สามก๊ก ฉบับนักบริหาร:บทที่ 21 โจโฉแพ้ศึกเสียเตียนอุย
เมื่อเล่าปี่มาขอพึ่งใบบุญโจโฉ กวนอูเห็นด้วย แต่เตียวหุยคนตรงมิเห็นด้วย มิหนำซ้ำยังด่าทอโจโฉไม่ยั้ง เล่าปี่จึงสอนเตียวหุยว่า ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนซื่อตรง ทนมิได้กับคนกลับกลอกอย่างลิโป้กับโจโฉ ซึ่งข้าก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน แต่คนเราจะยิ่งใหญ่อยู่ในโลกนี้ได้ ต้องรู้จักปรับตัวเอง เมื่อเราคับขันตกอับ ก็ต้องจำยอมน้อมกาย รอคอยโอกาส ไม่ควรแข็งขืนจนหักลง ทำอย่างนี้ถึงจะถูก
ทางด้านโจโฉ บรรดากุนซือแตกความเห็นเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการฆ่าเล่าปี่ มีแต่โจโฉกับกุยแกเห็นว่าเล่าปี่มีภัย เสือตัวนี้ควรถูกฆ่า แต่มิใช่ฆ่าตอนนี้ การตัดสินใจของผู้นำแต่ละครั้ง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของชีวิตคนกับสถานการณ์การเมืองที่ผันแปรไป ถ้าโจโฉตัดสินใจกำจัดเล่าปี่ตอนนั้น ก๊กที่สามก็คงไม่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา
เมื่อได้เล่าปี่เข้ามาอยู่ในก๊วน โจโฉคิดวางแผนยกทัพไปตีเมืองชีจิ๋ว โดยหวังใช้เล่าปี่กับพวกเป็นนอมินีออกศึก ครั้นทหารเอาความมาบอกว่า เตียวสิ้วเจ้าเมืองอ้วนเซียหลานเตียวเจได้ซ่องสุมทหารไว้เป็นจำนวนมาก แถมยังเป็นพันธมิตรต่อท่อคนสำคัญของเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว ในฐานะคนแซ่เล่าคิดค้ำจุนบัลลังก์ให้แก่ราชวงศ์ฮั่นซึ่งสืบราชสันตติวงศ์มาจากคนแซ่เ
ดียวกัน เป้าหมายมุ่งจะยกทัพมาตีเมืองฮูโต๋ แต่โจโฉก็มิกล้าที่จะยกทัพไปตีเมืองอ้วนเซียทันทีด้วยเกรงว่าลิโป้รู้เข้าจะยกทัพมาโ
อบตีด้านหลัง
ซุกฮกกุนซือจึงแนะนำโจโฉว่า ลิโป้เป็นคนโลภกำเริบบ้ายศศักดิ์ แต่หาความคิดบ่มิได้ ขอให้ท่านทำหนังสือรับสั่ง แต่งตั้งลิโป้เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋วอย่างถูกต้องเป็นทางการ แถมตำแหน่งเผ่งตังจงกุ๋น(พระยาปราบโจรตะวันออก) พร้อมกำชับให้ลิโป้สมานฉันท์กับเล่าปี่อย่าได้พยาบาทต่อกัน เพียงแค่นี้ถึงท่านจะยกทัพไปรบกับเมืองอ้วนเซียได้โดยโปร่งใจ เมื่อลิโป้มีใจภักดีต่อท่านก็จะไม่ยกมาตีฮูโต๋
โจโฉเห็นด้วยกับความคิดของซุนฮก เมื่ออุดช่องโหว่ประตูหลังบ้านได้แล้ว โจโฉจึงยกทัพสิบห้าหมื่น แบ่งออกเป็น 3 กองยกไปตั้งค่ายอยู่ข้างแม่น้ำหยกซุย เตียวสิ้วเห็นเหตุการณ์คับขัน จึงปรึกษากาเซี่ยงกุนซือขุนนางผู้แน่นประสบการณ์ กาเซี่ยงแนะนำว่าทัพโจโฉมาครั้งนี้มีทหารเอกฝีมือเอกมาด้วยกันมากคน ถ้าออกรบด้วยเห็นทีจะเสียทีแก่โจโฉ ควรใช้ไม้อ่อนหาทางหย่าศึกด้วยการเจรจา
เตียวสิ้วเห็นชอบด้วย จึงให้กาเซี่ยงไปเจรจาโจโฉเพื่อยอมจำนน เปิดประตูเมืองยอมให้โจโฉเข้าเมืองโดยไม่มีการสู้รบ ถึงหน้าประตูเมือง โจโฉสั่งให้เตียวสิ้วเป็นคนจูงม้าของตนเข้าเมือง สร้างความอัปยศกับความเคียดแค้นชิงชังโจโฉในใจของเตียวสิ้วกับกาเซี่ยงและราษฎรชาวเม
ืองอ้วนเซียโดยถ้วนหน้า
โจโฉชอบคนเก่ง เห็นกาเซี่ยงพูดจาคมคายมีสติปัญญา จึงอยากได้มาเป็นพวกด้วย โจโฉให้ทหารรายล้อมอยู่นอกเมือง พาทหารสนิทไม่กี่คนเข้าเมืองอ้วนเซีย อยู่มาวันหนึ่งโจโฉเสพย์สุราเกิดอารมณ์เปลี่ยว ถามคนสนิทว่าในเมืองนี้มีหญิงรูปงามบ้างหรือไม่ โจอั๋นบิ๋นผู้เป็นหลานจึงบอกว่าเห็นหญิงหนึ่งรูปงามเป็นภรรยาเตียวเจผู้เป็นอาเตียวส
ิ้ว แต่เตียวเจียวตายแล้ว หญิงนี้จึงเป็นม่ายอยู่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นการยืนยันว่า แม้ในยุค 1800 ปีก่อน ธรรมเนียมการส่งอีหนูไปป้อนเจ้าใหญ่นายโตก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
แต่กรณีนี้มิใช่หญิงสาว แต่กลายเป็นหญิงม่ายชื่อเจ๋าซือ ได้เสียกันเพียงคืนเดียวโจโฉหลงเสน่ห์นางหัวปักหัวปำ แถมยังทำคะแนนบอกกับนางว่า เพราะเห็นแก่นาง ถึงได้ไว้ชีวิตเตียวสิ้วและญาติพี่น้องมิได้ฆ่าเสีย นางเจ๋าซือคำนับมหาอุป ราชโจโฉที่ยกโทษให้ บุญคุณหาที่สุดมิได้ แต่การจะค้างแรมกับโจโฉในเมือง จะมีคนครหานินทา เตียวสิ้วรู้เข้าก็จะแหนงใจ
โจโฉจึงว่าเราจะเลี้ยงเจ้าเป็นภรรยาพาไปอยู่เมืองฮูโต๋ วันต่อมา โจโฉจึงพานางเจ๋าซือออกไปอยู่ ณ ค่ายทหารนอกเมือง แล้วสั่งให้ทหารคู่ใจเตียนอุยอยู่รักษาประตูค่าย อย่าให้ผู้ใดเข้าออกได้ โจโฉหลงนางเจ๋าซือขลุกอยู่ในที่พักมิได้ออกว่าราชการ และมิได้คิดที่จะยกกลับเมืองฮูโต๋
เตียวสิ้วกับกาเซี่ยงคอยทีหาโอกาสอยู่แล้ว พอโจโฉเผลอตัวมัวระเริงโลกีย์ นำทหารเข้าแทรกอยู่กับกองทหารโจโฉทั้งสี่ด้าน อ้างเหตุผลว่าหลังเสียเมืองทหารหนีทัพมาก แผนการจับตัวโจโฉจึงก่อตัวขึ้น มอมสุราเตียนอุยและให้เฮาเฉียทหารเอกเตียวสิ้ว ขโมยทวนอาวุธคู่มือเตียนอุยทั้งสองเล่มไปซ่อนไว้
ครั้นได้เวลาทหารเมืองอ้วนเซียก็ส่งสัญญาณ บุกตะลุยฆ่าทหารโจโฉล้มตาย พร้อมกับเผาค่ายโจโฉไฟลุกแดงฉานไปทั่ว โจโฉตกใจเรียกหาเตียนอุย เตียนอุยตกใจตื่นยังมิทันใส่เกราะ ควานหาทวนคู่มือก็ไม่พบ เตียนอุยจึงไปฉวยดาบทหารเลวไล่ฆ่าฟันทหารเตียวสิ้วตายกว่ายี่สิบห้าคนจนดาบหักก่อนที
่จะถูกทหารเตียวสิ้วกลุ้มรุมฟันแทงบาดเจ็บทั่วกาย
เตียนอุยหมดอาวุธแต่ก็คว้าเอาศพข้างละมือกวัดแกว่งฟาดทหารเตียวสิ้วตายไปอีกร่วมสิบค
น ก่อนจะถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์หลายดอกตัวพรุน ถูกทหารทั้งกองรุมเอาทวนแทงจนเตียนอุยรากโลหิตซวนไปพิงประตูค่ายอยู่จนสิ้นใจ ทหารเตียวสิ้วมิทันรู้ว่าเตียนอุยตาย ต่างก็ยังขยาดฝีมือมิกล้าเข้าไปใกล้ศพ
ขณะที่เตียนอุยสู้รบจนตายไปนั้น กองทหารโจโฉแตกหนีกระจัดกระจาย โจโฉขึ้นม้าพาลูกชายโจงั่งกับโจอั๋นบิ๋นหลานชายกับทหารประมาณสิบคนหนีออกทางหลังค่าย
ได้ บ้างก็หนีข้ามแม่น้ำหยกซุย โจงั่งกับโจอั๋นบิ๋นถูกเกาทัณฑ์ยิงจนเสียชีวิตทั้งคู่ การศึกครั้งนี้จึงเป็นการสูญเสียของโจโฉมากที่สุด ด้วยวันใดที่โจโฉเป็นใหญ่ได้ในแผ่นดิน โจงั่งคือองค์รัชทายาทที่จะได้สืบอำนาจแลสกุล
แต่ในยามอับจนโจโฉยังมีบุญอยู่ท่ามกลางความลำบาก มีนายทหารฝีมือดีที่เปี่ยมด้วยวินัยชื่ออิกิ๋ม เมื่อกองทหารของเตียวสิ้วลอบโจมตีทหารโจโฉจนแตกกระจาย แต่กองกำลังของอิกิ๋มยังคงปักหลักตั้งค่ายอยู่อย่างมั่นคง เห็นทหารของแฮหัวตุ้นขาดวินัยทำร้ายตีชิงข้าวของราษฎร อิกิ๋มจึงปฏิบัติตามวินัยทัพอย่างเคร่งครัดเข้าห้ามปราม เมื่อทหารไม่เชื่อฟังจึงมีคำสั่งให้ฆ่าฟันทหารแฮหัวตุ้นล้มตายไปเป็นอันมาก
แฮหัวตุ้นถือว่าเส้นใหญ่ นำพาเคาทู ลิเตียน งักจิ้น กลุ่มนายทหารไปฟ้องโจโฉว่า อิกิ๋มคิดเอาใจออกห่างไล่ฆ่าฟันทหารพวกเดียวกัน โจโฉตกใจจึงสั่งให้ทหารเตรียมรับอิกิ๋ม ต่อเมื่อรู้ว่าอิกิ๋มหาได้เป็นกบฏไม่ แต่คุมทหารสู้รบกับเตียวสิ้วอย่างไม่ลดละจนถอยร่นมาถึงฝั่งแม่น้ำหยกซุย โจโฉถือโอกาสยกกองทหารที่เหลืออยู่รุมตีกองทหารเตียวสิ้นจนแตกพ่าย เตลิดหนีไปอยู่กับเล่าเปียวที่เมืองเกงจิ๋ว
โจโฉแกล้งสอบสวนอิกิ๋มตอนมารายงานตัวเมื่อขับไล่เตียวสิ้วได้แล้ว อิกิ๋มให้คำตอบอย่างชายชาติทหารนักรบ ท่ามกลางการศึกต้องสู้รบเอาชนะศัตรูไว้ก่อน เรื่องรายงานเอาใจเจ้านายเก็บไว้ทีหลัง แม้จะเสี่ยงต่อความริษยาของผู้อื่นก็ตาม โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงสรรเสริญอิกิ๋มว่า ในท่ามกลางความวุ่นวาย ท่านยังนึกถึงวินัยทหาร ทั้งช่วยขจัดทัพ พลิกแพ้เป็นชนะ ในอดีตขุนพลก็ไม่อาจจะเทียบเคียงท่านได้ แล้วมอบเครื่องทองแก่อิกิ๋มสำรับหนึ่งเป็นบำเหน็จ ตั้งอิกิ๋มให้เป็นเอกสิ้วเดงเฮา(พระยาอายุยืน)
โจโฉแตกทัพครั้งนี้เสียหายหนัก แม้แต่ชีวิตตัวเองยังเกือบเอาไม่รอด เมื่อรู้ข่าวเตียนอุยตายโจโฉร้องไห้อาลัยรักเตียนอุยต่อหน้าทหารทั้งปวง ให้แต่งโต๊ะรินสุราเซ่นไหว้เตียนอุย แล้วรำพันว่าลูกหัวปีของกูตาย กูยังไม่เสียดายและเสียใจเหมือนเสียเตียนอุย ทหารทั้งหลายเห็นโจโฉรักทหารยิ่งกว่าลูกตัว ก็ยิ่งมีใจภักดีต่อโจโฉมากยิ่งขึ้น พลอยร้องไห้ตามโจโฉไปด้วย เมื่อโจโฉค่อยคลายทุกข์โศก จึงยกทหารกลับเมืองหลวงฮูโต๋อย่างผู้แพ้
ทางด้านโจโฉ บรรดากุนซือแตกความเห็นเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการฆ่าเล่าปี่ มีแต่โจโฉกับกุยแกเห็นว่าเล่าปี่มีภัย เสือตัวนี้ควรถูกฆ่า แต่มิใช่ฆ่าตอนนี้ การตัดสินใจของผู้นำแต่ละครั้ง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของชีวิตคนกับสถานการณ์การเมืองที่ผันแปรไป ถ้าโจโฉตัดสินใจกำจัดเล่าปี่ตอนนั้น ก๊กที่สามก็คงไม่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา
เมื่อได้เล่าปี่เข้ามาอยู่ในก๊วน โจโฉคิดวางแผนยกทัพไปตีเมืองชีจิ๋ว โดยหวังใช้เล่าปี่กับพวกเป็นนอมินีออกศึก ครั้นทหารเอาความมาบอกว่า เตียวสิ้วเจ้าเมืองอ้วนเซียหลานเตียวเจได้ซ่องสุมทหารไว้เป็นจำนวนมาก แถมยังเป็นพันธมิตรต่อท่อคนสำคัญของเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว ในฐานะคนแซ่เล่าคิดค้ำจุนบัลลังก์ให้แก่ราชวงศ์ฮั่นซึ่งสืบราชสันตติวงศ์มาจากคนแซ่เ
ดียวกัน เป้าหมายมุ่งจะยกทัพมาตีเมืองฮูโต๋ แต่โจโฉก็มิกล้าที่จะยกทัพไปตีเมืองอ้วนเซียทันทีด้วยเกรงว่าลิโป้รู้เข้าจะยกทัพมาโ
อบตีด้านหลัง
ซุกฮกกุนซือจึงแนะนำโจโฉว่า ลิโป้เป็นคนโลภกำเริบบ้ายศศักดิ์ แต่หาความคิดบ่มิได้ ขอให้ท่านทำหนังสือรับสั่ง แต่งตั้งลิโป้เป็นเจ้าเมืองชีจิ๋วอย่างถูกต้องเป็นทางการ แถมตำแหน่งเผ่งตังจงกุ๋น(พระยาปราบโจรตะวันออก) พร้อมกำชับให้ลิโป้สมานฉันท์กับเล่าปี่อย่าได้พยาบาทต่อกัน เพียงแค่นี้ถึงท่านจะยกทัพไปรบกับเมืองอ้วนเซียได้โดยโปร่งใจ เมื่อลิโป้มีใจภักดีต่อท่านก็จะไม่ยกมาตีฮูโต๋
โจโฉเห็นด้วยกับความคิดของซุนฮก เมื่ออุดช่องโหว่ประตูหลังบ้านได้แล้ว โจโฉจึงยกทัพสิบห้าหมื่น แบ่งออกเป็น 3 กองยกไปตั้งค่ายอยู่ข้างแม่น้ำหยกซุย เตียวสิ้วเห็นเหตุการณ์คับขัน จึงปรึกษากาเซี่ยงกุนซือขุนนางผู้แน่นประสบการณ์ กาเซี่ยงแนะนำว่าทัพโจโฉมาครั้งนี้มีทหารเอกฝีมือเอกมาด้วยกันมากคน ถ้าออกรบด้วยเห็นทีจะเสียทีแก่โจโฉ ควรใช้ไม้อ่อนหาทางหย่าศึกด้วยการเจรจา
เตียวสิ้วเห็นชอบด้วย จึงให้กาเซี่ยงไปเจรจาโจโฉเพื่อยอมจำนน เปิดประตูเมืองยอมให้โจโฉเข้าเมืองโดยไม่มีการสู้รบ ถึงหน้าประตูเมือง โจโฉสั่งให้เตียวสิ้วเป็นคนจูงม้าของตนเข้าเมือง สร้างความอัปยศกับความเคียดแค้นชิงชังโจโฉในใจของเตียวสิ้วกับกาเซี่ยงและราษฎรชาวเม
ืองอ้วนเซียโดยถ้วนหน้า
โจโฉชอบคนเก่ง เห็นกาเซี่ยงพูดจาคมคายมีสติปัญญา จึงอยากได้มาเป็นพวกด้วย โจโฉให้ทหารรายล้อมอยู่นอกเมือง พาทหารสนิทไม่กี่คนเข้าเมืองอ้วนเซีย อยู่มาวันหนึ่งโจโฉเสพย์สุราเกิดอารมณ์เปลี่ยว ถามคนสนิทว่าในเมืองนี้มีหญิงรูปงามบ้างหรือไม่ โจอั๋นบิ๋นผู้เป็นหลานจึงบอกว่าเห็นหญิงหนึ่งรูปงามเป็นภรรยาเตียวเจผู้เป็นอาเตียวส
ิ้ว แต่เตียวเจียวตายแล้ว หญิงนี้จึงเป็นม่ายอยู่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นการยืนยันว่า แม้ในยุค 1800 ปีก่อน ธรรมเนียมการส่งอีหนูไปป้อนเจ้าใหญ่นายโตก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
แต่กรณีนี้มิใช่หญิงสาว แต่กลายเป็นหญิงม่ายชื่อเจ๋าซือ ได้เสียกันเพียงคืนเดียวโจโฉหลงเสน่ห์นางหัวปักหัวปำ แถมยังทำคะแนนบอกกับนางว่า เพราะเห็นแก่นาง ถึงได้ไว้ชีวิตเตียวสิ้วและญาติพี่น้องมิได้ฆ่าเสีย นางเจ๋าซือคำนับมหาอุป ราชโจโฉที่ยกโทษให้ บุญคุณหาที่สุดมิได้ แต่การจะค้างแรมกับโจโฉในเมือง จะมีคนครหานินทา เตียวสิ้วรู้เข้าก็จะแหนงใจ
โจโฉจึงว่าเราจะเลี้ยงเจ้าเป็นภรรยาพาไปอยู่เมืองฮูโต๋ วันต่อมา โจโฉจึงพานางเจ๋าซือออกไปอยู่ ณ ค่ายทหารนอกเมือง แล้วสั่งให้ทหารคู่ใจเตียนอุยอยู่รักษาประตูค่าย อย่าให้ผู้ใดเข้าออกได้ โจโฉหลงนางเจ๋าซือขลุกอยู่ในที่พักมิได้ออกว่าราชการ และมิได้คิดที่จะยกกลับเมืองฮูโต๋
เตียวสิ้วกับกาเซี่ยงคอยทีหาโอกาสอยู่แล้ว พอโจโฉเผลอตัวมัวระเริงโลกีย์ นำทหารเข้าแทรกอยู่กับกองทหารโจโฉทั้งสี่ด้าน อ้างเหตุผลว่าหลังเสียเมืองทหารหนีทัพมาก แผนการจับตัวโจโฉจึงก่อตัวขึ้น มอมสุราเตียนอุยและให้เฮาเฉียทหารเอกเตียวสิ้ว ขโมยทวนอาวุธคู่มือเตียนอุยทั้งสองเล่มไปซ่อนไว้
ครั้นได้เวลาทหารเมืองอ้วนเซียก็ส่งสัญญาณ บุกตะลุยฆ่าทหารโจโฉล้มตาย พร้อมกับเผาค่ายโจโฉไฟลุกแดงฉานไปทั่ว โจโฉตกใจเรียกหาเตียนอุย เตียนอุยตกใจตื่นยังมิทันใส่เกราะ ควานหาทวนคู่มือก็ไม่พบ เตียนอุยจึงไปฉวยดาบทหารเลวไล่ฆ่าฟันทหารเตียวสิ้วตายกว่ายี่สิบห้าคนจนดาบหักก่อนที
่จะถูกทหารเตียวสิ้วกลุ้มรุมฟันแทงบาดเจ็บทั่วกาย
เตียนอุยหมดอาวุธแต่ก็คว้าเอาศพข้างละมือกวัดแกว่งฟาดทหารเตียวสิ้วตายไปอีกร่วมสิบค
น ก่อนจะถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์หลายดอกตัวพรุน ถูกทหารทั้งกองรุมเอาทวนแทงจนเตียนอุยรากโลหิตซวนไปพิงประตูค่ายอยู่จนสิ้นใจ ทหารเตียวสิ้วมิทันรู้ว่าเตียนอุยตาย ต่างก็ยังขยาดฝีมือมิกล้าเข้าไปใกล้ศพ
ขณะที่เตียนอุยสู้รบจนตายไปนั้น กองทหารโจโฉแตกหนีกระจัดกระจาย โจโฉขึ้นม้าพาลูกชายโจงั่งกับโจอั๋นบิ๋นหลานชายกับทหารประมาณสิบคนหนีออกทางหลังค่าย
ได้ บ้างก็หนีข้ามแม่น้ำหยกซุย โจงั่งกับโจอั๋นบิ๋นถูกเกาทัณฑ์ยิงจนเสียชีวิตทั้งคู่ การศึกครั้งนี้จึงเป็นการสูญเสียของโจโฉมากที่สุด ด้วยวันใดที่โจโฉเป็นใหญ่ได้ในแผ่นดิน โจงั่งคือองค์รัชทายาทที่จะได้สืบอำนาจแลสกุล
แต่ในยามอับจนโจโฉยังมีบุญอยู่ท่ามกลางความลำบาก มีนายทหารฝีมือดีที่เปี่ยมด้วยวินัยชื่ออิกิ๋ม เมื่อกองทหารของเตียวสิ้วลอบโจมตีทหารโจโฉจนแตกกระจาย แต่กองกำลังของอิกิ๋มยังคงปักหลักตั้งค่ายอยู่อย่างมั่นคง เห็นทหารของแฮหัวตุ้นขาดวินัยทำร้ายตีชิงข้าวของราษฎร อิกิ๋มจึงปฏิบัติตามวินัยทัพอย่างเคร่งครัดเข้าห้ามปราม เมื่อทหารไม่เชื่อฟังจึงมีคำสั่งให้ฆ่าฟันทหารแฮหัวตุ้นล้มตายไปเป็นอันมาก
แฮหัวตุ้นถือว่าเส้นใหญ่ นำพาเคาทู ลิเตียน งักจิ้น กลุ่มนายทหารไปฟ้องโจโฉว่า อิกิ๋มคิดเอาใจออกห่างไล่ฆ่าฟันทหารพวกเดียวกัน โจโฉตกใจจึงสั่งให้ทหารเตรียมรับอิกิ๋ม ต่อเมื่อรู้ว่าอิกิ๋มหาได้เป็นกบฏไม่ แต่คุมทหารสู้รบกับเตียวสิ้วอย่างไม่ลดละจนถอยร่นมาถึงฝั่งแม่น้ำหยกซุย โจโฉถือโอกาสยกกองทหารที่เหลืออยู่รุมตีกองทหารเตียวสิ้นจนแตกพ่าย เตลิดหนีไปอยู่กับเล่าเปียวที่เมืองเกงจิ๋ว
โจโฉแกล้งสอบสวนอิกิ๋มตอนมารายงานตัวเมื่อขับไล่เตียวสิ้วได้แล้ว อิกิ๋มให้คำตอบอย่างชายชาติทหารนักรบ ท่ามกลางการศึกต้องสู้รบเอาชนะศัตรูไว้ก่อน เรื่องรายงานเอาใจเจ้านายเก็บไว้ทีหลัง แม้จะเสี่ยงต่อความริษยาของผู้อื่นก็ตาม โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงสรรเสริญอิกิ๋มว่า ในท่ามกลางความวุ่นวาย ท่านยังนึกถึงวินัยทหาร ทั้งช่วยขจัดทัพ พลิกแพ้เป็นชนะ ในอดีตขุนพลก็ไม่อาจจะเทียบเคียงท่านได้ แล้วมอบเครื่องทองแก่อิกิ๋มสำรับหนึ่งเป็นบำเหน็จ ตั้งอิกิ๋มให้เป็นเอกสิ้วเดงเฮา(พระยาอายุยืน)
โจโฉแตกทัพครั้งนี้เสียหายหนัก แม้แต่ชีวิตตัวเองยังเกือบเอาไม่รอด เมื่อรู้ข่าวเตียนอุยตายโจโฉร้องไห้อาลัยรักเตียนอุยต่อหน้าทหารทั้งปวง ให้แต่งโต๊ะรินสุราเซ่นไหว้เตียนอุย แล้วรำพันว่าลูกหัวปีของกูตาย กูยังไม่เสียดายและเสียใจเหมือนเสียเตียนอุย ทหารทั้งหลายเห็นโจโฉรักทหารยิ่งกว่าลูกตัว ก็ยิ่งมีใจภักดีต่อโจโฉมากยิ่งขึ้น พลอยร้องไห้ตามโจโฉไปด้วย เมื่อโจโฉค่อยคลายทุกข์โศก จึงยกทหารกลับเมืองหลวงฮูโต๋อย่างผู้แพ้