ตอนที่ 2. เค้าลางกลียุค

 ยุคสมัยของสามก๊กเกิดขึ้นตั้งแต่ปีพุทธศักราช 722 เป็นต้นมา เป็นเวลาร่วมร้อยปี
             เบื้องหน้าแต่จะเกิดยุคสามก๊ก แผ่นดินจีนได้เกิดกลียุครบราฆ่าฟันกันจนแตกออกเป็น 7 หัวเมือง ทั้ง 7 หัวเมืองนี้บางครั้งก็ผูกมิตรกัน บางครั้งก็ทำสงครามกัน สงครามและสันติภาพเกิดขึ้นสลับกันไป ประวัติศาสตร์จีนได้เรียกขานยุคนี้ว่าเป็นยุค “เลียดก๊ก”รายละเอียดมีปรากฏในวรรณคดีไทยเรื่องเลียดก๊กซึ่งแปลมาจากพงศาวดารเลี๊ยดก๊กของจีนนั้นแล้ว

            จนถึงสมัยหนึ่งแคว้นจิ๋นมีเจ้าผู้ปกครองชื่อว่า “จิ๋นอ๋อง” ได้รวบรวมหัวเมืองทั้ง 7 เข้าเป็นแผ่นดินเดียวกัน สถาปนาราชวงศ์จิ๋นขึ้น ปกครองแผ่นดินจีนแต่นั้นมา

ชื่อประเทศที่ถูกรวมเข้าเป็นหนึ่ง จึงถูกเรียกตามชื่อของแคว้นจิ๋นว่าเป็น “ประเทศจีน” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

            จิ๋นอ๋อง เป็นผู้ใฝ่อำนาจ เห็นว่าคำว่า “อ๋อง” ยังเป็นคำต่ำเสมอเจ้าเมืองธรรมดา ไม่สมกับความชอบของพระองค์ที่สามารถรวบรวมแคว้นทั้งปวงเข้าเป็นแผ่นดินเดียวกันได้ จึงให้ขุนนางทั้งปวงคิดสรรหาสมญานามให้สมกับความชอบของพระองค์

            เป็นธรรมเนียมของขุนนางทุกยุค ทุกสมัยที่มักประจบผู้มีอำนาจ บรรดาขุนนางในยุคนั้นจึงได้คิดค้นสมญานามสำหรับจิ๋นอ๋องว่า “ฮ่องเต้” ซึ่งหมายถึงความเป็นใหญ่ใน 5 ทวีป หรือความยิ่งใหญ่เหนือแผ่นดิน ภูเขา แม่น้ำ ความดี และความชั่ว ซึ่งสมญานามนี้เป็นที่ต้องพระทัยยิ่งนัก ดังนั้นจิ๋นอ๋องจึงได้สถาปนาพระนามาภิไธยของพระองค์ว่า “จิ๋นซีฮ่องเต้”

            ความใฝ่ในอำนาจ และความคิดที่จะเป็นใหญ่ในจักรวาลเป็นแรงวิริยานุภาพภายในตัวของจิ๋นซีฮ่องเต้ ประกอบกับเป็นคนรู้จักใช้คน ดังนั้นคนดีมีฝีมือในแผ่นดินจำนวนมากจึงอาสาเข้ามารับใช้ชาติ แผ่นดินจีนยุคนั้นจึงยิ่งใหญ่เกรียงไกร

            แต่กระนั้นความยิ่งใหญ่ที่มีอยู่ก็ไม่สามารถยับยั้งความแก่เอาไว้ได้ เมื่ออายุล่วงวัยมากเข้า จิ๋นซีฮ่องเต้ก็เกิดความคิดกลัวตาย แต่ไม่อยากตาย ดังนั้นจึงได้พยายามแสวงหายาอายุวัฒนะ

            เมื่อความอยากเกิดขึ้น ความโง่ก็ได้เข้าครอบงำ พวกแพทย์หลวงและแพทย์บ้านตลอดจนนักพรต ต่างได้อาสาทำยาอายุวัฒนะ แต่ในที่สุดก็ไม่ประสบผลสำเร็จ

            ความแก่ยังคงเข้าครอบงำจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่อย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้พระองค์รู้สึกว่าวันเวลาแห่งความตายได้เยื้องกรายเข้ามาเยือนพระองค์ใกล้เข้ามาทุกที ในที่สุดทรงตั้งรางวัลเป็นจำนวนมหาศาลให้แก่ใครก็ตามที่สามารถแสวงหายาอายุวัฒนะมาถวายได้

            รางวัลจำนวนมหาศาลย่อมจูงใจคน ย่อมสามารถทำให้คนแกร่งกล้าไม่กลัวผี ไม่กลัวฟ้า ไม่กลัวดิน ไม่กลัวบาป และไม่กลัวตาย ดังนั้นจึงมีพวกหมอกลุ่มหนึ่งเห็นว่า ขืนอยู่ไปก็อาจเสี่ยงภัยต่อการถูกประหาร จึงอาสาเดินทางทางเรือไปทางด้านตะวันออก เพื่อแสวงหายาอายุวัฒนะ

            หลังจากเดินทางไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย กล่าวกันว่าคณะเดินทางแสวงหายาอายุวัฒนะกลุ่มนี้คือกลุ่มบรรพบุรุษกลุ่มแรกของชนชาติญี่ปุ่น

            เหตุที่ไม่ยอมรับว่าความตายจะมาถึง จิ๋นซีฮ่องเต้จึงไม่ได้เตรียมการใด ๆ เพื่อรับมือกับเหตุการณ์หลังการตายของพระองค์ ดังนั้นเมื่อความตายมาถึงกลียุคจึงเกิดขึ้นในบ้านเมือง

            หลี่ซือขุนนางผู้มีความชอบต่อแผ่นดินและดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีถูกขันทีใช้อำนาจของยุวกษัตริย์ประหารอย่างโหดร้าย นอกจากนั้นขุนนางผู้ภักดีต่อแผ่นดินก็ถูกบีบคั้นและสังหารอย่างโหดร้ายทารุณ ในที่สุดยุวกษัตริย์ผู้เป็นรัชทายาทของจิ๋นซีฮ่องเต้ก็ถูกขันทีสังหาร

            แผ่นดินอันยิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถรักษาไว้ได้ แม้เลือดเนื้อเชื้อไขก็ต้องถูกสังหารอย่างโหดร้าย นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของความประมาทที่อย่าว่าแต่ปุถุชนคนธรรมดาสามัญเลย ต่อให้เป็นฮ่องเต้ มีอำนาจวาสนาทรัพย์สิ่งศฤงคารสักเพียงไหน หากตกอยู่ในความประมาทแล้ว ทุกสิ่งก็จะสูญสิ้นไป

            หลังจากสังหารยุวกษัตริย์แล้ว ขันทีก็ตั้งตนเป็นใหญ่ ใช้อำนาจหยาบช้าต่ออาณาประชาราษฎร จนบ้านเมืองเกิดจลาจลขึ้น สมัยนั้นขุนศึกต่าง ๆ ได้ยกกองทัพเข้าเมืองหลวง ด้านหนึ่งอ้างว่าเพื่อฟื้นฟูพระราชวงศ์ ชูธงแห่งความจงรักภักดีขึ้นเป็นที่รวมใจของขุนนางและอาณาประชาราษฎร ในขณะที่อีกด้านหนึ่งมีวาระซ่อนเร้นอยู่ในใจที่จะยึดอำนาจแผ่นดินเสียเอง

            การรบราฆ่าฟันเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง การจลาจลขยายตัวลุกลามไปทั้งแผ่นดิน กลายเป็นสงครามกลางเมืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

            สมัยนั้นมีผู้ตั้งตนเป็นผู้กู้ชาติหลายกลุ่ม หลายเหล่า แต่หลังจากสงครามผ่านไปนานวันเข้า บางกลุ่มก็สูญสลายไป บางกลุ่มก็ไปร่วมกับอีกกลุ่มหนึ่ง ในที่สุดเหลืออยู่เพียงสองกลุ่ม

            กลุ่มแรกนำโดยฌ้อปาอ๋อง กลุ่มที่สองนำโดยเล่าปัง หรือที่เรียกว่าฮั่นอ๋อง ทั้งสองกลุ่มนี้ทำสงครามแย่งชิงเมืองหลวงกันเป็นเวลายาวนาน เปิดสงครามต่อกันถึง 7 ครั้ง และทั้ง 7 ครั้งนี้ฮั่นอ๋องหรือเล่าปังเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

            แต่เนื่องด้วยเล่าปังเป็นคนมีความเพียรพยายาม มีจิตใจต่อสู้และทรหดอดทน ทั้งพยายามแสวงหาคนดีมีฝีมือมาร่วมงาน ในที่สุดเล่าปังก็ได้ขุนนางสองคนมาทำการด้วย นั่นคือ “ฮั่นสิน” ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญจัดจ้านทางการทหาร และ “เตียวเหลียง” ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญจัดจ้านทางพิชัยสงครามและการปกครอง

            ในสงครามครั้งสุดท้าย ฮั่นอ๋องเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ โดยฌ้อปาอ๋องแตกทัพไปติดอยู่ริมน้ำ และฆ่าตัวตายในที่สุด

            ก่อนพ่ายแพ้ฌ้อปาอ๋องได้เผาเมืองหลวงที่ใหญ่โตอัครฐานจนหมดสิ้น กล่าวกันว่าเพลิงไหม้พระบรมมหาราชวังติดต่อกันเป็นเวลาถึง 7 วัน 7 คืน

            ฮั่นอ๋องหรือเล่าปังได้รับชัยชนะแล้ว จึงได้สถาปนาราชวงศ์ฮั่นขึ้น เหล่าขุนนางได้ถวายพระสมัญญาแก่พระองค์ท่านว่า “พระเจ้าฮั่นโกโจ” จัดเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น

            สงครามและสันติภาพเกิดขึ้นสลับกันไปเช่นนี้ เจ้าพระยาพระคลัง (หน) จึงกล่าวไว้ในสามก๊กด้วยโวหารว่า “เดิมแผ่นดินเมืองจีนทั้งปวงนั้นเป็นสุขมาช้านานแล้วก็เป็นศึก ครั้นศึกสงบแล้วก็เป็นสุข”

            พระเจ้าฮั่นโกโจและพระราชวงศ์ได้ครองราชย์สมบัติต่อ ๆ มา ถึง 12 องค์ ขุนนางชื่อ “อองมัง” จึงชิงราชสมบัติตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าครองแผ่นดินอยู่ถึง 18 ปี ก็มีเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าฮั่นโกโจชื่อ “ฮั่นกองบู๊” ชิงราชสมบัติกลับคืนได้ เสวยราชย์สืบเชื้อพระวงศ์ต่อมาอีก 12 องค์ จึงเป็นอันสิ้นสุดราชวงศ์ฮั่น

            ฮ่องเต้องค์ที่สามก่อนสิ้นราชวงศ์ฮั่นทรงพระนามว่า “ฮั่นเต้” คงจะเป็นหมัน จึงไม่มีพระราชบุตรสืบสันตติวงศ์ แต่แทนที่จะยกเอาเชื้อพระวงศ์ผู้มีสติปัญญาคนหนึ่งคนใดขึ้นเป็นมหาอุปราช เพื่อเตรียมสืบราชวงศ์ต่อไป กลับไปขอลูกชาวบ้านมาเลี้ยง ตั้งเป็นพระราชบุตร แล้วโปรดให้ขันทีเลี้ยงดูมาแต่น้อย ต่อมาทรงสถาปนาเป็นที่รัชทายาท

            ดังนั้นเลนเต้จึงไม่ใช่เชื้อพระราชวงศ์ฮั่น เป็นลูกกาฝาก หากจะกล่าวถึงที่สุดแล้วก็ย่อมกล่าวได้ว่าราชวงศ์ฮั่นได้หมดสิ้นไปตั้งแต่ยุคสมัยของพระเจ้าฮั่นเต้แล้ว ราชบัลลังก์หลังจากนั้นตกได้แก่คนแซ่อื่น

            การกระทำผิดธรรมเนียมประเพณีในการปกครองแผ่นดินของฮั่นเต้ คือเหตุสำคัญที่ทำให้ราชวงศ์ฮั่นดับสูญ และราชบัลลังก์ตกเป็นสิทธิแก่คนอื่น นี่คือทัณฑ์จากสวรรค์ของการที่ทำผิดธรรมเนียมประเพณี ถ้าจะกล่าวโดยสำนวนไทยก็กล่าวได้ว่าเป็นความผิดของ “คนที่เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม”

            เลนเต้ลูกชาวบ้าน เมื่อได้ดิบได้ดีเป็นรัชทายาทก็ถือตัวว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ฮั่นไปด้วย ครั้นได้เสวยราชย์ทรงพระนามว่า “พระเจ้าเลนเต้”

            แต่สันดานชาติเชื้อที่มิใช่เผ่าวงศ์กษัตริย์ และอัธยาศัยที่ถูกสร้างสม มาจากการเลี้ยงดูของขันทียังคงติดตัวมาจึงกำเริบขึ้น สามก๊กได้กล่าวความประพฤติของพระเจ้าเลนเต้ว่า “มิได้ตั้งอยู่ในโบราณราชประเพณี แลมิได้คบหาคนสัตย์ธรรม เชื่อถือแต่คนอันเป็นอาสัตย์ ประพฤติแต่ตามอำเภอใจแห่งพระองค์ เสียราชประเพณีไป”

            เมื่อเลนเต้เสวยราชย์แล้ว ได้อาศัยขุนนางผู้ใหญ่สองคนคอยค้ำจุนราชบัลลังก์ คนหนึ่งชื่อเตาบูเป็นแม่ทัพใหญ่ อีกคนหนึ่งชื่อตันผวนเป็นราชครู สองขุนนางเฒ่ารับราชการในราชวงศ์ฮั่นมาถึงสองแผ่นดิน เห็นความวิปริตผันแปรในบ้านเมืองที่ทำให้ขุนนางข้าราชการแลราษฎรต้องเดือดร้อนหนักว่า เกิดจากขันทีเป็นเหตุ จึงวางแผนร่วมกันเพื่อจะสังหารกลุ่มขันทีชั่วเสีย แต่แผนการรั่วไหลเสียก่อน ดังนั้นทั้งแม่ทัพใหญ่เตาบูและราชครูตันผวนพร้อมด้วยครอบครัวและบริวารจึงกลับเป็นฝ่ายถูกกลุ่มขันทีชั่วสังหารอย่างโหดร้ายและทารุณ

            แต่นั้นมากลุ่มขันทียิ่งกำเริบเสิบสานมากขึ้น เหล่าขุนนางข้าราชการมีความเกรงกลัวอิทธิพลของกลุ่มขันทีชั่วเป็นอันมาก

            ครั้นพระเจ้าเลนเต้เสวยราชย์ได้สิบสองปี ตรงกับพุทธศักราช 722 เดือนสี่ขึ้นสิบห้าค่ำ แต่สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่าเป็นปี พุทธศักราช 710 พระเจ้าเลนเต้ประทับ ณ  พระที่นั่งอุ่นต๊กเตี้ยน เวลาเที่ยงเกิดอาเพศใหญ่ขึ้นในบ้านเมือง เป็นสัญญาณจากสวรรค์ที่บ่งบอกว่า แผ่นดินเกิดกลียุค

            ณ เวลานั้นเพลาเที่ยงเกิดลมพายุหนัก มีงูสีเขียวตัวใหญ่ตกลงมาพันอยู่ที่เท้าพระเก้าอี้ พระเจ้าเลนเต้ตกพระทัย กระทั่งสิ้นพระสติ พักหนึ่งงูใหญ่ก็หายไปแล้วเกิดฟ้าร้องฝนตกห่าใหญ่ ลูกเห็บขนาดใหญ่ตกบ้านเรือนราษฎรพังทะลาย พระตำหนักถูกพายุลูกเห็บพัดพังหลายตำหนัก จนถึงเที่ยงคืนฝนจึงหยุด หลังจากนั้นอีก 4 ปี ณ เดือนยี่ เมืองลกเอี๋ยงซึ่งเป็นเมืองหลวงเกิดแผ่นดินไหว น้ำทะเลเกิดคลื่นใหญ่ท่วมบ้านเมือง และบ้านเรือนราษฎรถูกน้ำพัดพาหายไปเป็นจำนวนมาก

            ไก่ตัวเมียขันได้กลายเป็นไก่ตัวผู้

            ถัดมาในเดือน 6 ขึ้นค่ำหนึ่งเกิดควันเพลิงพุ่งขึ้นไปสูง 20 วา แล้วพุ่งเข้าไปในพระที่นั่งอุ่นต๊กเตี้ยน รุ่งเดือน 7 เกิดรัศมีรุ้งตกในพระบรมมหาราชวัง ภูเขารันซัวแตกทลายลง

            นิมิตเหล่านี้ถ้าว่าตามหลักนิมิตลางของไทยก็กล่าวได้ว่าเป็นทั้งอุบาทว์พระอินทร์และอุบาทว์พระยมเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไป เป็นลางร้ายของแผ่นดินว่าจะเกิดกลียุค

             นิมิตและลางร้ายนี้เคยปรากฏให้เห็น ก่อนสิ้นแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาหลายประการ เช่นมีฟ้าผ่าลงตรงระเบียงพระบรมมหาราชวัง และไฟไหม้ลุกลามไปหลายแห่ง, ฝูงอีกาจับกลุ่มกันจิกตีจนบาดเจ็บล้มตาย, หลวงพ่อมงคลบพิธมีน้ำพระเนตรไหล, อีกาใหญ่บินเอาอกเข้าเสียบกับตรีศูลพระบรมมหาราชวัง, น้ำในแม่น้ำเป็นสีแดงดังเลือด, เสียงใบไม้เหมือนเสียงคนร่ำไห้ระงมเมือง, ไก่ตัวเมียขันได้กลายเป็นตัวผู้

             ดาวจระเข้ดวงที่เป็นตำแหน่งของพระมหากษัตริย์สีแดงเศร้าหมองและริบหรี่คล้ายกับจะดับสูญ

            นิมิตและลางลักษณะนี้ถือว่า เป็นนิมิตและลางร้ายที่จะเกิดกลียุคขึ้นในบ้านเมืองนับเป็นอาเพศที่มีผลกระทบต่อบ้านเมือง กระทบต่อผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมืองและราษฎรเป็นส่วนรวม

            อาเพศอันเกิดจากนิมิตและลาง แม้เป็นสิ่งที่ไร้ศาสตร์ใดไปพิสูจน์ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ความเชื่อของคนหลายชาติ หลายภาษาสืบทอดมานับพันปี ยังคงเหนียวแน่นแม้กระทั่งในบ้านเมืองของเราในทุกวันนี้

            อา! เค้าลางแห่งกลียุคได้ปกคลุมเหนือแผ่นดินจีนอีกครั้งหนึ่งแล้ว.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร