ตอนที่ 192. ยุทธการของ "ตัน" ผู้ซ่อนกาย
โจหยินกรีฑาทัพสองหมื่นสี่พันคนจากเมืองห้วนเสียหมายจะเหยียบแผ่นดินเมืองซินเอี๋ยให้จมลงในมหาสมุทร ในขณะที่เล่าปี่มีกำลังพลเพียงหมื่นคนเท่านั้น แต่เป็นหมื่นคนที่บัญชาการโดยตันฮก หรือ “ตัน” ผู้ซ่อนกาย ดังนั้นความหมายของการศึกครั้งนี้จึงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
ตันฮกผู้นี้แม้จะเป็นผู้มีสติปัญญาและเชี่ยวชาญการพิชัยสงครามมากที่สุดคนหนึ่งในสามก๊ก แต่วันเวลาที่แสดงผลงานให้ปรากฏมีเพียงน้อยนิด ประดุจดังดาวตกที่ร่วงจากฟ้าชั่ววูบเดียวก็สาบสูญ
ดังนั้นยุทธการซินเอี๋ยที่ “ตัน” ผู้ซ่อนกายวางแผนการกำหนดขึ้นจึงเป็นยุทธการเดียวที่จะเผยให้เห็นถึงสติปัญญาความสามารถในการสงครามของตันฮก เหตุนี้จึงเป็นยุทธการที่ควรแก่การทำความเข้าใจในรายละเอียดอย่างยิ่ง
ในพลันที่ทางเมืองซินเอี๋ยทราบข่าวศึก ตันฮกได้กำหนดแผนยุทธการครั้งนี้ออกเป็นสามส่วนคือ
ส่วนแรก ตันฮกคาดการว่ากองทัพเมืองห้วนเสียที่ยกมาในครั้งนี้เต็มไปด้วยแรงมานะและประมาทเล่าปี่ จึงยกทหารเกือบทั้งหมดมาจากเมืองห้วนเสีย ทำให้เมืองห้วนเสียว่างเปล่า จึงกำหนดการยุทธทางด้านเมืองห้วนเสียให้กวนอูคุมทหารพันห้าร้อยคนลอบยกไปยึดเมืองห้วนเสีย
ส่วนที่สอง ตันฮกคาดการว่าการศึกครั้งนี้โจหยินจะต้องตกเป็นฝ่ายปราชัย แล้วถอยทัพกลับเมืองห้วนเสียซึ่งต้องข้ามลำน้ำใกล้ชายแดนเมืองซินเอี๋ยกับเมืองห้วนเสีย จึงกำหนดแผนการยุทธ์ซ้ำตีโดยให้เตียวหุยคุมทหารพันคนยกไปตั้งซุ่มอยู่ที่ท่าข้ามแม่น้ำ คอยซ้ำตีกองทัพโจหยินเมื่อแตกถอยทัพกลับจากเมืองซินเอี๋ย
ส่วนที่สาม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่ชี้ขาดแพ้ชนะของสงครามครั้งนี้คือการยุทธ์ ณ ทุ่งนอกเมืองซินเอี๋ย ตันฮกมั่นใจในความคิดแลสติปัญญาที่จะทำศึกแตกหัก ณ ทุ่งซินเอี๋ยให้จงได้ จึงกำหนดแผนการยุทธ์ถนอมกำลังเจ็ดพันห้าร้อยนายให้เล่าปี่ยกไปตั้งค่ายนอกเมืองเพื่อรับมือกับกองทัพสองหมื่นสี่พันคนของโจหยิน
ทางด้านกวนอู และเตียวหุย รับแผนการจากเล่าปี่และตันฮกแล้วต่างลอบยกทหารตรงไปยังที่หมาย ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่กองทัพของโจหยินได้เคลื่อนข้ามลำน้ำตรงไปเมืองซินเอี๋ย
เตียวหุยเลือกภูมิประเทศอันเหมาะสมแก่การวางจุดซุ่มแล้วจึงวางกำลังซุ่มคอยทีกองทัพโจหยินที่จะแตกพ่ายมาตามแผนการทุกประการ
ทางด้านกวนอูได้พาทหารเดินทัพโดยกะเวลาว่าให้เข้าถึงชายแดนเมืองห้วนเสียในเวลาล่วงสองยามแล้ว พอยามใกล้รุ่งจึงเคลื่อนกำลังตรงเข้าไปที่กำแพงเมือง
ทางฝ่ายในเมืองห้วนเสียนั้น หลังจากโจหยินยกกองทัพไปแล้ว ไม่คาดคิดว่าจะมีข้าศึกยกตลบมายึดเมือง ดังนั้นประตูเมืองจึงคงเปิดปิดตามปกติเพื่อให้ราษฎรได้เข้าออกทำมาหากินในขณะที่มีทหารรักษาเมืองอยู่ไม่ถึงพันคน
ในขณะที่พระอาทิตย์ใกล้จะทอแสงยามอรุณ กวนอูก็ยกกองทัพไปถึงประตูเมือง ครั้นประตูเมืองเปิดออกตามปกติ กวนอูก็นำทหารม้าบุกเข้าไปในเมืองห้วนเสีย พอสว่างขึ้นกำลังหลักก็เข้ายึดกองทหารของเมืองห้วนเสีย
ทหารในเมืองห้วนเสียไม่ถึงพันนายไม่ได้เตรียมพร้อมจึงถูกทหารของกวนอูจับเป็นได้เกือบทั้งหมด ทหารเหล่านี้เคยรู้จักกิตติศัพท์ของกวนอูมาเป็นอย่างดี จึงยอมเข้าสวามิภักดิ์ด้วยกวนอูจนหมดสิ้น กวนอูให้ทหารยึดเมืองห้วนเสียและเข้าควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนั้น แล้วสั่งให้ปิดประตูเมือง ห้ามราษฎรเข้าออกเป็นการชั่วคราว ยกเว้นราษฎรที่เดินทางออกไปนอกเมืองก่อนหน้าแล้วขอเดินทางกลับก็อนุญาตให้กลับเข้าเมืองได้
กวนอูสั่งให้คงธงทิวของกองทัพโจโฉไว้บนเชิงเทินและกำแพงเมืองตามปกติ และสั่งให้ปกปิดข่าวการยึดเมืองห้วนเสียไว้อย่างเงียบเชียบ
พอตกสายกวนอูจึงนำกำลังตรงไปที่ศาลาว่าราชการเมืองห้วนเสีย เรียกขุนนางข้าราชการของเมืองห้วนเสียมาประชุม จัดแจงปรับปรุงระบบการปกครองใหม่ตามแบบของเมืองซินเอี๋ยทุกประการ
บรรดาขุนนางข้าราชการต่างได้ทราบกิตติศัพท์ของเล่าปี่ที่โอบอ้อมอารีรักราษฎรจึงเต็มใจสวามิภักดิ์ กวนอูจึงยึดอำนาจปกครองเมืองห้วนเสียได้โดยไม่เสียเลือดเนื้อ จากนั้นกวนอูจึงกลับมาที่กองบัญชาการทหารสั่งให้เตรียมกำลังให้พร้อมที่จะรับมือกับกองทัพของโจหยินที่จะแตกกลับมาทางเมืองห้วนเสีย
ทางด้านเล่าปี่เมื่อพาตันฮกลงจากเนินเขาแล้วตรงไปที่กองทหารซึ่งเตรียมพร้อมอยู่ จูล่งเห็นเล่าปี่มาที่กองทหารจึงเข้าไปคำนับตามธรรมเนียม เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงให้ตันฮกออกคำสั่งทางยุทธการให้กองทหารปฏิบัติ
ตันฮกคำนับเล่าปี่แล้วสั่งให้จัดทหารเป็นสองกอง กองหนึ่งให้จูล่งคุมทหารม้าห้าร้อยนาย ส่วนที่เหลือเล่าปี่และตันฮกเป็นผู้บัญชาการ
ตันฮกจึงกล่าวกับจูล่งว่าโจหยินตั้งค่ายกลพยุหะประตูปราการทองคำแปดทิศ ตั้งขบวนทหารเป็นแนวปราการแปดด้าน มีประตูแปดทิศ ให้ท่านคุมกำลังทหารม้าห้าร้อยนายยกเข้าตีปราการด้านทิศใต้ แล้วตรงเข้าไปยังจุดศูนย์กลาง จากนั้นให้ตีออกไปทางประตูทางทิศตะวันตก จากนั้นให้ท่านตีย้อนกลับเข้าสู่จุดศูนย์กลางอีกครั้งหนึ่ง แล้วมาออกทางประตูด้านทิศใต้ พอท่านตีกลับมาถึงประตูทางด้านทิศใต้ เล่าปี่จะคุมกำลังทหารไปสมทบแล้วตีกลับไปทางศูนย์กลางออกไปทางประตูด้านทิศตะวันตกอีกครั้งหนึ่ง ท่านจะต้องนำทหารเข้าตีตามทิศที่กำหนดอย่าให้พลาดพลั้งเป็นอันขาด แม้จะถูกล่อลวงไปทางด้านอื่นท่านอย่าตามไป จงปฏิบัติตามแผนการนี้อย่างเคร่งครัด ค่ายกลพยุหะนี้ก็จะแตกพ่ายไป
จูล่งคำนับรับคำสั่งจากตันฮกแล้วจึงพากองทหารม้าห้าร้อยนายออกจากค่ายไป ตันฮกจึงว่ากับเล่าปี่ว่ากองทหารม้าของจูล่งจะทำหน้าที่ไขกุญแจประตูปราการให้คลายออก พอจูล่งตีย้อนกลับมาทางประตูด้านทิศใต้แล้ว ให้ท่านนำกำลังทหารเจ็ดพันนายยกเข้าไปหนุนจูล่ง ตีตรงเข้าไปยังจุดศูนย์กลาง แล้วออกทางทิศตะวันตก ค่ายกลพยุหะของโจหยินก็จะแตกพ่ายไป จากนั้นจึงค่อยตามตีกองทหารที่แตกตื่นนั้น
เล่าปี่จึงพาทหารเจ็ดพันห้าร้อยนายออกจากค่าย ไปคอยทีอยู่ด้านหน้าค่าย
ฝ่ายจูล่งคุมทหารม้าห้าร้อยนายตีฝ่าเข้าไปทางประตูด้านทิศใต้ พอพ้นแถวทหารที่สาม โจหยินได้ชักม้ามาสกัดหน้าจูล่งไว้แล้วทำทีถอยไปทางปราการด้านทิศเหนือ จูล่งก็หยุดม้าไว้ไม่ยอมไล่ตาม โจหยินเห็นดังนั้นจึงเข้ามารบล่อใหม่ พอประทวนกันได้เพลงเดียวโจหยินก็ชักม้าหนีไปทางด้านเหนืออีก
จูล่งยึดมั่นในแผนการยุทธที่ตันฮกได้กำหนดไว้เคร่งครัดนัก ประจักษ์ท่าทีของโจหยินดังนั้นก็เข้าใจว่าเป็นอุบายที่จะลวงให้กองทหารม้าไล่ตามตีไปทางปราการด้านทิศอื่น คิดดังนั้นแล้วจูล่งจึงออกคำสั่งให้ทหารตีฝ่าตรงเข้าไปยังศูนย์กลางซึ่งว่างเปล่าอยู่ แล้วตีฝ่าออกไปทางประตูด้านทิศตะวันตก
กองทหารของโจหยินตั้งเป็นค่ายกลพยุหะ แต่ขาดศูนย์กลางบัญชาการ ดังนั้นพอถูกกองทหารม้าของจูล่งบุกเข้าตีมาตามช่องประตูที่ตันฮกกำหนดขึ้น จึงประดุจดั่งกุญแจที่ถูกลูกกุญแจไขถูกจังหวะ ทหารตามปราการสองข้างทางที่กองทหารม้าตีฝ่าเข้าไปจึงพากันแตกตื่นแยกออกเป็นทาง ในขณะที่แถวทหารแถวที่สองและแถวที่สามจะหนุนเนื่องเข้ามาก็ติดขัด และทหารในปราการด้านอื่น ๆ ก็ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่เพื่อมิให้เสียลักษณะของค่ายกลพยุหะ ดังนั้นทั้งค่ายกลพยุหะจึงถูกกระทบด้วยกองทหารม้าของจูล่งกระทบกระเทือนไปสิ้น แล้วพากันแตกตื่นอลหม่านขึ้น
พอจูล่งตีฝ่าไปถึงประตูด้านทิศตะวันตกแถวนอกสุด ทหารของโจหยินที่ปราการด้านตะวันตกก็แตกกระจัดกระจาย จูล่งจึงนำกองทหารม้าตีกลับมาตามเส้นทางเดิมอีกครั้งหนึ่ง ทหารของโจหยินบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก สองข้างทางที่กองทหารม้าผ่านไปก็แตกถอยร่นขยายแนวกว้างขึ้นจนค่ายกลถูกกระทบกระเทือนครั้งใหญ่
ทางด้านเล่าปี่คุมกองทหารมาคอยทีอยู่นอกค่าย พอเห็นจูล่งตีฝ่ากลับมาถึงจุดศูนย์กลางจึงสั่งให้ทหารเคลื่อนกำลัง พอจูล่งตีฝ่าย้อนกลับมาถึงประตูด้านทิศใต้แถวนอก เล่าปี่จึงยกทหารเข้าสมทบ
พอเล่าปี่ยกทหารเข้าสมทบทำให้กองกำลังฝ่ายเข้าตีเพิ่มขึ้นเป็นแปดพันนาย มากกว่าเก่ากว่าสิบเท่า แนวรบจึงขยายตัวกว้างขวางขึ้น จูล่งเห็นดังนั้นจึงชักม้ากลับหลังตีฝ่าเข้าไปในทิศทางเดิมอีกครั้งหนึ่ง
ตันฮกคุมทหารอยู่ในค่ายเห็นเหตุการณ์สมคะเนแล้วจึงสั่งให้พลกลองลั่นกลองเพลงเผด็จศึก เสียงกลองศึกจากค่ายเล่าปี่ดังกระหึ่มสนั่นท้องทุ่งปลุกเร้าขวัญทหารให้ฮึกห้าวเหิมหาญยิ่งนัก
กองทหารของเล่าปี่ได้ตีฝ่าเข้าไปในค่ายกลพยุหะอันเป็นช่องกุญแจอย่างรวดเร็ว และด้วยแนวรบที่ขยายตัวกว้างขวางขึ้นนั้นจึงทำให้ค่ายกลพยุหะกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ทหารของโจหยินถูกทหารของเล่าปี่ฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
พอกองทัพของเล่าปี่บุกเข้ามาถึงศูนย์กลางของค่ายกลพยุหะ อานุภาพของแผนการยุทธที่มีจำนวนทหารเพิ่มมากขึ้น จึงกดดันให้ค่ายกลพยุหะทะลายลง ทหารของโจหยินที่ประจำตำแหน่งในขบวนแถวของปราการด้านต่าง ๆ จึงแตกตื่นอลหม่าน หนีตายเอาตัวรอดอย่างชุลมุน
พอกองทัพเล่าปี่ตีไปถึงปราการด้านทิศตะวันตกอีกครั้งหนึ่ง ค่ายกลพยุหะของโจหยินก็แตก เล่าปี่และจูล่งนำทหารเข้าฆ่าฟันทหารของโจหยินบาดเจ็บล้มตายจนเลือดนองท้องทุ่งเมืองซินเอี๋ย โจหยินและลิเตียนเห็นทหารแตกตื่นตกใจคุมกันไม่ติดดังนั้นจึงพาทหารที่เหลือตายหนีกลับเข้าไปในค่าย
ทหารของเล่าปี่ได้จับเอาม้าและอาวุธยุทโธปกรณ์ตลอดจนทหารของโจหยินได้เป็นอันมาก ตันฮกเห็นเหตุการณ์ได้ทีจึงให้ทหารตีระฆังเป็นสัญญาณให้เล่าปี่ถอยทัพกลับเข้าค่าย
โจหยินถอยทัพกลับเข้าค่ายแล้วสูญเสียทหารไปเป็นอันมาก และเห็นว่ากำลังทหารที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอที่จะเอาชนะกองทัพเล่าปี่ได้ จึงเชิญลิเตียนเข้ามาปรึกษาว่าการศึกครั้งนี้เล่าปี่คิดอ่านตีค่ายกลพยุหะประตูปราการทองคำแปดทิศแตกไปได้แสดงให้เห็นว่าในกองทัพของเล่าปี่มีคนมีสติปัญญาช่วยคิดอ่านการศึก ข้าพเจ้าประมาทเล่าปี่ไปจึงเสียทีแก่ข้าศึก และบัดนี้กองทัพเล่าปี่เข้มแข็งขึ้นในขณะที่กองทัพของเราอ่อนแอลง ท่านจะคิดอ่านประการใด
ลิเตียนจึงว่าข้าพเจ้าได้เตือนท่านมาแต่ก่อนแล้วว่าอย่าประมาทเล่าปี่แต่ท่านก็ไม่ฟัง กลับโกรธและตำหนิข้าพเจ้าว่าเป็นใจด้วยข้าศึก จึงเสียทีแก่เล่าปี่ฉะนี้ แล้วว่าบัดนี้กำลังทหารของเราเสียขวัญเป็นรองแก่กองทัพของเล่าปี่ หากจะทำศึกต่อไปคงไม่ได้ชัยชนะ ข้าพเจ้าเป็นห่วงก็แต่เมืองห้วนเสีย ด้วยมีทหารน้อยตัวและไม่มีผู้รับผิดชอบรักษาเมืองเกรงว่าเล่าปี่จะยกทหารลอบไปยึดเมืองห้วนเสียก็จะเสียเมืองห้วนเสียอีก
โจหยินซึ่งเคยหมิ่นน้ำใจลิเตียนมาแต่ก่อน พอปราชัยเล่าปี่ก็ได้สติยั้งคิด ครั้นได้ฟังคำของลิเตียนที่เป็นห่วงเมืองห้วนเสียก็พรั่นใจ แล้วว่าความเป็นห่วงของท่านนั้นก็ชอบอยู่ แต่ทว่าเราได้ยกทัพมาถึงแดนเมืองซินเอี๋ยแล้ว หากจะเลิกทัพกลับไปก็จะได้รับความอัปยศนัก ขอให้ได้รบพุ่งกันจนสิ้นฝีมือเสียก่อนแล้วค่อยคิดอ่านผ่อนผันในภายหลัง
ลิเตียนได้ฟังดังนั้นจึงถามว่าตัวข้าพเจ้านี้ไม่เห็นหนทางที่จะเอาชนะกองทัพเล่าปี่ได้ แต่เมื่อท่านต้องการจะรบพุ่งกันให้สิ้นฝีมือก็ใคร่จะทราบว่าท่านมีความคิดอ่านแผนการรบประการใด
โจหยินจึงว่ากองทัพเล่าปี่ได้รับชัยชนะในวันนี้คงจะฮึกเหิมตั้งอยู่ในความประมาท ดังนั้นคืนวันนี้ข้าพเจ้าจะยกกองทัพเข้าปล้นค่ายเล่าปี่ คงจะได้รับชัยชนะโดยง่าย หากการสมความคิดก็จะยกเข้าตีเมืองซินเอี๋ยต่อไป แต่ถ้าหากคืนนี้การไม่สมความคิดเราจึงค่อยเลิกทัพกลับไปเมืองห้วนเสีย
ลิเตียนจึงท้วงว่าเล่าปี่เป็นคนมีความคิดแลสติปัญญา คงจะคิดอ่านป้องกันระวังตัวไม่พลั้งเผลอ ดังนั้นหากท่านยกทหารเข้าปล้นค่ายเล่าปี่ในขณะที่กองทัพเล่าปี่ฮึกเหิมอยู่ในชัยชนะและระวังตัวแล้ว ท่านก็จะเสียทีแก่เล่าปี่ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง.
ตันฮกผู้นี้แม้จะเป็นผู้มีสติปัญญาและเชี่ยวชาญการพิชัยสงครามมากที่สุดคนหนึ่งในสามก๊ก แต่วันเวลาที่แสดงผลงานให้ปรากฏมีเพียงน้อยนิด ประดุจดังดาวตกที่ร่วงจากฟ้าชั่ววูบเดียวก็สาบสูญ
ดังนั้นยุทธการซินเอี๋ยที่ “ตัน” ผู้ซ่อนกายวางแผนการกำหนดขึ้นจึงเป็นยุทธการเดียวที่จะเผยให้เห็นถึงสติปัญญาความสามารถในการสงครามของตันฮก เหตุนี้จึงเป็นยุทธการที่ควรแก่การทำความเข้าใจในรายละเอียดอย่างยิ่ง
ในพลันที่ทางเมืองซินเอี๋ยทราบข่าวศึก ตันฮกได้กำหนดแผนยุทธการครั้งนี้ออกเป็นสามส่วนคือ
ส่วนแรก ตันฮกคาดการว่ากองทัพเมืองห้วนเสียที่ยกมาในครั้งนี้เต็มไปด้วยแรงมานะและประมาทเล่าปี่ จึงยกทหารเกือบทั้งหมดมาจากเมืองห้วนเสีย ทำให้เมืองห้วนเสียว่างเปล่า จึงกำหนดการยุทธทางด้านเมืองห้วนเสียให้กวนอูคุมทหารพันห้าร้อยคนลอบยกไปยึดเมืองห้วนเสีย
ส่วนที่สอง ตันฮกคาดการว่าการศึกครั้งนี้โจหยินจะต้องตกเป็นฝ่ายปราชัย แล้วถอยทัพกลับเมืองห้วนเสียซึ่งต้องข้ามลำน้ำใกล้ชายแดนเมืองซินเอี๋ยกับเมืองห้วนเสีย จึงกำหนดแผนการยุทธ์ซ้ำตีโดยให้เตียวหุยคุมทหารพันคนยกไปตั้งซุ่มอยู่ที่ท่าข้ามแม่น้ำ คอยซ้ำตีกองทัพโจหยินเมื่อแตกถอยทัพกลับจากเมืองซินเอี๋ย
ส่วนที่สาม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่ชี้ขาดแพ้ชนะของสงครามครั้งนี้คือการยุทธ์ ณ ทุ่งนอกเมืองซินเอี๋ย ตันฮกมั่นใจในความคิดแลสติปัญญาที่จะทำศึกแตกหัก ณ ทุ่งซินเอี๋ยให้จงได้ จึงกำหนดแผนการยุทธ์ถนอมกำลังเจ็ดพันห้าร้อยนายให้เล่าปี่ยกไปตั้งค่ายนอกเมืองเพื่อรับมือกับกองทัพสองหมื่นสี่พันคนของโจหยิน
ทางด้านกวนอู และเตียวหุย รับแผนการจากเล่าปี่และตันฮกแล้วต่างลอบยกทหารตรงไปยังที่หมาย ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่กองทัพของโจหยินได้เคลื่อนข้ามลำน้ำตรงไปเมืองซินเอี๋ย
เตียวหุยเลือกภูมิประเทศอันเหมาะสมแก่การวางจุดซุ่มแล้วจึงวางกำลังซุ่มคอยทีกองทัพโจหยินที่จะแตกพ่ายมาตามแผนการทุกประการ
ทางด้านกวนอูได้พาทหารเดินทัพโดยกะเวลาว่าให้เข้าถึงชายแดนเมืองห้วนเสียในเวลาล่วงสองยามแล้ว พอยามใกล้รุ่งจึงเคลื่อนกำลังตรงเข้าไปที่กำแพงเมือง
ทางฝ่ายในเมืองห้วนเสียนั้น หลังจากโจหยินยกกองทัพไปแล้ว ไม่คาดคิดว่าจะมีข้าศึกยกตลบมายึดเมือง ดังนั้นประตูเมืองจึงคงเปิดปิดตามปกติเพื่อให้ราษฎรได้เข้าออกทำมาหากินในขณะที่มีทหารรักษาเมืองอยู่ไม่ถึงพันคน
ในขณะที่พระอาทิตย์ใกล้จะทอแสงยามอรุณ กวนอูก็ยกกองทัพไปถึงประตูเมือง ครั้นประตูเมืองเปิดออกตามปกติ กวนอูก็นำทหารม้าบุกเข้าไปในเมืองห้วนเสีย พอสว่างขึ้นกำลังหลักก็เข้ายึดกองทหารของเมืองห้วนเสีย
ทหารในเมืองห้วนเสียไม่ถึงพันนายไม่ได้เตรียมพร้อมจึงถูกทหารของกวนอูจับเป็นได้เกือบทั้งหมด ทหารเหล่านี้เคยรู้จักกิตติศัพท์ของกวนอูมาเป็นอย่างดี จึงยอมเข้าสวามิภักดิ์ด้วยกวนอูจนหมดสิ้น กวนอูให้ทหารยึดเมืองห้วนเสียและเข้าควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนั้น แล้วสั่งให้ปิดประตูเมือง ห้ามราษฎรเข้าออกเป็นการชั่วคราว ยกเว้นราษฎรที่เดินทางออกไปนอกเมืองก่อนหน้าแล้วขอเดินทางกลับก็อนุญาตให้กลับเข้าเมืองได้
กวนอูสั่งให้คงธงทิวของกองทัพโจโฉไว้บนเชิงเทินและกำแพงเมืองตามปกติ และสั่งให้ปกปิดข่าวการยึดเมืองห้วนเสียไว้อย่างเงียบเชียบ
พอตกสายกวนอูจึงนำกำลังตรงไปที่ศาลาว่าราชการเมืองห้วนเสีย เรียกขุนนางข้าราชการของเมืองห้วนเสียมาประชุม จัดแจงปรับปรุงระบบการปกครองใหม่ตามแบบของเมืองซินเอี๋ยทุกประการ
บรรดาขุนนางข้าราชการต่างได้ทราบกิตติศัพท์ของเล่าปี่ที่โอบอ้อมอารีรักราษฎรจึงเต็มใจสวามิภักดิ์ กวนอูจึงยึดอำนาจปกครองเมืองห้วนเสียได้โดยไม่เสียเลือดเนื้อ จากนั้นกวนอูจึงกลับมาที่กองบัญชาการทหารสั่งให้เตรียมกำลังให้พร้อมที่จะรับมือกับกองทัพของโจหยินที่จะแตกกลับมาทางเมืองห้วนเสีย
ทางด้านเล่าปี่เมื่อพาตันฮกลงจากเนินเขาแล้วตรงไปที่กองทหารซึ่งเตรียมพร้อมอยู่ จูล่งเห็นเล่าปี่มาที่กองทหารจึงเข้าไปคำนับตามธรรมเนียม เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงให้ตันฮกออกคำสั่งทางยุทธการให้กองทหารปฏิบัติ
ตันฮกคำนับเล่าปี่แล้วสั่งให้จัดทหารเป็นสองกอง กองหนึ่งให้จูล่งคุมทหารม้าห้าร้อยนาย ส่วนที่เหลือเล่าปี่และตันฮกเป็นผู้บัญชาการ
ตันฮกจึงกล่าวกับจูล่งว่าโจหยินตั้งค่ายกลพยุหะประตูปราการทองคำแปดทิศ ตั้งขบวนทหารเป็นแนวปราการแปดด้าน มีประตูแปดทิศ ให้ท่านคุมกำลังทหารม้าห้าร้อยนายยกเข้าตีปราการด้านทิศใต้ แล้วตรงเข้าไปยังจุดศูนย์กลาง จากนั้นให้ตีออกไปทางประตูทางทิศตะวันตก จากนั้นให้ท่านตีย้อนกลับเข้าสู่จุดศูนย์กลางอีกครั้งหนึ่ง แล้วมาออกทางประตูด้านทิศใต้ พอท่านตีกลับมาถึงประตูทางด้านทิศใต้ เล่าปี่จะคุมกำลังทหารไปสมทบแล้วตีกลับไปทางศูนย์กลางออกไปทางประตูด้านทิศตะวันตกอีกครั้งหนึ่ง ท่านจะต้องนำทหารเข้าตีตามทิศที่กำหนดอย่าให้พลาดพลั้งเป็นอันขาด แม้จะถูกล่อลวงไปทางด้านอื่นท่านอย่าตามไป จงปฏิบัติตามแผนการนี้อย่างเคร่งครัด ค่ายกลพยุหะนี้ก็จะแตกพ่ายไป
จูล่งคำนับรับคำสั่งจากตันฮกแล้วจึงพากองทหารม้าห้าร้อยนายออกจากค่ายไป ตันฮกจึงว่ากับเล่าปี่ว่ากองทหารม้าของจูล่งจะทำหน้าที่ไขกุญแจประตูปราการให้คลายออก พอจูล่งตีย้อนกลับมาทางประตูด้านทิศใต้แล้ว ให้ท่านนำกำลังทหารเจ็ดพันนายยกเข้าไปหนุนจูล่ง ตีตรงเข้าไปยังจุดศูนย์กลาง แล้วออกทางทิศตะวันตก ค่ายกลพยุหะของโจหยินก็จะแตกพ่ายไป จากนั้นจึงค่อยตามตีกองทหารที่แตกตื่นนั้น
เล่าปี่จึงพาทหารเจ็ดพันห้าร้อยนายออกจากค่าย ไปคอยทีอยู่ด้านหน้าค่าย
ฝ่ายจูล่งคุมทหารม้าห้าร้อยนายตีฝ่าเข้าไปทางประตูด้านทิศใต้ พอพ้นแถวทหารที่สาม โจหยินได้ชักม้ามาสกัดหน้าจูล่งไว้แล้วทำทีถอยไปทางปราการด้านทิศเหนือ จูล่งก็หยุดม้าไว้ไม่ยอมไล่ตาม โจหยินเห็นดังนั้นจึงเข้ามารบล่อใหม่ พอประทวนกันได้เพลงเดียวโจหยินก็ชักม้าหนีไปทางด้านเหนืออีก
จูล่งยึดมั่นในแผนการยุทธที่ตันฮกได้กำหนดไว้เคร่งครัดนัก ประจักษ์ท่าทีของโจหยินดังนั้นก็เข้าใจว่าเป็นอุบายที่จะลวงให้กองทหารม้าไล่ตามตีไปทางปราการด้านทิศอื่น คิดดังนั้นแล้วจูล่งจึงออกคำสั่งให้ทหารตีฝ่าตรงเข้าไปยังศูนย์กลางซึ่งว่างเปล่าอยู่ แล้วตีฝ่าออกไปทางประตูด้านทิศตะวันตก
กองทหารของโจหยินตั้งเป็นค่ายกลพยุหะ แต่ขาดศูนย์กลางบัญชาการ ดังนั้นพอถูกกองทหารม้าของจูล่งบุกเข้าตีมาตามช่องประตูที่ตันฮกกำหนดขึ้น จึงประดุจดั่งกุญแจที่ถูกลูกกุญแจไขถูกจังหวะ ทหารตามปราการสองข้างทางที่กองทหารม้าตีฝ่าเข้าไปจึงพากันแตกตื่นแยกออกเป็นทาง ในขณะที่แถวทหารแถวที่สองและแถวที่สามจะหนุนเนื่องเข้ามาก็ติดขัด และทหารในปราการด้านอื่น ๆ ก็ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่เพื่อมิให้เสียลักษณะของค่ายกลพยุหะ ดังนั้นทั้งค่ายกลพยุหะจึงถูกกระทบด้วยกองทหารม้าของจูล่งกระทบกระเทือนไปสิ้น แล้วพากันแตกตื่นอลหม่านขึ้น
พอจูล่งตีฝ่าไปถึงประตูด้านทิศตะวันตกแถวนอกสุด ทหารของโจหยินที่ปราการด้านตะวันตกก็แตกกระจัดกระจาย จูล่งจึงนำกองทหารม้าตีกลับมาตามเส้นทางเดิมอีกครั้งหนึ่ง ทหารของโจหยินบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก สองข้างทางที่กองทหารม้าผ่านไปก็แตกถอยร่นขยายแนวกว้างขึ้นจนค่ายกลถูกกระทบกระเทือนครั้งใหญ่
ทางด้านเล่าปี่คุมกองทหารมาคอยทีอยู่นอกค่าย พอเห็นจูล่งตีฝ่ากลับมาถึงจุดศูนย์กลางจึงสั่งให้ทหารเคลื่อนกำลัง พอจูล่งตีฝ่าย้อนกลับมาถึงประตูด้านทิศใต้แถวนอก เล่าปี่จึงยกทหารเข้าสมทบ
พอเล่าปี่ยกทหารเข้าสมทบทำให้กองกำลังฝ่ายเข้าตีเพิ่มขึ้นเป็นแปดพันนาย มากกว่าเก่ากว่าสิบเท่า แนวรบจึงขยายตัวกว้างขวางขึ้น จูล่งเห็นดังนั้นจึงชักม้ากลับหลังตีฝ่าเข้าไปในทิศทางเดิมอีกครั้งหนึ่ง
ตันฮกคุมทหารอยู่ในค่ายเห็นเหตุการณ์สมคะเนแล้วจึงสั่งให้พลกลองลั่นกลองเพลงเผด็จศึก เสียงกลองศึกจากค่ายเล่าปี่ดังกระหึ่มสนั่นท้องทุ่งปลุกเร้าขวัญทหารให้ฮึกห้าวเหิมหาญยิ่งนัก
กองทหารของเล่าปี่ได้ตีฝ่าเข้าไปในค่ายกลพยุหะอันเป็นช่องกุญแจอย่างรวดเร็ว และด้วยแนวรบที่ขยายตัวกว้างขวางขึ้นนั้นจึงทำให้ค่ายกลพยุหะกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ทหารของโจหยินถูกทหารของเล่าปี่ฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
พอกองทัพของเล่าปี่บุกเข้ามาถึงศูนย์กลางของค่ายกลพยุหะ อานุภาพของแผนการยุทธที่มีจำนวนทหารเพิ่มมากขึ้น จึงกดดันให้ค่ายกลพยุหะทะลายลง ทหารของโจหยินที่ประจำตำแหน่งในขบวนแถวของปราการด้านต่าง ๆ จึงแตกตื่นอลหม่าน หนีตายเอาตัวรอดอย่างชุลมุน
พอกองทัพเล่าปี่ตีไปถึงปราการด้านทิศตะวันตกอีกครั้งหนึ่ง ค่ายกลพยุหะของโจหยินก็แตก เล่าปี่และจูล่งนำทหารเข้าฆ่าฟันทหารของโจหยินบาดเจ็บล้มตายจนเลือดนองท้องทุ่งเมืองซินเอี๋ย โจหยินและลิเตียนเห็นทหารแตกตื่นตกใจคุมกันไม่ติดดังนั้นจึงพาทหารที่เหลือตายหนีกลับเข้าไปในค่าย
ทหารของเล่าปี่ได้จับเอาม้าและอาวุธยุทโธปกรณ์ตลอดจนทหารของโจหยินได้เป็นอันมาก ตันฮกเห็นเหตุการณ์ได้ทีจึงให้ทหารตีระฆังเป็นสัญญาณให้เล่าปี่ถอยทัพกลับเข้าค่าย
โจหยินถอยทัพกลับเข้าค่ายแล้วสูญเสียทหารไปเป็นอันมาก และเห็นว่ากำลังทหารที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอที่จะเอาชนะกองทัพเล่าปี่ได้ จึงเชิญลิเตียนเข้ามาปรึกษาว่าการศึกครั้งนี้เล่าปี่คิดอ่านตีค่ายกลพยุหะประตูปราการทองคำแปดทิศแตกไปได้แสดงให้เห็นว่าในกองทัพของเล่าปี่มีคนมีสติปัญญาช่วยคิดอ่านการศึก ข้าพเจ้าประมาทเล่าปี่ไปจึงเสียทีแก่ข้าศึก และบัดนี้กองทัพเล่าปี่เข้มแข็งขึ้นในขณะที่กองทัพของเราอ่อนแอลง ท่านจะคิดอ่านประการใด
ลิเตียนจึงว่าข้าพเจ้าได้เตือนท่านมาแต่ก่อนแล้วว่าอย่าประมาทเล่าปี่แต่ท่านก็ไม่ฟัง กลับโกรธและตำหนิข้าพเจ้าว่าเป็นใจด้วยข้าศึก จึงเสียทีแก่เล่าปี่ฉะนี้ แล้วว่าบัดนี้กำลังทหารของเราเสียขวัญเป็นรองแก่กองทัพของเล่าปี่ หากจะทำศึกต่อไปคงไม่ได้ชัยชนะ ข้าพเจ้าเป็นห่วงก็แต่เมืองห้วนเสีย ด้วยมีทหารน้อยตัวและไม่มีผู้รับผิดชอบรักษาเมืองเกรงว่าเล่าปี่จะยกทหารลอบไปยึดเมืองห้วนเสียก็จะเสียเมืองห้วนเสียอีก
โจหยินซึ่งเคยหมิ่นน้ำใจลิเตียนมาแต่ก่อน พอปราชัยเล่าปี่ก็ได้สติยั้งคิด ครั้นได้ฟังคำของลิเตียนที่เป็นห่วงเมืองห้วนเสียก็พรั่นใจ แล้วว่าความเป็นห่วงของท่านนั้นก็ชอบอยู่ แต่ทว่าเราได้ยกทัพมาถึงแดนเมืองซินเอี๋ยแล้ว หากจะเลิกทัพกลับไปก็จะได้รับความอัปยศนัก ขอให้ได้รบพุ่งกันจนสิ้นฝีมือเสียก่อนแล้วค่อยคิดอ่านผ่อนผันในภายหลัง
ลิเตียนได้ฟังดังนั้นจึงถามว่าตัวข้าพเจ้านี้ไม่เห็นหนทางที่จะเอาชนะกองทัพเล่าปี่ได้ แต่เมื่อท่านต้องการจะรบพุ่งกันให้สิ้นฝีมือก็ใคร่จะทราบว่าท่านมีความคิดอ่านแผนการรบประการใด
โจหยินจึงว่ากองทัพเล่าปี่ได้รับชัยชนะในวันนี้คงจะฮึกเหิมตั้งอยู่ในความประมาท ดังนั้นคืนวันนี้ข้าพเจ้าจะยกกองทัพเข้าปล้นค่ายเล่าปี่ คงจะได้รับชัยชนะโดยง่าย หากการสมความคิดก็จะยกเข้าตีเมืองซินเอี๋ยต่อไป แต่ถ้าหากคืนนี้การไม่สมความคิดเราจึงค่อยเลิกทัพกลับไปเมืองห้วนเสีย
ลิเตียนจึงท้วงว่าเล่าปี่เป็นคนมีความคิดแลสติปัญญา คงจะคิดอ่านป้องกันระวังตัวไม่พลั้งเผลอ ดังนั้นหากท่านยกทหารเข้าปล้นค่ายเล่าปี่ในขณะที่กองทัพเล่าปี่ฮึกเหิมอยู่ในชัยชนะและระวังตัวแล้ว ท่านก็จะเสียทีแก่เล่าปี่ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง.