ตอนที่ 23. เถลิงศกเจี้ยนอัน

ตั๋งโต๊ะเมื่อได้ตัวลิโป้ งูเห่าร้ายที่สังหารบิดาบุญธรรมผู้มีคุณแก่ตน มาเป็นทหารเอกก็มีความกำเริบและย่ามใจกว่าที่เคยเป็นมาแต่ก่อน ขุนนางข้าราชการในเมืองหลวงต่างอยู่ในอำนาจของตั๋งโต๊ะสิ้น จะทำการสิ่งใดก็ทำเอาตามอำเภอใจหามีใครกล้าขัดขวางไม่

            ตั๋งโต๊ะจึงแต่งตั้งให้ตั๋งบุ่นผู้น้องเป็นองครักษ์ฝ่ายซ้าย ตั้งให้ลิโป้บุตรบุญธรรมซึ่งเพิ่งซื้อมาเป็นองครักษ์ฝ่ายขวา แล้วให้ยกกำลังทหารที่ตั้งอยู่นอกกำแพงพระนครเข้ามาในพระนคร โอนสังกัดเป็นทหารประจำกองกำลังรักษาพระนครอย่างเป็นทางการ รับเงินเดือนเบี้ยเลี้ยงจากพระคลังหลวง

            ลิยูกุนซือเจ้าความคิดของตั๋งโต๊ะเห็นว่าการวางฐานกำลังอำนาจในเมืองหลวงก้าวหน้าสำเร็จผลจนสามารถกุมอำนาจทั้งสิ้นไว้ได้แล้ว จึงเสนอให้ตั๋งโต๊ะเร่งดำเนินการตามแผนการเดิม ตั๋งโต๊ะเห็นชอบด้วย

            รุ่งขึ้นตั๋งโต๊ะจึงมีคำสั่งให้แต่งโต๊ะจัดเลี้ยงขุนนางข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ในท้องพระโรง อันเป็นที่ซึ่งฮ่องเต้เสด็จออกว่าราชการแผ่นดิน เมื่อขุนนางมาพร้อมกันเพราะความเกรงและความกลัวแล้ว ตั๋งโต๊ะจึงสั่งให้ลิโป้คุมทหารจากกองกำลังรักษาพระนครจำนวนพันเศษไปล้อมพระที่นั่งอันเป็นท้องพระโรงไว้ทุกด้าน

            ตัวตั๋งโต๊ะถือกระบี่เข้าไปในท้องพระโรงแล้วประกาศต่อหน้าขุนนางข้าราชการทั้งปวงว่านับแต่หองจูเปียนขึ้นครองราชย์ บ้านเมืองเกิดจลาจลวุ่นวาย ราษฎรทุกข์ยาก เพราะหองจูเปียนไร้สติปัญญา ไม่องอาจเข้มแข็ง ไม่ใส่ใจการบริหารราชการแผ่นดิน ทำให้เสื่อมพระบรมเดชานุภาพของจักรพรรดิ ไม่เป็นที่ยำเกรงของชาติอื่น บ้านเมืองหมดสง่าราศี ขุนนางข้าราชการพลอยอับอายขายหน้า เราจะถอดเสียจากราชบัลลังก์แล้วยกหองจูเหียบพระราชโอรสพระองค์เล็ก ซึ่งมีสติปัญญากล้าหาญ มีน้ำใจเมตตากรุณาต่อขุนนางและข้าราชการขึ้นครองราชย์ เพื่อให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองเป็นสุขสมเจตจำนงแห่งสรวงสวรรค์ ใครไม่เห็นด้วยกับเรา จะถือว่าขัดโองการแห่งสวรรค์ เราจำเป็นจะต้องฆ่าเสีย

            ประกาศดังนี้แล้วตั๋งโต๊ะจึงขอความเห็นจากที่ประชุมเหล่าขุนนางว่าจะมีความเห็นเป็นประการใด นับเป็นการปรึกษาหารือที่ประหลาดที่สุด ที่มีแต่คนแบบตั๋งโต๊ะเท่านั้นที่จะทำได้

            บรรดาขุนนางข้าราชการได้ฟังคำประกาศแสดงเหตุและผลดั่งนี้ ประกอบเข้ากับข้อปรึกษาพิสดารที่มีทางเลือกอยู่สองทางคือเห็นด้วยกับข้อเสนอที่ผิดคลองธรรมและกฎมณเฑียรบาลในการสืบสันตติวงศ์อย่างหนึ่ง กับไม่เห็นด้วยซึ่งมีผลตามคำตั๋งโต๊ะว่า “ถ้าผู้ใดมิลงใจพร้อมด้วย เราจะฆ่าเสีย”

             อีกอย่างหนึ่ง ต่างคนต่างชำเลืองดูกัน เห็นมีแต่คนก้มหน้านิ่งอยู่ หันไปทางด้านหลังท้องพระโรงก็เห็นลิโป้ในชุดพร้อมออกศึก ถือทวนยืนถมึงตึงพร้อมจะฆ่าคนอยู่ ต่างคนจึงต่างนิ่งเงียบ

            ในขณะนั้นอ้วนเสี้ยวพรรคพวกเก่าของโฮจิ๋น ได้ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วคัดค้านขึ้นด้วยความไม่พอใจว่าฮ่องเต้เป็นโอรสสวรรค์ สวรรค์ทรงธรรม เล็งการโดยกว้าง โดยลึกแล้ว หองจูเปียนพระราชบุตรเอกจึงได้เสวยราชย์ตามพระราชประเพณี ฮ่องเต้มิได้ทำผิดสิ่งใด ตัวเป็นแต่เพียงเจ้าเมืองหัวเมืองบ้านนอก จะมาคิดถอดฮ่องเต้เสียเป็นการไม่ชอบ ทั้งตัวหามีสิทธิใดไม่ “ตัวจะคิดอ่านเป็นกบฏหรือ”

            ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า “ราชสมบัติทุกวันนี้อยู่ในเงื้อมมือเรา เราเห็นไม่ชอบจึงจะทำให้ชอบ ถ้าตัวมิฟังจะขืนขัดอยู่ฉะนี้ ตัวจงแลดูกระบี่ที่เราถืออยู่นี้ว่าจะคมหรือไม่”

            ว่าแล้วมือก็ขยับจับกระบี่ข้างตัว

            สิ่งที่ตั๋งโต๊ะทำนั้นคือการรัฐประหารยึดอำนาจราชสำนัก ตั้งตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์แต่ผู้เดียวแล้ว  เป็นแต่ยังเห็นว่าการล้มราชวงศ์ฮั่นเสียในขณะนี้จะเกิดความยุ่งยากกว่าที่จะคงสภาพไว้อย่างเก่า แล้วใช้กำลังอำนาจตนบงการแทนและในนามฮ่องเต้ จะดูเป็นการชอบธรรมกว่า

            สถานการณ์มาถึงขั้นนี้อ้วนเสี้ยวยังดูไม่ออก จึงได้คัดค้านด้วยโทสะ ครั้นได้ยินตั๋งโต๊ะว่ากล่าวดังนั้นแล้ว อ้วนเสี้ยวก็ยิ่งโกรธแล้วตอบว่า “กระบี่เราถือมาก็มีอยู่ ถ้าตัวมิฟังจะขืนตั้งหองจูเหียบขึ้นให้ผิดอย่างธรรมเนียม ตัวจงดูกระบี่ซึ่งเราถืออยู่นี้จะคมหรือไม่คมเล่า” แล้วกระชับกระบี่ข้างกายไว้มั่น

            ตั๋งโต๊ะฟังอ้วนเสี้ยวแล้วก็ยิ่งโกรธ ปรี่เข้าไปหาแล้วชักกระบี่จะฟันอ้วนเสี้ยว ส่วนอ้วนเสี้ยวก็ชักกระบี่จะสู้ด้วยตั๋งโต๊ะ เหล่าขุนนางก็ลุกฮือกันขึ้น

            ลิยูกุนซือเจ้าความคิดถือหางเสือกระบวนการที่กำลังดำเนินไปตามแผนการใหญ่อยู่ เห็นการที่ต้องการยังไม่ไปถึงที่หมาย กลับจะได้มาซึ่งการทะเลาะวิวาท เพราะตั๋งโต๊ะหัวขบวนกลับเบนหัวออกจากทิศทางหลัก ชักเอาวิวาทเข้าไว้แทนความสำเร็จของการใหญ่ ดีร้ายเหตุการณ์อาจบานปลายทำให้เป้าหมายห่างไกลออกไปอีก จึงปรี่เข้าไปห้ามตั๋งโต๊ะไว้ แล้วกระซิบแต่พอให้ตั๋งโต๊ะได้ยินว่า “เราจะคิดการใหญ่อยู่ ครั้นจะฆ่าฟันกันขึ้น การซึ่งคิดไว้นั้นจะเสียการไป”

            ตั๋งโต๊ะฟังคำกระซิบของลิยูแล้วได้คิด ระลึกได้ถึงภารกิจใหญ่ที่ตนตั้งประสงค์ไว้แต่เดิม ก็ปลงใจเชื่อ แสร้งตวาดใส่อ้วนเสี้ยวว่าคราวนี้เราจะเว้นโทษตัวสักครั้งหนึ่ง เพื่อเห็นแก่ความศักดิ์สิทธิ์และความสงบแห่งท้องพระโรงอันเป็นที่ว่าราชการของฮ่องเต้
 
            ในขณะนั้นเหล่าขุนนางก็ได้เข้าห้ามอ้วนเสี้ยวไว้อีกทางหนึ่ง อ้วนเสี้ยวแม้ไม่พอใจยิ่งนัก แต่พอโทสะทุเลาลงก็ได้คิดว่าสถานการณ์ข้างตัวตกอยู่ในอันตราย ขืนอยู่ในที่ประชุมต่อไปชะตาตัวอาจถึงฆาต คำนึงดังนี้แล้วจึงลาขุนนางทั้งปวงถือกระบี่เดินออกมาจากท้องพระโรงกลับที่พัก จัดเก็บข้าวของสัมภาระแล้ว ใช้หนึ่งในสามสิบหกสุดยอดกลยุทธ์คือ “ถ้ารบไม่ชนะก็ให้หนีเอาตัวรอดไว้ก่อน” พาทหารและพรรคพวกเดินทางออกจากเมืองหลวงอย่างรีบด่วน ยกไปตั้งหลักที่เมืองกิจิ๋ว ซึ่งเป็นเมืองในอิทธิพลของตระกูล “อ้วน”  

           
            ครั้นอ้วนเสี้ยวออกจากท้องพระโรงไปแล้ว เหตุการณ์ในท้องพระโรงจึงค่อยสงบลง ตั๋งโต๊ะจึงว่าแก่ราชครูอ้วนหงุย ผู้เป็นอาของอ้วนเสี้ยวและเป็นขุนนางผู้ใหญ่อันเป็นที่นับถือของเหล่าขุนนางข้าราชการว่า หลานท่านขัดขวางการใหญ่ไม่เกรงใจเรา แต่เราเห็นแก่หน้าท่าน หาไม่แล้วเราจะฆ่าเสีย ซึ่งเราคิดการทั้งนี้ท่านมีความเห็นประการใด

            ขุนนางทั้งปวงต่างตั้งใจฟังคำตอบของอ้วนหงุยซึ่งถือว่าเป็นขุนนางผู้ใหญ่ พูดจาสิ่งใดพวกตนจะได้ถือเป็นเหตุคล้อยตามโดยไม่ต้องเกรงกลัวใครจะตำหนิ เพราะอ้วน หงุยนั้นมีฐานะเป็นถึงราชครู

            อ้วนหงุย ราชครูเป็นขุนนางขี้ขลาดตาขาวเห็นแก่เอาตัวรอดจึงตอบว่าการที่ตั๋งโต๊ะคิดนั้นเป็นไปตามความประสงค์แห่งสวรรค์ พวกเราเป็นมนุษย์ย่อมต้องคล้อยตามสวรรค์จึงจะชอบ

            เมื่ออ้วนหงุยว่าเสียดั่งนี้แล้วขุนนางในที่นั้นจึงเห็นชอบตามไปด้วย ตั๋งโต๊ะดีใจนักเชิญขุนนางข้าราชการกินโต๊ะต่อไป เสร็จแล้วจึงแยกย้ายกันกลับ ในขณะที่ตั๋งโต๊ะกำลังจะออกจากท้องพระโรงนั้น ทหารเข้ามารายงานว่าอ้วนเสี้ยวยกทหารออกนอกเมืองไปแล้ว

            ตั๋งโต๊ะจึงให้เรียกขุนนางเก่าสองคนคือเจียวปีและเหงาเค่งมาสอบถามความเห็นว่าอ้วนเสี้ยวยกไปครั้งนี้จะคิดอ่านประการใด ซึ่งคงเป็นการถามความเห็นเพราะเชื่อว่าความเป็นขุนนางเก่าย่อมรู้จักสภาพอ้วนเสี้ยวดีอย่างหนึ่ง และเป็นการทดสอบความคิดว่าเต็มใจร่วมทำการด้วยตัวหรือไม่

            เจียวปีเสนอความเห็นว่าอ้วนเสี้ยวเป็นพวกเก่าของโฮจิ๋น เป็นแกนนำสำคัญในการสถาปนาหองจูเปียนเป็นกษัตริย์ เมื่อท่านจะถอดหองจูเปียนออกเสียเช่นนี้ ย่อมกระทบต่อผลประโยชน์ใหญ่ของอ้วนเสี้ยว การยกทหารออกนอกเมืองของอ้วนเสี้ยวครั้งนี้ย่อมคิดอ่านต่อต้านท่านเป็นแน่

            เจียวปีให้ความเห็นต่อไปด้วยว่าตระกูล “อ้วน” นั้นเป็นขุนนางสืบต่อกันมาถึงสี่ชั่วอายุคน มีผู้คนใกล้ไกลมาก ราษฎรก็นับถืออ้วนเสี้ยวเป็นอันมาก หากจะปราบปรามโดยเฉียบขาดก็จะสูญเสียมาก ทั้งแผ่นดินก็ยังไม่ปกติดีนักสมควรประนีประนอมเอาใจอ้วนเสี้ยวไว้ก่อน “ขอให้ท่านมีหนังสือรับสั่งให้ไปตั้งอ้วนเสี้ยวเป็นเจ้าเมืองตำบลหนึ่ง เห็นอ้วนเสี้ยวจะเป็นปกติไปต่อท่าน”

            ตั๋งโต๊ะหันมาถามเหงาเค่งว่าจะมีความเห็นอย่างไร เหงาเค่งเสนอว่าการที่อ้วนเสี้ยวยกไปครั้งนี้ย่อมจะคิดอ่านต่อต้านท่านเป็นมั่นคง แต่อ้วนเสี้ยวไร้สติปัญญาจะคิดการไม่ตลอด ถึงกระนั้นสถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่สมควรก่อสงคราม ควรเลือกเอาหนทางประนีประนอม จะเป็นประโยชน์กว่า การตั้งอ้วนเสี้ยวเป็นเจ้าเมืองจะเป็นการสร้างภาพพจน์ให้ราษฎรเห็นว่าท่านไม่ผูกเวรกับผู้อื่น คิดถึงแต่ความสงบสุขของบ้านเมืองแลราษฎร

            ลิยูอยู่ในที่นั้นเห็นชอบกับความเห็นของสองขุนนาง เมื่อเห็นพร้อมกันดังนี้แล้ว ตั๋งโต๊ะจึงเห็นชอบด้วย แล้วแต่งเป็นหนังสือรับสั่งตั้งให้อ้วนเสี้ยวเป็นเจ้าเมืองปุดไฮ แล้วให้ทหารถือหนังสือรับสั่งที่ทำขึ้นนั้นไปมอบแก่อ้วนเสี้ยว
           
            อ้วนเสี้ยวเมื่อได้รับหนังสือแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองแล้วก็มีความพอใจ ความคิดที่จะต่อต้านตั๋งโต๊ะก็เพลาลงจากใจดังนี้ ความแค้นในใจของอ้วนเสี้ยวนั้นจึงมีราคาเท่ากับเมืองปุดไฮแล้วมอดลงด้วยประการนี้

            แต่นั้นมาขุนนางข้าราชการก็อยู่ในบังคับบัญชาการของตั๋งโต๊ะสิ้น บางคนที่ไม่เห็นด้วยและไม่พอใจก็พากันนิ่งเงียบ เพราะเกรงกลัวในอาญาสิทธิ์ของตั๋งโต๊ะ คนเหล่านี้มีอยู่จึงเหมือนกับไม่มี

            เมื่อการทั้งปวงพร้อมแล้วเช่นนี้ ตั๋งโต๊ะจึงเชิญให้หองจูเปียนเสด็จออก ณ พระที่นั่งแกเต็กเตี้ยน เชิญขุนนางข้าราชการเข้าเฝ้าแล้วประกาศถอดถอนหองจูเปียนพ้นจากตำแหน่งฮ่องเต้ แล้วเชิญลงจากพระราชบัลลังก์ ถอดเอาตราประจำราชสมบัติออกจากพระศอ ให้นั่งคุกเข่าลงหน้าราชบัลลังก์ ผินพระพักตร์ไปทางทิศเหนืออันเป็นทิศที่ตั้งศาลเทพบิดรแห่งพระราชวงศ์ฮั่น จากนั้นถอดพระยศโฮไทเฮาแล้วให้คุกเข่าอยู่ด้วยกัน ทั้งโฮไทเฮาและหองจูเปียน “ก็ร้องไห้รักกันอยู่ ขุนนางทั้งปวงเห็นก็กลั้นน้ำตามิได้”

            ภาพอันกระเทือนใจนั้นทำให้เต๊งกวนขุนนางระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ลุกขึ้นมา ตะโกนด่าตั๋งโต๊ะว่าเป็นศัตรูราชสมบัติ แล้วเอาป้ายงาช้างประจำตำแหน่งจะเข้าไปตีตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะจึงให้ทหารจับเอาตัวเต๊งกวนไปประหารเสีย

           
            จากนั้นจึงให้เชิญหองจูเหียบพระราชบุตรองค์เล็กเกิดแต่พระสนมเอกในพระเจ้าเลนเต้ แต่งฉลองพระองค์ในชุดพระมหากษัตริย์ ขึ้นประทับนั่งบนพระราชบัลลังก์ ให้อาลักษณ์อ่านประกาศในนามขุนนางและพสกนิกรทั่วประเทศ สถาปนาหองจูเหียบขึ้นเป็นฮ่องเต้สืบราชสันตติวงศ์พระราชวงศ์ฮั่นต่อไป ทรงพระนามว่า “พระเจ้าเหี้ยนเต้” เหล่าขุนนางข้าราชการถวายพระพร ถวายความเคารพ เป็นอันเสร็จพิธี

            เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้เสวยราชย์ จึงได้เปลี่ยนศักราชใหม่ตามธรรมเนียม เป็นศักราชเจี้ยนอัน หรือเจี้ยนอันศก ซึ่งแปลว่ายุคแห่งสันติภาพ เป็นการเถลิงศักราช

            เจี้ยนอันในขณะที่พระเจ้าเหี้ยนเต้มีพระชนม์มายุเพียง 9 พรรษา สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ว่าเถลิงศกเจี้ยนอันในปีพุทธศักราช 733 แต่ฉบับภาษาจีนว่าเป็นปีพุทธศักราช 721.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร