ตอนที่ 20. เจาะแผนยึดอำนาจของตั๋งโต๊ะ
การที่อำนาจเป็นที่ใฝ่หาของผู้คนเนื่องเพราะอำนาจนั้นสามารถบันดาลให้เกิดขึ้นทั้งสมบัติและวิบัติ ทั้งความเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมถอย ทั้งศานติและวุ่นวาย และบันดาลได้แม้กระทั่งสงครามหรือสันติภาพ
แต่ตัวอำนาจเองนั้นกลับไม่ใช่ทั้งสมบัติหรือวิบัติ ไม่ใช่ความเจริญรุ่งเรืองหรือเสื่อมทรุด ไม่ใช่ศานติหรือวุ่นวาย และไม่ใช่ทั้งสงครามหรือสันติภาพ ตัวอำนาจจะเป็นประการใดนั้น ขึ้นอยู่กับคน เพราะคนเป็นผู้ใช้อำนาจ และต้องรับผลแห่งอำนาจตลอดจนผลแห่งการใช้อำนาจนั้นด้วย
อำนาจจึงอุปมาด้วยน้ำ น้ำจะมีรูปร่างประการใดย่อมขึ้นอยู่กับภาชนะอันเป็นที่รองรับ อุปมาฉันใดก็อุปไมยฉันนั้น
แต่อำนาจก็หาได้อยู่ประจำที่ไม่ หากเคลื่อนตัวไปอย่างไม่หยุดยั้ง ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดช่วงชิงอำนาจได้ ใช้อำนาจเป็น และเห็นความสำคัญทะนุถนอมไว้ดุจดังดวงใจ
รัฐบาลบางรัฐบาลแม้ว่าช่วงชิงได้มาซึ่งอำนาจแล้ว แต่รักษาไว้ไม่ได้ ใช้อำนาจไม่เป็น อำนาจนั้นก็จะหลุดจากมือไป ในช่วงเวลาอันสั้นบ้าง ยาวบ้าง ย่อมมีปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ แต่วันเวลาที่ครองอำนาจอยู่ในมือจะสั้นยาวประการใด หาได้มีความสำคัญไม่ ความสำคัญอยู่ตรงที่การใช้อำนาจนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนหรือไม่
รัฐบาลบางรัฐบาลชิงอำนาจได้ ใช้อำนาจเป็น และเห็นความสำคัญ ทะนุถนอมไว้ได้ดุจดวงใจ แต่ครั้นถึงเวลาใช้อำนาจแทนที่จะใช้อำนาจนั้นให้เป็นไปเพื่อบ้านเกิดเมืองนอน และอาณาประชาราษฎร กลับใช้อำนาจไปในทางขายชาติ เปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามายึดครองเศรษฐกิจของบ้านเมือง กดขี่ข่มเหงประชาชน
อำนาจและการใช้อำนาจแบบนี้จึงเป็นอำนาจที่แปรสภาพกลายเป็นอำนาจของทรราชย์ อันเป็นที่ประณามหยามเหยียดของผู้คนทั้งแผ่นดิน ประวัติศาสตร์เคยเป็นมาประการใด ปัจจุบันก็ยังเป็นไปประการนั้น
พลันที่สิ้นแผ่นดินเลนเต้ อำนาจรัฐได้เคลื่อนจากมือของสิบขันทีและเกิดสุญญากาศแห่งอำนาจอยู่ระยะหนึ่ง หลังจากโฮจิ๋นและขุนนางได้สถาปนาหองจูเปียน ขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว อำนาจนั้นจึงได้เคลื่อนมาอยู่ในมือของโฮจิ๋น ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
ฐานะของโฮจิ๋นในขณะนั้นสูงส่งยิ่ง ตัวเองเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน คุมกำลังทหารทั้งปวงไว้ในมือสิ้น มีฐานะเป็นลุงของฮ่องเต้ เป็นพี่ชายของไทเฮาและเป็นพี่ใหญ่ของผู้ช่วยผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
ฐานะและอำนาจเช่นนี้จะมีสักกี่คนในโลกที่จะมีโอกาสมีได้ แม้ในสามก๊กซึ่งดำเนินผ่านกาลเวลาร่วมร้อยปี ก็หามีผู้ใดมีฐานะแลอำนาจเสมอด้วยโฮจิ๋นแม้แต่สักคนเดียวไม่
แต่ฐานะและอำนาจเหล่านี้ โฮจิ๋นไม่สามารถรักษาไว้ได้ เพราะใช้อำนาจไม่เป็น อำนาจจึงหลุดลอยไปพร้อมกับศีรษะบนบ่าของตน
ความจริงแล้วโดยฐานะและอำนาจของโฮจิ๋นนั้น สิบขันทีย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ และไม่มีทางที่จะเป็นพิษเป็นภัยอะไรแก่โฮจิ๋นได้ โฮจิ๋นจึงไม่ชอบที่จะยอมตนเข้าเป็นคู่พิพาทกับสิบขันที ทั้งสิบขันที่นั้นก็ได้แสดงท่าทีและเคลื่อนไหวสวามิภักดิ์ต่อตระกูล “โฮ” แล้ว ชอบที่จะสร้างฐานอำนาจของตนให้มั่นคงเข้มแข็งเสียก่อน แม้มีเจตนาที่จะสังหารสิบขันทีเสีย ก็ยังสามารถละไว้ก่อนแล้วจัดการในภายหลัง ก็ไม่เห็นจะมีสิ่งใดเป็นที่เสียหาย
หนทางกำจัดสิบขันทีก็มีอยู่นับพันหมื่นวิธี แต่โฮจิ๋นไม่ทำและทำไม่เป็น กลับไปเลือกเอาแผนการของอ้วนเสี้ยว ให้เรียกกองทัพหัวเมืองเข้าเมืองหลวง เสมอด้วยการขี่ช้างจับตั๊กแตนและถือได้ว่าเป็นแผนการที่โง่และบัดซบที่สุดในประวัติศาสตร์
แม้ตัดสินใจรับเอาแผนที่โง่และบัดซบที่สุดแล้วก็ยังทำไม่เป็น เพราะแทนที่จะรีบดำเนินการให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด และด้วยการปิดลับอย่างเข้มงวด กลับทอดเวลาอ้อยอิ่ง แล้วยังทำการเอิกเกริกให้ฝ่ายปรปักษ์รู้ตัว วางแผนสังหารตัวเสียก่อน
ประมาทถึงเพียงนี้แล้ว มิหนำซ้ำยังประมาทหนักเข้าไปอีก ทั้ง ๆ ที่คิดจะสังหารสิบขันทีและการเอิกเกริกเพียงนี้แล้ว กลับเดินทางเข้าไปถึงถิ่นของสิบขันที ทั้ง ๆ ที่ควรรู้ได้ว่าในเขตพระราชฐานชั้นในนั้นองครักษ์หรือคนช่วยเหลือของตัวเข้าไปไม่ได้
ดังนี้อำนาจในมือของโฮจิ๋นจึงหลุดลอยไปพร้อมกับศีรษะของโฮจิ๋นเอง
ฝ่ายตั๋งโต๊ะนั้นเล่า เฝ้าคอยหาโอกาสยึดอำนาจรัฐมานานแล้ว สบโอกาสได้ก็เพราะแผนการอันโง่และบัดซบของอ้วนเสี้ยวนั้น
ตั๋งโต๊ะเป็นคนหยาบช้ากักขฬะ โทสะก็แรงจัด ลำพังตนมีข้อดีอยู่ประการเดียวเท่านั้นคือมีน้ำใจรักทหาร และรักคนมีฝีมือ ดังนั้นลำพังตัวตั๋งโต๊ะย่อมจะคิดและทำการใหญ่ไม่ได้ แต่จะมองเฉพาะตัวตั๋งโต๊ะก็ไม่ได้ หากต้องมองให้เห็นถึงสิ่งสองสิ่งที่ประกอบกันเข้าแล้วทำให้ตั๋งโต๊ะเรืองอำนาจวาสนาขึ้นมาได้
นั่นคือกำลังทหารยี่สิบหมื่นของตั๋งโต๊ะอย่างหนึ่ง และกุนซือหรือที่ปรึกษาคนสำคัญของตั๋งโต๊ะที่มีนามว่าลิยูอีกอย่างหนึ่ง
สถานการณ์ในยามที่หองจูเปียนเสวยราชย์นั้น ไม่ปรากฏว่ามีเมืองใดหรือขุนนางผู้ใดมีกุนซือ แม้โฮจิ๋นซึ่งครองอำนาจสูงสุดก็หาปรากฏว่ามีกุนซือไม่ มีการสิ่งใดก็สอบถามความคิดเห็นกับคนที่อยู่ใกล้โดยไม่เลือกหน้า เป็นครั้งเป็นคราว บางครั้งก็ปรึกษาเอากับอ้วนเสี้ยวและโจโฉ จึงทำให้การดำเนินงานทางการเมืองของโฮจิ๋นและหัวเมืองต่าง ๆ รวมทั้งขุนศึกทุกผู้คนไร้ทิศทาง ขาดความต่อเนื่องและมีลักษณะเฉพาะหน้าเสียเป็นส่วนใหญ่
กระบวนการเคลื่อนไหวทั้งหลายของตั๋งโต๊ะจึงแยกไม่ออกจากสติปัญญาของกุนซือนามลิยู แต่ทั้งนี้อานุภาพแห่งสติปัญญาของลิยูสามารถแสดงพลานุภาพได้ ก็ด้วยตั๋งโต๊ะมีข้อดีอยู่อีกประการหนึ่งก็คือรู้ตัวเองว่ามีจุดอ่อน ดังนั้นจึงมีความเป็นปกติที่จะไม่คิดพิจารณาเรื่องใดด้วยตนเอง หากจะปรึกษาหารือการต่าง ๆ ด้วยลิยูอยู่เสมอ ดังนั้นสติปัญญาของลิยูจึงมีบทบาทนำและครอบงำกระบวนการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของตั๋งโต๊ะ
คนแบบตั๋งโต๊ะนั้นหากจะเปรียบเหมือนคนตาบอด แต่ย่อมเป็นคนตาบอดที่มีหูตาสว่างด้วยสติปัญญาแห่งลิยูนั้น
การเคลื่อนทัพของตั๋งโต๊ะจากเมืองซีหลงเข้าเมืองหลวงหนึ่ง การปลงทัพกลางทางแล้วขอรับพระบรมราชานุญาตจากฮ่องเต้เสียก่อนหนึ่ง เคลื่อนทัพถึงเมืองหลวงแล้วตั้งทัพนอกกำแพงพระนคร แต่ไม่เรียกร้องให้ส่งสิบขันทีมาสังหารหนึ่ง เห็นเพลิงไหม้ในพระราชวังแล้ว ยังคุมกำลังตั้งมั่นคอยโอกาสจนเหตุการณ์ปกติแล้ว จึงไปรับฮ่องเต้นิวัติกลับพระนครอีกหนึ่ง ทั้งห้าประการนี้มิใช่เหตุการณ์ที่จะมองข้ามไป
สามก๊กฉบับหลักทุกฉบับไม่ได้ให้ความสำคัญในการห้าประการดังกล่าว และข้ามไปอย่างน่าเสียดาย แลเมื่อการทั้งห้าประการนี้เป็นเรื่องสำคัญ จึงควรจะได้หันกลับมามองถึงเบื้องลึกของแผนการดังกล่าวของฝ่ายตั๋งโต๊ะ มิฉะนั้นแล้วสามก๊กฉบับคนขายชาตินี้ก็จะขาดอรรถรสไป และเมื่อมองด้วยพินิจพิเคราะห์โดยควร ก็จะแลเห็นถึงแผนการยึดอำนาจอันแยบยลและอำมหิตของฝ่ายตั๋งโต๊ะที่เกิดแต่สติปัญญาของลิยู
การตัดสินใจเคลื่อนทัพจากเมืองซีหลงเข้าเมืองหลวง ทั้ง ๆ ที่หัวเมืองอื่นไม่ยอมเคลื่อนทัพเพราะเกรงพระราชอาญานั้น นับเป็นการฉวยโอกาสครั้งสำคัญ แต่มีความเสี่ยงภัยอยู่มาก ฝ่ายลิยูย่อมประมาณสถานการณ์ชัดเจนแล้วว่าคุ้มแก่การเสี่ยง และเสี่ยงไปแล้วยังคงกุมสถานการณ์ไม่ให้ตกเป็นฝ่ายถูกกระทำได้
เหตุผลอยู่ตรงที่การอ่านสถานการณ์กระจ่างว่าอำนาจรัฐในขณะนั้นอยู่ในกำมือของโฮจิ๋น ไม่ได้อยู่ที่ฮ่องเต้ เมื่อโฮจิ๋นเป็นผู้ถืออำนาจย่อมเป็นผู้ถือกฎหมายด้วย การดำเนินการตามคำสั่งของโฮจิ๋นผลที่แท้ก็คือดำเนินการตามความเห็นชอบของผู้ถือกฎหมาย ราชภัยย่อมไม่เอื้อมมาเอาโทษแก่ตั๋งโต๊ะได้
หัวเมืองต่าง ๆ อ่านสถานการณ์ไม่กระจ่างจึงไม่กล้าเคลื่อนทัพ โอกาสอันยิ่งใหญ่จึงเป็นของตั๋งโต๊ะแต่เพียงผู้เดียว
ครั้นเดินทัพแล้ว เพื่อให้เกิดความมั่นใจและประกันไม่ให้เกิดความผิดพลาด ลิยูจึงเสนอให้ปลงทัพไว้ก่อน แล้วขอรับพระบรมราชานุญาตเสียอีกชั้นหนึ่ง เพียงเท่านี้ก็ยังแลเห็นถึงความชอบด้วยเหตุและผล แต่ความคิดของลิยูนั้นโหดเหี้ยมอำมหิตกว่าที่คาดคิด เพราะนั่นคือกลศึกชนิดหนึ่งที่ต้องการให้คู่ปรปักษ์ฆ่ากันเองเสียก่อนแล้วค่อยชุบมือเปิบในภายหลัง
เนื่องเพราะการปลงทัพไว้ก่อนย่อมทำให้เวลาเนิ่นไป ส่งผลให้ความขัดแย้งระหว่างสิบขันทีกับโฮจิ๋นขยายตัวและรุนแรงยิ่งขึ้นอย่างหนึ่ง ส่วนการขอรับพระบรม ราชานุญาตจากฮ่องเต้ เนื้อแท้ก็คือการทำให้สิบขันทีได้รู้ว่าโฮจิ๋นสั่งให้ทัพหัวเมืองเข้าเมืองหลวงเพื่อต้องการฆ่าสิบขันทีนั่นเอง เพราะลิยูย่อมทราบดีว่าสิบขันทีใกล้ชิดฮ่องเต้ เมื่อมีหนังสือกราบบังคมทูลถึงฮ่องเต้ ขันทีย่อมจะทราบความนัยทั้งปวงได้ แล้วย่อมหาหนทางสังหารโฮจิ๋นเสีย
เป็นแต่ว่าหนังสือไปถึงมือโฮจิ๋นเสียก่อน และถ้าหากโฮจิ๋นอ่านกลของลิยูออกก็อาจป้องกันแก้ไขสถานการณ์ได้ แต่คนแบบโฮจิ๋นไม่เพียงแต่ไม่รู้กลศึก กลับจัดงานเลี้ยงโต๊ะเชิญขุนนางมาปรึกษาให้เอิกเกริก ทำให้ขันทีรู้ตัวเสียด้วยตนเอง
เมื่อยกทัพถึงเมืองหลวงตั้งอยู่นอกกำแพงพระนครแล้ว ทำเฉยเสียไม่เรียกให้ส่งสิบขันทีออกมาเพื่อสังหารเสียตามภารกิจ เนื้อแท้ก็คือการเร่งสถานการณ์ให้สิบขันทีกับโฮจิ๋นฟาดฟันกันจนบาดเจ็บล้มตายกันเสียก่อน
ครั้นเห็นเพลิงไหม้ขึ้นในพระราชวังแล้วยังคงสงบนิ่งคุมกำลังตั้งมั่น ไม่ติดต่อกับราชสำนักและไม่ให้ความช่วยเหลือใด ๆ ก็คือการดำเนินกลยุทธ์ “นั่งบนภูดูเสือกัดกัน”
หากได้อยู่ร่วมในค่ายของตั๋งโต๊ะก็ย่อมจะเห็นตั๋งโต๊ะแลลิยูกำลังดื่มฉลองกันด้วยความเบิกบานใจยิ่งว่าแผนการที่กำหนดไว้ได้ดำเนินไปเป็นรูปร่างสมความคิดเกือบทุกประการแล้ว
ข่าวการตายของโฮจิ๋นที่ประตูพระตำหนักโฮไทเฮานั้น มีหรือที่จะรอดพ้นสายตาลิยูไปได้ ถึงขั้นนี้ลิยูคงตบโต๊ะดังผางแล้วว่าการครั้งนี้สมความคิดเราแล้ว ตั๋งโต๊ะท่านเตรียมตัวครองอำนาจแทนโฮจิ๋นเถิด
ครั้นขบวนขุนนางราชสำนักพร้อมรถพระที่นั่งอันว่างเปล่าเคลื่อนออกไปนอกพระนคร ลิยูย่อมฟันธงได้แล้วว่าโอกาสทองของการบรรลุแผนโดยสมบูรณ์ที่หายากยิ่งได้มาถึงแล้ว จึงเสนอให้ตั๋งโต๊ะจัดขบวนทัพออกไปรับเสด็จนิวัติกลับพระนคร เพื่อจะได้ถือโอกาสนั้นแทรกแซงกิจการภายในราชสำนัก
อันความพิศวาสแห่งชายหญิงจะยากลำบากอยู่ที่การสำเร็จความปรารถนาในครั้งแรกฉันใด การเข้าแทรกแซงกิจการภายในราชสำนักของตั๋งโต๊ะก็ยากลำบากแต่เพียงครั้งแรกฉันนั้น
กำลังทหารที่กดดันอยู่นอกกำแพงพระนครอยู่ถึงสิบหมื่น เมื่อประกอบเข้ากับการคุมกำลังทหารถึงสามพันอารักขาฮ่องเต้เสด็จนิวัติกลับพระนคร ในขณะที่ขุนนางอื่นไม่มีกำลังทหารเลย จะมีบ้างก็แต่อ้วนเสี้ยวคุมทหารเพียงห้าร้อยคนในขบวนเสด็จ ภาพลักษณ์ที่ปรากฏต่อขุนนางแลราษฎรก็คือตั๋งโต๊ะเป็นพระเอกของเรื่อง เป็นภาพลักษณ์ของผู้จงรักภักดีที่คุ้มครองพิทักษ์ฮ่องเต้กลับพระนครได้สำเร็จ
เป็นภาพของพระเอกที่แลเห็นได้ว่ามีอำนาจเหนือกว่าคนทั้งปวง ดังนั้นโดยวิสัยใจคนที่ข้างไหนใครชนะมีอำนาจแล้วก็จะเข้าด้วยช่วยกระพือ จึงทำให้ขุนนางข้าราชการหันเหเทมาเข้าร่วมด้วยตั๋งโต๊ะมากขึ้นทุกที และมากจนกระทั่งอ้วนเสี้ยว โจโฉ และขุนนางที่เคยเป็นพรรคพวกของโฮจิ๋นกระดิกตัวอะไรไม่ได้
แม้กำลังทหารของโฮจิ๋นเองเมื่อขาดโฮจิ๋นเสียแล้วก็เหมือนเรือขาดหางเสือ จะหวังให้คนในตระกูล “โฮ” เป็นหลักก็สิ้นหวัง เพราะโฮเบี้ยวผู้ช่วยผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ซึ่งมีกำลังทหารอยู่ในมือก็ถูกบินของลูกน้องหน้าโง่ของโฮจิ๋นสังหารเสียแล้ว โฮไทเฮาเล่าก็เป็นอิสตรี ไม่สันทัดและไม่มีอำนาจที่จะสั่งการทางการทหารได้
เหตุนี้กำลังทั้งทหารและขุนนางในพระนครจึงคุมกันไม่ติด ในขณะที่กำลังข้างฝ่ายตั๋งโต๊ะเติบใหญ่เข้มแข็งยิ่งขึ้นทุกที จึงทำให้ดุลอำนาจฝ่ายที่จะต่อต้านอ่อนแอและเคลื่อนไหวใดๆ ไม่ได้ ดังนั้นกำลังที่รุกเพื่อยึดอำนาจรัฐของตั๋งโต๊ะจึงรุกคืบไปอย่างง่ายดาย.
แต่ตัวอำนาจเองนั้นกลับไม่ใช่ทั้งสมบัติหรือวิบัติ ไม่ใช่ความเจริญรุ่งเรืองหรือเสื่อมทรุด ไม่ใช่ศานติหรือวุ่นวาย และไม่ใช่ทั้งสงครามหรือสันติภาพ ตัวอำนาจจะเป็นประการใดนั้น ขึ้นอยู่กับคน เพราะคนเป็นผู้ใช้อำนาจ และต้องรับผลแห่งอำนาจตลอดจนผลแห่งการใช้อำนาจนั้นด้วย
อำนาจจึงอุปมาด้วยน้ำ น้ำจะมีรูปร่างประการใดย่อมขึ้นอยู่กับภาชนะอันเป็นที่รองรับ อุปมาฉันใดก็อุปไมยฉันนั้น
แต่อำนาจก็หาได้อยู่ประจำที่ไม่ หากเคลื่อนตัวไปอย่างไม่หยุดยั้ง ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดช่วงชิงอำนาจได้ ใช้อำนาจเป็น และเห็นความสำคัญทะนุถนอมไว้ดุจดังดวงใจ
รัฐบาลบางรัฐบาลแม้ว่าช่วงชิงได้มาซึ่งอำนาจแล้ว แต่รักษาไว้ไม่ได้ ใช้อำนาจไม่เป็น อำนาจนั้นก็จะหลุดจากมือไป ในช่วงเวลาอันสั้นบ้าง ยาวบ้าง ย่อมมีปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ แต่วันเวลาที่ครองอำนาจอยู่ในมือจะสั้นยาวประการใด หาได้มีความสำคัญไม่ ความสำคัญอยู่ตรงที่การใช้อำนาจนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนหรือไม่
รัฐบาลบางรัฐบาลชิงอำนาจได้ ใช้อำนาจเป็น และเห็นความสำคัญ ทะนุถนอมไว้ได้ดุจดวงใจ แต่ครั้นถึงเวลาใช้อำนาจแทนที่จะใช้อำนาจนั้นให้เป็นไปเพื่อบ้านเกิดเมืองนอน และอาณาประชาราษฎร กลับใช้อำนาจไปในทางขายชาติ เปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามายึดครองเศรษฐกิจของบ้านเมือง กดขี่ข่มเหงประชาชน
อำนาจและการใช้อำนาจแบบนี้จึงเป็นอำนาจที่แปรสภาพกลายเป็นอำนาจของทรราชย์ อันเป็นที่ประณามหยามเหยียดของผู้คนทั้งแผ่นดิน ประวัติศาสตร์เคยเป็นมาประการใด ปัจจุบันก็ยังเป็นไปประการนั้น
พลันที่สิ้นแผ่นดินเลนเต้ อำนาจรัฐได้เคลื่อนจากมือของสิบขันทีและเกิดสุญญากาศแห่งอำนาจอยู่ระยะหนึ่ง หลังจากโฮจิ๋นและขุนนางได้สถาปนาหองจูเปียน ขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว อำนาจนั้นจึงได้เคลื่อนมาอยู่ในมือของโฮจิ๋น ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
ฐานะของโฮจิ๋นในขณะนั้นสูงส่งยิ่ง ตัวเองเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน คุมกำลังทหารทั้งปวงไว้ในมือสิ้น มีฐานะเป็นลุงของฮ่องเต้ เป็นพี่ชายของไทเฮาและเป็นพี่ใหญ่ของผู้ช่วยผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
ฐานะและอำนาจเช่นนี้จะมีสักกี่คนในโลกที่จะมีโอกาสมีได้ แม้ในสามก๊กซึ่งดำเนินผ่านกาลเวลาร่วมร้อยปี ก็หามีผู้ใดมีฐานะแลอำนาจเสมอด้วยโฮจิ๋นแม้แต่สักคนเดียวไม่
แต่ฐานะและอำนาจเหล่านี้ โฮจิ๋นไม่สามารถรักษาไว้ได้ เพราะใช้อำนาจไม่เป็น อำนาจจึงหลุดลอยไปพร้อมกับศีรษะบนบ่าของตน
ความจริงแล้วโดยฐานะและอำนาจของโฮจิ๋นนั้น สิบขันทีย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ และไม่มีทางที่จะเป็นพิษเป็นภัยอะไรแก่โฮจิ๋นได้ โฮจิ๋นจึงไม่ชอบที่จะยอมตนเข้าเป็นคู่พิพาทกับสิบขันที ทั้งสิบขันที่นั้นก็ได้แสดงท่าทีและเคลื่อนไหวสวามิภักดิ์ต่อตระกูล “โฮ” แล้ว ชอบที่จะสร้างฐานอำนาจของตนให้มั่นคงเข้มแข็งเสียก่อน แม้มีเจตนาที่จะสังหารสิบขันทีเสีย ก็ยังสามารถละไว้ก่อนแล้วจัดการในภายหลัง ก็ไม่เห็นจะมีสิ่งใดเป็นที่เสียหาย
หนทางกำจัดสิบขันทีก็มีอยู่นับพันหมื่นวิธี แต่โฮจิ๋นไม่ทำและทำไม่เป็น กลับไปเลือกเอาแผนการของอ้วนเสี้ยว ให้เรียกกองทัพหัวเมืองเข้าเมืองหลวง เสมอด้วยการขี่ช้างจับตั๊กแตนและถือได้ว่าเป็นแผนการที่โง่และบัดซบที่สุดในประวัติศาสตร์
แม้ตัดสินใจรับเอาแผนที่โง่และบัดซบที่สุดแล้วก็ยังทำไม่เป็น เพราะแทนที่จะรีบดำเนินการให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด และด้วยการปิดลับอย่างเข้มงวด กลับทอดเวลาอ้อยอิ่ง แล้วยังทำการเอิกเกริกให้ฝ่ายปรปักษ์รู้ตัว วางแผนสังหารตัวเสียก่อน
ประมาทถึงเพียงนี้แล้ว มิหนำซ้ำยังประมาทหนักเข้าไปอีก ทั้ง ๆ ที่คิดจะสังหารสิบขันทีและการเอิกเกริกเพียงนี้แล้ว กลับเดินทางเข้าไปถึงถิ่นของสิบขันที ทั้ง ๆ ที่ควรรู้ได้ว่าในเขตพระราชฐานชั้นในนั้นองครักษ์หรือคนช่วยเหลือของตัวเข้าไปไม่ได้
ดังนี้อำนาจในมือของโฮจิ๋นจึงหลุดลอยไปพร้อมกับศีรษะของโฮจิ๋นเอง
ฝ่ายตั๋งโต๊ะนั้นเล่า เฝ้าคอยหาโอกาสยึดอำนาจรัฐมานานแล้ว สบโอกาสได้ก็เพราะแผนการอันโง่และบัดซบของอ้วนเสี้ยวนั้น
ตั๋งโต๊ะเป็นคนหยาบช้ากักขฬะ โทสะก็แรงจัด ลำพังตนมีข้อดีอยู่ประการเดียวเท่านั้นคือมีน้ำใจรักทหาร และรักคนมีฝีมือ ดังนั้นลำพังตัวตั๋งโต๊ะย่อมจะคิดและทำการใหญ่ไม่ได้ แต่จะมองเฉพาะตัวตั๋งโต๊ะก็ไม่ได้ หากต้องมองให้เห็นถึงสิ่งสองสิ่งที่ประกอบกันเข้าแล้วทำให้ตั๋งโต๊ะเรืองอำนาจวาสนาขึ้นมาได้
นั่นคือกำลังทหารยี่สิบหมื่นของตั๋งโต๊ะอย่างหนึ่ง และกุนซือหรือที่ปรึกษาคนสำคัญของตั๋งโต๊ะที่มีนามว่าลิยูอีกอย่างหนึ่ง
สถานการณ์ในยามที่หองจูเปียนเสวยราชย์นั้น ไม่ปรากฏว่ามีเมืองใดหรือขุนนางผู้ใดมีกุนซือ แม้โฮจิ๋นซึ่งครองอำนาจสูงสุดก็หาปรากฏว่ามีกุนซือไม่ มีการสิ่งใดก็สอบถามความคิดเห็นกับคนที่อยู่ใกล้โดยไม่เลือกหน้า เป็นครั้งเป็นคราว บางครั้งก็ปรึกษาเอากับอ้วนเสี้ยวและโจโฉ จึงทำให้การดำเนินงานทางการเมืองของโฮจิ๋นและหัวเมืองต่าง ๆ รวมทั้งขุนศึกทุกผู้คนไร้ทิศทาง ขาดความต่อเนื่องและมีลักษณะเฉพาะหน้าเสียเป็นส่วนใหญ่
กระบวนการเคลื่อนไหวทั้งหลายของตั๋งโต๊ะจึงแยกไม่ออกจากสติปัญญาของกุนซือนามลิยู แต่ทั้งนี้อานุภาพแห่งสติปัญญาของลิยูสามารถแสดงพลานุภาพได้ ก็ด้วยตั๋งโต๊ะมีข้อดีอยู่อีกประการหนึ่งก็คือรู้ตัวเองว่ามีจุดอ่อน ดังนั้นจึงมีความเป็นปกติที่จะไม่คิดพิจารณาเรื่องใดด้วยตนเอง หากจะปรึกษาหารือการต่าง ๆ ด้วยลิยูอยู่เสมอ ดังนั้นสติปัญญาของลิยูจึงมีบทบาทนำและครอบงำกระบวนการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของตั๋งโต๊ะ
คนแบบตั๋งโต๊ะนั้นหากจะเปรียบเหมือนคนตาบอด แต่ย่อมเป็นคนตาบอดที่มีหูตาสว่างด้วยสติปัญญาแห่งลิยูนั้น
การเคลื่อนทัพของตั๋งโต๊ะจากเมืองซีหลงเข้าเมืองหลวงหนึ่ง การปลงทัพกลางทางแล้วขอรับพระบรมราชานุญาตจากฮ่องเต้เสียก่อนหนึ่ง เคลื่อนทัพถึงเมืองหลวงแล้วตั้งทัพนอกกำแพงพระนคร แต่ไม่เรียกร้องให้ส่งสิบขันทีมาสังหารหนึ่ง เห็นเพลิงไหม้ในพระราชวังแล้ว ยังคุมกำลังตั้งมั่นคอยโอกาสจนเหตุการณ์ปกติแล้ว จึงไปรับฮ่องเต้นิวัติกลับพระนครอีกหนึ่ง ทั้งห้าประการนี้มิใช่เหตุการณ์ที่จะมองข้ามไป
สามก๊กฉบับหลักทุกฉบับไม่ได้ให้ความสำคัญในการห้าประการดังกล่าว และข้ามไปอย่างน่าเสียดาย แลเมื่อการทั้งห้าประการนี้เป็นเรื่องสำคัญ จึงควรจะได้หันกลับมามองถึงเบื้องลึกของแผนการดังกล่าวของฝ่ายตั๋งโต๊ะ มิฉะนั้นแล้วสามก๊กฉบับคนขายชาตินี้ก็จะขาดอรรถรสไป และเมื่อมองด้วยพินิจพิเคราะห์โดยควร ก็จะแลเห็นถึงแผนการยึดอำนาจอันแยบยลและอำมหิตของฝ่ายตั๋งโต๊ะที่เกิดแต่สติปัญญาของลิยู
การตัดสินใจเคลื่อนทัพจากเมืองซีหลงเข้าเมืองหลวง ทั้ง ๆ ที่หัวเมืองอื่นไม่ยอมเคลื่อนทัพเพราะเกรงพระราชอาญานั้น นับเป็นการฉวยโอกาสครั้งสำคัญ แต่มีความเสี่ยงภัยอยู่มาก ฝ่ายลิยูย่อมประมาณสถานการณ์ชัดเจนแล้วว่าคุ้มแก่การเสี่ยง และเสี่ยงไปแล้วยังคงกุมสถานการณ์ไม่ให้ตกเป็นฝ่ายถูกกระทำได้
เหตุผลอยู่ตรงที่การอ่านสถานการณ์กระจ่างว่าอำนาจรัฐในขณะนั้นอยู่ในกำมือของโฮจิ๋น ไม่ได้อยู่ที่ฮ่องเต้ เมื่อโฮจิ๋นเป็นผู้ถืออำนาจย่อมเป็นผู้ถือกฎหมายด้วย การดำเนินการตามคำสั่งของโฮจิ๋นผลที่แท้ก็คือดำเนินการตามความเห็นชอบของผู้ถือกฎหมาย ราชภัยย่อมไม่เอื้อมมาเอาโทษแก่ตั๋งโต๊ะได้
หัวเมืองต่าง ๆ อ่านสถานการณ์ไม่กระจ่างจึงไม่กล้าเคลื่อนทัพ โอกาสอันยิ่งใหญ่จึงเป็นของตั๋งโต๊ะแต่เพียงผู้เดียว
ครั้นเดินทัพแล้ว เพื่อให้เกิดความมั่นใจและประกันไม่ให้เกิดความผิดพลาด ลิยูจึงเสนอให้ปลงทัพไว้ก่อน แล้วขอรับพระบรมราชานุญาตเสียอีกชั้นหนึ่ง เพียงเท่านี้ก็ยังแลเห็นถึงความชอบด้วยเหตุและผล แต่ความคิดของลิยูนั้นโหดเหี้ยมอำมหิตกว่าที่คาดคิด เพราะนั่นคือกลศึกชนิดหนึ่งที่ต้องการให้คู่ปรปักษ์ฆ่ากันเองเสียก่อนแล้วค่อยชุบมือเปิบในภายหลัง
เนื่องเพราะการปลงทัพไว้ก่อนย่อมทำให้เวลาเนิ่นไป ส่งผลให้ความขัดแย้งระหว่างสิบขันทีกับโฮจิ๋นขยายตัวและรุนแรงยิ่งขึ้นอย่างหนึ่ง ส่วนการขอรับพระบรม ราชานุญาตจากฮ่องเต้ เนื้อแท้ก็คือการทำให้สิบขันทีได้รู้ว่าโฮจิ๋นสั่งให้ทัพหัวเมืองเข้าเมืองหลวงเพื่อต้องการฆ่าสิบขันทีนั่นเอง เพราะลิยูย่อมทราบดีว่าสิบขันทีใกล้ชิดฮ่องเต้ เมื่อมีหนังสือกราบบังคมทูลถึงฮ่องเต้ ขันทีย่อมจะทราบความนัยทั้งปวงได้ แล้วย่อมหาหนทางสังหารโฮจิ๋นเสีย
เป็นแต่ว่าหนังสือไปถึงมือโฮจิ๋นเสียก่อน และถ้าหากโฮจิ๋นอ่านกลของลิยูออกก็อาจป้องกันแก้ไขสถานการณ์ได้ แต่คนแบบโฮจิ๋นไม่เพียงแต่ไม่รู้กลศึก กลับจัดงานเลี้ยงโต๊ะเชิญขุนนางมาปรึกษาให้เอิกเกริก ทำให้ขันทีรู้ตัวเสียด้วยตนเอง
เมื่อยกทัพถึงเมืองหลวงตั้งอยู่นอกกำแพงพระนครแล้ว ทำเฉยเสียไม่เรียกให้ส่งสิบขันทีออกมาเพื่อสังหารเสียตามภารกิจ เนื้อแท้ก็คือการเร่งสถานการณ์ให้สิบขันทีกับโฮจิ๋นฟาดฟันกันจนบาดเจ็บล้มตายกันเสียก่อน
ครั้นเห็นเพลิงไหม้ขึ้นในพระราชวังแล้วยังคงสงบนิ่งคุมกำลังตั้งมั่น ไม่ติดต่อกับราชสำนักและไม่ให้ความช่วยเหลือใด ๆ ก็คือการดำเนินกลยุทธ์ “นั่งบนภูดูเสือกัดกัน”
หากได้อยู่ร่วมในค่ายของตั๋งโต๊ะก็ย่อมจะเห็นตั๋งโต๊ะแลลิยูกำลังดื่มฉลองกันด้วยความเบิกบานใจยิ่งว่าแผนการที่กำหนดไว้ได้ดำเนินไปเป็นรูปร่างสมความคิดเกือบทุกประการแล้ว
ข่าวการตายของโฮจิ๋นที่ประตูพระตำหนักโฮไทเฮานั้น มีหรือที่จะรอดพ้นสายตาลิยูไปได้ ถึงขั้นนี้ลิยูคงตบโต๊ะดังผางแล้วว่าการครั้งนี้สมความคิดเราแล้ว ตั๋งโต๊ะท่านเตรียมตัวครองอำนาจแทนโฮจิ๋นเถิด
ครั้นขบวนขุนนางราชสำนักพร้อมรถพระที่นั่งอันว่างเปล่าเคลื่อนออกไปนอกพระนคร ลิยูย่อมฟันธงได้แล้วว่าโอกาสทองของการบรรลุแผนโดยสมบูรณ์ที่หายากยิ่งได้มาถึงแล้ว จึงเสนอให้ตั๋งโต๊ะจัดขบวนทัพออกไปรับเสด็จนิวัติกลับพระนคร เพื่อจะได้ถือโอกาสนั้นแทรกแซงกิจการภายในราชสำนัก
อันความพิศวาสแห่งชายหญิงจะยากลำบากอยู่ที่การสำเร็จความปรารถนาในครั้งแรกฉันใด การเข้าแทรกแซงกิจการภายในราชสำนักของตั๋งโต๊ะก็ยากลำบากแต่เพียงครั้งแรกฉันนั้น
กำลังทหารที่กดดันอยู่นอกกำแพงพระนครอยู่ถึงสิบหมื่น เมื่อประกอบเข้ากับการคุมกำลังทหารถึงสามพันอารักขาฮ่องเต้เสด็จนิวัติกลับพระนคร ในขณะที่ขุนนางอื่นไม่มีกำลังทหารเลย จะมีบ้างก็แต่อ้วนเสี้ยวคุมทหารเพียงห้าร้อยคนในขบวนเสด็จ ภาพลักษณ์ที่ปรากฏต่อขุนนางแลราษฎรก็คือตั๋งโต๊ะเป็นพระเอกของเรื่อง เป็นภาพลักษณ์ของผู้จงรักภักดีที่คุ้มครองพิทักษ์ฮ่องเต้กลับพระนครได้สำเร็จ
เป็นภาพของพระเอกที่แลเห็นได้ว่ามีอำนาจเหนือกว่าคนทั้งปวง ดังนั้นโดยวิสัยใจคนที่ข้างไหนใครชนะมีอำนาจแล้วก็จะเข้าด้วยช่วยกระพือ จึงทำให้ขุนนางข้าราชการหันเหเทมาเข้าร่วมด้วยตั๋งโต๊ะมากขึ้นทุกที และมากจนกระทั่งอ้วนเสี้ยว โจโฉ และขุนนางที่เคยเป็นพรรคพวกของโฮจิ๋นกระดิกตัวอะไรไม่ได้
แม้กำลังทหารของโฮจิ๋นเองเมื่อขาดโฮจิ๋นเสียแล้วก็เหมือนเรือขาดหางเสือ จะหวังให้คนในตระกูล “โฮ” เป็นหลักก็สิ้นหวัง เพราะโฮเบี้ยวผู้ช่วยผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ซึ่งมีกำลังทหารอยู่ในมือก็ถูกบินของลูกน้องหน้าโง่ของโฮจิ๋นสังหารเสียแล้ว โฮไทเฮาเล่าก็เป็นอิสตรี ไม่สันทัดและไม่มีอำนาจที่จะสั่งการทางการทหารได้
เหตุนี้กำลังทั้งทหารและขุนนางในพระนครจึงคุมกันไม่ติด ในขณะที่กำลังข้างฝ่ายตั๋งโต๊ะเติบใหญ่เข้มแข็งยิ่งขึ้นทุกที จึงทำให้ดุลอำนาจฝ่ายที่จะต่อต้านอ่อนแอและเคลื่อนไหวใดๆ ไม่ได้ ดังนั้นกำลังที่รุกเพื่อยึดอำนาจรัฐของตั๋งโต๊ะจึงรุกคืบไปอย่างง่ายดาย.