรรดาผู้ก่อการต่างลงชื่อไว้ในแพรขาวเป็นการยืนยัน แผนโค่นล้มโจโฉจึงเริ่มก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ
ฝ่ายเล่าปี่ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในเมืองหลวง รู้ตัวตลอดเวลาว่าโจโฉมีความระแวงแหนงใจคอยจับตาอยู่ทุกย่างก้าว ยิ่งได้ทำสัญญาร่วมแผนกำจัดศัตรูแผ่นดินกับตังสิน จึงแกล้งทำเป็นคนถ่อมตัวมักน้อย ไม่คิดทะเยอทะยานทางการเมือง เอาไม้มากั้นเป็นรั้ว ตั้งหน้าตั้งตาทำสวน ขุดดิน ดายหญ้าปลูกผักผลไม้พรางตัวเองทุกวัน กวนอู เตียวหุยหารู้ความในใจของเล่าปี่มักจะค่อนแคะว่าพี่ใหญ่เสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื
่องทุกวันทำไม เล่าปี่ไม่ตอบแต่กลับดุเอาว่า พวกเจ้าไม่รู้อะไร จงอย่าได้วุ่นวายให้มากความ
อยู่มาวันหนึ่งกวนอูกับเตียวหุยไปฝึกยิงเกาทัณฑ์นอกเมือง โจโฉให้เคาทูกับเตียวเลี้ยวทหารเอกไป เชิญตัวเล่าปี่มาพบ เล่าปี่ตกใจถามว่าท่านสมุหนายกมีธุระสิ่งใดหรือ เคาทูตอบว่ามิทราบ เพียงแต่ได้รับคำสั่งให้มาเชิญตัว เล่าปี่จึงมากับนายทหารทั้งสอง พอโจโฉเห็นหน้าเล่าปี่ก็หัวเราะแล้วหยอกว่า ท่านกำลังคิดทำการใหญ่อยู่หรือ
เล่าปี่มิได้คาดว่าจะได้รับการจู่โจมด้วยวาจาในลักษณะนี้ ถึงกับตกใจตัวสั่นหน้าซีดเผือด มิรู้จะตอบประการใด คิดว่าที่ตนไปร่วมมือลงนามในพระราชโองการเลือดความคงแตก แต่เบาใจเมื่อโจโฉเข้ามาจูงมือเดินไปทางหลังสวนแล้วว่า การทำสวนปลูกผักของท่านที่ทำอยู่นั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ เลย เล่าปี่ค่อยโล่งอกตอบว่า ข้าพเจ้าทำสวนเล่นให้สบายอารมณ์ มิได้คิดทำจริงจังอะไรนัก
โจโฉเดินคุยกับเล่าปี่ในสวนอย่างคนสนิท ชี้ให้ดูมวลไม้กับต้นบ๊วยแล้วว่า ครั้งที่ข้าพเจ้านำทัพไปรบกับเตียวสิ้ว หนทางกันดารแห้งแล้งทหารหิวน้ำคอแห้ง ข้าพเจ้าแกล้งชี้ไปข้างหน้าแล้วบอกว่า ข้างหน้าเต็มไปด้วยต้นบ๊วยทหารได้ยินคำว่าบ๊วยน้ำลายสอหายคอแห้งกันทุกคน วันนี้ข้าพเจ้าคิดถึงเรื่องนี้และคิดถึงท่าน จึงให้อุ่นสุราไว้ เชิญท่านมาร่วมดื่มกินโต๊ะที่หอเย็นกลางสวน
ขณะที่ทั้งโจโฉกับเล่าปี่เสพย์สุราอยู่นั้น พลันเกิดพายุใหญ่ฟ้ามืดมัวฝน ทหารแลคนทั้งปวงร้องว่ามัง กรกำลังสำแดงเดชฤทธิ์เดชบนท้องฟ้า กลุ่มเมฆเกาะตัวเป็นรูปมังกร โจโฉจึงถามเล่าปี่ว่า ท่านทราบไหมว่า มังกรแผลงฤทธิ์นั้นเป็นอย่างไร เล่าปี่ตอบว่า ข้าพเจ้ายังหาทราบไม่
โจโฉจึงว่า มังกรนั้นแผลงฤทธิ์ได้ตัวใหญ่เล็กขนาดไหนก็ได้ ลอยฟ้าก็ได้ หายตัวก็ได้ ทำให้ฝนตกก็ได้ ให้หมอกลงก็ได้ ซ่อนตัวอยู่ในต้นผักก็ได้ แฝงตัวในเงามืดก็ได้ ถ้าขึ้นไปเบื้องบนสำแดงฤทธิ์แล้ว แม้แผ่นฟ้าก็ไม่พอตัว ถ้าลงไปเบื้องล่าง แม้ท้องสมุทรก็แคบไป เพลานี้อยู่กลางฤดูฝน มังกรชอบสำแดงแผลงฤทธิ์ต่าง ๆ อุปมาเหมือนคนที่ยิ่งใหญ่ ย่อมคิดจะครองโลกไว้เป็นของตัว แล้วโจโฉจึงถามว่า ท่านทราบไหมว่า เวลานี้ใครยิ่งใหญ่บ้าง
เล่าปี่ได้ฟังก็สะดุ้งตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา จะไปรู้เรื่องที่ใหญ่หลวงอย่างนี้ได้อย่างไร โจโฉจึงว่า ความคิดท่านก็มีอยู่ อย่าถ่อมตัวนักเลย เล่าปี่ตอบว่า ด้วยบารมีท่านสมุหนายก ทุกวันนี้ข้าพเจ้าถึงได้ตำแหน่งอยู่ในราชสำนัก ส่วนใครจะยิ่งใหญ่แค่ไหนข้าพเจ้ามิได้รู้จักเลยเป็นความสัตย์
โจโฉจึงว่า ถึงไม่รู้จักหน้า แต่ท่านจะต้องเคยได้ยินชื่อเสียงกิตติศัพท์คำเลื่องลือมาบ้าง เล่าปี่จีงถามว่า คนอย่างอ้วนสุดเมืองลำหยง ท่านเห็นว่ายิ่งใหญ่หรือไม่ โจโฉหัวเราะแล้วว่า อ้วนสุดนั้นอุปมาเหมือนหนึ่งกระดูกผุในป่าช้า ข้าพเจ้าจะเขี่ยทิ้งไปในไม่ช้า เล่าปี่จึงว่า ถ้าเช่นนั้นคงเป็นอ้วนเสี้ยว คนนี้สืบเชื้อสายจากตระกูลขุนนางเก่าถึง 4 ชั่วคน มีสมัครพรรคพวกมากมาย เวลานี้ใหญ่อยู่ที่กิจิ๋ว มีคนเก่ง ๆ อยู่ด้วยหลายคน ข้าพเจ้าเห็นว่าเขาจะต้องยิ่งใหญ่คนหนึ่งแน่ ๆ
โจโฉตอบว่า อันอ้วนเสี้ยวนั้น ทั้งโง่ทั้งขี้ขลาด ชอบทำใหญ่ทำโต แต่จิตใจโลเลไม่แน่นอน ทำไปเสียมากได้น้อย ได้ของกำนัลนิดหน่อยก็รวนเร คนอย่างนี้หาประโยชน์อันใดมิได้
เล่าปี่จึงว่า เล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว มีเมืองใหญ่ขึ้นถึงเก้าเมือง น้ำใจโอบอ้อมอารีเลื่องลือทุกสาระทิศ คงยิ่งใหญ่ได้กระมัง โจโฉตอบขึงขังว่าอันเล่าเปียวเป็นแต่คนปากหวาน ไม่จริงใจอะไรกับใคร ไร้สติปัญญาคนอย่างนี้จะยิ่งใหญ่หาได้ไม่
เล่าปี่จึงว่า ซุนเซ็กเจ้าเมืองกังตั๋ง ยังหนุ่มอยู่มีกำลังกล้าแข็ง ทั้งมีทหารเป็นอันมาก ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นคนมีความคิดกับฝีมือดีคนหนึ่ง โจโฉตอบว่า ซุนเซ็กมีฝีมือพอประมาณ ได้ทหารเก่าซุนเกี๋ยนผู้บิดาไว้จึงทำกำเริบได้ มันใหญ่เพราะพ่อมัน จึงไม่ใหญ่แท้ ซึ่งจะนับว่าเป็นคนมีความคิดนั้นเราไม่เห็นด้วย
เล่าปี่จึงว่า หัวเมืองทิศตะวันตกมีเล่าเจี๋ยงเจ้าเมืองเสฉวน มีสติปัญญา เป็นเชื้อพระวงศ์กษัตริย์มาแต่ก่อน โจโฉตอบว่าเล่าเจี๋ยงเป็นเชื้อพระวงศ์ก็จริง แต่หาความคิดมิได้ อุปมาเหมือนสุนัขเฝ้าประตู ซึ่งจะนับ ว่ามีสติปัญญานั้นหาได้ไม่