ตอนที่ 27. ค่าแห่งคุณธรรม
การหาเสียงของโจโฉสามารถเกลี้ยกล่อมตันก๋งเจ้าเมืองจงพวนให้ปล่อยตัวออกจากการจองจำ แล้วทิ้งเมืองจงพวนยอมติดตามโจโฉไปในครั้งนี้ นับเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของโจโฉ
เพราะไม่เพียงแต่จะรอดตัวจากเงื้อมมือของทรราชย์ตั๋งโต๊ะเท่านั้น ยังได้คนระดับเจ้าเมืองเป็นพวกไปทำการใหญ่อีกคนหนึ่ง
โจโฉจึงค่อย ๆ มั่นใจในลีลาและวิธีการพูดหาเสียงจูงใจคน ทั้งสามารถสรุปไว้มั่นในใจว่าเมื่อใดที่ได้เสนอเข็มมุ่งทางการเมืองที่ถูกต้องสอดคล้องกับความปรารถนาอันร้อนแรงของมหาชน แล้วชักจูงหว่านล้อมด้วยความมีฐานะขุนนางเก่าถึงสามชั่วคนหนึ่ง ความจงรักภักดีกตัญญูรู้คุณแผ่นดินหนึ่ง ความเสียสละเพื่อจะทำนุบำรุงราษฎรหนึ่ง และความกล้าหาญไม่กลัวยากลำบาก ไม่กลัวตายอีกหนึ่งแล้ว เมื่อนั้นผู้คนย่อมคล้อยตาม
และเมื่อนั้นย่อมได้มาซึ่งความศรัทธาเลื่อมใส ความปลงใจเชื่อมั่น ความสนับสนุนช่วยเหลือ แม้แต่การยอมตัวติดตามดังกรณีของตันก๋งนี้
หากจะเปรียบเอาการที่ตั๋งโต๊ะใช้ม้าเซ็กเธาว์ และทองคำอัญมณีมีค่าซื้อตัวลิโป้ว่าเป็นการซื้อขายคนแบบเลวทรามต่ำช้าที่สุด ก็ย่อมเปรียบได้ว่าวิธีการของโจโฉนี้ก็เป็นการซื้อคนอีกชนิดหนึ่งคือซื้อด้วยอุดมการณ์เพื่อกอบกู้บ้านเมือง ซึ่งเป็นการซื้อคนที่สูงส่งกว่าแบบของตั๋งโต๊ะมากมายนัก
ดังนี้แล้วคนเราจึงคล้ายกับสินค้าที่อาจถูกซื้อหาได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่แต่เพียงว่าจะเป็นการซื้อขายกันด้วยจิตใจที่ชั่วช้าเลวทราม หรือด้วยจิตใจที่งดงามสูงส่งแห่งอุดมการณ์เท่านั้น
โจโฉและตันก๋งออกจากเมืองจงพวนแล้ว เร่งรีบหนีภัยจากเงื้อมมือทรราชย์ตั๋งโต๊ะทั้งกลางวันและกลางคืน มุ่งหน้ากลับบ้านเดิมหาบิดา ขี่ม้ามาได้สามวัน เพลาเย็นถึงตำบลอันเป็นบ้านของแปะเฉีย ซึ่งเป็นเกลอเก่าของบิดาโจโฉ
โจโฉจึงชวนตันก๋งให้พักค้างคืนที่บ้านแปะเฉียเสียคราหนึ่งก่อน เพราะเดินทางมาล้านัก ระยะทางหนีก็ห่างเมืองมากแล้ว ไกลหูไกลตาเจ้าหน้าที่ พอจะเชื่อว่ามีความปลอดภัย ทั้งจะได้สอบถามข่าวคราวเหตุการณ์บ้านเมืองให้ทันต่อสถานการณ์ไปด้วย ตันก๋งฟังแล้วก็เห็นด้วย
ดังนั้นสองผู้พเนจรจึงพากันไปที่บ้านแปะเฉีย ถามหาแปะเฉีย พบหน้ากันแล้วแปะเฉียจึงบอกโจโฉว่าบัดนี้มีประกาศจากเมืองหลวงส่งถึงหัวเมืองต่าง ๆ ให้จับตัวท่าน แล้วส่งเข้าเมืองหลวงด้วยข้อหาว่าเป็นกบฏต่อแผ่นดิน โจโก๋บิดาของเจ้าเกรงราชภัย จึงหนีออกไปอยู่เมืองตันลิวแล้ว เวลานี้ใกล้ค่ำให้เจ้าพักค้างคืนที่บ้านเราเสียราตรีหนึ่งก่อน รุ่งเช้าแล้วจึงค่อยออกเดินทาง
โจโฉดีใจที่ได้ทราบข่าวคราวจากแปะเฉีย จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสิ้นให้แปะเฉียฟัง แล้วแนะนำตันก๋งว่าเป็นเจ้าเมืองจงพวน มีใจชังทรราชย์ตั๋งโต๊ะ คิดถึงคุณแผ่นดิน จึงหนีออกจากเมืองจงพวนมาด้วยกัน เพื่อทำการตามรับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ประสานงานให้หัวเมืองต่าง ๆ ยกกองทัพเข้าเมืองหลวงกำจัดตั๋งโต๊ะเสีย
แปะเฉียฟังแล้วก็ขอบคุณตันก๋งที่ได้ช่วยโจโฉให้รอดตายมาได้ และยินดีที่สองผู้พเนจรจะได้ทำการตามรับสั่ง แล้วเดินเข้าไปในครัวครู่หนึ่งจึงออกมาบอกแก่โจโฉว่าวันนี้เราจะเลี้ยงดูพวกเจ้าให้เต็มที่ แต่ไม่มีสุราอย่างดีควรแก่คนระดับเจ้าเมือง จะขอเดินทางไปตลาดสักครู่ใหญ่ ว่าแล้วแปะเฉียก็ออกจากบ้านไป
โจโฉ ตันก๋ง นั่งรออยู่ในบ้านแปะเฉียพักใหญ่ ได้ยินเสียงคนลับมีดที่หลังบ้าน โจโฉและตันก๋งสงสัยย่องเข้าไปแอบฟังที่ฝาหลังบ้าน ได้ยินเสียงคนหลายคนพูดกันแต่เบา ๆ ว่าจับมัดแล้วฆ่าเลยดีกว่า
โจโฉตกใจคล้ายกับวัวสันหลังหวะ เห็นอีกาบินอยู่บนฟ้า ก็เกรงว่าจะจิกแผลตน จึงจูงมือตันก๋งถอยกลับมาที่ในห้องแล้วว่าแปะเฉียเป็นเพียงเกลอเก่าของบิดาเรา บัดนี้บิดาเราก็หนีไปอยู่เมืองตันลิวแล้ว จึงสิ้นความผูกพันต่อตัวเรา ละไมตรีเสีย บัดนี้เราต้องข้อหาฉกรรจ์ มีรางวัลค่าตัวแรงนัก แปะเฉียคงมีใจละโมบใคร่ได้ความชอบ จึงติดต่อพรรคพวกให้จับพวกเราให้แก่ทรราชย์ตั๋งโต๊ะ ส่วนตัวแปะเฉียคงจะเดินทางเข้าไปในเมืองส่งข่าวให้ทางการมาคุมเอาตัวเราทั้งสอง เราจะต้องสังหารคนพวกนี้เสียก่อน จะได้ไม่มีผู้ใดรู้เห็นติดตามเราอีกต่อไป
ตันก๋งฟังโจโฉแล้วจึงว่าเราเป็นคนไกล ไม่รู้ใจแปะเฉียจึงยังประมาณการอะไรไม่ได้ก่อน โจโฉจึงว่าแม้นละพวกเขาไว้เราต้องตาย จำต้องเอาชีวิตเรารอดไว้ก่อน ว่าแล้วก็ชักกระบี่วิ่งไปทางหลังบ้าน สังหารบุตร ภรรยาแปะเฉียและคนในบ้านตายสิ้น นับศพได้ถึงแปดศพ
ตันก๋งวิ่งตามโจโฉออกมา เห็นโจโฉใช้กระบี่สังหารผู้คนหมดทั้งบ้านก็ตกใจ เหลียวไปที่ในเล้าหมูเห็นหมูถูกเชือกมัดอยู่ และเห็นคนผู้หนึ่งถูกกระบี่โจโฉฟันตายอยู่ข้างหินลับมีด มีปังตอตกอยู่ข้าง ๆ ตันก๋งพินิจเหตุการณ์ดูแล้วจึงว่าแก่โจโฉว่าท่านด่วนแก่ความคิด สำคัญผิดสังหารผู้คนไปถึงแปดคน ความจริงคนเหล่านี้เตรียมที่จะฆ่าหมูเพื่อเลี้ยงดูพวกเราตามคำสั่งของแปะเฉียต่างหาก
โจโฉได้ยินคำตันก๋ง แล้วมองไปรอบตัว เห็นเหตุการณ์ประจักษ์แก่ตา ได้คิดก็ตกใจ เพราะได้ลงมือฆ่าคนถึงแปดศพ เร็วเกินไปโดยไม่ได้พิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ล่วงมาเพียงนี้แล้ว แก้ไขกลับคืนไม่ได้ โจโฉจึงว่าเราเห็นจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ เพราะเมื่อแปะเฉียกลับมาถึงบ้าน เห็นบุตร ภรรยา และคนในบ้านถูกสังหารจนหมดสิ้น คงจะทำร้ายเราเป็นแน่
ว่าแล้วก็ชวนตันก๋งขึ้นม้าขี่ออกจากบ้านแปะเฉียไป พักหนึ่งก็สวนเข้ากับแปะเฉียเดินจูงลามุ่งหน้าจะกลับบ้าน บนหลังลาบรรทุกสุราและผลไม้ แปะเฉียเห็นโจโฉกับตันก๋งก็สงสัย จึงถามว่าเหตุใดจึงด่วนรีบเดินทาง เราได้ซื้อหาสุราอย่างดีพร้อมผลไม้มาเลี้ยงดูพวกเจ้า ทั้งที่บ้านก็ได้ฆ่าหมูตัวหนึ่ง จะได้อิ่มหนำสำราญกันให้เต็มที่
โจโฉจึงว่าข้าพเจ้าต้องข้อหากบฏต่อแผ่นดิน พักอยู่นานไม่ได้ อันตรายจะมาถึงตัว ทั้งจะเป็นภัยแก่ตัวท่านให้ได้รับความเดือดร้อนด้วย แล้วโจโฉ ตันก๋งก็ขับม้าผ่านแปะเฉียโดยที่แปะเฉียยังไม่ทันได้กล่าวความสืบไป
โจโฉ ตันก๋ง ขี่ม้าผ่านแปะเฉียไปได้หน่อยหนึ่ง โจโฉได้รั้งม้าให้หยุด แล้วขับม้ากลับตามทางเดิม แปะเฉียได้ยินเสียงม้าก็หันกลับมาดู โจโฉเอามือชี้ไปข้างหน้าพร้อมกับร้องบอกแปะเฉียว่า “ดูนั่นสิ”
พอแปะเฉียหันหน้ากลับไปดู โจโฉก็ใช้กระบี่ฟันแปะเฉียถึงแก่ความตาย ณ ที่นั้น
ตันก๋งเห็นโจโฉชักม้ากลับจึงหยุดม้าแล้วหันไปดู เห็นโจโฉฆ่าแปะเฉียก็ตกใจเป็นอันมาก แล้วว่าแก่โจโฉว่าเมื่อครู่นี้ท่านไวแก่ความคิด สังหารบุตร ภรรยาและคนในบ้านแปะเฉียถึงแปดศพ โดยที่คนเหล่านั้นหาความผิดใดมิได้ ท่านทำความผิดนัก ไม่ทันไรก็มาทำความผิดซ้ำสังหารแปะเฉียอีกศพหนึ่ง ท่านนี้เป็นคนอกตัญญู ใจบาป หยาบช้าโดยแท้
โจโฉจึงว่าเมื่อครู่นี้ข้าพเจ้าสังหารคนไร้ความผิดไปถึงแปดศพ เป็นความผิดมหันต์อยู่แล้ว แต่จะแก้ไขให้ฟื้นคืนก็ไม่ได้ ครั้นจะละแปะเฉียไว้เมื่อกลับถึงบ้าน แปะเฉียย่อมรู้ความผิดเรา แล้วคงจะแจ้งทางราชการให้ติดตามจับกุมตัวเราให้ต้องรับโทษถึงสองสถาน เราจะไม่พ้นความตาย การใหญ่ที่คิดไว้ก็จะเสียการไป ดังนั้นเราจึงจำต้องสังหารแปะเฉียเสียก่อนจะได้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ความผิดและความเคลื่อนไหวของเรา
แล้วโจโฉจึงว่ากล่าวปลอบใจตันก๋งว่า อันวิสัยพยัคฆาเข้าป่าใหญ่ จะกังวลไปใยกับการที่กิ่งไม้ใบหญ้าในทางผ่านต้องล้มราบลง ป่าใหญ่ย่อมไม่ไร้ซึ่งกิ่งไม้ใบหญ้า แผ่นดินนี้มีผู้คนมากมาย ตายเสียแปดเก้าคน ฝนฟ้าก็ยังคงตกต้องตามฤดูกาลอยู่นั่นเอง กังวลใจไปทำไมกัน
ตันก๋งจึงว่าแก่โจโฉว่า ท่านเป็นคนใจโฉด ไร้คุณธรรม คิดผิด แล้วฆ่าบุตรภรรยาและคนในบ้านเขาแล้ว ยังจงใจทำผิดซ้ำสองอีก หาใช่คนกตัญญูรู้คุณคนไม่
โจโฉจึงว่าท่านพูดมาทั้งนี้ฟังเข้าทีก็แต่โดยผิวเผิน “ธรรมดาเกิดมาทุกวันนี้ย่อมรักษาตัวมิให้ผู้อื่นคิดร้ายได้ เราจึงทำการทั้งนี้”
นี่คือความคิดจิตใจอันเป็นเนื้อตัวแท้จริงของโจโฉ ที่คิดว่าเกิดมาแล้วต้องเอาตัวให้รอดได้เท่านั้น คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม หามีคุณค่าใดอันควรคำนึงไม่ ดังนั้นเมื่อจะเอาตัวรอดรักษาชีวิตไว้แล้ว ถึงจะต้องฆ่าฟันผู้คนที่ไร้ความผิด หรือทำชั่วช้าสารเลวอย่างไรก็ไม่ต้องคำนึงถึง
นักอ่านสามก๊กมักจะขนานนามโจโฉว่า “โจโฉผู้ไม่ยอมให้โลกทรยศ” นั่นเป็นความสำเร็จจากพลังและแรงคมแห่งปากกาของยาขอบ บรมครูผู้เป็นอมตะแห่งวงวรรณกรรม แต่แท้จริงแล้วโลกหาได้ทรยศต่อโจโฉหรือผู้ใดไม่ กรณีเป็นเรื่องของการตีราคาค่าตนเองเหนือกว่าสิ่งใด เพียงเพื่อขอให้เอาชีวิตรอดก็พร้อมที่จะทำบาปชั่วได้ทุกอย่าง
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ปราชญ์ใหญ่ของประเทศไทย และบรมครูทางวรรณกรรมอีกท่านหนึ่งได้แก้ต่างให้กับโจโฉ ในเรื่องนี้ไว้ในสามก๊กฉบับนายทุนว่า การทั้งนี้เป็นเพราะคนเขียนหนังสือสามก๊กเป็นพวกเล่าปี่ และเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับโจโฉ เห็นทางใดที่จะเขียนเหยียบย่ำซ้ำเติมโจโฉได้ ก็แกล้งเขียนให้เห็นเป็นว่าโจโฉไม่ใช่คนดี
และยังแก้ต่างให้ต่อไปว่าแปะเฉียรู้ดีว่ามีประกาศของทางราชการให้จับตัวโจโฉ และทางการจะเอาผิดกับผู้คบคิดปกปิดให้ที่หลบซ่อนในฐานร่วมกบฏต่อแผ่นดิน แต่เหตุใดคนบ้านนอกอย่างแปะเฉียไม่กลัวอาญาแผ่นดิน กล้ารับโจโฉไว้ในบ้าน กรณีจึงน่าสงสัยว่าแปะเฉียจะวางแผนกับพรรคพวกเพื่อจะจับโจโฉส่งให้แก่ทางราชการ โจโฉจึงชอบที่จะป้องกันตัว
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้แก้ต่างให้กับโจโฉด้วยว่าแม้หากแปะเฉียจะไม่คิดร้ายต่อโจโฉก็ยังต้องถือว่าการกระทำของโจโฉเกิดแต่ความจำเป็น ต้องรักษาตัวรอด เพื่อรับใช้การใหญ่ของแผ่นดินต่อไป
ข้อแก้ต่างนี้กลายเป็นแบบอย่างให้นักการเมืองถือเป็นแบบฉบับในการพูดจาทางการเมืองในชั้นหลัง และได้ทำให้สามก๊กฉบับนายทุนอ่านแล้วสนุก และมีเหตุผลแบบประหลาด อันควรแก่ความสนใจ
เหตุผลแบบนี้พระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า รัชกาลที่ 6 ทรงแสดงเป็นเชิงประชดประชันไว้ในธรรมาธรรมะสงคราม เป็นคำสอนของอธรรมเทวบุตร ให้เหตุผลในการปล้นเขาว่าควรอย่างไรว่า
“ยามจนจะทนยาก จะลำบากไปใยมี
พึงปองข้าวของดี ณ ผู้อื่นอันเก็บงำ”
ตันก๋งฟังคำโจโฉแล้ว เห็นว่าจะต่อปากต่อคำต่อไปก็ไร้ประโยชน์ จึงนิ่งเสียแล้วพากันเดินทางต่อไป ถึงศาลเจ้าร้างแห่งหนึ่งจึงแวะเข้าพักค้างคืน โจโฉเหนื่อยนักจึงหลับไปก่อน
ตันก๋งในยามสงัด เสียงใบไม้หวีดหวิววังเวงก็หวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเสียใจนักที่หลงเชื่อคนแบบโจโฉ สู้อุตส่าห์ละทิ้งยศศักดิ์อัครฐานและบริวารติดตามโจโฉมาหวังทำการใหญ่ กำจัดทรราชย์ตั๋งโต๊ะ ทำนุบำรุงแผ่นดินและราษฎร ไม่ทันไรก็ประจักษ์ความชัดแล้วว่าโจโฉหาใช่คนมีคุณธรรมที่จะทำให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขไม่ หากเป็นคนใจบาปเห็นแก่ตัว ซึ่งอาจจะร้ายเท่า ๆ กับตั๋งโต๊ะก็ได้ คนแบบนี้เป็นคนพาล ไม่ควรที่เราจะเสวนาด้วยอีกต่อไป
และเพื่อไม่ให้เป็นภัยต่อผู้คนในภายหน้า เราจำจะฆ่าโจโฉเสียในค่ำนี้ คิดแล้วก็ชักกระบี่เดินเข้าไปหาโจโฉที่หลับอยู่ ขณะนั้นใจพลันคิดว่าหากเราฆ่าโจโฉ เราเองก็จะเป็นคนบาปแบบเดียวกับโจโฉ เป็นความผิดของเราเองที่หลงชอบเชื่อใจเขา มาบัดนี้เมื่อสิ้นที่ชอบและหลงนับถือแล้ว เราควรจะปลีกตัวหนีไปให้ไกลเสียจะดีกว่า
คิดดังนี้แล้วตันก๋งก็เก็บสัมภาะของตนขึ้นม้าขับหนีโจโฉไปอยู่ที่เมืองตองกุ๋นในราตรีนั้น
ตันก๋งหนีโจโฉเพราะเห็นว่าโจโฉเป็นคนไร้คุณธรรม ขาดความกตัญญู ไม่รู้คุณคน ในขณะที่โจโฉก็กำลังหนี แต่เป็นการหนีเพื่อเอาชีวิตรอด และได้ทำหรือพร้อมจะทำทุกอย่างโดยไม่ต้องคำนึงถึงคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ขอเพียงให้มีชีวิตรอดก็เป็นพอ
การหนีของทั้งสองคนนี้ แม้ว่าจะเป็นการหนีอย่างเดียวกัน แต่ต่างกันด้วยค่าแห่งคุณธรรมฉะนี้.
เพราะไม่เพียงแต่จะรอดตัวจากเงื้อมมือของทรราชย์ตั๋งโต๊ะเท่านั้น ยังได้คนระดับเจ้าเมืองเป็นพวกไปทำการใหญ่อีกคนหนึ่ง
โจโฉจึงค่อย ๆ มั่นใจในลีลาและวิธีการพูดหาเสียงจูงใจคน ทั้งสามารถสรุปไว้มั่นในใจว่าเมื่อใดที่ได้เสนอเข็มมุ่งทางการเมืองที่ถูกต้องสอดคล้องกับความปรารถนาอันร้อนแรงของมหาชน แล้วชักจูงหว่านล้อมด้วยความมีฐานะขุนนางเก่าถึงสามชั่วคนหนึ่ง ความจงรักภักดีกตัญญูรู้คุณแผ่นดินหนึ่ง ความเสียสละเพื่อจะทำนุบำรุงราษฎรหนึ่ง และความกล้าหาญไม่กลัวยากลำบาก ไม่กลัวตายอีกหนึ่งแล้ว เมื่อนั้นผู้คนย่อมคล้อยตาม
และเมื่อนั้นย่อมได้มาซึ่งความศรัทธาเลื่อมใส ความปลงใจเชื่อมั่น ความสนับสนุนช่วยเหลือ แม้แต่การยอมตัวติดตามดังกรณีของตันก๋งนี้
หากจะเปรียบเอาการที่ตั๋งโต๊ะใช้ม้าเซ็กเธาว์ และทองคำอัญมณีมีค่าซื้อตัวลิโป้ว่าเป็นการซื้อขายคนแบบเลวทรามต่ำช้าที่สุด ก็ย่อมเปรียบได้ว่าวิธีการของโจโฉนี้ก็เป็นการซื้อคนอีกชนิดหนึ่งคือซื้อด้วยอุดมการณ์เพื่อกอบกู้บ้านเมือง ซึ่งเป็นการซื้อคนที่สูงส่งกว่าแบบของตั๋งโต๊ะมากมายนัก
ดังนี้แล้วคนเราจึงคล้ายกับสินค้าที่อาจถูกซื้อหาได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่แต่เพียงว่าจะเป็นการซื้อขายกันด้วยจิตใจที่ชั่วช้าเลวทราม หรือด้วยจิตใจที่งดงามสูงส่งแห่งอุดมการณ์เท่านั้น
โจโฉและตันก๋งออกจากเมืองจงพวนแล้ว เร่งรีบหนีภัยจากเงื้อมมือทรราชย์ตั๋งโต๊ะทั้งกลางวันและกลางคืน มุ่งหน้ากลับบ้านเดิมหาบิดา ขี่ม้ามาได้สามวัน เพลาเย็นถึงตำบลอันเป็นบ้านของแปะเฉีย ซึ่งเป็นเกลอเก่าของบิดาโจโฉ
โจโฉจึงชวนตันก๋งให้พักค้างคืนที่บ้านแปะเฉียเสียคราหนึ่งก่อน เพราะเดินทางมาล้านัก ระยะทางหนีก็ห่างเมืองมากแล้ว ไกลหูไกลตาเจ้าหน้าที่ พอจะเชื่อว่ามีความปลอดภัย ทั้งจะได้สอบถามข่าวคราวเหตุการณ์บ้านเมืองให้ทันต่อสถานการณ์ไปด้วย ตันก๋งฟังแล้วก็เห็นด้วย
ดังนั้นสองผู้พเนจรจึงพากันไปที่บ้านแปะเฉีย ถามหาแปะเฉีย พบหน้ากันแล้วแปะเฉียจึงบอกโจโฉว่าบัดนี้มีประกาศจากเมืองหลวงส่งถึงหัวเมืองต่าง ๆ ให้จับตัวท่าน แล้วส่งเข้าเมืองหลวงด้วยข้อหาว่าเป็นกบฏต่อแผ่นดิน โจโก๋บิดาของเจ้าเกรงราชภัย จึงหนีออกไปอยู่เมืองตันลิวแล้ว เวลานี้ใกล้ค่ำให้เจ้าพักค้างคืนที่บ้านเราเสียราตรีหนึ่งก่อน รุ่งเช้าแล้วจึงค่อยออกเดินทาง
โจโฉดีใจที่ได้ทราบข่าวคราวจากแปะเฉีย จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสิ้นให้แปะเฉียฟัง แล้วแนะนำตันก๋งว่าเป็นเจ้าเมืองจงพวน มีใจชังทรราชย์ตั๋งโต๊ะ คิดถึงคุณแผ่นดิน จึงหนีออกจากเมืองจงพวนมาด้วยกัน เพื่อทำการตามรับสั่งของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ประสานงานให้หัวเมืองต่าง ๆ ยกกองทัพเข้าเมืองหลวงกำจัดตั๋งโต๊ะเสีย
แปะเฉียฟังแล้วก็ขอบคุณตันก๋งที่ได้ช่วยโจโฉให้รอดตายมาได้ และยินดีที่สองผู้พเนจรจะได้ทำการตามรับสั่ง แล้วเดินเข้าไปในครัวครู่หนึ่งจึงออกมาบอกแก่โจโฉว่าวันนี้เราจะเลี้ยงดูพวกเจ้าให้เต็มที่ แต่ไม่มีสุราอย่างดีควรแก่คนระดับเจ้าเมือง จะขอเดินทางไปตลาดสักครู่ใหญ่ ว่าแล้วแปะเฉียก็ออกจากบ้านไป
โจโฉ ตันก๋ง นั่งรออยู่ในบ้านแปะเฉียพักใหญ่ ได้ยินเสียงคนลับมีดที่หลังบ้าน โจโฉและตันก๋งสงสัยย่องเข้าไปแอบฟังที่ฝาหลังบ้าน ได้ยินเสียงคนหลายคนพูดกันแต่เบา ๆ ว่าจับมัดแล้วฆ่าเลยดีกว่า
โจโฉตกใจคล้ายกับวัวสันหลังหวะ เห็นอีกาบินอยู่บนฟ้า ก็เกรงว่าจะจิกแผลตน จึงจูงมือตันก๋งถอยกลับมาที่ในห้องแล้วว่าแปะเฉียเป็นเพียงเกลอเก่าของบิดาเรา บัดนี้บิดาเราก็หนีไปอยู่เมืองตันลิวแล้ว จึงสิ้นความผูกพันต่อตัวเรา ละไมตรีเสีย บัดนี้เราต้องข้อหาฉกรรจ์ มีรางวัลค่าตัวแรงนัก แปะเฉียคงมีใจละโมบใคร่ได้ความชอบ จึงติดต่อพรรคพวกให้จับพวกเราให้แก่ทรราชย์ตั๋งโต๊ะ ส่วนตัวแปะเฉียคงจะเดินทางเข้าไปในเมืองส่งข่าวให้ทางการมาคุมเอาตัวเราทั้งสอง เราจะต้องสังหารคนพวกนี้เสียก่อน จะได้ไม่มีผู้ใดรู้เห็นติดตามเราอีกต่อไป
ตันก๋งฟังโจโฉแล้วจึงว่าเราเป็นคนไกล ไม่รู้ใจแปะเฉียจึงยังประมาณการอะไรไม่ได้ก่อน โจโฉจึงว่าแม้นละพวกเขาไว้เราต้องตาย จำต้องเอาชีวิตเรารอดไว้ก่อน ว่าแล้วก็ชักกระบี่วิ่งไปทางหลังบ้าน สังหารบุตร ภรรยาแปะเฉียและคนในบ้านตายสิ้น นับศพได้ถึงแปดศพ
ตันก๋งวิ่งตามโจโฉออกมา เห็นโจโฉใช้กระบี่สังหารผู้คนหมดทั้งบ้านก็ตกใจ เหลียวไปที่ในเล้าหมูเห็นหมูถูกเชือกมัดอยู่ และเห็นคนผู้หนึ่งถูกกระบี่โจโฉฟันตายอยู่ข้างหินลับมีด มีปังตอตกอยู่ข้าง ๆ ตันก๋งพินิจเหตุการณ์ดูแล้วจึงว่าแก่โจโฉว่าท่านด่วนแก่ความคิด สำคัญผิดสังหารผู้คนไปถึงแปดคน ความจริงคนเหล่านี้เตรียมที่จะฆ่าหมูเพื่อเลี้ยงดูพวกเราตามคำสั่งของแปะเฉียต่างหาก
โจโฉได้ยินคำตันก๋ง แล้วมองไปรอบตัว เห็นเหตุการณ์ประจักษ์แก่ตา ได้คิดก็ตกใจ เพราะได้ลงมือฆ่าคนถึงแปดศพ เร็วเกินไปโดยไม่ได้พิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ล่วงมาเพียงนี้แล้ว แก้ไขกลับคืนไม่ได้ โจโฉจึงว่าเราเห็นจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ เพราะเมื่อแปะเฉียกลับมาถึงบ้าน เห็นบุตร ภรรยา และคนในบ้านถูกสังหารจนหมดสิ้น คงจะทำร้ายเราเป็นแน่
ว่าแล้วก็ชวนตันก๋งขึ้นม้าขี่ออกจากบ้านแปะเฉียไป พักหนึ่งก็สวนเข้ากับแปะเฉียเดินจูงลามุ่งหน้าจะกลับบ้าน บนหลังลาบรรทุกสุราและผลไม้ แปะเฉียเห็นโจโฉกับตันก๋งก็สงสัย จึงถามว่าเหตุใดจึงด่วนรีบเดินทาง เราได้ซื้อหาสุราอย่างดีพร้อมผลไม้มาเลี้ยงดูพวกเจ้า ทั้งที่บ้านก็ได้ฆ่าหมูตัวหนึ่ง จะได้อิ่มหนำสำราญกันให้เต็มที่
โจโฉจึงว่าข้าพเจ้าต้องข้อหากบฏต่อแผ่นดิน พักอยู่นานไม่ได้ อันตรายจะมาถึงตัว ทั้งจะเป็นภัยแก่ตัวท่านให้ได้รับความเดือดร้อนด้วย แล้วโจโฉ ตันก๋งก็ขับม้าผ่านแปะเฉียโดยที่แปะเฉียยังไม่ทันได้กล่าวความสืบไป
โจโฉ ตันก๋ง ขี่ม้าผ่านแปะเฉียไปได้หน่อยหนึ่ง โจโฉได้รั้งม้าให้หยุด แล้วขับม้ากลับตามทางเดิม แปะเฉียได้ยินเสียงม้าก็หันกลับมาดู โจโฉเอามือชี้ไปข้างหน้าพร้อมกับร้องบอกแปะเฉียว่า “ดูนั่นสิ”
พอแปะเฉียหันหน้ากลับไปดู โจโฉก็ใช้กระบี่ฟันแปะเฉียถึงแก่ความตาย ณ ที่นั้น
ตันก๋งเห็นโจโฉชักม้ากลับจึงหยุดม้าแล้วหันไปดู เห็นโจโฉฆ่าแปะเฉียก็ตกใจเป็นอันมาก แล้วว่าแก่โจโฉว่าเมื่อครู่นี้ท่านไวแก่ความคิด สังหารบุตร ภรรยาและคนในบ้านแปะเฉียถึงแปดศพ โดยที่คนเหล่านั้นหาความผิดใดมิได้ ท่านทำความผิดนัก ไม่ทันไรก็มาทำความผิดซ้ำสังหารแปะเฉียอีกศพหนึ่ง ท่านนี้เป็นคนอกตัญญู ใจบาป หยาบช้าโดยแท้
โจโฉจึงว่าเมื่อครู่นี้ข้าพเจ้าสังหารคนไร้ความผิดไปถึงแปดศพ เป็นความผิดมหันต์อยู่แล้ว แต่จะแก้ไขให้ฟื้นคืนก็ไม่ได้ ครั้นจะละแปะเฉียไว้เมื่อกลับถึงบ้าน แปะเฉียย่อมรู้ความผิดเรา แล้วคงจะแจ้งทางราชการให้ติดตามจับกุมตัวเราให้ต้องรับโทษถึงสองสถาน เราจะไม่พ้นความตาย การใหญ่ที่คิดไว้ก็จะเสียการไป ดังนั้นเราจึงจำต้องสังหารแปะเฉียเสียก่อนจะได้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ความผิดและความเคลื่อนไหวของเรา
แล้วโจโฉจึงว่ากล่าวปลอบใจตันก๋งว่า อันวิสัยพยัคฆาเข้าป่าใหญ่ จะกังวลไปใยกับการที่กิ่งไม้ใบหญ้าในทางผ่านต้องล้มราบลง ป่าใหญ่ย่อมไม่ไร้ซึ่งกิ่งไม้ใบหญ้า แผ่นดินนี้มีผู้คนมากมาย ตายเสียแปดเก้าคน ฝนฟ้าก็ยังคงตกต้องตามฤดูกาลอยู่นั่นเอง กังวลใจไปทำไมกัน
ตันก๋งจึงว่าแก่โจโฉว่า ท่านเป็นคนใจโฉด ไร้คุณธรรม คิดผิด แล้วฆ่าบุตรภรรยาและคนในบ้านเขาแล้ว ยังจงใจทำผิดซ้ำสองอีก หาใช่คนกตัญญูรู้คุณคนไม่
โจโฉจึงว่าท่านพูดมาทั้งนี้ฟังเข้าทีก็แต่โดยผิวเผิน “ธรรมดาเกิดมาทุกวันนี้ย่อมรักษาตัวมิให้ผู้อื่นคิดร้ายได้ เราจึงทำการทั้งนี้”
นี่คือความคิดจิตใจอันเป็นเนื้อตัวแท้จริงของโจโฉ ที่คิดว่าเกิดมาแล้วต้องเอาตัวให้รอดได้เท่านั้น คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม หามีคุณค่าใดอันควรคำนึงไม่ ดังนั้นเมื่อจะเอาตัวรอดรักษาชีวิตไว้แล้ว ถึงจะต้องฆ่าฟันผู้คนที่ไร้ความผิด หรือทำชั่วช้าสารเลวอย่างไรก็ไม่ต้องคำนึงถึง
นักอ่านสามก๊กมักจะขนานนามโจโฉว่า “โจโฉผู้ไม่ยอมให้โลกทรยศ” นั่นเป็นความสำเร็จจากพลังและแรงคมแห่งปากกาของยาขอบ บรมครูผู้เป็นอมตะแห่งวงวรรณกรรม แต่แท้จริงแล้วโลกหาได้ทรยศต่อโจโฉหรือผู้ใดไม่ กรณีเป็นเรื่องของการตีราคาค่าตนเองเหนือกว่าสิ่งใด เพียงเพื่อขอให้เอาชีวิตรอดก็พร้อมที่จะทำบาปชั่วได้ทุกอย่าง
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ปราชญ์ใหญ่ของประเทศไทย และบรมครูทางวรรณกรรมอีกท่านหนึ่งได้แก้ต่างให้กับโจโฉ ในเรื่องนี้ไว้ในสามก๊กฉบับนายทุนว่า การทั้งนี้เป็นเพราะคนเขียนหนังสือสามก๊กเป็นพวกเล่าปี่ และเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับโจโฉ เห็นทางใดที่จะเขียนเหยียบย่ำซ้ำเติมโจโฉได้ ก็แกล้งเขียนให้เห็นเป็นว่าโจโฉไม่ใช่คนดี
และยังแก้ต่างให้ต่อไปว่าแปะเฉียรู้ดีว่ามีประกาศของทางราชการให้จับตัวโจโฉ และทางการจะเอาผิดกับผู้คบคิดปกปิดให้ที่หลบซ่อนในฐานร่วมกบฏต่อแผ่นดิน แต่เหตุใดคนบ้านนอกอย่างแปะเฉียไม่กลัวอาญาแผ่นดิน กล้ารับโจโฉไว้ในบ้าน กรณีจึงน่าสงสัยว่าแปะเฉียจะวางแผนกับพรรคพวกเพื่อจะจับโจโฉส่งให้แก่ทางราชการ โจโฉจึงชอบที่จะป้องกันตัว
หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้แก้ต่างให้กับโจโฉด้วยว่าแม้หากแปะเฉียจะไม่คิดร้ายต่อโจโฉก็ยังต้องถือว่าการกระทำของโจโฉเกิดแต่ความจำเป็น ต้องรักษาตัวรอด เพื่อรับใช้การใหญ่ของแผ่นดินต่อไป
ข้อแก้ต่างนี้กลายเป็นแบบอย่างให้นักการเมืองถือเป็นแบบฉบับในการพูดจาทางการเมืองในชั้นหลัง และได้ทำให้สามก๊กฉบับนายทุนอ่านแล้วสนุก และมีเหตุผลแบบประหลาด อันควรแก่ความสนใจ
เหตุผลแบบนี้พระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า รัชกาลที่ 6 ทรงแสดงเป็นเชิงประชดประชันไว้ในธรรมาธรรมะสงคราม เป็นคำสอนของอธรรมเทวบุตร ให้เหตุผลในการปล้นเขาว่าควรอย่างไรว่า
“ยามจนจะทนยาก จะลำบากไปใยมี
พึงปองข้าวของดี ณ ผู้อื่นอันเก็บงำ”
ตันก๋งฟังคำโจโฉแล้ว เห็นว่าจะต่อปากต่อคำต่อไปก็ไร้ประโยชน์ จึงนิ่งเสียแล้วพากันเดินทางต่อไป ถึงศาลเจ้าร้างแห่งหนึ่งจึงแวะเข้าพักค้างคืน โจโฉเหนื่อยนักจึงหลับไปก่อน
ตันก๋งในยามสงัด เสียงใบไม้หวีดหวิววังเวงก็หวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเสียใจนักที่หลงเชื่อคนแบบโจโฉ สู้อุตส่าห์ละทิ้งยศศักดิ์อัครฐานและบริวารติดตามโจโฉมาหวังทำการใหญ่ กำจัดทรราชย์ตั๋งโต๊ะ ทำนุบำรุงแผ่นดินและราษฎร ไม่ทันไรก็ประจักษ์ความชัดแล้วว่าโจโฉหาใช่คนมีคุณธรรมที่จะทำให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขไม่ หากเป็นคนใจบาปเห็นแก่ตัว ซึ่งอาจจะร้ายเท่า ๆ กับตั๋งโต๊ะก็ได้ คนแบบนี้เป็นคนพาล ไม่ควรที่เราจะเสวนาด้วยอีกต่อไป
และเพื่อไม่ให้เป็นภัยต่อผู้คนในภายหน้า เราจำจะฆ่าโจโฉเสียในค่ำนี้ คิดแล้วก็ชักกระบี่เดินเข้าไปหาโจโฉที่หลับอยู่ ขณะนั้นใจพลันคิดว่าหากเราฆ่าโจโฉ เราเองก็จะเป็นคนบาปแบบเดียวกับโจโฉ เป็นความผิดของเราเองที่หลงชอบเชื่อใจเขา มาบัดนี้เมื่อสิ้นที่ชอบและหลงนับถือแล้ว เราควรจะปลีกตัวหนีไปให้ไกลเสียจะดีกว่า
คิดดังนี้แล้วตันก๋งก็เก็บสัมภาะของตนขึ้นม้าขับหนีโจโฉไปอยู่ที่เมืองตองกุ๋นในราตรีนั้น
ตันก๋งหนีโจโฉเพราะเห็นว่าโจโฉเป็นคนไร้คุณธรรม ขาดความกตัญญู ไม่รู้คุณคน ในขณะที่โจโฉก็กำลังหนี แต่เป็นการหนีเพื่อเอาชีวิตรอด และได้ทำหรือพร้อมจะทำทุกอย่างโดยไม่ต้องคำนึงถึงคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ขอเพียงให้มีชีวิตรอดก็เป็นพอ
การหนีของทั้งสองคนนี้ แม้ว่าจะเป็นการหนีอย่างเดียวกัน แต่ต่างกันด้วยค่าแห่งคุณธรรมฉะนี้.