ตอนที่ 24. ทรราชย์ลำพอง
ยุคสมัยของพระเจ้าฮั่นโกโจ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น ทรงเรืองพระบรมเดชานุภาพแผ่พระบารมีไพศาล บ้านเมืองสงบศานติ ราษฎรร่มเย็นเป็นสุข ต่อมาเมื่อแผ่นดินผ่านการสืบสันตติวงศ์นานรัชกาลเข้า กาฝากราชบัลลังก์ก็เจริญงอกงามขึ้นโดยลำดับ
อำนาจบัลลังก์มังกรค่อยถ่ายเทเหหันจากฮ่องเต้สู่มือพระบรมวงศานุวงศ์ ล่วงมาถึงแผ่นดินเลนเต้ อำนาจนั้นได้ตกอยู่แก่มือของสิบขันที ครั้นสิ้นแผ่นดินเลนเต้ อำนาจก็เคลื่อนไหลจากมือสิบขันทีสู่ขุนศึกคือโฮจิ๋น เป็นครั้งแรก
โฮจิ๋นครองอำนาจเพียงระยะเวลาสามเดือนเศษก็มีอันต้องเดินทางไปปรโลก ทำให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจถึงเดือนเศษ อำนาจนั้นก็ถ่ายเทไปถึงมือของตั๋งโต๊ะจอมทรราชย์ ซึ่งเป็นขุนศึกเช่นเดียวกัน
วันเถลิงศกเจี้ยนอันหรือศักราชแห่งสันติภาพนั้น โดยรูปการภายนอก หองจูเหียบพระราชบุตรแต่พระสนมเอกได้รับการสถาปนาเป็นฮ่องเต้ ครองอำนาจเหนือบัลลังก์มังกร แต่วันเดียวกันรูปการภายในกลายเป็นว่าตั๋งโต๊ะได้ปราบดาภิเษกตนเองเป็นทรราชย์ ดุจปิศาจร้ายยืนถมึงเหนือบัลลังก์มังกรนั้น
การเถลิงศักราชแห่งสันติภาพ ดูเพียงผิวเผินแล้วราวกับบ้านเมืองแลราษฎรมีสุขสันติเสียเต็มประดา เฉกเดียวกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมรัฐ หรือธรรมาภิบาล แต่ภายในถ้อยคำอันดูหรูเริดกลับซ่อนไว้ด้วยความเลวร้ายยิ่งกว่ายุคใดสมัยใด
หาใช่สันติภาวะที่มีทศพิธราชธรรมหรือพรหมวิหารธรรม แต่เป็นสันติภาวะที่ความชั่วช้าเลวทรามมีอำนาจเหนือธรรมโดยสิ้นเชิง ดังนั้นสภาพจำยอมภายใต้การกดขี่ข่มเหงและย่ำยีราชสำนัก ขุนนางข้าราชการและอาณาประชาราษฎร์จึงทำให้ดูเสมือนหนึ่งว่าภาวะแห่งสันติภาพเกิดขึ้นและดำรงอยู่
ภาวะสันติเช่นนี้หาใช่สันติภาพไม่ แต่เป็นรุ่งอรุณแห่งสงครามที่จะทำลายล้างระบบทรราชย์ให้สูญสิ้นไป
ตั๋งโต๊ะครองอำนาจรัฐโดยลักษณาการที่ว่านี้ และแล้วได้ใช้อำนาจบังคับให้ฮ่องเต้แต่งตั้งตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และอัครมหาเสนาบดี เข้านอกออกในพระราชวังถึงเขตพระราชฐานชั้นในตามใจชอบ ทุกครั้งที่เข้าวังก็ถือกระบี่อวดศักดา ไม่ยำเกรงฮ่องเต้หรือขุนนางข้าราชการคนใด
พรรคพวกของตั๋งโต๊ะทั้งที่ติดตามมาจากเมืองซีหลงและที่เข้าสวามิภักดิ์ใหม่เห็นนายตัวประพฤติตนหยาบช้าตามอำเภอใจก็ประพฤติตาม สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่าไว้ว่า “ทำการหยาบช้า ข่มเหงชาวเมืองได้ความเดือดร้อนนัก”
ยามนี้โจโฉได้ผันตัวเองเปลี่ยนสีแปรธาตุจากผู้ใกล้ชิดของโฮจิ๋นมาเข้าสวามิภักดิ์ด้วยตั๋งโต๊ะ อาศัยประสบการณ์และเรียนรู้วิชาประจบสอพลอ จากขุนนางข้าราชการในเมืองหลวงจนช่ำชองขึ้นโดยลำดับ
ในที่สุดโจโฉก็สามารถผูกใจตั๋งโต๊ะกลายเป็นคนสนิทของตั๋งโต๊ะ เข้านอกออกในจวนของผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และอัครมหาเสนาบดีตั๋งโต๊ะ เฝ้าเช้าเฝ้าเย็นไม่ว่างเว้นหรือห่างหายเหมือนกับที่เคยเป็นในสมัยโฮจิ๋น และก้าวหน้าไปถึงขนาดที่สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่าไว้ว่า “แลโจโฉนั้นก็ไปฝากตัวอยู่ให้ตั๋งโต๊ะใช้สอย” ในขณะที่ซุนเกี๋ยนและเล่าปี่ยังคงเป็นขุนนางบ้านนอกอยู่เหมือนเดิม เป็นแต่ซุนเกี๋ยนนั้นได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเตียงสาซึ่งเป็นหัวเมืองเอก แต่ยังคงถือว่าเป็นเจ้าเมืองบ้านนอกอยู่นั่นเอง
ด้านหองจูเปียนซึ่งถูกถอดจากฮ่องเต้ลงมาเป็นอ๋องหรือเจ้าพระยา และโฮไทเฮา ซึ่งถูกถอดจากตำแหน่งไทเฮาลงเป็นคนสามัญนั้น ตั๋งโต๊ะสั่งให้ผู้คุมนำไปจำขังไว้ที่พระตำหนักย่งอันเตี้ยนในพระราชวัง พร้อมกับพระสนมคนโปรดของหองจูเปียน เอาโซ่ล่ามประตูตำหนัก ลั่นกุญแจห้ามคนเข้าออก และห้ามติดต่อภายนอกโดยเด็ดขาด
ขุนนางข้าราชการแลราษฎรทราบข่าวแล้วให้มีใจสงสารทั้งสองพระองค์เป็นอันมาก แต่ไม่สามารถช่วยเหลือเอื้อเฟื้อประการใดได้
อันพระตำหนักย่งอันเตี้ยนนี้ แปลโดยความหมายได้ว่าพระตำหนักสันตินิรันดร อันมีความหมายเดียวกับแหล่งหลุมฝังศพสุขาวดีนั่นเอง จึงเป็นที่รู้และเข้าใจกันโดยทั่วไปว่าใครได้รับความกรุณาให้ไปอยู่ที่พระตำหนักสันตินิรันดรแล้ว ย่อมจะมีสภาพที่สันติไปตลอดกาล ไม่มีโอกาสได้เข้าสู่สังคมมนุษย์อีกต่อไป
ลิยูกุนซือเจ้าปัญญาเห็นเหตุการณ์ไปในทางที่จะเกิดความไม่สงบเพราะข่าวคราวความโกรธแค้นชิงชังของขุนนางราษฎรกระทบหูอยู่เสมอ จึงวางแผนสร้างภาพพจน์ให้กับรัฐบาลของตั๋งโต๊ะว่าเป็นรัฐบาลที่เป็นธรรมรัฐหรือธรรมาภิบาล โดยให้เรียกหาคนดีมีฝีมือในแผ่นดินมารับราชการ โดยเฉพาะบัณฑิตหรือนักวิชาการคนใดที่มีภาพพจน์เป็นที่เลื่อมใสของผู้คน ก็พยายามซื้อหามารับราชการ ให้ยศให้ตำแหน่ง
บัณฑิตและนักวิชาการจำนวนมากจึงได้เปลี่ยนสีแปรธาตุยอมขายตัวให้กับลาภยศ กลายเป็นสุนัขรับใช้ของตั๋งโต๊ะไปในที่สุด คอยป่าวร้องสรรเสริญคุณงามความดีของตั๋งโต๊ะ ไม่ก็พลิกดำเป็นขาว พลิกขาวเป็นดำ ทำให้สิ่งที่ตั๋งโต๊ะทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชั่วช้าเลวทรามประการใด ให้กลายเป็นความชอบธรรม ทำให้ความเห็นที่ตรงกันข้ามกลายเป็นสิ่งไม่ชอบธรรม
หนึ่งในจำนวนคนเหล่านี้คือซัวหยงซึ่งเป็นคนดีมีสติปัญญา เป็นที่นับถือของราษฎร ตั๋งโต๊ะให้ทหารไปเชิญมารับราชการด้วย แต่ซัวหยงเห็นว่าการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลตั๋งโต๊ะเป็นระบอบทรราชย์ จึงบิดพลิ้วไม่ยอมเข้ารับราชการ
ตั๋งโต๊ะโกรธให้ทหารไปแจ้งแก่ซัวหยงว่าถ้าไม่ยอมมาทำราชการด้วยแล้วจะฆ่าเสียให้สิ้นทั้งครอบครัวและวงศาคณาญาติทั้งปวง ด้วยคำเชิญอันสุภาพของคนชั่วช้าเช่นนี้ ซัวหยงจึงจำใจต้องเข้ารับราชการ
ตั๋งโต๊ะเพื่อที่จะแสดงให้ราษฎรเห็นว่าเป็นรัฐบาลที่ส่งเสริมให้คนดีมีอำนาจ จึงแต่งตั้งให้ซัวหยงเป็นขุนนาง “เดือนหนึ่งเลื่อนที่ขึ้นไปสามที่”
การสร้างภาพพจน์แบบตั๋งโต๊ะนี้ได้กลายเป็นแบบอย่างให้ขุนนางข้าราชการในชั้นหลังได้เลื่อนตำแหน่งข้ามหน้าข้ามตาคนในระดับหรือรุ่นเดียวกันถึงปีละสามครั้ง เป็นแต่ว่าเป็นการเลื่อนตำแหน่งโดยอาศัยส่วยสินบน แทนการสร้างภาพพจน์แบบตั๋งโต๊ะเท่านั้น
การข้างในพระตำหนักสันตินิรันดรนั้น โฮไทเฮา หองจูเปียนและพระสนม ถูกคุมขังประดุจอยู่ในอีกโลกหนึ่ง มีความยากลำบากและทุกข์ทรมานทั้งกายใจ วันหนึ่งหองจูเปียนเห็นนกนางแอ่นคู่หนึ่งบินหลงเข้ามาภายในพระตำหนักแล้วหาทางออกไม่ได้ บินวนไปวนมาจนล้าแรงทั้งหิวโซก็ร่วงลง แล้วตายไปต่อหน้าต่อตา
หองจูเปียนเห็นแล้วมีน้ำใจสงสารนกนัก แล้วใจก็หวนมารำลึกถึงชะตาตนที่ต้องขังอยู่เป็นที่เวทนาเสียยิ่งกว่านกนางแอ่น ใจก็สลดลง ประกายกวีวาบเข้ามาในห้วงแห่งสำนึก จึงผูกกาพย์เขียนไว้ที่ฝาผนังพระตำหนักว่า
“นภากาศอันไพศาล ก็คือบ้านนกแอ่นน้อย
เล่นลมระเริงลอย แล้วมาพลอยถูกกักกัน
แผ่นดินสิทธิแห่งเรา กลับถูกเขาทำอาธรรม์
ปล้นชิงทุกสิ่งอัน เพราะสวรรค์ไร้เมตตา
หวังคอยวีรชน ทุกแห่งหนลงอาญา
ฟื้นคืนซึ่งธรรมา ชาติประชาจึงพ้นภัย”
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่าบทกวีที่หองจูเปียนแต่งขึ้นนั้นเป็นโคลง มีความว่า “ที่ในพระราชฐานนี้ของพระเจ้าเลนเต้ ผู้เป็นพระราชบิดา ยกให้เป็นสิทธิแก่เรา บัดนี้เรากับมารดาได้ทุกข์ทรมาน ขังอยู่เหมือนนกทั้งคู่นี้ ถ้าผู้ใดสัตย์ซื่อต่อบิดาเรา ช่วยแก้แค้นในอกเราได้ คุณนั้นหาที่จะอุปมามิได้เลย”
ฝ่ายเจ้าหน้าที่ควบคุมพระตำหนัก ซึ่งตั๋งโต๊ะจัดเฝ้าระแวดระวังทุกวันคืน เห็นกาพย์ที่หองจูเปียนเขียนไว้ที่ฝาผนังพระตำหนักจึงนำความไปรายงานให้ตั๋งโต๊ะทราบ
ตั๋งโต๊ะทราบแล้วเห็นเป็นการเคลื่อนไหวที่จะคบคิดกับผู้ที่ยังจงรักภักดีอยู่เพื่อล้มล้างอำนาจตนก็โกรธ จึงสั่งลิยูกุนซือเจ้าปัญญาและเป็นที่ไว้วางใจให้ลอบเข้าไปในพระตำหนัก ประหารโฮไทเฮา หองจูเปียน และพระสนมเสีย
ลิยูนำมือสังหารสิบคนพร้อมสุราพิษและเครื่องประหารเข้าไปในพระตำหนัก แล้วประหารโฮไทเฮา หองจูเปียนและพระสนมเสียตามคำสั่งของตั๋งโต๊ะแล้วรายงานเหตุการณ์ให้ตั๋งโต๊ะทราบ ตั๋งโต๊ะทราบว่าเสี้ยนหนามถูกกำจัดไปแล้ว จึงมีความยินดียิ่งนัก
ลิยูจึงเสนอต่อไปว่าเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ให้ปล่อยข่าวลือว่าทั้งสามคนถูกโรคระบาดถึงแก่ความตาย แล้วให้นำศพไปฝังไว้ที่สุสานหลวง ยกเว้นพระสนมของหองจูเปียน ให้นำไปฝังไว้นอกเมือง ตั๋งโต๊ะฟังแล้วเห็นชอบด้วย
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่าประหารแล้วลิยูให้เอาศพไปฝังไว้นอกเมือง ซึ่งไม่สมเหตุผล เพราะคนเป็นถึงอดีตฮ่องเต้เชื้อสายราชวงศ์ฮั่น อีกคนหนึ่งเคยเป็นถึงไทเฮา จะเอาไปฝังไว้นอกเมืองเป็นการผิดธรรมเนียม และจะทำให้ราษฎรเกลียดชังเพิ่มขึ้น ทั้งคนระดับนี้ตายพร้อมกันจะทำเป็นเงียบหายไปเฉย ๆ ย่อมไม่ได้ เพราะไม่สามารถปิดข่าวไว้ได้ จึงหาทางออกด้วยการปล่อยข่าวเหตุผลการตายว่าต้องโรคระบาด ซึ่งเป็นเหตุผลที่เหมาะกับคนแบบตั๋งโต๊ะ
สิ้นหองจูเปียนและโฮไทเฮาแล้วตั๋งโต๊ะก็เข้าใจว่าเสี้ยนหนามภายในราชสำนักหมดสิ้นไปแล้ว ใจก็ลำพองหนักกว่าแต่ก่อน บางคืนก็เข้าวังไปหลับนอนในที่บรรทมของพระเจ้าเลนเต้
นางสนม นางกำนัลคนใดเป็นที่พอใจ ตั๋งโต๊ะก็เรียกมาบำเรอตนโดยไม่ยำเกรงผู้ใด คนใดไม่ยินยอมพร้อมใจ ตั๋งโต๊ะก็บุกเข้าไปข่มขืนเสียที่ในเรือนพักหรือแม้ในพระตำหนัก จนนางสนม นางกำนัลที่หน้าตาพอใช้ได้ต้องตกเป็นทาสบำเรอกามของจอมทรราชย์ตั๋งโต๊ะสิ้น
เพื่ออวดอ้างศักดาบารมีของตน ตั๋งโต๊ะได้ให้สร้างจวนขึ้นหลังหนึ่ง ตรงข้ามพระตำหนักที่ประทับของฮ่องเต้ เป็นตึกใหญ่โตอัครฐานยิ่งกว่าพระตำหนักอันเป็นที่ประทับ แม้พื้นของจวนซึ่งควรต้องปูด้วยหินมีค่า แต่กลับให้ทหารไปตัดไม้อย่างดีจากในป่า คัดเลือกเอาแต่ไม้แผ่นใหญ่ที่มีหน้ากว้างถึงเก้าคืบ ยาวยี่สิบเจ็ดคืบ เท่ากันทุก ๆ แผ่น เพื่อให้เกิดความอบอุ่นในฤดูหนาว เครื่องภายในก็ตกแต่งด้วยสิ่งของอันวิจิตรพิสดารจากต่างแดน แม้ประตูจวนก็ทำด้วยทองคำที่ได้มาจากเงินส่วยสินบนหรือไม่ก็เป็นของที่ปล้นมาจากราษฎร
และยังเข้าถือเอาพระราชอุทยานนอกพระนคร ซึ่งเป็นของหลวงมาเป็นของตน โดยไม่ยำเกรงกฎหมายบ้านเมือง แล้วให้สร้างเรือนพักรับรองขึ้นอีกสามหลัง สำหรับเป็นที่พบปะสังสรรค์กับสมัครพรรคพวกหลังหนึ่ง สำหรับพักผ่อนส่วนตัวหลังหนึ่ง และสำหรับพร่าพรหมจารีของสตรีอีกหลังหนึ่ง
ขุนนางข้าราชการแลราษฎรเดือดร้อนทุกข์เข็ญจากระบอบทรราชย์ของตั๋งโต๊ะมากขึ้นทุกที การปล้นชิงวิ่งราวก็เกิดขึ้นทั่วทั้งแผ่นดิน แต่ตั๋งโต๊ะก็หาสนใจใยดีไม่ เพราะเห็นว่าไม่ใช่ธุระของตนอย่างหนึ่ง และรู้ดีว่าหลายกรณีเป็นเรื่องที่พรรคพวกของตนเป็นผู้กระทำการเสียเองอีกอย่างหนึ่ง
ลิยูกุนซือเจ้าปัญญาเห็นว่าการปล้นชิงวิ่งราวและความเดือดร้อนของราษฎรจะลุกลามกลายเป็นจลาจล จึงเสนอให้ตั๋งโต๊ะปราบปรามการปล้นชิงวิ่งราว เพื่อสร้างภาพพจน์ให้ราษฎรเห็นว่าตั๋งโต๊ะเอาใจใส่การแผ่นดินและทุกข์ร้อนของราษฎร
ตั๋งโต๊ะฟังแล้วขัดลิยูไม่ได้ก็รับคำ แล้วเรียกทหารที่ไว้ใจได้จัดกำลังยกออกไปตำบลหยงเซีย พบราษฎรกำลังเฉลิมฉลองเทศกาลหลังเกี่ยวข้าวกันอย่างสนุกสนานก็สังหารราษฎรเหล่านั้นหมดสิ้นทั้งตำบล ไม่เลือกว่าชายหญิง เด็กหรือคนชรา แล้วตัดศีรษะบรรทุกเกวียนเก็บเอาทรัพย์สินเงินทองของมีค่านำเข้าเมืองหลวง
ถึงเมืองหลวงแล้วป่าวประกาศให้รู้ทั่วกันว่าตั๋งโต๊ะเห็นแก่ความเดือดร้อนของราษฎรที่เกิดจากโจรผู้ร้าย จึงได้ปราบปรามโจรผู้ร้ายจนสิ้นซาก แล้วตัดศีรษะพวกโจรมาเป็นหลักฐาน จากนั้นจึงให้เอาศีรษะราษฎรเหล่านั้นไปเผาเสีย ส่วนทรัพย์สินเงินทองของมีค่าให้แจกแก่ทหารที่ไปทำการนั้น
ขุนนางข้าราชการได้แต่ซุบซิบนินทาถึงพฤติกรรมทั้งปวงของตั๋งโต๊ะ ส่วนราษฎรนั้นเล่าเคียดแค้นชิงชัง สาปแช่งประณามทั่วสารทิศ
กำลังอำนาจที่ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ไม่เคารพธรรม และไม่ถือธรรมเป็นใหญ่ก็คือทรราชย์ ตั๋งโต๊ะ ณ บัดนี้จึงเป็นทรราชย์เต็มตัว และลำพองหยาบช้าต่อทุกผู้คน ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้ ขุนนาง ข้าราชการ และราษฎรทั้งปวง.
อำนาจบัลลังก์มังกรค่อยถ่ายเทเหหันจากฮ่องเต้สู่มือพระบรมวงศานุวงศ์ ล่วงมาถึงแผ่นดินเลนเต้ อำนาจนั้นได้ตกอยู่แก่มือของสิบขันที ครั้นสิ้นแผ่นดินเลนเต้ อำนาจก็เคลื่อนไหลจากมือสิบขันทีสู่ขุนศึกคือโฮจิ๋น เป็นครั้งแรก
โฮจิ๋นครองอำนาจเพียงระยะเวลาสามเดือนเศษก็มีอันต้องเดินทางไปปรโลก ทำให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจถึงเดือนเศษ อำนาจนั้นก็ถ่ายเทไปถึงมือของตั๋งโต๊ะจอมทรราชย์ ซึ่งเป็นขุนศึกเช่นเดียวกัน
วันเถลิงศกเจี้ยนอันหรือศักราชแห่งสันติภาพนั้น โดยรูปการภายนอก หองจูเหียบพระราชบุตรแต่พระสนมเอกได้รับการสถาปนาเป็นฮ่องเต้ ครองอำนาจเหนือบัลลังก์มังกร แต่วันเดียวกันรูปการภายในกลายเป็นว่าตั๋งโต๊ะได้ปราบดาภิเษกตนเองเป็นทรราชย์ ดุจปิศาจร้ายยืนถมึงเหนือบัลลังก์มังกรนั้น
การเถลิงศักราชแห่งสันติภาพ ดูเพียงผิวเผินแล้วราวกับบ้านเมืองแลราษฎรมีสุขสันติเสียเต็มประดา เฉกเดียวกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมรัฐ หรือธรรมาภิบาล แต่ภายในถ้อยคำอันดูหรูเริดกลับซ่อนไว้ด้วยความเลวร้ายยิ่งกว่ายุคใดสมัยใด
หาใช่สันติภาวะที่มีทศพิธราชธรรมหรือพรหมวิหารธรรม แต่เป็นสันติภาวะที่ความชั่วช้าเลวทรามมีอำนาจเหนือธรรมโดยสิ้นเชิง ดังนั้นสภาพจำยอมภายใต้การกดขี่ข่มเหงและย่ำยีราชสำนัก ขุนนางข้าราชการและอาณาประชาราษฎร์จึงทำให้ดูเสมือนหนึ่งว่าภาวะแห่งสันติภาพเกิดขึ้นและดำรงอยู่
ภาวะสันติเช่นนี้หาใช่สันติภาพไม่ แต่เป็นรุ่งอรุณแห่งสงครามที่จะทำลายล้างระบบทรราชย์ให้สูญสิ้นไป
ตั๋งโต๊ะครองอำนาจรัฐโดยลักษณาการที่ว่านี้ และแล้วได้ใช้อำนาจบังคับให้ฮ่องเต้แต่งตั้งตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และอัครมหาเสนาบดี เข้านอกออกในพระราชวังถึงเขตพระราชฐานชั้นในตามใจชอบ ทุกครั้งที่เข้าวังก็ถือกระบี่อวดศักดา ไม่ยำเกรงฮ่องเต้หรือขุนนางข้าราชการคนใด
พรรคพวกของตั๋งโต๊ะทั้งที่ติดตามมาจากเมืองซีหลงและที่เข้าสวามิภักดิ์ใหม่เห็นนายตัวประพฤติตนหยาบช้าตามอำเภอใจก็ประพฤติตาม สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่าไว้ว่า “ทำการหยาบช้า ข่มเหงชาวเมืองได้ความเดือดร้อนนัก”
ยามนี้โจโฉได้ผันตัวเองเปลี่ยนสีแปรธาตุจากผู้ใกล้ชิดของโฮจิ๋นมาเข้าสวามิภักดิ์ด้วยตั๋งโต๊ะ อาศัยประสบการณ์และเรียนรู้วิชาประจบสอพลอ จากขุนนางข้าราชการในเมืองหลวงจนช่ำชองขึ้นโดยลำดับ
ในที่สุดโจโฉก็สามารถผูกใจตั๋งโต๊ะกลายเป็นคนสนิทของตั๋งโต๊ะ เข้านอกออกในจวนของผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และอัครมหาเสนาบดีตั๋งโต๊ะ เฝ้าเช้าเฝ้าเย็นไม่ว่างเว้นหรือห่างหายเหมือนกับที่เคยเป็นในสมัยโฮจิ๋น และก้าวหน้าไปถึงขนาดที่สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่าไว้ว่า “แลโจโฉนั้นก็ไปฝากตัวอยู่ให้ตั๋งโต๊ะใช้สอย” ในขณะที่ซุนเกี๋ยนและเล่าปี่ยังคงเป็นขุนนางบ้านนอกอยู่เหมือนเดิม เป็นแต่ซุนเกี๋ยนนั้นได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเตียงสาซึ่งเป็นหัวเมืองเอก แต่ยังคงถือว่าเป็นเจ้าเมืองบ้านนอกอยู่นั่นเอง
ด้านหองจูเปียนซึ่งถูกถอดจากฮ่องเต้ลงมาเป็นอ๋องหรือเจ้าพระยา และโฮไทเฮา ซึ่งถูกถอดจากตำแหน่งไทเฮาลงเป็นคนสามัญนั้น ตั๋งโต๊ะสั่งให้ผู้คุมนำไปจำขังไว้ที่พระตำหนักย่งอันเตี้ยนในพระราชวัง พร้อมกับพระสนมคนโปรดของหองจูเปียน เอาโซ่ล่ามประตูตำหนัก ลั่นกุญแจห้ามคนเข้าออก และห้ามติดต่อภายนอกโดยเด็ดขาด
ขุนนางข้าราชการแลราษฎรทราบข่าวแล้วให้มีใจสงสารทั้งสองพระองค์เป็นอันมาก แต่ไม่สามารถช่วยเหลือเอื้อเฟื้อประการใดได้
อันพระตำหนักย่งอันเตี้ยนนี้ แปลโดยความหมายได้ว่าพระตำหนักสันตินิรันดร อันมีความหมายเดียวกับแหล่งหลุมฝังศพสุขาวดีนั่นเอง จึงเป็นที่รู้และเข้าใจกันโดยทั่วไปว่าใครได้รับความกรุณาให้ไปอยู่ที่พระตำหนักสันตินิรันดรแล้ว ย่อมจะมีสภาพที่สันติไปตลอดกาล ไม่มีโอกาสได้เข้าสู่สังคมมนุษย์อีกต่อไป
ลิยูกุนซือเจ้าปัญญาเห็นเหตุการณ์ไปในทางที่จะเกิดความไม่สงบเพราะข่าวคราวความโกรธแค้นชิงชังของขุนนางราษฎรกระทบหูอยู่เสมอ จึงวางแผนสร้างภาพพจน์ให้กับรัฐบาลของตั๋งโต๊ะว่าเป็นรัฐบาลที่เป็นธรรมรัฐหรือธรรมาภิบาล โดยให้เรียกหาคนดีมีฝีมือในแผ่นดินมารับราชการ โดยเฉพาะบัณฑิตหรือนักวิชาการคนใดที่มีภาพพจน์เป็นที่เลื่อมใสของผู้คน ก็พยายามซื้อหามารับราชการ ให้ยศให้ตำแหน่ง
บัณฑิตและนักวิชาการจำนวนมากจึงได้เปลี่ยนสีแปรธาตุยอมขายตัวให้กับลาภยศ กลายเป็นสุนัขรับใช้ของตั๋งโต๊ะไปในที่สุด คอยป่าวร้องสรรเสริญคุณงามความดีของตั๋งโต๊ะ ไม่ก็พลิกดำเป็นขาว พลิกขาวเป็นดำ ทำให้สิ่งที่ตั๋งโต๊ะทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชั่วช้าเลวทรามประการใด ให้กลายเป็นความชอบธรรม ทำให้ความเห็นที่ตรงกันข้ามกลายเป็นสิ่งไม่ชอบธรรม
หนึ่งในจำนวนคนเหล่านี้คือซัวหยงซึ่งเป็นคนดีมีสติปัญญา เป็นที่นับถือของราษฎร ตั๋งโต๊ะให้ทหารไปเชิญมารับราชการด้วย แต่ซัวหยงเห็นว่าการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลตั๋งโต๊ะเป็นระบอบทรราชย์ จึงบิดพลิ้วไม่ยอมเข้ารับราชการ
ตั๋งโต๊ะโกรธให้ทหารไปแจ้งแก่ซัวหยงว่าถ้าไม่ยอมมาทำราชการด้วยแล้วจะฆ่าเสียให้สิ้นทั้งครอบครัวและวงศาคณาญาติทั้งปวง ด้วยคำเชิญอันสุภาพของคนชั่วช้าเช่นนี้ ซัวหยงจึงจำใจต้องเข้ารับราชการ
ตั๋งโต๊ะเพื่อที่จะแสดงให้ราษฎรเห็นว่าเป็นรัฐบาลที่ส่งเสริมให้คนดีมีอำนาจ จึงแต่งตั้งให้ซัวหยงเป็นขุนนาง “เดือนหนึ่งเลื่อนที่ขึ้นไปสามที่”
การสร้างภาพพจน์แบบตั๋งโต๊ะนี้ได้กลายเป็นแบบอย่างให้ขุนนางข้าราชการในชั้นหลังได้เลื่อนตำแหน่งข้ามหน้าข้ามตาคนในระดับหรือรุ่นเดียวกันถึงปีละสามครั้ง เป็นแต่ว่าเป็นการเลื่อนตำแหน่งโดยอาศัยส่วยสินบน แทนการสร้างภาพพจน์แบบตั๋งโต๊ะเท่านั้น
การข้างในพระตำหนักสันตินิรันดรนั้น โฮไทเฮา หองจูเปียนและพระสนม ถูกคุมขังประดุจอยู่ในอีกโลกหนึ่ง มีความยากลำบากและทุกข์ทรมานทั้งกายใจ วันหนึ่งหองจูเปียนเห็นนกนางแอ่นคู่หนึ่งบินหลงเข้ามาภายในพระตำหนักแล้วหาทางออกไม่ได้ บินวนไปวนมาจนล้าแรงทั้งหิวโซก็ร่วงลง แล้วตายไปต่อหน้าต่อตา
หองจูเปียนเห็นแล้วมีน้ำใจสงสารนกนัก แล้วใจก็หวนมารำลึกถึงชะตาตนที่ต้องขังอยู่เป็นที่เวทนาเสียยิ่งกว่านกนางแอ่น ใจก็สลดลง ประกายกวีวาบเข้ามาในห้วงแห่งสำนึก จึงผูกกาพย์เขียนไว้ที่ฝาผนังพระตำหนักว่า
“นภากาศอันไพศาล ก็คือบ้านนกแอ่นน้อย
เล่นลมระเริงลอย แล้วมาพลอยถูกกักกัน
แผ่นดินสิทธิแห่งเรา กลับถูกเขาทำอาธรรม์
ปล้นชิงทุกสิ่งอัน เพราะสวรรค์ไร้เมตตา
หวังคอยวีรชน ทุกแห่งหนลงอาญา
ฟื้นคืนซึ่งธรรมา ชาติประชาจึงพ้นภัย”
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่าบทกวีที่หองจูเปียนแต่งขึ้นนั้นเป็นโคลง มีความว่า “ที่ในพระราชฐานนี้ของพระเจ้าเลนเต้ ผู้เป็นพระราชบิดา ยกให้เป็นสิทธิแก่เรา บัดนี้เรากับมารดาได้ทุกข์ทรมาน ขังอยู่เหมือนนกทั้งคู่นี้ ถ้าผู้ใดสัตย์ซื่อต่อบิดาเรา ช่วยแก้แค้นในอกเราได้ คุณนั้นหาที่จะอุปมามิได้เลย”
ฝ่ายเจ้าหน้าที่ควบคุมพระตำหนัก ซึ่งตั๋งโต๊ะจัดเฝ้าระแวดระวังทุกวันคืน เห็นกาพย์ที่หองจูเปียนเขียนไว้ที่ฝาผนังพระตำหนักจึงนำความไปรายงานให้ตั๋งโต๊ะทราบ
ตั๋งโต๊ะทราบแล้วเห็นเป็นการเคลื่อนไหวที่จะคบคิดกับผู้ที่ยังจงรักภักดีอยู่เพื่อล้มล้างอำนาจตนก็โกรธ จึงสั่งลิยูกุนซือเจ้าปัญญาและเป็นที่ไว้วางใจให้ลอบเข้าไปในพระตำหนัก ประหารโฮไทเฮา หองจูเปียน และพระสนมเสีย
ลิยูนำมือสังหารสิบคนพร้อมสุราพิษและเครื่องประหารเข้าไปในพระตำหนัก แล้วประหารโฮไทเฮา หองจูเปียนและพระสนมเสียตามคำสั่งของตั๋งโต๊ะแล้วรายงานเหตุการณ์ให้ตั๋งโต๊ะทราบ ตั๋งโต๊ะทราบว่าเสี้ยนหนามถูกกำจัดไปแล้ว จึงมีความยินดียิ่งนัก
ลิยูจึงเสนอต่อไปว่าเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ให้ปล่อยข่าวลือว่าทั้งสามคนถูกโรคระบาดถึงแก่ความตาย แล้วให้นำศพไปฝังไว้ที่สุสานหลวง ยกเว้นพระสนมของหองจูเปียน ให้นำไปฝังไว้นอกเมือง ตั๋งโต๊ะฟังแล้วเห็นชอบด้วย
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่าประหารแล้วลิยูให้เอาศพไปฝังไว้นอกเมือง ซึ่งไม่สมเหตุผล เพราะคนเป็นถึงอดีตฮ่องเต้เชื้อสายราชวงศ์ฮั่น อีกคนหนึ่งเคยเป็นถึงไทเฮา จะเอาไปฝังไว้นอกเมืองเป็นการผิดธรรมเนียม และจะทำให้ราษฎรเกลียดชังเพิ่มขึ้น ทั้งคนระดับนี้ตายพร้อมกันจะทำเป็นเงียบหายไปเฉย ๆ ย่อมไม่ได้ เพราะไม่สามารถปิดข่าวไว้ได้ จึงหาทางออกด้วยการปล่อยข่าวเหตุผลการตายว่าต้องโรคระบาด ซึ่งเป็นเหตุผลที่เหมาะกับคนแบบตั๋งโต๊ะ
สิ้นหองจูเปียนและโฮไทเฮาแล้วตั๋งโต๊ะก็เข้าใจว่าเสี้ยนหนามภายในราชสำนักหมดสิ้นไปแล้ว ใจก็ลำพองหนักกว่าแต่ก่อน บางคืนก็เข้าวังไปหลับนอนในที่บรรทมของพระเจ้าเลนเต้
นางสนม นางกำนัลคนใดเป็นที่พอใจ ตั๋งโต๊ะก็เรียกมาบำเรอตนโดยไม่ยำเกรงผู้ใด คนใดไม่ยินยอมพร้อมใจ ตั๋งโต๊ะก็บุกเข้าไปข่มขืนเสียที่ในเรือนพักหรือแม้ในพระตำหนัก จนนางสนม นางกำนัลที่หน้าตาพอใช้ได้ต้องตกเป็นทาสบำเรอกามของจอมทรราชย์ตั๋งโต๊ะสิ้น
เพื่ออวดอ้างศักดาบารมีของตน ตั๋งโต๊ะได้ให้สร้างจวนขึ้นหลังหนึ่ง ตรงข้ามพระตำหนักที่ประทับของฮ่องเต้ เป็นตึกใหญ่โตอัครฐานยิ่งกว่าพระตำหนักอันเป็นที่ประทับ แม้พื้นของจวนซึ่งควรต้องปูด้วยหินมีค่า แต่กลับให้ทหารไปตัดไม้อย่างดีจากในป่า คัดเลือกเอาแต่ไม้แผ่นใหญ่ที่มีหน้ากว้างถึงเก้าคืบ ยาวยี่สิบเจ็ดคืบ เท่ากันทุก ๆ แผ่น เพื่อให้เกิดความอบอุ่นในฤดูหนาว เครื่องภายในก็ตกแต่งด้วยสิ่งของอันวิจิตรพิสดารจากต่างแดน แม้ประตูจวนก็ทำด้วยทองคำที่ได้มาจากเงินส่วยสินบนหรือไม่ก็เป็นของที่ปล้นมาจากราษฎร
และยังเข้าถือเอาพระราชอุทยานนอกพระนคร ซึ่งเป็นของหลวงมาเป็นของตน โดยไม่ยำเกรงกฎหมายบ้านเมือง แล้วให้สร้างเรือนพักรับรองขึ้นอีกสามหลัง สำหรับเป็นที่พบปะสังสรรค์กับสมัครพรรคพวกหลังหนึ่ง สำหรับพักผ่อนส่วนตัวหลังหนึ่ง และสำหรับพร่าพรหมจารีของสตรีอีกหลังหนึ่ง
ขุนนางข้าราชการแลราษฎรเดือดร้อนทุกข์เข็ญจากระบอบทรราชย์ของตั๋งโต๊ะมากขึ้นทุกที การปล้นชิงวิ่งราวก็เกิดขึ้นทั่วทั้งแผ่นดิน แต่ตั๋งโต๊ะก็หาสนใจใยดีไม่ เพราะเห็นว่าไม่ใช่ธุระของตนอย่างหนึ่ง และรู้ดีว่าหลายกรณีเป็นเรื่องที่พรรคพวกของตนเป็นผู้กระทำการเสียเองอีกอย่างหนึ่ง
ลิยูกุนซือเจ้าปัญญาเห็นว่าการปล้นชิงวิ่งราวและความเดือดร้อนของราษฎรจะลุกลามกลายเป็นจลาจล จึงเสนอให้ตั๋งโต๊ะปราบปรามการปล้นชิงวิ่งราว เพื่อสร้างภาพพจน์ให้ราษฎรเห็นว่าตั๋งโต๊ะเอาใจใส่การแผ่นดินและทุกข์ร้อนของราษฎร
ตั๋งโต๊ะฟังแล้วขัดลิยูไม่ได้ก็รับคำ แล้วเรียกทหารที่ไว้ใจได้จัดกำลังยกออกไปตำบลหยงเซีย พบราษฎรกำลังเฉลิมฉลองเทศกาลหลังเกี่ยวข้าวกันอย่างสนุกสนานก็สังหารราษฎรเหล่านั้นหมดสิ้นทั้งตำบล ไม่เลือกว่าชายหญิง เด็กหรือคนชรา แล้วตัดศีรษะบรรทุกเกวียนเก็บเอาทรัพย์สินเงินทองของมีค่านำเข้าเมืองหลวง
ถึงเมืองหลวงแล้วป่าวประกาศให้รู้ทั่วกันว่าตั๋งโต๊ะเห็นแก่ความเดือดร้อนของราษฎรที่เกิดจากโจรผู้ร้าย จึงได้ปราบปรามโจรผู้ร้ายจนสิ้นซาก แล้วตัดศีรษะพวกโจรมาเป็นหลักฐาน จากนั้นจึงให้เอาศีรษะราษฎรเหล่านั้นไปเผาเสีย ส่วนทรัพย์สินเงินทองของมีค่าให้แจกแก่ทหารที่ไปทำการนั้น
ขุนนางข้าราชการได้แต่ซุบซิบนินทาถึงพฤติกรรมทั้งปวงของตั๋งโต๊ะ ส่วนราษฎรนั้นเล่าเคียดแค้นชิงชัง สาปแช่งประณามทั่วสารทิศ
กำลังอำนาจที่ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ไม่เคารพธรรม และไม่ถือธรรมเป็นใหญ่ก็คือทรราชย์ ตั๋งโต๊ะ ณ บัดนี้จึงเป็นทรราชย์เต็มตัว และลำพองหยาบช้าต่อทุกผู้คน ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้ ขุนนาง ข้าราชการ และราษฎรทั้งปวง.