ตอนที่ 190. ค่ายพลพยุหะประตูปราการทองคำแปดทิศ
โจหยินแม่ทัพใหญ่ของโจโฉที่ยกมาตั้งคุมเชิงเมืองเกงจิ๋วอยู่ที่เมืองห้วนเสีย ร้อนด้วยแรงแห่งความอัปยศที่พ่ายศึกแรกแก่กองทัพของเล่าปี่จึงไม่ฟังคำทัดทาน ของลิเตียนแม่ทัพรองที่ว่าการทำศึกโดยไม่รู้เขารู้แต่เรานั้นจะเสียทีแก่กองทัพเล่าปี่ให้ได้รับความอัปยศซ้ำสอง จึงตำหนิลิเตียนอย่างรุนแรงว่าเป็นคนสองใจ ฝักใฝ่ด้วยเล่าปี่
ลิเตียนได้ฟังคำตัดพ้อต่อว่าของโจหยินก็ยังคงยืนยันความเห็นเดิมว่าในเมื่อท่านไม่ฟังคำทัดทานของข้าพเจ้า ท่านก็จงยกกองทัพไปตามความคิดของท่านเถิด ตัวข้าพเจ้าจะคุมทหารรักษาเมืองห้วนเสียไว้ให้ปลอดภัย
โจหยินได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งโกรธลิเตียน ครานี้ถึงกับออกปากประณามว่าตัวท่านมีน้ำใจเป็นสองฝักใฝ่ด้วยเล่าปี่เป็นแน่แท้แล้ว จึงไม่เจ็บร้อนด้วยกองทัพและไม่คิดอ่านธำรงรักษาเกียรติยศของท่านอัครมหาเสนาบดี ปล่อยให้ข้าศึกเหยียบย่ำได้ตามอำเภอใจ กล่าวดังนั้นแล้วโจหยินก็แสดงความไม่พอใจ ลุกขึ้นยืนแล้วว่าเสร็จศึกแล้วกลับไปเมืองหลวงเราจะได้เห็นดีกัน
อันโจหยินผู้นี้โจโฉยกย่องว่าเป็นญาติ และใช้แซ่โจเหมือนกัน จึงไว้วางใจให้คุมกำลังทหารตลอดมา มาครั้งนี้ก็มีฐานะเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ พอลิเตียนเห็นโจหยินโกรธแค้นถึงขนาดนี้ก็เกรงใจ เพราะคำนึงถึงศักดิ์และศรีของโจหยินแล้วมีน้ำหนักและคุณค่าที่โจโฉจะรับฟังมากกว่าความเห็นตัว ทั้งโดยฐานะของแม่ทัพใหญ่ก็เป็นผู้บังคับบัญชาของตัว การที่ขัดขวางความคิดอ่านของแม่ทัพใหญ่ในขณะที่ได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วเป็นการผิดกฎอัยการศึก
ลิเตียนตระหนักถึงผลร้ายที่จะเกิดขึ้นในภายหลังดังนี้จึงว่าข้าพเจ้ากล่าวความเตือนสติท่านด้วยความสุจริตใจ หาใช่เพราะเกรงกลัวความคิดและฝีมือของเล่าปี่ไม่ แต่เมื่อท่านแม่ทัพใหญ่ตัดสินใจเป็นเด็ดขาดดังนี้แล้ว ก็ขออย่าได้ระแวงแคลงใจข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าจะติดตามท่านไปในกองทัพ ช่วยคิดการทำศึกภายใต้การนำของท่านโดยไม่เกรงกลัวต่อความตายเป็นอันขาด
โจหยินเห็นดังนั้นก็ค่อยคลายโทสะลง เรียกบรรดาแม่ทัพนายกองมาสั่งการให้จัดทหารทั้งหมดของเมืองห้วนเสียเป็นจำนวนถึงสองหมื่นสี่พันคน เพื่อจะยกไปเหยียบเมืองซินเอี๋ยให้ราบเสียในคราวเดียว
เมื่อกองทัพทั้งปวงพร้อมเพรียงแล้ว โจหยินและลิเตียนจึงนำกองทัพเคลื่อนออกจากเมืองห้วนเสียตรงไปเมืองซินเอี๋ย และด้วยแรงแห่งโทสะที่ได้รับอัปยศจากการพ่ายศึกครั้งแรกกลายเป็นไฟเผาไหม้อยู่ในใจของโจหยิน จึงให้กองทัพเคลื่อนไปโดยรวดเร็วทั้งกลางวันและกลางคืน
กองทัพของโจหยินที่ยกไปในครั้งนี้มีกำลังพลมากกว่ากองทัพของลิกองและลิเชียงที่ยกไปในครั้งแรกถึงห้าเท่า สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้ระบุว่าน้ำใจโจหยินที่ยกกองทัพใหญ่ไปครั้งนี้ “หมายจะไปเหยียบแผ่นดินเมืองซินเอี๋ยให้จมลงในมหาสมุทร”
ทางฝ่ายเมืองซินเอี๋ยเมื่อเล่าปี่ได้รับชัยชนะยกทัพกลับเข้าเมืองแล้ว ตันฮกจึงเข้าไปว่าแก่เล่าปี่ว่าโจหยินซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ของโจโฉยกมาตั้งคุมเชิงอยู่ที่เมืองห้วนเสียนี้เป็นคนเจ้าโทสะและมีใจมานะ คงจะได้รับความอัปยศจากการที่กองทัพเสียทีในศึกครั้งแรก และเสียแม่ทัพคนสำคัญถึงสองคน คงจะอดรนทนต่อแรงโทสะไม่ได้ ทั้งมีน้ำใจละอายแก่ทหารทั้งปวง เห็นทีว่าโจหยินจะยกกองทัพมาตีเมืองซินเอี๋ยในเร็ว ๆ นี้เป็นมั่นคง
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่าความอันท่านกล่าวนี้ชอบนัก ข้าพเจ้าเองก็วิตกว่าโจหยินคงจะยกกองทัพมาในเร็ววัน แลโจหยินยกกองทัพมาครั้งนี้คงจะเป็นกองทัพใหญ่ ท่านจะคิดอ่านวางแผนการรับศึกครั้งนี้ประการใด
ตันฮกจึงว่าข้าพเจ้าได้คาดคะเนว่ากองทัพของโจหยินที่ยกมาครั้งนี้คงเกณฑ์ทหารของเมืองห้วนเสียมาในกองทัพทั้งสิ้น แต่กระนั้นท่านอย่าได้วิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดการให้เมืองห้วนเสียตกแก่ท่าน ทั้งจะตีกองทัพของโจหยินให้แตกพ่ายไปจงได้
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ รีบถามตันฮกว่าแผนการของท่านเป็นประการใด ตันฮกลุกเดินเข้ามาใกล้เล่าปี่แล้วกระซิบความที่ข้างหูเล่าปี่แต่เบา ๆ มิให้ใครได้ยินว่า โจหยินยกกองทัพมาครั้งนี้เมืองห้วนเสียเหมือนว่างเปล่าอยู่แล้ว ให้ท่านสั่งกวนอูคุมทหารยกตลบหลังไปยึดเมืองห้วนเสียคงจะได้เมืองห้วนเสียโดยง่าย และให้เตียวหุยคุมทหารยกไปซุ่มอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำที่จะข้ามกลับไปยังเมืองห้วนเสีย รอโอกาสเมื่อโจหยินแตกทัพจะกลับไปเมืองห้วนเสียแล้วค่อยยกออกโจมตี ตัวท่านคอยรับศึกโจหยินอยู่ที่เมืองนี้ ข้าพเจ้าจะคิดอ่านตีกองทัพของโจหยินให้แตกไปจงได้
เล่าปี่ได้ฟังแผนการของตันฮกดังนั้นก็มีความยินดี จึงสั่งให้กวนอูและเตียวหุยนำทหารยกไปดำเนินการตามแผนการของตันฮกทุกประการ ในขณะเดียวกันเล่าปี่ก็ได้สั่งการให้ทหารในเมืองซินเอี๋ยเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับกองทัพโจหยิน
ต่อมาหน่วยสอดแนมได้เข้ามารายงานแก่เล่าปี่ว่าบัดนี้โจหยินได้ยกกองทัพเข้ามาถึงชายแดนของเมืองซินเอี๋ยแล้ว เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงปรึกษากับตันฮกถึงข่าวศึกดังกล่าวแล้วยกทหารออกไปตั้งค่ายอยู่นอกเมืองซินเอี๋ยระยะห่างร้อยเส้น เพื่อเตรียมรับศึกครั้งนี้
ฝ่ายโจหยินได้นำทัพเคลื่อนมาอย่างรวดเร็ว ข้ามเขตพรมแดนเมืองซินเอี๋ย พอทราบข่าวว่าเล่าปี่ได้ยกกองทัพออกมาตั้งค่ายสกัดไว้ที่นอกเมือง โจหยินจึงให้เคลื่อนทัพต่อไป แล้วให้ตั้งค่ายประชิดไว้กับค่ายของเล่าปี่
พอรุ่งขึ้นทั้งสองฝ่ายได้ยกทหารออกไปที่หน้าค่าย เว้นลานรบไว้ตรงกลาง เตรียมรบกันด้วยกำลังทหารเอก เล่าปี่และโจหยินต่างฝ่ายต่างยืนม้าอยู่หน้าทหารทั้งปวงท่ามกลางทงธิวประจำกองทัพพลิ้วลู่ลมหนาวปลิวไสว ตระการตาเต็มท้องทุ่งนอกเมืองซินเอี๋ยนั้น
เล่าปี่ได้สั่งให้จูล่งออกรบ จูล่งรับคำสั่งแล้วคำนับเล่าปี่และชักม้าออกไปยืนอยู่กลางลานรบ โจหยินเห็นดังนั้นจึงสั่งให้ลิเตียนออกไปรบกับจูล่ง
พอทหารเอกของทั้งสองฝ่ายออกไปอยู่กลางลานรบ กลองศึกของทั้งสองฝ่ายก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณให้ทหารเอกในลานรบลงมือต่อสู้กันได้ ทั้งสองฝ่ายต่างชักม้าเข้าหากัน ประทวนกันด้วยกำลังแรง เสียงทวนดังเปร๊งแต่ละครั้งทั้งสองแขนของลิเตียนก็สะท้าน พอถึงเพลงที่ยี่สิบลิเตียนก็ทานกำลังจูล่งไม่ไหว เห็นว่าขืนต่อสู้ต่อไปคงต้องตายภายใต้คมทวนของจูล่ง จึงชักม้าควบหนีกลับเข้าค่าย จูล่งเห็นดังนั้นก็ขับม้าไล่ตามลิเตียนไปจนถึงหน้าค่าย
ทหารภายในค่ายของโจหยินเห็นดังนั้นก็ระดมยิงเกาทัณฑ์สกัดจูล่งไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้ประตูค่าย ลูกเกาทัณฑ์ถูกยิงมาราวห่าฝน จูล่งเห็นเหลือกำลังที่จะไล่ตามตีเข้าไปในค่ายจึงชักม้ากลับมาที่กองทหารของเล่าปี่
ตันฮกเห็นกองทัพเล่าปี่ได้ชัยชนะประเดิมศึกครั้งนี้แล้ว และพอทราบกำลังศึกของฝ่ายโจหยิน จึงเสนอให้เล่าปี่สั่งทหารตีระฆังสัญญาณให้ยกกลับเข้าค่าย ในขณะที่ทางด้านโจหยินนั้นเห็นลิเตียนเสียทีแก่จูล่ง จึงให้ทหารตีระฆังสัญญาณถอยกลับเข้าค่ายเช่นเดียวกัน
พอโจหยินกลับเข้าไปถึงค่ายได้ตรงเข้าไปที่เต็นท์บัญชาการ ซึ่งลิเตียนได้คอยพบอยู่ก่อนแล้ว ลิเตียนพอเห็นหน้าโจหยินจึงว่าทหารของเล่าปี่ซึ่งรบกับข้าพเจ้าผู้นี้มีกำลังฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญนัก หากต่อสู้กันตัวต่อตัวด้วยลำพังฝีมือทหารเอกแล้ว แม้ข้าพเจ้าหรือตัวท่านออกรบด้วยตัวเองก็เห็นจะไม่ได้ชัยชนะแก่ทหารเอกคนนี้ของเล่าปี่ จึงขอให้ท่านยกกองทัพกลับเมืองห้วนเสียก่อน แล้วค่อยคิดอ่านทำการสืบไป
โจหยินได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าก่อนที่จะยกกองทัพมาตัวท่านก็ไม่เต็มใจ บิดพลิ้วด้วยประการต่าง ๆ จนเราได้ประจักษ์น้ำใจท่านมาครั้งหนึ่งแล้ว มาบัดนี้พอออก รบครั้งแรกก็แพ้แก่น้ำมือทหารของเล่าปี่ ทำให้กองทัพเสียขวัญและเสียทีแก่ข้าศึกเป็นที่อัปยศนัก โทษของท่านครั้งนี้เป็นความผิดถึงประหารตามพระอัยการศึก ว่าแล้วโจหยินจึงสั่งทหารให้คุมตัวลิเตียนแล้วให้เอาไปประหารเสีย
บรรดาแม่ทัพนายกองซึ่งอยู่ในที่นั้นเห็นเหตุการณ์ก็ตกใจ พากันคุกเข่าคำนับร้องขอให้โจหยินยกโทษให้แก่ลิเตียน โจหยินเห็นบรรดาแม่ทัพนายกองร้องขอให้อภัยโทษพร้อมเพรียงกันก็เกรงใจ จึงสั่งให้ยกโทษแก่ลิเตียน แล้วว่าเมื่อตัวไม่เต็มใจที่จะทำการศึกก็จงมาเป็นกองหลังทำหน้าที่คุ้มครองรักษาเสบียงให้ปลอดภัย
ลิเตียนคำนับขอบคุณโจหยินที่เว้นโทษตายและรับคำสั่งไปเป็นกองระวังหลังรักษาคลังเสบียง บรรดาแม่ทัพนายกองเห็นดังนั้นจึงคำนับลาโจหยินออกมา
พอรุ่งขึ้นโจหยินจึงเรียกบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาสั่งการว่าในวันนี้เราจะยกทหารออกไปรบด้วยเล่าปี่ด้วยค่ายกลพยุหะ ให้แม่ทัพนายกองทุกคนคุมทหารไปตั้งค่ายกลพยุหะตามตำแหน่งและสัญญาณที่เคยฝึกซ้อมไว้จงทุกประการ สั่งการและซักซ้อมความเข้าใจแล้วโจหยินจึงยกทหารออกนอกค่าย แล้วให้ตั้งขบวนเป็นค่ายกลพยุหะที่มีชื่อว่า “ปักบุนคิมโชติ๋น” ซึ่งสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แปลว่าค่ายกลพยุหะประแจทองมีประตูแปดด้าน
พอตั้งค่ายกลพยุหะเสร็จ โจหยินจึงสั่งให้พลกลองและม้าล่อตีกลองและม้าล่อก้องกระหึ่ม ธงทิวแต่ละสีประจำกองทหารของแต่ละขบวนรวมแปดขบวนที่ประกอบเป็นค่ายกลพยุหะปลิวไสว โจหยินเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารให้ขี่ม้าตรงที่หน้าค่ายเล่าปี่ แล้วร้องว่าในกองทัพของเล่าปี่รู้จักค่ายกลพยุหะชนิดนี้หรือไม่ และท้าให้เล่าปี่ยกกองทัพออกมารบ
เล่าปี่ได้ทราบรายงานแล้วจึงปรึกษาด้วยตันฮกแล้วพาทหารไปที่หน้าค่าย เห็นโจหยินตั้งกำลังเป็นค่ายกลพยุหะประหลาดกว่าแต่ก่อน แต่ดูในที่ราบเห็นไม่ถนัด ตันฮกจึงชวนเล่าปี่ขี่ม้าอ้อมไปทางด้านหลังค่ายขึ้นไปบนเนินเขาแล้วมองลงมายังค่ายกลพยุหะนั้น
ทางด้านโจหยินเมื่อตั้งค่ายกลพยุหะแล้ว มั่นใจว่าในกองทัพเล่าปี่ไม่มีผู้ใดรู้จักค่ายกลพยุหะชนิดนี้ และไม่มีผู้ใดสามารถตีค่ายกลพยุหะนี้ให้แตกไปได้ ถ้าหากเล่าปี่ยกทหารเข้าตีค่ายกลพยุหะโดยที่ไม่รู้จักก็จะตกอยู่ในท่ามกลางวงล้อมของขบวนทหารที่ตั้งเป็นค่ายกลพยุหะนั้น แล้วจะสามารถจับกุมตัวเล่าปี่ได้โดยง่าย หรือถ้าหากเล่าปี่ไม่กล้ายกทหารเข้าตีค่ายกลพยุหะนั้นก็เท่ากับว่าเล่าปี่ยอมแพ้ ที่สำคัญก็คือเป็นการยอมพ่ายแพ้ในทางสติปัญญาและความรู้ทางการสงคราม โจหยินจึงกระหยิ่มยิ้มย่องยิ่งนัก
ครั้นเล่าปี่ยังไม่ออกมารบแต่กลับพาทหารจำนวนหนึ่งไปที่เนินเขาด้านหลังค่าย โจหยินก็ยิ่งมั่นใจว่าเล่าปี่จะต้องพ่ายแพ้แก่ค่ายกลพยุหะในครั้งนี้ จึงให้พลกลองลั่นเพลงร่าเริงชัยบำรุงขวัญทหาร บรรดาทหารของโจหยินเห็นดังนั้นก็พากันโห่ร้องกึกก้องด้วยความคึกคะนองและมั่นใจในชัยชนะ อันเกิดแต่อานุภาพของค่ายกลครั้งนี้
ตัวเล่าปี่เองแม้เคยใช้ค่ายกลพยุหะ “เต็ง” ในการรบกับลิโป้ แต่ก็เป็นเพียงค่ายกลที่ใช้คนเพียงสามคน คือเล่าปี่ กวนอู และเตียวหุย เข้าล้อมลิโป้ไว้จนเป็นเหตุให้ลิโป้พ่ายแพ้ ทำให้ตั๋งโต๊ะสิ้นกำลังใจเผาเมืองลกเอี๋ยงราชธานีแล้วย้ายหนีไปตั้งเมืองหลวงใหม่ที่เมืองเตียงอัน ค่ายกลพยุหะเต็งในครั้งนั้นเป็นค่ายกลพยุหะขนาดเล็ก เทียบไม่ได้กับค่ายกลพยุหะที่โจหยินจัดตั้งเป็นขบวนทัพในครั้งนี้ แต่เล่าปี่ก็ยังคงมีความมั่นใจในสติปัญญาและความคิดของตันฮก จึงติดตามตันฮกขึ้นไปบนเนินเขา
พอตันฮกกวาดสายตาไปยังกองทหารและขบวนที่ตั้งเป็นค่ายกลพยุหะนั้น ก็กล่าวกับเล่าปี่ว่าโจหยินขุนศึกอ่อนหัด คิดอ่านตั้งค่ายกลพยุหะมาต่อสู้กับท่าน ท่านอย่าได้ปรารมภ์เลย อันค่ายกลพยุหะนี้เพื่อนของข้าพเจ้าทำไว้เป็นเพียงแค่รั้วบ้านเท่านั้น
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็หลากใจว่าเพื่อนผู้นี้ของตันฮกเป็นผู้ใด จึงมีสติปัญญาถึงขนาดที่ทำรั้วบ้านในลักษณะเป็นค่ายกลพยุหะ จึงไต่ถามตันฮกว่าเพื่อนของท่านที่ว่านี้เป็นใครและพำนักอยู่ที่ตำบลใด
ตันฮกได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แต่ไม่ตอบคำถามของเล่าปี่ คงทอดสายตามองไปยังกองทหารของโจหยิน
ตันฮกพิจารณาค่ายกลพยุหะของโจหยินครู่หนึ่ง จึงชี้ไปที่ขบวนพยุหะนั้นแล้วว่าค่ายกลพยุหะนี้มีชื่อว่าค่ายกลพยุหะประตูปราการทองคำแปดทิศ ประกอบด้วยทหารแปดขบวนใหญ่ ตั้งขบวนเป็นรูปยันต์แปดทิศหรือโป๊ยก่วย.
ลิเตียนได้ฟังคำตัดพ้อต่อว่าของโจหยินก็ยังคงยืนยันความเห็นเดิมว่าในเมื่อท่านไม่ฟังคำทัดทานของข้าพเจ้า ท่านก็จงยกกองทัพไปตามความคิดของท่านเถิด ตัวข้าพเจ้าจะคุมทหารรักษาเมืองห้วนเสียไว้ให้ปลอดภัย
โจหยินได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งโกรธลิเตียน ครานี้ถึงกับออกปากประณามว่าตัวท่านมีน้ำใจเป็นสองฝักใฝ่ด้วยเล่าปี่เป็นแน่แท้แล้ว จึงไม่เจ็บร้อนด้วยกองทัพและไม่คิดอ่านธำรงรักษาเกียรติยศของท่านอัครมหาเสนาบดี ปล่อยให้ข้าศึกเหยียบย่ำได้ตามอำเภอใจ กล่าวดังนั้นแล้วโจหยินก็แสดงความไม่พอใจ ลุกขึ้นยืนแล้วว่าเสร็จศึกแล้วกลับไปเมืองหลวงเราจะได้เห็นดีกัน
อันโจหยินผู้นี้โจโฉยกย่องว่าเป็นญาติ และใช้แซ่โจเหมือนกัน จึงไว้วางใจให้คุมกำลังทหารตลอดมา มาครั้งนี้ก็มีฐานะเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ พอลิเตียนเห็นโจหยินโกรธแค้นถึงขนาดนี้ก็เกรงใจ เพราะคำนึงถึงศักดิ์และศรีของโจหยินแล้วมีน้ำหนักและคุณค่าที่โจโฉจะรับฟังมากกว่าความเห็นตัว ทั้งโดยฐานะของแม่ทัพใหญ่ก็เป็นผู้บังคับบัญชาของตัว การที่ขัดขวางความคิดอ่านของแม่ทัพใหญ่ในขณะที่ได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วเป็นการผิดกฎอัยการศึก
ลิเตียนตระหนักถึงผลร้ายที่จะเกิดขึ้นในภายหลังดังนี้จึงว่าข้าพเจ้ากล่าวความเตือนสติท่านด้วยความสุจริตใจ หาใช่เพราะเกรงกลัวความคิดและฝีมือของเล่าปี่ไม่ แต่เมื่อท่านแม่ทัพใหญ่ตัดสินใจเป็นเด็ดขาดดังนี้แล้ว ก็ขออย่าได้ระแวงแคลงใจข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าจะติดตามท่านไปในกองทัพ ช่วยคิดการทำศึกภายใต้การนำของท่านโดยไม่เกรงกลัวต่อความตายเป็นอันขาด
โจหยินเห็นดังนั้นก็ค่อยคลายโทสะลง เรียกบรรดาแม่ทัพนายกองมาสั่งการให้จัดทหารทั้งหมดของเมืองห้วนเสียเป็นจำนวนถึงสองหมื่นสี่พันคน เพื่อจะยกไปเหยียบเมืองซินเอี๋ยให้ราบเสียในคราวเดียว
เมื่อกองทัพทั้งปวงพร้อมเพรียงแล้ว โจหยินและลิเตียนจึงนำกองทัพเคลื่อนออกจากเมืองห้วนเสียตรงไปเมืองซินเอี๋ย และด้วยแรงแห่งโทสะที่ได้รับอัปยศจากการพ่ายศึกครั้งแรกกลายเป็นไฟเผาไหม้อยู่ในใจของโจหยิน จึงให้กองทัพเคลื่อนไปโดยรวดเร็วทั้งกลางวันและกลางคืน
กองทัพของโจหยินที่ยกไปในครั้งนี้มีกำลังพลมากกว่ากองทัพของลิกองและลิเชียงที่ยกไปในครั้งแรกถึงห้าเท่า สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้ระบุว่าน้ำใจโจหยินที่ยกกองทัพใหญ่ไปครั้งนี้ “หมายจะไปเหยียบแผ่นดินเมืองซินเอี๋ยให้จมลงในมหาสมุทร”
ทางฝ่ายเมืองซินเอี๋ยเมื่อเล่าปี่ได้รับชัยชนะยกทัพกลับเข้าเมืองแล้ว ตันฮกจึงเข้าไปว่าแก่เล่าปี่ว่าโจหยินซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ของโจโฉยกมาตั้งคุมเชิงอยู่ที่เมืองห้วนเสียนี้เป็นคนเจ้าโทสะและมีใจมานะ คงจะได้รับความอัปยศจากการที่กองทัพเสียทีในศึกครั้งแรก และเสียแม่ทัพคนสำคัญถึงสองคน คงจะอดรนทนต่อแรงโทสะไม่ได้ ทั้งมีน้ำใจละอายแก่ทหารทั้งปวง เห็นทีว่าโจหยินจะยกกองทัพมาตีเมืองซินเอี๋ยในเร็ว ๆ นี้เป็นมั่นคง
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่าความอันท่านกล่าวนี้ชอบนัก ข้าพเจ้าเองก็วิตกว่าโจหยินคงจะยกกองทัพมาในเร็ววัน แลโจหยินยกกองทัพมาครั้งนี้คงจะเป็นกองทัพใหญ่ ท่านจะคิดอ่านวางแผนการรับศึกครั้งนี้ประการใด
ตันฮกจึงว่าข้าพเจ้าได้คาดคะเนว่ากองทัพของโจหยินที่ยกมาครั้งนี้คงเกณฑ์ทหารของเมืองห้วนเสียมาในกองทัพทั้งสิ้น แต่กระนั้นท่านอย่าได้วิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดการให้เมืองห้วนเสียตกแก่ท่าน ทั้งจะตีกองทัพของโจหยินให้แตกพ่ายไปจงได้
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ รีบถามตันฮกว่าแผนการของท่านเป็นประการใด ตันฮกลุกเดินเข้ามาใกล้เล่าปี่แล้วกระซิบความที่ข้างหูเล่าปี่แต่เบา ๆ มิให้ใครได้ยินว่า โจหยินยกกองทัพมาครั้งนี้เมืองห้วนเสียเหมือนว่างเปล่าอยู่แล้ว ให้ท่านสั่งกวนอูคุมทหารยกตลบหลังไปยึดเมืองห้วนเสียคงจะได้เมืองห้วนเสียโดยง่าย และให้เตียวหุยคุมทหารยกไปซุ่มอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำที่จะข้ามกลับไปยังเมืองห้วนเสีย รอโอกาสเมื่อโจหยินแตกทัพจะกลับไปเมืองห้วนเสียแล้วค่อยยกออกโจมตี ตัวท่านคอยรับศึกโจหยินอยู่ที่เมืองนี้ ข้าพเจ้าจะคิดอ่านตีกองทัพของโจหยินให้แตกไปจงได้
เล่าปี่ได้ฟังแผนการของตันฮกดังนั้นก็มีความยินดี จึงสั่งให้กวนอูและเตียวหุยนำทหารยกไปดำเนินการตามแผนการของตันฮกทุกประการ ในขณะเดียวกันเล่าปี่ก็ได้สั่งการให้ทหารในเมืองซินเอี๋ยเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับกองทัพโจหยิน
ต่อมาหน่วยสอดแนมได้เข้ามารายงานแก่เล่าปี่ว่าบัดนี้โจหยินได้ยกกองทัพเข้ามาถึงชายแดนของเมืองซินเอี๋ยแล้ว เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงปรึกษากับตันฮกถึงข่าวศึกดังกล่าวแล้วยกทหารออกไปตั้งค่ายอยู่นอกเมืองซินเอี๋ยระยะห่างร้อยเส้น เพื่อเตรียมรับศึกครั้งนี้
ฝ่ายโจหยินได้นำทัพเคลื่อนมาอย่างรวดเร็ว ข้ามเขตพรมแดนเมืองซินเอี๋ย พอทราบข่าวว่าเล่าปี่ได้ยกกองทัพออกมาตั้งค่ายสกัดไว้ที่นอกเมือง โจหยินจึงให้เคลื่อนทัพต่อไป แล้วให้ตั้งค่ายประชิดไว้กับค่ายของเล่าปี่
พอรุ่งขึ้นทั้งสองฝ่ายได้ยกทหารออกไปที่หน้าค่าย เว้นลานรบไว้ตรงกลาง เตรียมรบกันด้วยกำลังทหารเอก เล่าปี่และโจหยินต่างฝ่ายต่างยืนม้าอยู่หน้าทหารทั้งปวงท่ามกลางทงธิวประจำกองทัพพลิ้วลู่ลมหนาวปลิวไสว ตระการตาเต็มท้องทุ่งนอกเมืองซินเอี๋ยนั้น
เล่าปี่ได้สั่งให้จูล่งออกรบ จูล่งรับคำสั่งแล้วคำนับเล่าปี่และชักม้าออกไปยืนอยู่กลางลานรบ โจหยินเห็นดังนั้นจึงสั่งให้ลิเตียนออกไปรบกับจูล่ง
พอทหารเอกของทั้งสองฝ่ายออกไปอยู่กลางลานรบ กลองศึกของทั้งสองฝ่ายก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณให้ทหารเอกในลานรบลงมือต่อสู้กันได้ ทั้งสองฝ่ายต่างชักม้าเข้าหากัน ประทวนกันด้วยกำลังแรง เสียงทวนดังเปร๊งแต่ละครั้งทั้งสองแขนของลิเตียนก็สะท้าน พอถึงเพลงที่ยี่สิบลิเตียนก็ทานกำลังจูล่งไม่ไหว เห็นว่าขืนต่อสู้ต่อไปคงต้องตายภายใต้คมทวนของจูล่ง จึงชักม้าควบหนีกลับเข้าค่าย จูล่งเห็นดังนั้นก็ขับม้าไล่ตามลิเตียนไปจนถึงหน้าค่าย
ทหารภายในค่ายของโจหยินเห็นดังนั้นก็ระดมยิงเกาทัณฑ์สกัดจูล่งไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้ประตูค่าย ลูกเกาทัณฑ์ถูกยิงมาราวห่าฝน จูล่งเห็นเหลือกำลังที่จะไล่ตามตีเข้าไปในค่ายจึงชักม้ากลับมาที่กองทหารของเล่าปี่
ตันฮกเห็นกองทัพเล่าปี่ได้ชัยชนะประเดิมศึกครั้งนี้แล้ว และพอทราบกำลังศึกของฝ่ายโจหยิน จึงเสนอให้เล่าปี่สั่งทหารตีระฆังสัญญาณให้ยกกลับเข้าค่าย ในขณะที่ทางด้านโจหยินนั้นเห็นลิเตียนเสียทีแก่จูล่ง จึงให้ทหารตีระฆังสัญญาณถอยกลับเข้าค่ายเช่นเดียวกัน
พอโจหยินกลับเข้าไปถึงค่ายได้ตรงเข้าไปที่เต็นท์บัญชาการ ซึ่งลิเตียนได้คอยพบอยู่ก่อนแล้ว ลิเตียนพอเห็นหน้าโจหยินจึงว่าทหารของเล่าปี่ซึ่งรบกับข้าพเจ้าผู้นี้มีกำลังฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญนัก หากต่อสู้กันตัวต่อตัวด้วยลำพังฝีมือทหารเอกแล้ว แม้ข้าพเจ้าหรือตัวท่านออกรบด้วยตัวเองก็เห็นจะไม่ได้ชัยชนะแก่ทหารเอกคนนี้ของเล่าปี่ จึงขอให้ท่านยกกองทัพกลับเมืองห้วนเสียก่อน แล้วค่อยคิดอ่านทำการสืบไป
โจหยินได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าก่อนที่จะยกกองทัพมาตัวท่านก็ไม่เต็มใจ บิดพลิ้วด้วยประการต่าง ๆ จนเราได้ประจักษ์น้ำใจท่านมาครั้งหนึ่งแล้ว มาบัดนี้พอออก รบครั้งแรกก็แพ้แก่น้ำมือทหารของเล่าปี่ ทำให้กองทัพเสียขวัญและเสียทีแก่ข้าศึกเป็นที่อัปยศนัก โทษของท่านครั้งนี้เป็นความผิดถึงประหารตามพระอัยการศึก ว่าแล้วโจหยินจึงสั่งทหารให้คุมตัวลิเตียนแล้วให้เอาไปประหารเสีย
บรรดาแม่ทัพนายกองซึ่งอยู่ในที่นั้นเห็นเหตุการณ์ก็ตกใจ พากันคุกเข่าคำนับร้องขอให้โจหยินยกโทษให้แก่ลิเตียน โจหยินเห็นบรรดาแม่ทัพนายกองร้องขอให้อภัยโทษพร้อมเพรียงกันก็เกรงใจ จึงสั่งให้ยกโทษแก่ลิเตียน แล้วว่าเมื่อตัวไม่เต็มใจที่จะทำการศึกก็จงมาเป็นกองหลังทำหน้าที่คุ้มครองรักษาเสบียงให้ปลอดภัย
ลิเตียนคำนับขอบคุณโจหยินที่เว้นโทษตายและรับคำสั่งไปเป็นกองระวังหลังรักษาคลังเสบียง บรรดาแม่ทัพนายกองเห็นดังนั้นจึงคำนับลาโจหยินออกมา
พอรุ่งขึ้นโจหยินจึงเรียกบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาสั่งการว่าในวันนี้เราจะยกทหารออกไปรบด้วยเล่าปี่ด้วยค่ายกลพยุหะ ให้แม่ทัพนายกองทุกคนคุมทหารไปตั้งค่ายกลพยุหะตามตำแหน่งและสัญญาณที่เคยฝึกซ้อมไว้จงทุกประการ สั่งการและซักซ้อมความเข้าใจแล้วโจหยินจึงยกทหารออกนอกค่าย แล้วให้ตั้งขบวนเป็นค่ายกลพยุหะที่มีชื่อว่า “ปักบุนคิมโชติ๋น” ซึ่งสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แปลว่าค่ายกลพยุหะประแจทองมีประตูแปดด้าน
พอตั้งค่ายกลพยุหะเสร็จ โจหยินจึงสั่งให้พลกลองและม้าล่อตีกลองและม้าล่อก้องกระหึ่ม ธงทิวแต่ละสีประจำกองทหารของแต่ละขบวนรวมแปดขบวนที่ประกอบเป็นค่ายกลพยุหะปลิวไสว โจหยินเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารให้ขี่ม้าตรงที่หน้าค่ายเล่าปี่ แล้วร้องว่าในกองทัพของเล่าปี่รู้จักค่ายกลพยุหะชนิดนี้หรือไม่ และท้าให้เล่าปี่ยกกองทัพออกมารบ
เล่าปี่ได้ทราบรายงานแล้วจึงปรึกษาด้วยตันฮกแล้วพาทหารไปที่หน้าค่าย เห็นโจหยินตั้งกำลังเป็นค่ายกลพยุหะประหลาดกว่าแต่ก่อน แต่ดูในที่ราบเห็นไม่ถนัด ตันฮกจึงชวนเล่าปี่ขี่ม้าอ้อมไปทางด้านหลังค่ายขึ้นไปบนเนินเขาแล้วมองลงมายังค่ายกลพยุหะนั้น
ทางด้านโจหยินเมื่อตั้งค่ายกลพยุหะแล้ว มั่นใจว่าในกองทัพเล่าปี่ไม่มีผู้ใดรู้จักค่ายกลพยุหะชนิดนี้ และไม่มีผู้ใดสามารถตีค่ายกลพยุหะนี้ให้แตกไปได้ ถ้าหากเล่าปี่ยกทหารเข้าตีค่ายกลพยุหะโดยที่ไม่รู้จักก็จะตกอยู่ในท่ามกลางวงล้อมของขบวนทหารที่ตั้งเป็นค่ายกลพยุหะนั้น แล้วจะสามารถจับกุมตัวเล่าปี่ได้โดยง่าย หรือถ้าหากเล่าปี่ไม่กล้ายกทหารเข้าตีค่ายกลพยุหะนั้นก็เท่ากับว่าเล่าปี่ยอมแพ้ ที่สำคัญก็คือเป็นการยอมพ่ายแพ้ในทางสติปัญญาและความรู้ทางการสงคราม โจหยินจึงกระหยิ่มยิ้มย่องยิ่งนัก
ครั้นเล่าปี่ยังไม่ออกมารบแต่กลับพาทหารจำนวนหนึ่งไปที่เนินเขาด้านหลังค่าย โจหยินก็ยิ่งมั่นใจว่าเล่าปี่จะต้องพ่ายแพ้แก่ค่ายกลพยุหะในครั้งนี้ จึงให้พลกลองลั่นเพลงร่าเริงชัยบำรุงขวัญทหาร บรรดาทหารของโจหยินเห็นดังนั้นก็พากันโห่ร้องกึกก้องด้วยความคึกคะนองและมั่นใจในชัยชนะ อันเกิดแต่อานุภาพของค่ายกลครั้งนี้
ตัวเล่าปี่เองแม้เคยใช้ค่ายกลพยุหะ “เต็ง” ในการรบกับลิโป้ แต่ก็เป็นเพียงค่ายกลที่ใช้คนเพียงสามคน คือเล่าปี่ กวนอู และเตียวหุย เข้าล้อมลิโป้ไว้จนเป็นเหตุให้ลิโป้พ่ายแพ้ ทำให้ตั๋งโต๊ะสิ้นกำลังใจเผาเมืองลกเอี๋ยงราชธานีแล้วย้ายหนีไปตั้งเมืองหลวงใหม่ที่เมืองเตียงอัน ค่ายกลพยุหะเต็งในครั้งนั้นเป็นค่ายกลพยุหะขนาดเล็ก เทียบไม่ได้กับค่ายกลพยุหะที่โจหยินจัดตั้งเป็นขบวนทัพในครั้งนี้ แต่เล่าปี่ก็ยังคงมีความมั่นใจในสติปัญญาและความคิดของตันฮก จึงติดตามตันฮกขึ้นไปบนเนินเขา
พอตันฮกกวาดสายตาไปยังกองทหารและขบวนที่ตั้งเป็นค่ายกลพยุหะนั้น ก็กล่าวกับเล่าปี่ว่าโจหยินขุนศึกอ่อนหัด คิดอ่านตั้งค่ายกลพยุหะมาต่อสู้กับท่าน ท่านอย่าได้ปรารมภ์เลย อันค่ายกลพยุหะนี้เพื่อนของข้าพเจ้าทำไว้เป็นเพียงแค่รั้วบ้านเท่านั้น
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็หลากใจว่าเพื่อนผู้นี้ของตันฮกเป็นผู้ใด จึงมีสติปัญญาถึงขนาดที่ทำรั้วบ้านในลักษณะเป็นค่ายกลพยุหะ จึงไต่ถามตันฮกว่าเพื่อนของท่านที่ว่านี้เป็นใครและพำนักอยู่ที่ตำบลใด
ตันฮกได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แต่ไม่ตอบคำถามของเล่าปี่ คงทอดสายตามองไปยังกองทหารของโจหยิน
ตันฮกพิจารณาค่ายกลพยุหะของโจหยินครู่หนึ่ง จึงชี้ไปที่ขบวนพยุหะนั้นแล้วว่าค่ายกลพยุหะนี้มีชื่อว่าค่ายกลพยุหะประตูปราการทองคำแปดทิศ ประกอบด้วยทหารแปดขบวนใหญ่ ตั้งขบวนเป็นรูปยันต์แปดทิศหรือโป๊ยก่วย.