ตอนที่ 21. ตั๋งโต๊ะแผ่อำนาจ

ตั๋งโต๊ะคนถ่อยชั่วช้าในประวัติศาสตร์ของจีนคิดอ่านจะถอดหองจูเปียนผู้พี่ออกจากตำแหน่งฮ่องเต้ แล้วจะตั้งหองจูเหียบผู้น้องขึ้นเป็นฮ่องเต้แทน สามก๊กทุกฉบับว่าตรงกันว่าเป็นเพราะตั๋งโต๊ะประทับใจหองจูเหียบ ที่มีสติปัญญาพูดจาหลักแหลมตั้งแต่ครั้งแรกพบ

            แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ประกอบเข้ากับวัตถุประสงค์หลักในการเคลื่อนทัพเข้าเมืองหลวงภายใต้บัลลังก์มังกรของตั๋งโต๊ะแล้ว เหตุผลที่ว่ามาจึงมีฐานะเป็นเพียงเปลือกนอกที่ห่อหุ้มแก่นแท้ไว้เท่านั้น

            แก่นแท้ของเรื่องคือผลประโยชน์ในทางการเมือง เพราะประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่าหากหองจูเปียนครองราชบัลลังก์ต่อไป อำนาจรัฐย่อมตกอยู่ที่โฮไทเฮาพระราชมารดา ดีร้ายก็อาจโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ขุนนางในเมืองหลวงคนใดคนหนึ่งขึ้นเป็นที่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน

            หากวันนั้นมาถึงก็ย่อมมีรับสั่งให้ตั๋งโต๊ะเคลื่อนทัพกลับเมืองซีหลง เพราะเหตุการณ์จลาจลวุ่นวายในพระนครได้สงบลงแล้ว ไม่มีเหตุผลใดที่กองทัพของตั๋งโต๊ะจะตั้งอยู่นอกกำแพงพระนครอีกต่อไป และถ้าเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นย่อมทำให้การเคลื่อนทัพเข้าเมืองหลวงเป็นหมัน ความฝันและโอกาสอันยิ่งใหญ่ ตลอดจนแผนการทั้งปวงที่ดำเนินไปก็จะสลายไปสิ้น

            ในทางตรงกันข้ามหากสามารถถอดหองจูเปียนออกจากราชบัลลังก์แล้วตั้งหองจูเหียบผู้น้องได้สำเร็จ ย่อมตัดรอนอำนาจฝ่ายอื่นให้สิ้นไป อำนาจทั้งปวงย่อมตกอยู่แก่ตั๋งโต๊ะเพราะเป็นผู้สถาปนาฮ่องเต้พระองค์ใหม่สถานหนึ่ง

            ทั้งหองจูเหียบยังทรงพระเยาว์นัก กำพร้าทั้งพ่อและแม่ โอกาสย่อมเปิดช่องให้ตั๋งโต๊ะก้าวสู่ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินโดยสะดวก การยึดอำนาจรัฐภายใต้บัลลังก์มังกรก็จะสำเร็จสมบูรณ์ดังประสงค์อีกสถานหนึ่ง

            นี่จึงเป็นเหตุผลทางการเมืองที่เป็นแก่นแท้ทางความคิดของตั๋งโต๊ะ ภายใต้บทบาทนำแห่งสติปัญญาของลิยู กุนซือเจ้าปัญญาผู้นั้น

            การข้างราชสำนัก เมื่อฮ่องเต้และพระอนุชาเสด็จกลับถึงพระราชวังแล้ว

            โฮไทเฮาก็มีความยินดียิ่งที่ทั้งสองพระองค์ปลอดภัย และการจลาจลวุ่นวายก็ได้สงบลง จึงให้สำนักพระราชวังตรวจตราทรัพย์สินสิ่งของมีค่าในท้องพระคลัง ปรากฏว่าทุกสิ่งยังคงอยู่ครบถ้วน ขาดอยู่แต่ตราพระราชลัญจกร หยกสำหรับองค์พระมหากษัตริย์ได้สูญหายไป พยายามตรวจหาเท่าใดก็ไม่พบ

            การข้างนอกพระราชวัง กองทัพสิบหมื่นของตั๋งโต๊ะซึ่งตั้งประชิดอยู่นอกกำแพงพระนครนั้นถึงแม้ว่าการจลาจลวุ่นวายในพระนครสงบยุติลง และสิบขันทีก็ถูกล้างบางไปแล้ว ก็ยังไม่ยอมถอนทัพกลับเมืองซีหลง และไม่มีทีท่าว่าจะถอนทัพกลับเมืองซีหลงแต่ประการใด

            กระนั้นหามีขุนนางข้าราชการหรือผู้ใดผู้หนึ่งหาญกล้าว่ากล่าวถึงเรื่องนี้ แม้เพียงเอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดยินยอมเอ่ยปาก

            การที่ไม่มีผู้ใดว่ากล่าวทักท้วงหรือกล่าวถึงเรื่องการถอนทัพ ยิ่งทำให้ตั๋งโต๊ะฮึกเหิม เพราะนั่นคือสัญญาณผลการทดสอบทั้งกำลังพลและกำลังขวัญของเหล่าขุนนางข้าราชการที่ประจักษ์ชัดว่าในลกเอี๋ยงราชธานีนี้ ไม่มีขุนนางข้าราชการหรือผู้ใดหาญกล้าท้าทายบารมีของตั๋งโต๊ะแม้แต่สักคนเดียว

            ดังนั้นตั๋งโต๊ะจึงกำเริบเสิบสานมากยิ่งขึ้น ถึงวันฮ่องเต้ออกว่าราชการ ตั๋งโต๊ะซึ่งเป็นเจ้าเมืองบ้านนอก ไม่มีหน้าที่เฝ้าก็ถืออำนาจเข้าเฝ้าถึงในท้องพระโรงตามอำเภอใจ ไม่ยำเกรงกฎหมายลักษณะกบฏศึกที่มีโทษประหารถึงเจ็ดชั่วโคตร ถือดีว่ามีอำนาจทหารอยู่ในมือ อำนาจกฎหมายบ้านเมืองไม่สามารถเอื้อมมาถึงตัวได้ เข้าทำนอง “เมื่อเสียงปืนดังขึ้น เสียงกฎหมายก็ต้องเงียบสงบ” ฉะนั้น

            ก่อนจะเสด็จออก ขุนนางข้าราชการจะต้องพร้อมเข้าประจำที่เฝ้าของตน ตั๋งโต๊ะซึ่งไม่มีที่เฝ้ากลับไปยืนเฝ้าอยู่หน้าบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวง ทั้งมิได้แสดงความคารวะขุนนางผู้ใหญ่ตามธรรมเนียม หนักเข้าก็เอาทหารเอกที่ติดตามมาในกองทัพเข้าไปรักษาการณ์ในท้องพระโรง

            เมื่ออำนาจตั๋งโต๊ะปรากฏขนาดนี้ ขุนนางข้าราชการและพ่อค้าวานิชในเมืองหลวงจึงมาเข้าด้วยเป็นอันมาก แม้นายทหารแลทหารทั้งปวงที่เคยอยู่ในบังคับบัญชาของ

            โฮจิ๋นและโฮเบี้ยว ตลอดจนทหารล้อมวังในบังคับของขันที ตั๋งโต๊ะก็เกลี้ยกล่อมเอาเป็นพวกสิ้น กำลังอำนาจของตั๋งโต๊ะจึงแผ่เข้าครอบคลุมลกเอี๋ยงราชธานี ทั้งในและนอกกำแพงพระนคร

            เมื่อไพร่พลทั้งที่มาในกองทัพและที่มาเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยมีเป็นจำนวนมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในกองทัพและในการดูแลขุนนางข้าราชการ ตลอดจนบรรดาทหารทั้งปวง ก็มากตามไปด้วย ภาระค่าใช้จ่ายได้เพิ่มมากขึ้นทุกทีจนเกินกำลังที่เตรียมมาจากเมืองซีหลง ตั๋งโต๊ะจึงสั่งให้ขุนนางผู้รับผิดชอบพระคลังหลวงเบิกเงินจากท้องพระคลังมาเป็นค่าใช้จ่าย ประหนึ่งว่าค่าใช้จ่ายของตัวเป็นค่าใช้จ่ายของราชสำนักไปด้วย

            ถึงขั้นนี้ยังไม่มีผู้ใดกล้าทักท้วง   ตั๋งโต๊ะจึงให้บรรจุทหารที่ตามมาแต่เมืองซีหลงและพ่อค้าวานิชที่สวามิภักดิ์เป็นขุนนางและข้าราชการของราชสำนัก กินเงินเดือนเบี้ยหวัดของราชสำนักตั้งแต่บัดนั้น

            แต่ความที่ผู้คนที่มาเข้าเป็นพวกด้วยมากขึ้นทุกที หากจะเบิกเงินจากคลังหลวงมาใช้มากเกินไปก็จักเป็นที่ครหา ดังนั้นการแสวงหาเงินนอกระบบจึงเกิดขึ้นโดยอาศัยกำลังอำนาจเป็นตัวกดดันบีบคั้น

            บรรดาขุนนางข้าราชการและพ่อค้าวานิชที่ขี้ขลาดกลัวอำนาจตั๋งโต๊ะก็ต้องนำทรัพย์สินเงินทองมาบริจาค บางพวกบางเหล่าบริจาคเพื่อหวังจะเข้าเป็นพวก เพื่ออาศัยบารมีอิทธิพลของตั๋งโต๊ะกดขี่ข่มเหงเพื่อนขุนนางข้าราชการด้วยกัน บางพวกก็บริจาคเพื่อหวังได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง โดยไม่ต้องคำนึงถึงความดีความชอบในการทำหน้าที่ราชการกันอีกต่อไป บ้างก็บริจาคเพื่อจะได้อภิสิทธิ์ในการค้าขายทั้งส่วนที่ชอบด้วยกฎหมายและส่วนที่ผิดกฎหมาย รวมถึงการบริจาคเพื่อการเปิดบ่อนการพนันรวมทั้งการค้าของเถื่อนนานาชนิด

            บรรดาผู้มีอิทธิพลทั้งในเมืองหลวงและต่างเมือง ต่างได้พากันเข้าสวามิภักดิ์ต่อตั๋งโต๊ะสิ้น คนเหล่านี้ยินยอมพร้อมใจจ่ายค่าส่วยสินบนให้กับตั๋งโต๊ะอย่างเต็มที่ แต่ค่าส่วยสินบนที่ต้องจ่ายไปนั้นหากจะเทียบกับผลประโยชน์ที่ได้จากการกระทำอันไม่ชอบด้วยกฎหมายและศีลธรรม ย่อมห่างไกลกันนัก ค่าส่วยสินบนชนิดนี้ยิ่งมีมากขึ้นเท่าใด ความเดือดร้อนทุกข์เข็ญที่เกิดขึ้นแก่อาณาประชาราษฎร์จากการกระทำย่ำยีของบรรดาผู้มีอิทธิพลเหล่านั้นยิ่งมีมากกว่าหลายเท่านัก

            เมื่อบารมีและพรรคพวกของตั๋งโต๊ะในเมืองหลวงมากขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งเช่นนี้ ส่วนราชการทุกส่วนจึงตกอยู่ในอำนาจตั๋งโต๊ะสิ้น หน่วยราชการบางหน่วยแม้ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงก็ไม่มีผู้ใดหาญกล้าไม่คล้อยตามความต้องการของตั๋งโต๊ะและพวกได้

            ดังนั้นตั๋งโต๊ะจึงได้วางคนของตนเองลงในตำแหน่งขุนนางข้าราชการแทบทุกหน่วย ทำให้บรรดาขุนนางข้าราชการที่หวังได้เลื่อนยศชั้นตำแหน่งงาน แต่ไม่มีโอกาสได้บำเหน็จความชอบตามปกติ จึงต้องพากันวิ่งเข้าหาตั๋งโต๊ะและพรรคพวกกันจ้าละหวั่น ทั้งหมดต้องจ่ายเงินค่าตอบแทนในการซื้อหาตำแหน่ง

            เหตุนี้การค้าขายตำแหน่งจึงเกิดขึ้น เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งสิบขันทีเรืองอำนาจ ขุนนางข้าราชการที่ไม่มีเงินซื้อตำแหน่ง หรือไม่มีเงินค่ารักษาเก้าอี้ตำแหน่งก็จะถูกถอด ถูกปลด หรือถูกโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น ราชการบ้านเมืองจึงฟั่นเฟือนไปอีกครั้งหนึ่ง

            เป็นธรรมดาของการปกครองที่ถ้ามีการซื้อขายตำแหน่งกันแล้ว ขุนนางข้าราชการที่สัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ซื่อตรงต่อบทกฎหมายและเห็นแก่ความร่มเย็นเป็นสุขของราษฎรย่อมหมดสิ้นขวัญกำลังใจ ส่วนขุนนางข้าราชการที่ได้ดี มีอำนาจขึ้นจากการซื้อตำแหน่งก็ย่อมขายอำนาจที่ได้มาเพื่อแสวงหาประโยชน์ในลักษณะค้ากำไร

            จึงมีการใช้อำนาจขายผลประโยชน์ของรัฐ ขายความยุติธรรม ขายอภิสิทธิ์ ขายของผิดกฎหมายและขายทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถขายได้ รวมทั้งการขายชาติและขายตัวเอง

            ภายใต้ระบบการค้าตำแหน่งแบบนี้ กฎหมายบ้านเมืองจึงหมดความศักดิ์สิทธิ์ เพราะใช้บังคับกับคนบางพวกที่ไม่ใช่พวกของผู้มีอำนาจเท่านั้น แต่สำหรับผู้มีอำนาจหรือพรรคพวกแล้วกลับมีอภิสิทธิ์อยู่เหนือกฎหมายบ้านเมือง ทำการใดได้ตามอำเภอใจ ไม่ยำเกรงกฎหมายและความรู้สึกนึกคิดของราษฎรอีกต่อไป

            เมื่อระบบบริหารราชการแผ่นดินกลายเป็นแบบการค้าที่ว่านี้ การทุจริต การฉ้อราษฎร์บังหลวงจึงเกิดขึ้นและขยายตัวไปอย่างแพร่หลาย ราษฎรไม่ได้รับความเป็นธรรมในทุก ๆ ทาง ถูกกดขี่ข่มเหงมากขึ้นทุกที ความยากจนข้นแค้นและความเดือดร้อนเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า

            นานวันเข้าทั้งขุนนางข้าราชการและราษฎรที่ไม่มีกินไม่มีใช้ก็ออกปล้นชิงวิ่งราวกันโดยทั่วไป ซ้ำเติมทุกข์ยากแก่บ้านเมืองและราษฎรหนักขึ้นไปอีก  ตั๋งโต๊ะในยามนี้จึงกำเริบใจถึงขนาดขับม้านำทหารเข้าไปเที่ยวเล่นในย่านการค้าในเมืองหลวงตามความพอใจโดยไม่คำนึงว่าใครจะได้รับผลกระทบเดือดร้อนเสียหายแต่อย่างใด

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนนี้ว่าตั๋งโต๊ะและ “พรรคพวกทั้งปวง เก็บเอาทรัพย์สิ่งสินทั้งปวงของอาณาประชาราษฎร์เป็นอันมาก ผู้ใดมิได้ว่ากล่าว”

            “เปาสิ้น”  ขุนนางตงฉินผู้ภักดีต่อแผ่นดินมีน้ำใจสงสารราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนหนัก จึงไปปรึกษากับอ้วนเสี้ยวว่า “ตั๋งโต๊ะนี้นานไปเห็นจะทำการกำเริบขึ้น เราจะคิดล้างมันเสียให้ได้ก่อน”

            อ้วนเสี้ยวขุนนางหน้าโง่ซึ่งเป็นเจ้าความคิดให้เรียกกองทัพหัวเมืองเข้าเมืองหลวง แม้จะโง่บัดซบสักเพียงไหน ครั้นวันนี้ก็ได้แลเห็นโทษภัยจากความคิดโง่ของตัว แต่คิดไม่ออกว่าจะแก้ไขเหตุการณ์อย่างไร จึงบ่ายเบี่ยงเลี่ยงไปเสียดื้อ ๆ ว่า “การแผ่นดินเพิ่งสงบ ครั้นเราจะด่วนทำดังนั้นไม่ควร”

            สิ่งที่ควรในความคิดของอ้วนเสี้ยวหรือจะเป็นว่าต้องรอให้ตั๋งโต๊ะยึดอำนาจรัฐเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเสียก่อนจึงค่อยทำการ ถ้าเช่นนั้นก็ยิ่งเป็นความคิดที่โง่บัดซบขึ้นไปอีก

            เปาสิ้นไม่ละความพยายาม จึงไปหาอ้องอุ้นขุนนางผู้ใหญ่ ปรึกษาเหมือนกับอ้วนเสี้ยวทุกประการ อ้องอุ้นจึงว่า “คิดดังนี้ก็ชอบอยู่แล้ว ของดแต่พอปรึกษากันดูก่อน”

            เปาสิ้นเห็นว่าคำตอบชนิดนี้คือการบ่ายเบี่ยงไม่รับผิดชอบต่อบ้านเมือง ทั้งเห็นว่าขุนนางในเมืองหลวงมีแต่คนขี้ขลาดตาขาว เอาแต่ตัวรอด ไม่เป็นร้อนด้วยแผ่นดินและราษฎร จึงเสียใจนัก คิดการไปข้างไหนก็ตีบตัน เห็นว่าขืนอยู่ในเมืองหลวงต่อไปจักเป็นอันตราย จึงพาทหารในสังกัดของตนหนีออกจากเมืองหลวงไปอยู่ที่ภูเขาไท้ซาน

            กำลังและอำนาจของตั๋งโต๊ะเติบโตขึ้นจนคับลกเอี๋ยงราชธานี จึงพร้อมแล้วที่จะทำการใหญ่ตามความประสงค์ที่เดินทัพเข้าเมืองหลวง แต่ด้วยเหตุที่กำลังอำนาจชนิดนี้เป็นกำลังอำนาจที่อธรรม ศัตรูของตั๋งโต๊ะจึงเกิดขึ้นและขยายตัวไปดาษดื่นทั้งแผ่นดิน ก่อตัวทางความคิดที่จะต้องกำจัดตั๋งโต๊ะให้วอดวายไป

            ชะตากรรมของตั๋งโต๊ะนับแต่นี้ไปจึงถูกสวรรค์สาปส่งให้ไม่มีวันสงบสุขสมดังโองการในพระคัมภีร์อัลกุรอ่านว่าไว้ว่า “สูเจ้าจงลุกขึ้นสู้ชนชั้นปกครองผู้อธรรม” ด้วยประการฉะนี้.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร