ตอนที่ 22. ตั๋งโต๊ะซื้อลิโป้
ตั๋งโต๊ะแผ่อำนาจครอบงำเมืองหลวงในทุก ๆ ทาง แล้วก็มีใจกำเริบขึ้นคิดอ่านดำเนินการตามแผนการเดิม ที่จะถอดหองจูเปียนออกเสียจากบัลลังก์มังกร แล้วยกหองจูเหียบผู้น้องขึ้นเป็นฮ่องเต้แทน เพื่อตนเองจะได้ครองอำนาจรัฐ ครอบงำบัลลังก์มังกรเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ตั๋งโต๊ะจึงให้เชิญลิยูที่ปรึกษาคู่ใจเข้ามาพบแล้วปรึกษาเรื่องนี้ ลิยูจึงว่า “ทุกวันนี้มีเจ้าก็เหมือนหนึ่งหาไม่ เสนาบดีสำเร็จราชการก็ไม่มี แผ่นดินเพิ่งสงบ ซึ่งท่านคิดทั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วย ให้ท่านเร่งคิดทำเถิด”
ลิยูได้เสนอแผนการให้ตั๋งโต๊ะจัดงานสโมสรสันนิบาตขึ้นที่พระราชอุทยาน แล้วให้เชิญขุนนางทุกระดับไปร่วมงาน เมื่อขุนนางไปพร้อมกันแล้วให้ประกาศเจตนารมย์เรื่องนี้ให้เหล่าขุนนางทราบ ใครขัดขวางก็ฆ่าเสียเป็นการตัดไม้ข่มนาม คนทั้งปวงก็จะเกรงอาญาสิทธิ์ของตั๋งโต๊ะสืบไป
ข้อปรึกษาและความเห็นของที่ปรึกษาเข้ากันราวกับผีกับโลง ตั๋งโต๊ะฟังแล้วก็ยินดียิ่งนัก สั่งให้จัดงานสโมสรสันนิบาตแล้วให้เชิญขุนนางทุกระดับมาร่วมงานตามแผนของลิยู
ขุนนางทั้งหลายที่ได้รับเชิญต่างเกรงใจและเกรงกลัวไม่กล้าขัดใจตั๋งโต๊ะ เพราะเกรงจะถูกเพ่งเล็งว่าหากไม่มาร่วมงานแล้วจะถูกถือว่าไม่ใช่พวก คิดแข็งข้ออย่างหนึ่ง หรือตั้งตนเป็นฝ่ายปรปักษ์ของตั๋งโต๊ะอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงมาร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียง
ตั๋งโต๊ะรอฟังข่าวอยู่ที่จวน ครั้นได้รับรายงานว่าบรรดาขุนนางมาพร้อมกันที่พระราชอุทยานแล้ว จึงขี่ม้ามีทหารองครักษ์ติดตามเป็นจำนวนมาก ทำเป็นสง่ามาจนถึงหน้าประตูสวนหลวง แล้วลงจากม้าถือกระบี่เดินเข้ามาในงานสโมสรสันนิบาตนั้น
หลังจากงานเลี้ยงดำเนินไปครู่หนึ่ง เหล่าขุนนางได้ดื่มสุราแสดงคารวะกันตามธรรมเนียมแล้ว ตั๋งโต๊ะจึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังดุจการตวาดเอากับขุนนางทั้งปวงว่าท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า มีเรื่องสำคัญของแผ่นดินที่จะปรึกษากับพวกท่าน
แล้วว่าบัลลังก์จักรพรรดินั้นต้องครองโดยผู้มีสติปัญญาความสามารถ แต่หองจูเปียนนั้นครองราชย์แล้วปรากฏว่าไร้สติปัญญา ไม่เป็นสง่าแก่ราชบัลลังก์เสื่อมเสียเกียรติยศของบ้านเมืองและราษฎร ต่างกับหองจูเหียบ พระราชโอรสพระองค์เล็ก มีสติปัญญาหลักแหลมกล้าหาญ สามารถครองแผ่นดินให้เป็นปกติสุขได้ เราจึงคิดที่จะถอดหองจูเปียน เสียแล้วให้หองจูเหียบเป็นฮ่องเต้แทน ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด
เหล่าขุนนางฟังคำตั๋งโต๊ะแล้วตกใจ แต่พากันนิ่งเงียบ ทันใดนั้นเต๊งหงวน เจ้าเมืองเต๊งจิ๋ว ได้ลุกขึ้นยืนคัดค้านว่าเป็นการผิดธรรมเนียมแผ่นดิน และผิดกฎมณเฑียรบาล แล้วกล่าวหาตั๋งโต๊ะว่าเป็นกบฏ
ตั๋งโต๊ะได้ยินคำเต๊งหงวนแล้วก็โกรธ เพราะคาดไม่ถึงว่าจะมีใครหาญกล้าบังอาจมาคัดค้านความเห็นตน จึงตวาดออกไปว่ากูปรึกษาในเรื่องที่เป็นคุณต่อแผ่นดิน มึงสิกลับคัดค้านไม่เห็นแก่บ้านเมืองและราษฎร กูจะฆ่ามึงเสีย ว่าแล้วก็ชักกระบี่จะเดินเข้าไปหาเต๊งหงวน
ขณะนั้นลิยูที่ปรึกษาเจ้าความคิด อยู่ในเหตุการณ์เห็นลิโป้ทหารเต๊งหงวนยืนเป็นสง่าน่าเกรงขามอยู่ข้างหลังเต๊งหงวน มีรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงสมเป็นทหารเอก ในมือถือทวนในชุดเตรียมออกศึก เกรงว่าตั๋งโต๊ะจะเป็นอันตราย และได้เห็นท่าทีของเหล่าขุนนางเป็นที่พอใจแล้ว จึงลุกขึ้นจากที่เข้าห้ามตั๋งโต๊ะไว้แล้วว่าวันนี้มีงานสโมสรสันนิบาต ชอบที่จะกินโต๊ะเสพสุราให้เป็นที่สุขสบายใยต้องมาวิวาทบาดหมางกันด้วยเล่า มีเรื่องราวอันใดค่อยปรึกษาว่ากล่าวกันในที่ประชุมขุนนางในวันหน้าเถิด
ว่าแล้วก็ขยิบตาให้สัญญาณเป็นความนัยแก่ตั๋งโต๊ะ
ตั๋งโต๊ะเห็นอากัปกิริยาลิยูที่ปรึกษาดั่งนี้ก็รู้ว่ามีนัยยะที่ผิดปกติ มองไปยัง เต๊งหงวนอีกครั้งหนึ่งก็เห็นลิโป้ถือทวนเป็นสง่าราวกับจะออกศึกก็เข้าใจความหมายแห่งสัญญาณของลิยู ทำทีเป็นเกรงใจขุนนางข้าราชการแล้วนั่งลงกับที่ ในขณะเดียวกันนั้นเหล่าขุนนางก็ได้ห้ามเต๊งหงวนซึ่งชักกระบี่คุมเชิงอยู่
เต๊งหงวนไม่พอใจ จึงขึ้นม้าพาลิโป้กลับไป
เต๊งหงวนไปแล้วเหตุการณ์จึงค่อยสงบลง ตั๋งโต๊ะจึงว่าขึ้นอีกว่าความอันเรายกขึ้นปรึกษานี้ท่านทั้งปวงมีความเห็นฉันใด เหล่าขุนนางได้ยินแล้วต่างวางจอกสุราลงกับโต๊ะ แล้วพากันนิ่งเงียบกันต่อไปอีก
ขณะนั้นโลติดขุนนางผู้ใหญ่ อดีตแม่ทัพปราบโจรโพกผ้าเหลือง ซึ่งกลับเข้ารับราชการใหม่หลังจากช่วยเหลือโฮไทเฮาในวันไฟไหม้พระราชวัง ได้ลุกขึ้นแล้วทักท้วงว่า “ท่านปรึกษาข้อราชการนั้นผิดนัก พระเจ้าเลนเต้ผู้เป็นพระราชบิดาเห็นว่าหองจูเปียนมีสติปัญญาแล้วก็เป็นพระราชบุตรเอก จึงให้เสวยราชสมบัติ ตัวท่านเป็นขุนนางหัวเมือง มิได้แจ้งกฎหมายในพระราชฐาน จะมาถอดหองจูเปียนซึ่งมิได้มีความผิดเสียนั้นไม่ชอบ”
ตั๋งโต๊ะได้ฟังก็โกรธนักที่การไม่สมความคิดตัว เพราะขุนนางเฒ่ามาชักใบให้เรือเสีย คัดค้านในท่ามกลางสโมสร จึงถอดกระบี่ออกอีกครั้งหนึ่งจะฟันโลติด ส่วนแพ่เป็ก ขุนนางคนสนิทของพระเจ้าเลนเต้เห็นเหตุการณ์จะบานปลายจึงได้เข้าห้ามไว้ แล้วว่ากับตั๋งโต๊ะว่าโลติดนี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ รับราชการมาถึงสามแผ่นดิน มีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน จึงเป็นที่รักและเคารพของเหล่าขุนนางแลราษฎร การที่ท่านจะสังหารโลติดเสีย จะทำให้ขุนนางแลราษฎรเกลียดชังท่านยิ่งนัก
อ้องอุ้นขุนนางผู้ใหญ่อีกคนหนึ่งก็ลุกเข้าไปห้ามตั๋งโต๊ะเช่นเดียวกับแพ่เป็ก แล้วว่าวันนี้พวกเราอยู่ในงานสโมสรหน้าข้าวหน้าเหล้าอยู่ มีราชการสิ่งใดเอาไว้ค่อยปรึกษาในวันหน้าเถิด ตั๋งโต๊ะก็สงบลง เหล่าขุนนางก็พากันร่ำลารีบกลับบ้านตน
ในขณะนั้นลิโป้ซึ่งตามไปส่งเต๊งหงวนกลับบ้านแล้ว ได้ขี่ม้าถือทวนกลับมาที่งานสโมสรเพื่อสังเกตการณ์ ตั๋งโต๊ะเห็นลิโป้อีกครั้งหนึ่งจึงถามลิยูที่ปรึกษาว่านั่นเป็นทหารผู้ใด จึงมีสง่าน่าเกรงขามประดุจดังเสือ
ลิยูเห็นเหตุการณ์เข้าก็เกรงว่าลิโป้จะมาทำอันตรายตั๋งโต๊ะ จึงบอกให้ตั๋งโต๊ะหลบเข้าที่กำบังมิให้ลิโป้เห็น แล้วตอบว่านั่นเป็นลิโป้ทหารเอกของเต๊งหงวน มีกำลังกล้าแข็งนัก ตั๋งโต๊ะจึงถอยหลบฉากเสีย
วันรุ่งขึ้นเต๊งหงวนซึ่งพกความแค้นอยู่เต็มอก จึงนำลิโป้พร้อมทหารมาหน้าค่ายของตั๋งโต๊ะนอกกำแพงพระนครท้ารบกับตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะทราบรายงานแล้วจึงคุมทหารออกจากค่ายจะรบด้วยเต๊งหงวน
ฝ่ายเต๊งหงวนเห็นตั๋งโต๊ะยกทหารออกมาจึงขับม้าพาลิโป้ออกหน้าทหารแล้วด่าตั๋งโต๊ะว่า “ครั้งก่อนไอ้เหล่าขันทีสิบคนทำการหยาบช้า ให้ได้รับความเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน จนเกิดอันตรายขึ้น บ้านเมืองเพิ่งจะสงบ แลตัวเป็นแต่ขุนนางหัวเมือง ยังมิได้มีความชอบประการใด มาตั้งตัวเป็นผู้ใหญ่คิดบังอาจจะถอดหองจูเปียนเสีย จะให้แผ่นดินเกิดจลาจลเหมือนครั้งสิบขันทีนั้นหรือ”
ตั๋งโต๊ะยังไม่ทันตอบประการใด ลิโป้ก็ขับม้าร่ายทวนฝ่าทหารของตั๋งโต๊ะเข้ามาสังหารทหารของตั๋งโต๊ะเสียหลายคน เต๊งหงวนเห็นเป็นทีจึงสั่งทหารรุกเข้าตีกองทหารตั๋งโต๊ะ
ตั๋งโต๊ะเห็นลิโป้แข็งกล้าเด็ดขาดนัก กำลังขับม้าฝ่าทหารเข้ามาใกล้จะถึงตัวทั้งทหารข้างตัวก็แตกชุลมุน จึงชักม้ากลับเข้ามาด้านหลังทหาร แล้วพากันหลบหนี กองทหารของตั๋งโต๊ะจึงแตกพ่ายไป
ตั๋งโต๊ะพาทหารหนีเต๊งหงวน ลิโป้เป็นระยะทางประมาณห้าสิบเส้น เห็น เต๊งหงวน ลิโป้ มิได้ตามมาแล้วจึงได้ให้ตั้งค่ายมั่นไว้ แล้วจึงให้เชิญลิยูที่ปรึกษาและทหารคนสำคัญมาปรึกษาแล้วว่าเราทำการศึกมามากต่อมากแล้ว ไม่เคยเห็นทหารคนใดองอาจสง่าเข้มแข็ง มีความกล้าหาญเหมือนลิโป้เลย หากได้ตัวลิโป้มาทำการด้วยแล้ว จะไม่มีใครในแผ่นดินนี้ต้านรับเราได้อีก ทำอย่างไรจึงจะได้ตัวลิโป้มา
นายทหารหลายคนเห็นว่าเป็นการยาก เพราะลิโป้เป็นบุตรบุญธรรมของ เต๊งหงวน และเต๊งหงวนก็รักใคร่บำรุงถึงขนาด แต่ลิซกนายทหารอีกคนหนึ่งกล่าวว่า ลิโป้นั้นองอาจกล้าหาญเป็นสง่าก็จริง แต่เป็นคนหยาบช้า ละโมบในทรัพย์สิน ไม่รู้จักบุญคุณคน ที่กล่าวทั้งนี้เพราะรู้จักลิโป้เป็นอย่างดี เนื่องจากคบหากันมาตั้งแต่เด็ก หากตั๋งโต๊ะอยากได้ตัวลิโป้จริงแล้ว ยอมให้ราคาถึงขนาด คนแบบลิโป้ก็พร้อมที่จะขายตัวและจะขออาสาไปเกลี้ยกล่อมซื้อตัวลิโป้เอง
ตั๋งโต๊ะดีใจเป็นอันมาก ถามว่าจะซื้อลิโป้ด้วยราคาอย่างไร ลิซกจึงตอบว่าขอให้ท่านจัดทองคำ อัญมณีมีค่าให้ถึงขนาดพร้อมด้วยม้าเซ็กเทาของท่าน ก็จะได้ตัวลิโป้มาสมดังประสงค์
ตั๋งโต๊ะหันไปถามลิยูที่ปรึกษาว่าแผนการของลิซกจะสำเร็จได้หรือไม่ ลิยูจึงว่าท่านจะทำการใหญ่เสียดายอะไรกับข้าวของเงินทองและม้าตัวหนึ่ง การสมประสงค์แล้วทั้งเงินทองและม้านี้ก็จะได้กลับคืนมา การอันปรารถนาก็จะสำเร็จดังประสงค์ ให้เร่งจัดการตามคำของลิซกเถิด
ลิซกรับข้าวของเงินทองและม้าเซ็กเทาจากตั๋งโต๊ะแล้ว ค่ำลงก็ออกไปยังค่ายเต๊งหงวน ทหารลาดตระเวนเห็นคนมาผิดสังเกตก็เข้ากุมเอาตัวลิซกกับม้าไว้ ลิซกว่ากล่าวกับทหารลาดตระเวนนั้นว่าเราเป็นเพื่อนกับลิโป้นายท่าน มีราชการสำคัญจึงมาเยี่ยมคารวะ ขอให้พาเราไปพบลิโป้คงจะได้ความชอบ
ลิโป้ทราบว่าลิซกมาหาก็มีใจยินดี รับเข้าไปสนทนาภายในค่าย ทักทายตามประสาเพื่อนเก่าแล้ว ลิซกจึงว่าท่านภักดีต่อแผ่นดินและเข้มแข็งหาญกล้าหาใครเปรียบมิได้ จักเป็นใหญ่ในวันข้างหน้าเพื่อสนับสนุนให้ท่านก้าวหน้าในทางราชการ จึงขอนำม้าเซ็กเทาซึ่งเป็นม้าชั้นดีวิ่งได้เร็วดุจพายุ วิ่งได้ไกลถึงวันละหมื่นเส้น สามารถวิ่งบนภูเขาได้เสมอที่ราบ มากำนัลไว้แก่ท่าน แล้วจึงชวนลิโป้ออกไปดูม้าเซ็กเทาที่นอกค่ายพัก
ลิโป้เห็นม้าเซ็กเทาพิเคราะห์ดูแล้ว “เห็นขนนั้นแดงดังถ่านเพลิง ทั่วทั้งตัวมิได้สีสีใดแกม สูงสี่ศอกเศษได้ลักษณะเป็นม้าศึก เข้มแข็งกล้าหาญ” จึงมีความยินดีนักแล้วว่าเราเป็นทหารไม่มีสิ่งใดมีค่าต่อตัวเราเท่ากับม้าเซ็กเทานี้ ท่านนำของกำนัลล้ำค่านี้มอบแก่เรา มีสิ่งใดที่เราจะตอบแทนได้พอกันเล่า
ลิซกจึงว่าไม่ปรารถนาสิ่งใดนอกจากหวังให้เพื่อนเป็นใหญ่ในทางราชการ ว่าแล้วขอเยี่ยมคารวะบิดาของลิโป้
ลิโป้ฟังลิซกเห็นประหลาดนัก จึงขับทหารออกไปให้ห่างเสียงยิน แล้วว่าท่านกับเราคบหากันมาแต่น้อย รู้ดีว่าบิดาเราหาชีวิตไม่แล้ว เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้ ลิซกจึงว่าก็เต๊งหงวนบิดาบุญธรรมนั่นเป็นไร มิใช่บิดาหรือ ลิโป้จึงว่าเต๊งหงวนเป็นขุนนางผู้น้อย เราอยู่ด้วยความจำใจ ไม่เห็นทางก้าวหน้าใด ๆ ในทางราชการ
ลิซกได้ทีจึงว่าเป็นชายชาติอาชาไนย หวังอาสาการใหญ่ของแผ่นดิน จะจำใจอยู่ไปทำไมกัน “ธรรมดานกย่อมอาศัยป่าที่มีผลไม้มากจึงเป็นสุข ประเพณีขุนนางทำราชการ ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรมแล้วก็มีความสุข ซึ่งท่านว่าจำใจอยู่ด้วยเต๊งหงวนนั้นจะเอาประโยชน์อันใด ภายหน้าไปเห็นจะมีอันตราย จงผ่อนผันหาที่อยู่ให้เป็นสุขดีกว่า”
ลิโป้ฟังลิซกแล้วก็เข้าใจความหมาย ถามว่าท่านอยู่เมืองหลวงพอที่จะช่วยเหลือแนะนำผู้ที่เป็นใหญ่มีอาญาสิทธิ์ให้เราอยู่ด้วยได้บ้างหรือไม่ การเข้าทางแล้วลิซกจึงว่าแผ่นดินบัดนี้หามีผู้ใดมีอำนาจอาญาสิทธิ์เหมือนตั๋งโต๊ะไม่ ตั๋งโต๊ะนั้นน้ำใจโอบอ้อมอารีรักทหาร เราเป็นขุนนางผู้น้อยฝีมือไม่เสมอท่านยังได้รับเมตตาอารีจากตั๋งโต๊ะเพียงนี้ หากท่านไปอยู่ด้วยแล้วจะได้รับความเมตตาอารีสักเพียงไหน
ว่าแล้วลิซกจึงได้นำทองคำและอัญมณีออกมากองไว้เบื้องหน้าแล้วว่าตั๋งโต๊ะนิยมในตัวท่าน วานเราให้เอาม้าเซ็กเทาและของเหล่านี้มามอบเป็นกำนัลเครื่องระลึกถึงฝากไมตรีไว้กับท่าน วันใดที่ท่านไปอยู่ด้วยตั๋งโต๊ะแล้ว อำนาจวาสนาและทรัพย์สมบัติจะมีแก่ท่านประมาณมิได้
ลิโป้ฟังคำลิซกและเห็นทองคำกับอัญมณีแล้ว จิตก็ลุแก่ความโลภล้นทะลักออกมาละล่ำละลักว่าตั๋งโต๊ะมีใจรักเมตตาเราถึงเพียงนี้ เราจะเอาสิ่งใดตอบแทนได้เล่า ลิซกจึงว่าในโลกนี้จะมีสิ่งใดเป็นของขวัญล้ำค่าแก่ตั๋งโต๊ะเสมอด้วยศีรษะเต๊งหงวนเป็นไม่มีแล้ว เกรงแต่ท่านจะไม่กล้าตัดสินใจ
ลิโป้ยิ่งฟังยิ่งเห็นประโยชน์ใหญ่แก่ตัวมากกว่าประโยชน์ที่จะได้จากข้างเต๊งหงวน ความละโมบโลภมากถึงขีดสุดก็ตัดสินใจขายตัวให้กับตั๋งโต๊ะ บอกลิซกว่าท่านกลับไปก่อนเถิด พรุ่งนี้เราจะเอาศีรษะเต๊งหงวนเป็นของกำนัลไปคารวะขออยู่ทำการด้วยตั๋งโต๊ะ
ลิซกไปแล้ว ลิโป้จึงถือกระบี่เดินเข้าไปหาเต๊งหงวนถึงที่พัก สังหารเต๊งหงวนบิดาบุญธรรมผู้มีคุณแก่ตนเสีย ตัดศีรษะเต๊งหงวนชูขึ้นแล้วประกาศกับทหารว่าเต๊งหงวนคิดร้ายต่อแผ่นดิน ไม่ยำเกรงกฎหมายบ้านเมือง เราฆ่าเสียแล้ว ใครจะอยู่ด้วยเราก็ให้ตามเรามา ใครจะไม่อยู่ด้วยเราก็ให้รีบกลับไปบ้านเดิม
ทหารเต๊งหงวนกว่าครึ่งไม่เต็มใจอยู่ด้วยลิโป้ อสรพิษร้ายที่สังหารบิดาบุญธรรมอันหาผิดมิได้ จึงพากันกลับบ้านเดิม คงมีทหารอีกบางส่วนเท่านั้นที่มีความโลภในลาภเหมือนกับลิโป้ตัดสินใจติดตามลิโป้ไป
รุ่งเช้าขึ้นลิโป้ขับม้าเซ็กเทาพาทหารที่ติดตามตัวมา นำศีรษะของเต๊งหงวนเข้าไปมอบแก่ตั๋งโต๊ะกราบคารวะ แล้วสาบานอยู่ด้วยตั๋งโต๊ะ
ตั๋งโต๊ะมีความยินดียิ่งนัก ที่เสี้ยนหนามสำคัญถูกกำจัดทั้งยังได้ลิโป้มาทำการด้วย จึงว่า “ตัวเรานี้เหมือนทำนาตกกล้าแล้วฝนแล้ง กล้านั้นใบแดงไป ซึ่งท่านมาหาเราบัดนี้เหมือนฝนตกลงห่าใหญ่ น้ำท่วมเลี้ยงต้นกล้าชุ่มชื้นขึ้น ใบนั้นเขียวสดขึ้น”
ว่าแล้วตั๋งโต๊ะก็ทรุดเข่าลงคำนับลิโป้ ลิโป้เห็นดังนั้นก็ตกใจรีบทรุดตัวลง ประคองตั๋งโต๊ะให้นั่งบนเก้าอี้ แล้วกราบคำนับตั๋งโต๊ะแล้วว่าน้ำใจท่านรักทหาร และมีเมตตาแก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก ข้าพเจ้าจึงขอกราบท่านเป็นบิดาบุญธรรมอยู่ด้วยท่านจนกว่าจะสิ้นชีวิต
ตั๋งโต๊ะเอาใจหลอกใช้ลิโป้ได้สำเร็จ จึงยินดียิ่งนัก สั่งทหารให้เอาเสื้ออย่างดีพร้อมเกราะทองคำเป็นกำนัลรับขวัญลิโป้เป็นบุตรบุญธรรม ทั้งตั๋งโต๊ะ ลิยู และ ลิซก ต่างมีความยินดีชื่นชมยิ่งนัก
ตั๋งโต๊ะได้รับเอางูเห่า อสรพิษร้ายที่ไม่รู้จักบุญคุณคน สังหารได้แม้กระทั่งบิดาบุญธรรมซึ่งมีคุณแก่ตนไว้เป็นบุตรบุญธรรม และให้เป็นทหารองครักษ์อยู่ข้างกาย โดยที่ทั้งตั๋งโต๊ะแลลิยูเหลิงในใจเสียจนลืมไปว่าอันงูเห่าอสรพิษร้ายที่เพิ่งสังหารบิดาบุญธรรมตัวมาหยก ๆ เมื่อมาอยู่ข้างตัวตั๋งโต๊ะ บิดาบุญธรรมคนใหม่แล้ว การข้างหน้าจักเป็นฉันใด นี่แหละที่โบราณว่า “สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง”.
ตั๋งโต๊ะจึงให้เชิญลิยูที่ปรึกษาคู่ใจเข้ามาพบแล้วปรึกษาเรื่องนี้ ลิยูจึงว่า “ทุกวันนี้มีเจ้าก็เหมือนหนึ่งหาไม่ เสนาบดีสำเร็จราชการก็ไม่มี แผ่นดินเพิ่งสงบ ซึ่งท่านคิดทั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วย ให้ท่านเร่งคิดทำเถิด”
ลิยูได้เสนอแผนการให้ตั๋งโต๊ะจัดงานสโมสรสันนิบาตขึ้นที่พระราชอุทยาน แล้วให้เชิญขุนนางทุกระดับไปร่วมงาน เมื่อขุนนางไปพร้อมกันแล้วให้ประกาศเจตนารมย์เรื่องนี้ให้เหล่าขุนนางทราบ ใครขัดขวางก็ฆ่าเสียเป็นการตัดไม้ข่มนาม คนทั้งปวงก็จะเกรงอาญาสิทธิ์ของตั๋งโต๊ะสืบไป
ข้อปรึกษาและความเห็นของที่ปรึกษาเข้ากันราวกับผีกับโลง ตั๋งโต๊ะฟังแล้วก็ยินดียิ่งนัก สั่งให้จัดงานสโมสรสันนิบาตแล้วให้เชิญขุนนางทุกระดับมาร่วมงานตามแผนของลิยู
ขุนนางทั้งหลายที่ได้รับเชิญต่างเกรงใจและเกรงกลัวไม่กล้าขัดใจตั๋งโต๊ะ เพราะเกรงจะถูกเพ่งเล็งว่าหากไม่มาร่วมงานแล้วจะถูกถือว่าไม่ใช่พวก คิดแข็งข้ออย่างหนึ่ง หรือตั้งตนเป็นฝ่ายปรปักษ์ของตั๋งโต๊ะอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงมาร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียง
ตั๋งโต๊ะรอฟังข่าวอยู่ที่จวน ครั้นได้รับรายงานว่าบรรดาขุนนางมาพร้อมกันที่พระราชอุทยานแล้ว จึงขี่ม้ามีทหารองครักษ์ติดตามเป็นจำนวนมาก ทำเป็นสง่ามาจนถึงหน้าประตูสวนหลวง แล้วลงจากม้าถือกระบี่เดินเข้ามาในงานสโมสรสันนิบาตนั้น
หลังจากงานเลี้ยงดำเนินไปครู่หนึ่ง เหล่าขุนนางได้ดื่มสุราแสดงคารวะกันตามธรรมเนียมแล้ว ตั๋งโต๊ะจึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังดุจการตวาดเอากับขุนนางทั้งปวงว่าท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า มีเรื่องสำคัญของแผ่นดินที่จะปรึกษากับพวกท่าน
แล้วว่าบัลลังก์จักรพรรดินั้นต้องครองโดยผู้มีสติปัญญาความสามารถ แต่หองจูเปียนนั้นครองราชย์แล้วปรากฏว่าไร้สติปัญญา ไม่เป็นสง่าแก่ราชบัลลังก์เสื่อมเสียเกียรติยศของบ้านเมืองและราษฎร ต่างกับหองจูเหียบ พระราชโอรสพระองค์เล็ก มีสติปัญญาหลักแหลมกล้าหาญ สามารถครองแผ่นดินให้เป็นปกติสุขได้ เราจึงคิดที่จะถอดหองจูเปียน เสียแล้วให้หองจูเหียบเป็นฮ่องเต้แทน ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด
เหล่าขุนนางฟังคำตั๋งโต๊ะแล้วตกใจ แต่พากันนิ่งเงียบ ทันใดนั้นเต๊งหงวน เจ้าเมืองเต๊งจิ๋ว ได้ลุกขึ้นยืนคัดค้านว่าเป็นการผิดธรรมเนียมแผ่นดิน และผิดกฎมณเฑียรบาล แล้วกล่าวหาตั๋งโต๊ะว่าเป็นกบฏ
ตั๋งโต๊ะได้ยินคำเต๊งหงวนแล้วก็โกรธ เพราะคาดไม่ถึงว่าจะมีใครหาญกล้าบังอาจมาคัดค้านความเห็นตน จึงตวาดออกไปว่ากูปรึกษาในเรื่องที่เป็นคุณต่อแผ่นดิน มึงสิกลับคัดค้านไม่เห็นแก่บ้านเมืองและราษฎร กูจะฆ่ามึงเสีย ว่าแล้วก็ชักกระบี่จะเดินเข้าไปหาเต๊งหงวน
ขณะนั้นลิยูที่ปรึกษาเจ้าความคิด อยู่ในเหตุการณ์เห็นลิโป้ทหารเต๊งหงวนยืนเป็นสง่าน่าเกรงขามอยู่ข้างหลังเต๊งหงวน มีรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงสมเป็นทหารเอก ในมือถือทวนในชุดเตรียมออกศึก เกรงว่าตั๋งโต๊ะจะเป็นอันตราย และได้เห็นท่าทีของเหล่าขุนนางเป็นที่พอใจแล้ว จึงลุกขึ้นจากที่เข้าห้ามตั๋งโต๊ะไว้แล้วว่าวันนี้มีงานสโมสรสันนิบาต ชอบที่จะกินโต๊ะเสพสุราให้เป็นที่สุขสบายใยต้องมาวิวาทบาดหมางกันด้วยเล่า มีเรื่องราวอันใดค่อยปรึกษาว่ากล่าวกันในที่ประชุมขุนนางในวันหน้าเถิด
ว่าแล้วก็ขยิบตาให้สัญญาณเป็นความนัยแก่ตั๋งโต๊ะ
ตั๋งโต๊ะเห็นอากัปกิริยาลิยูที่ปรึกษาดั่งนี้ก็รู้ว่ามีนัยยะที่ผิดปกติ มองไปยัง เต๊งหงวนอีกครั้งหนึ่งก็เห็นลิโป้ถือทวนเป็นสง่าราวกับจะออกศึกก็เข้าใจความหมายแห่งสัญญาณของลิยู ทำทีเป็นเกรงใจขุนนางข้าราชการแล้วนั่งลงกับที่ ในขณะเดียวกันนั้นเหล่าขุนนางก็ได้ห้ามเต๊งหงวนซึ่งชักกระบี่คุมเชิงอยู่
เต๊งหงวนไม่พอใจ จึงขึ้นม้าพาลิโป้กลับไป
เต๊งหงวนไปแล้วเหตุการณ์จึงค่อยสงบลง ตั๋งโต๊ะจึงว่าขึ้นอีกว่าความอันเรายกขึ้นปรึกษานี้ท่านทั้งปวงมีความเห็นฉันใด เหล่าขุนนางได้ยินแล้วต่างวางจอกสุราลงกับโต๊ะ แล้วพากันนิ่งเงียบกันต่อไปอีก
ขณะนั้นโลติดขุนนางผู้ใหญ่ อดีตแม่ทัพปราบโจรโพกผ้าเหลือง ซึ่งกลับเข้ารับราชการใหม่หลังจากช่วยเหลือโฮไทเฮาในวันไฟไหม้พระราชวัง ได้ลุกขึ้นแล้วทักท้วงว่า “ท่านปรึกษาข้อราชการนั้นผิดนัก พระเจ้าเลนเต้ผู้เป็นพระราชบิดาเห็นว่าหองจูเปียนมีสติปัญญาแล้วก็เป็นพระราชบุตรเอก จึงให้เสวยราชสมบัติ ตัวท่านเป็นขุนนางหัวเมือง มิได้แจ้งกฎหมายในพระราชฐาน จะมาถอดหองจูเปียนซึ่งมิได้มีความผิดเสียนั้นไม่ชอบ”
ตั๋งโต๊ะได้ฟังก็โกรธนักที่การไม่สมความคิดตัว เพราะขุนนางเฒ่ามาชักใบให้เรือเสีย คัดค้านในท่ามกลางสโมสร จึงถอดกระบี่ออกอีกครั้งหนึ่งจะฟันโลติด ส่วนแพ่เป็ก ขุนนางคนสนิทของพระเจ้าเลนเต้เห็นเหตุการณ์จะบานปลายจึงได้เข้าห้ามไว้ แล้วว่ากับตั๋งโต๊ะว่าโลติดนี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ รับราชการมาถึงสามแผ่นดิน มีน้ำใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน จึงเป็นที่รักและเคารพของเหล่าขุนนางแลราษฎร การที่ท่านจะสังหารโลติดเสีย จะทำให้ขุนนางแลราษฎรเกลียดชังท่านยิ่งนัก
อ้องอุ้นขุนนางผู้ใหญ่อีกคนหนึ่งก็ลุกเข้าไปห้ามตั๋งโต๊ะเช่นเดียวกับแพ่เป็ก แล้วว่าวันนี้พวกเราอยู่ในงานสโมสรหน้าข้าวหน้าเหล้าอยู่ มีราชการสิ่งใดเอาไว้ค่อยปรึกษาในวันหน้าเถิด ตั๋งโต๊ะก็สงบลง เหล่าขุนนางก็พากันร่ำลารีบกลับบ้านตน
ในขณะนั้นลิโป้ซึ่งตามไปส่งเต๊งหงวนกลับบ้านแล้ว ได้ขี่ม้าถือทวนกลับมาที่งานสโมสรเพื่อสังเกตการณ์ ตั๋งโต๊ะเห็นลิโป้อีกครั้งหนึ่งจึงถามลิยูที่ปรึกษาว่านั่นเป็นทหารผู้ใด จึงมีสง่าน่าเกรงขามประดุจดังเสือ
ลิยูเห็นเหตุการณ์เข้าก็เกรงว่าลิโป้จะมาทำอันตรายตั๋งโต๊ะ จึงบอกให้ตั๋งโต๊ะหลบเข้าที่กำบังมิให้ลิโป้เห็น แล้วตอบว่านั่นเป็นลิโป้ทหารเอกของเต๊งหงวน มีกำลังกล้าแข็งนัก ตั๋งโต๊ะจึงถอยหลบฉากเสีย
วันรุ่งขึ้นเต๊งหงวนซึ่งพกความแค้นอยู่เต็มอก จึงนำลิโป้พร้อมทหารมาหน้าค่ายของตั๋งโต๊ะนอกกำแพงพระนครท้ารบกับตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะทราบรายงานแล้วจึงคุมทหารออกจากค่ายจะรบด้วยเต๊งหงวน
ฝ่ายเต๊งหงวนเห็นตั๋งโต๊ะยกทหารออกมาจึงขับม้าพาลิโป้ออกหน้าทหารแล้วด่าตั๋งโต๊ะว่า “ครั้งก่อนไอ้เหล่าขันทีสิบคนทำการหยาบช้า ให้ได้รับความเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน จนเกิดอันตรายขึ้น บ้านเมืองเพิ่งจะสงบ แลตัวเป็นแต่ขุนนางหัวเมือง ยังมิได้มีความชอบประการใด มาตั้งตัวเป็นผู้ใหญ่คิดบังอาจจะถอดหองจูเปียนเสีย จะให้แผ่นดินเกิดจลาจลเหมือนครั้งสิบขันทีนั้นหรือ”
ตั๋งโต๊ะยังไม่ทันตอบประการใด ลิโป้ก็ขับม้าร่ายทวนฝ่าทหารของตั๋งโต๊ะเข้ามาสังหารทหารของตั๋งโต๊ะเสียหลายคน เต๊งหงวนเห็นเป็นทีจึงสั่งทหารรุกเข้าตีกองทหารตั๋งโต๊ะ
ตั๋งโต๊ะเห็นลิโป้แข็งกล้าเด็ดขาดนัก กำลังขับม้าฝ่าทหารเข้ามาใกล้จะถึงตัวทั้งทหารข้างตัวก็แตกชุลมุน จึงชักม้ากลับเข้ามาด้านหลังทหาร แล้วพากันหลบหนี กองทหารของตั๋งโต๊ะจึงแตกพ่ายไป
ตั๋งโต๊ะพาทหารหนีเต๊งหงวน ลิโป้เป็นระยะทางประมาณห้าสิบเส้น เห็น เต๊งหงวน ลิโป้ มิได้ตามมาแล้วจึงได้ให้ตั้งค่ายมั่นไว้ แล้วจึงให้เชิญลิยูที่ปรึกษาและทหารคนสำคัญมาปรึกษาแล้วว่าเราทำการศึกมามากต่อมากแล้ว ไม่เคยเห็นทหารคนใดองอาจสง่าเข้มแข็ง มีความกล้าหาญเหมือนลิโป้เลย หากได้ตัวลิโป้มาทำการด้วยแล้ว จะไม่มีใครในแผ่นดินนี้ต้านรับเราได้อีก ทำอย่างไรจึงจะได้ตัวลิโป้มา
นายทหารหลายคนเห็นว่าเป็นการยาก เพราะลิโป้เป็นบุตรบุญธรรมของ เต๊งหงวน และเต๊งหงวนก็รักใคร่บำรุงถึงขนาด แต่ลิซกนายทหารอีกคนหนึ่งกล่าวว่า ลิโป้นั้นองอาจกล้าหาญเป็นสง่าก็จริง แต่เป็นคนหยาบช้า ละโมบในทรัพย์สิน ไม่รู้จักบุญคุณคน ที่กล่าวทั้งนี้เพราะรู้จักลิโป้เป็นอย่างดี เนื่องจากคบหากันมาตั้งแต่เด็ก หากตั๋งโต๊ะอยากได้ตัวลิโป้จริงแล้ว ยอมให้ราคาถึงขนาด คนแบบลิโป้ก็พร้อมที่จะขายตัวและจะขออาสาไปเกลี้ยกล่อมซื้อตัวลิโป้เอง
ตั๋งโต๊ะดีใจเป็นอันมาก ถามว่าจะซื้อลิโป้ด้วยราคาอย่างไร ลิซกจึงตอบว่าขอให้ท่านจัดทองคำ อัญมณีมีค่าให้ถึงขนาดพร้อมด้วยม้าเซ็กเทาของท่าน ก็จะได้ตัวลิโป้มาสมดังประสงค์
ตั๋งโต๊ะหันไปถามลิยูที่ปรึกษาว่าแผนการของลิซกจะสำเร็จได้หรือไม่ ลิยูจึงว่าท่านจะทำการใหญ่เสียดายอะไรกับข้าวของเงินทองและม้าตัวหนึ่ง การสมประสงค์แล้วทั้งเงินทองและม้านี้ก็จะได้กลับคืนมา การอันปรารถนาก็จะสำเร็จดังประสงค์ ให้เร่งจัดการตามคำของลิซกเถิด
ลิซกรับข้าวของเงินทองและม้าเซ็กเทาจากตั๋งโต๊ะแล้ว ค่ำลงก็ออกไปยังค่ายเต๊งหงวน ทหารลาดตระเวนเห็นคนมาผิดสังเกตก็เข้ากุมเอาตัวลิซกกับม้าไว้ ลิซกว่ากล่าวกับทหารลาดตระเวนนั้นว่าเราเป็นเพื่อนกับลิโป้นายท่าน มีราชการสำคัญจึงมาเยี่ยมคารวะ ขอให้พาเราไปพบลิโป้คงจะได้ความชอบ
ลิโป้ทราบว่าลิซกมาหาก็มีใจยินดี รับเข้าไปสนทนาภายในค่าย ทักทายตามประสาเพื่อนเก่าแล้ว ลิซกจึงว่าท่านภักดีต่อแผ่นดินและเข้มแข็งหาญกล้าหาใครเปรียบมิได้ จักเป็นใหญ่ในวันข้างหน้าเพื่อสนับสนุนให้ท่านก้าวหน้าในทางราชการ จึงขอนำม้าเซ็กเทาซึ่งเป็นม้าชั้นดีวิ่งได้เร็วดุจพายุ วิ่งได้ไกลถึงวันละหมื่นเส้น สามารถวิ่งบนภูเขาได้เสมอที่ราบ มากำนัลไว้แก่ท่าน แล้วจึงชวนลิโป้ออกไปดูม้าเซ็กเทาที่นอกค่ายพัก
ลิโป้เห็นม้าเซ็กเทาพิเคราะห์ดูแล้ว “เห็นขนนั้นแดงดังถ่านเพลิง ทั่วทั้งตัวมิได้สีสีใดแกม สูงสี่ศอกเศษได้ลักษณะเป็นม้าศึก เข้มแข็งกล้าหาญ” จึงมีความยินดีนักแล้วว่าเราเป็นทหารไม่มีสิ่งใดมีค่าต่อตัวเราเท่ากับม้าเซ็กเทานี้ ท่านนำของกำนัลล้ำค่านี้มอบแก่เรา มีสิ่งใดที่เราจะตอบแทนได้พอกันเล่า
ลิซกจึงว่าไม่ปรารถนาสิ่งใดนอกจากหวังให้เพื่อนเป็นใหญ่ในทางราชการ ว่าแล้วขอเยี่ยมคารวะบิดาของลิโป้
ลิโป้ฟังลิซกเห็นประหลาดนัก จึงขับทหารออกไปให้ห่างเสียงยิน แล้วว่าท่านกับเราคบหากันมาแต่น้อย รู้ดีว่าบิดาเราหาชีวิตไม่แล้ว เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้ ลิซกจึงว่าก็เต๊งหงวนบิดาบุญธรรมนั่นเป็นไร มิใช่บิดาหรือ ลิโป้จึงว่าเต๊งหงวนเป็นขุนนางผู้น้อย เราอยู่ด้วยความจำใจ ไม่เห็นทางก้าวหน้าใด ๆ ในทางราชการ
ลิซกได้ทีจึงว่าเป็นชายชาติอาชาไนย หวังอาสาการใหญ่ของแผ่นดิน จะจำใจอยู่ไปทำไมกัน “ธรรมดานกย่อมอาศัยป่าที่มีผลไม้มากจึงเป็นสุข ประเพณีขุนนางทำราชการ ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรมแล้วก็มีความสุข ซึ่งท่านว่าจำใจอยู่ด้วยเต๊งหงวนนั้นจะเอาประโยชน์อันใด ภายหน้าไปเห็นจะมีอันตราย จงผ่อนผันหาที่อยู่ให้เป็นสุขดีกว่า”
ลิโป้ฟังลิซกแล้วก็เข้าใจความหมาย ถามว่าท่านอยู่เมืองหลวงพอที่จะช่วยเหลือแนะนำผู้ที่เป็นใหญ่มีอาญาสิทธิ์ให้เราอยู่ด้วยได้บ้างหรือไม่ การเข้าทางแล้วลิซกจึงว่าแผ่นดินบัดนี้หามีผู้ใดมีอำนาจอาญาสิทธิ์เหมือนตั๋งโต๊ะไม่ ตั๋งโต๊ะนั้นน้ำใจโอบอ้อมอารีรักทหาร เราเป็นขุนนางผู้น้อยฝีมือไม่เสมอท่านยังได้รับเมตตาอารีจากตั๋งโต๊ะเพียงนี้ หากท่านไปอยู่ด้วยแล้วจะได้รับความเมตตาอารีสักเพียงไหน
ว่าแล้วลิซกจึงได้นำทองคำและอัญมณีออกมากองไว้เบื้องหน้าแล้วว่าตั๋งโต๊ะนิยมในตัวท่าน วานเราให้เอาม้าเซ็กเทาและของเหล่านี้มามอบเป็นกำนัลเครื่องระลึกถึงฝากไมตรีไว้กับท่าน วันใดที่ท่านไปอยู่ด้วยตั๋งโต๊ะแล้ว อำนาจวาสนาและทรัพย์สมบัติจะมีแก่ท่านประมาณมิได้
ลิโป้ฟังคำลิซกและเห็นทองคำกับอัญมณีแล้ว จิตก็ลุแก่ความโลภล้นทะลักออกมาละล่ำละลักว่าตั๋งโต๊ะมีใจรักเมตตาเราถึงเพียงนี้ เราจะเอาสิ่งใดตอบแทนได้เล่า ลิซกจึงว่าในโลกนี้จะมีสิ่งใดเป็นของขวัญล้ำค่าแก่ตั๋งโต๊ะเสมอด้วยศีรษะเต๊งหงวนเป็นไม่มีแล้ว เกรงแต่ท่านจะไม่กล้าตัดสินใจ
ลิโป้ยิ่งฟังยิ่งเห็นประโยชน์ใหญ่แก่ตัวมากกว่าประโยชน์ที่จะได้จากข้างเต๊งหงวน ความละโมบโลภมากถึงขีดสุดก็ตัดสินใจขายตัวให้กับตั๋งโต๊ะ บอกลิซกว่าท่านกลับไปก่อนเถิด พรุ่งนี้เราจะเอาศีรษะเต๊งหงวนเป็นของกำนัลไปคารวะขออยู่ทำการด้วยตั๋งโต๊ะ
ลิซกไปแล้ว ลิโป้จึงถือกระบี่เดินเข้าไปหาเต๊งหงวนถึงที่พัก สังหารเต๊งหงวนบิดาบุญธรรมผู้มีคุณแก่ตนเสีย ตัดศีรษะเต๊งหงวนชูขึ้นแล้วประกาศกับทหารว่าเต๊งหงวนคิดร้ายต่อแผ่นดิน ไม่ยำเกรงกฎหมายบ้านเมือง เราฆ่าเสียแล้ว ใครจะอยู่ด้วยเราก็ให้ตามเรามา ใครจะไม่อยู่ด้วยเราก็ให้รีบกลับไปบ้านเดิม
ทหารเต๊งหงวนกว่าครึ่งไม่เต็มใจอยู่ด้วยลิโป้ อสรพิษร้ายที่สังหารบิดาบุญธรรมอันหาผิดมิได้ จึงพากันกลับบ้านเดิม คงมีทหารอีกบางส่วนเท่านั้นที่มีความโลภในลาภเหมือนกับลิโป้ตัดสินใจติดตามลิโป้ไป
รุ่งเช้าขึ้นลิโป้ขับม้าเซ็กเทาพาทหารที่ติดตามตัวมา นำศีรษะของเต๊งหงวนเข้าไปมอบแก่ตั๋งโต๊ะกราบคารวะ แล้วสาบานอยู่ด้วยตั๋งโต๊ะ
ตั๋งโต๊ะมีความยินดียิ่งนัก ที่เสี้ยนหนามสำคัญถูกกำจัดทั้งยังได้ลิโป้มาทำการด้วย จึงว่า “ตัวเรานี้เหมือนทำนาตกกล้าแล้วฝนแล้ง กล้านั้นใบแดงไป ซึ่งท่านมาหาเราบัดนี้เหมือนฝนตกลงห่าใหญ่ น้ำท่วมเลี้ยงต้นกล้าชุ่มชื้นขึ้น ใบนั้นเขียวสดขึ้น”
ว่าแล้วตั๋งโต๊ะก็ทรุดเข่าลงคำนับลิโป้ ลิโป้เห็นดังนั้นก็ตกใจรีบทรุดตัวลง ประคองตั๋งโต๊ะให้นั่งบนเก้าอี้ แล้วกราบคำนับตั๋งโต๊ะแล้วว่าน้ำใจท่านรักทหาร และมีเมตตาแก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก ข้าพเจ้าจึงขอกราบท่านเป็นบิดาบุญธรรมอยู่ด้วยท่านจนกว่าจะสิ้นชีวิต
ตั๋งโต๊ะเอาใจหลอกใช้ลิโป้ได้สำเร็จ จึงยินดียิ่งนัก สั่งทหารให้เอาเสื้ออย่างดีพร้อมเกราะทองคำเป็นกำนัลรับขวัญลิโป้เป็นบุตรบุญธรรม ทั้งตั๋งโต๊ะ ลิยู และ ลิซก ต่างมีความยินดีชื่นชมยิ่งนัก
ตั๋งโต๊ะได้รับเอางูเห่า อสรพิษร้ายที่ไม่รู้จักบุญคุณคน สังหารได้แม้กระทั่งบิดาบุญธรรมซึ่งมีคุณแก่ตนไว้เป็นบุตรบุญธรรม และให้เป็นทหารองครักษ์อยู่ข้างกาย โดยที่ทั้งตั๋งโต๊ะแลลิยูเหลิงในใจเสียจนลืมไปว่าอันงูเห่าอสรพิษร้ายที่เพิ่งสังหารบิดาบุญธรรมตัวมาหยก ๆ เมื่อมาอยู่ข้างตัวตั๋งโต๊ะ บิดาบุญธรรมคนใหม่แล้ว การข้างหน้าจักเป็นฉันใด นี่แหละที่โบราณว่า “สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง”.