ตอนที่ 189. แผนสามง่ามแทงปลา
เจี้ยนอันศกปีที่สิบเอ็ด ไตรมาสที่สาม เมื่อโจโฉปราบขุนศึกภาคเหนือราบคาบและเลิกทัพกลับเมืองหลวงแล้ว ได้บำรุงทแกล้วทหาร ระดมเสบียงอาหารเพื่อเตรียมการกรีฑาทัพปราบขุนศึกทางภาคใต้ต่อไป
เป้าหมายแรกของโจโฉในการยึดภาคใต้คือเมืองเกงจิ๋ว และเป้าหมายถัดไปคือเมืองกังตั๋งซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำแยงซีเกียง
เมื่อกำหนดยุทธศาสตร์ดังกล่าวแล้ว ด้านหนึ่งโจโฉจึงให้สร้างกองทัพเรือและฝึกฝนทหารเรือที่แม่น้ำเจียงโห สามก๊กบางฉบับระบุว่าโจโฉได้ให้ขุดสระเพื่อการฝึกซ้อมทหารเรือที่ริมแม่น้ำเจียงโห แต่พิเคราะห์ดูแล้วไม่เห็นสมเพราะการขุดสระนั้น ถึงจะใหญ่โตสักเพียงใดก็ไม่มีทางใช้เป็นที่ฝึกทหารเรือได้ ทั้งแม่น้ำเจียงโหก็มีความกว้างแลลึกโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องขุดสระริมแม่น้ำเจียงโหเพื่อทำการฝึกทหารเรืออีก
ในอีกด้านหนึ่ง โจโฉได้สั่งให้โจหยินเป็นแม่ทัพใหญ่ มีลิเตียน ลิกอง และลิเชียงนายทหารเอกเป็นแม่ทัพรองและแม่ทัพหนุนโดยลำดับ คุมทหารสามหมื่นยกไปตั้งอยู่ ณ เมืองห้วนเสีย ซึ่งเป็นหัวเมืองขึ้นต่อเมืองหลวงและอยู่ชายแดนติดต่อกับแดนเมืองเกงจิ๋ว เพื่อทำการซ่องสุมเสบียงอาหารรอรับกองทัพใหญ่ของโจโฉที่จะยกมาหลังจากขึ้นปีใหม่แล้ว และให้มีหน้าที่ในการสอดแนมติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวทางด้านเมืองเกงจิ๋ว
หลังจากโจหยินพร้อมด้วยแม่ทัพรองและแม่ทัพหนุนได้ยกกำลังทหารมาตั้งมั่นอยู่ที่เมืองห้วนเสียแล้ว ได้ดำเนินการตามแผนการตามคำสั่งของโจโฉทุกประการ
อยู่มาวันหนึ่งลิกองและลิเชียงได้เข้าไปรายงานกับโจหยินว่าบัดนี้หน่วยสอดแนมได้รายงานข่าวให้ทราบว่าเล่าปี่ได้ยกทหารมาตั้งอยู่ที่เมืองซินเอี๋ย ได้ระดมซ่องสุมรับผู้คนเป็นทหารเป็นจำนวนมาก เกณฑ์และจัดซื้อม้าศึกเข้าประจำการในกองทัพเป็นจำนวนมาก ทั้งยังซ่องสุมเตรียมเสบียงอาหารอย่างคึกคัก อันเป็นปรากฏการณ์ที่เตรียมการทำสงคราม
แล้วเสนอความเห็นว่าการเตรียมการทำสงครามของเล่าปี่ครั้งนี้คงมิใช่เป็นการเตรียมการเพื่อยกไปตีเมืองกังตั๋ง หากเป็นการเตรียมความพร้อมรอคอยโอกาสที่จะกรีฑาทัพขึ้นเหนือเพื่อโจมตีเมืองหลวงเป็นมั่นคง ดังนั้นหากปล่อยละไว้ให้เล่าปี่เติบใหญ่กล้าแข็งยิ่งกว่านี้แล้วก็จะปราบปรามได้ยากลำบาก และเล่าปี่คงคิดการกำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อน อนึ่งนั้นพวกข้าพเจ้านี้นับแต่ได้เข้าสวามิภักดิ์กับท่านอัครมหาเสนาบดีแล้วยังมิได้ทำการสิ่งใดเป็นความชอบ จิตใจจึงไม่สบาย ใคร่อยากทำการสนองพระคุณให้ประจักษ์ไว้ ดังนั้นในครั้งนี้จะขออาสานำทหารห้าพันยกไปเมืองซินเอี๋ย ตัดศีรษะเล่าปี่มาบรรณาการเป็นความชอบไว้แก่ท่าน
โจหยินกับลิเตียนซึ่งเป็นทหารเก่าของโจโฉมาแต่เดิมได้ฟังคำของลิกองและลิเชียงซึ่งเป็นทหารเก่าของอ้วนเสี้ยวแล้วเข้าสวามิภักดิ์แก่โจโฉว่าดังนั้นแล้วก็มีความยินดี แล้วว่าความที่ท่านกล่าวนี้ก็ชอบอยู่ เพราะหากละไว้เล่าปี่เติบใหญ่เข้มแข็งขึ้นแล้วจะกลายเป็นเสี้ยนหนามที่คอยขัดขวางท่านอัครมหาเสนาบดีให้ต้องระวังหลังเป็นพะวงในการยกกองทัพไปปราบปรามหัวเมืองอื่น ๆ ดังนั้นจึงให้ท่านนำทหารห้าพันยกไปกำจัดเล่าปี่เสีย
ลิกองและลิเชียงได้รับอนุญาตจากแม่ทัพใหญ่ดังนี้แล้วจึงคุมทหารจากเมืองห้วนเสียห้าพันยกไปเมืองซินเอี๋ย
พอกองทัพของลิกองและลิเชียงเคลื่อนออกจากเมืองห้วนเสีย หน่วยสอดแนมของเมืองซินเอี๋ยก็ทราบข่าวศึกจึงรายงานข่าวนั้นให้เล่าปี่ทราบ
เล่าปี่ทราบความศึกแล้วจึงเชิญบรรดาที่ปรึกษา ขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษาการศึก ปรารภความที่สองนายทหารของโจโฉยกกองทัพจะมาตีเมืองซินเอี๋ยแล้วปรึกษาว่าจะรับศึกครั้งนี้ประการใด
ตันฮกจึงว่าข้าศึกยกมาครั้งนี้เป็นศึกแรก ไม่ควรปล่อยให้ยกล่วงเข้ามาใกล้กำแพงเมืองซินเอี๋ย ขอให้ท่านยกกองทัพออกไปตั้งรับข้าศึกที่ชายแดนไม่ให้ข้าศึกล่วงล้ำเข้ามาได้ แล้วทำลายล้างข้าศึกเสียที่ชายแดนนั้น
เล่าปี่เห็นด้วยกับแผนการทางยุทธวิธีที่จะยกกองทัพออกไปตั้งรับศึกที่ชายแดน มิให้เดือดร้อนแก่ราษฎรที่ในเมืองตามความเห็นของตันฮก จึงปรึกษาต่อไปว่าเมื่อปลงใจกำหนดแผนยุทธวิธีดั่งนี้แล้ว แผนยุทธการของท่านจะกำหนดขึ้นประการใด
ตันฮกจึงว่ากองทัพข้าศึกยกมาครั้งนี้มีใจกำเริบว่าเมืองซินเอี๋ยเป็นหัวเมืองเล็ก จึงเคลื่อนกองทัพมาอย่างเร็วรี่ อุปมาดั่งปลาที่ว่ายทวนน้ำยามหน้าฝน ข้าพเจ้าขอเสนอยุทธวิธีสามง่ามแทงปลาทำลายล้างกองทัพเมืองห้วนเสียในครั้งนี้
แล้วตันฮกจึงเสนอให้จัดทหารเป็นสามกอง ให้เตียวหุยคุมกำลังกองแรกยกอ้อมไปที่ชายแดน ปล่อยให้กองทัพของเมืองห้วนเสียล่วงเข้ามาก่อน เมื่อถูกตีจนล่าถอยแล้วจึงให้เตียวหุยยกทหารออกตีซ้ำเติม กองที่สองให้กวนอูคุมกำลังยกไปซุ่มอยู่สองข้างทางระยะห่างจากชายแดนห้าสิบเส้น ปล่อยให้กองทัพของเมืองห้วนเสียล่วงเข้ามาจนปะทะกับกองที่สามแล้วจึงค่อยยกกำลังออกกระหน่ำซ้ำตี ส่วนกองที่สามนั้นให้เล่าปี่กับจูล่งคุมทหารเป็นทัพหลวง ยกไปตั้งสกัดกองทัพข้าศึกไว้ในระยะห่างจากชายแดนร้อยห้าสิบเส้น เมื่อกองทัพข้าศึกยกมาก็ให้ยกเข้าตีในทันที ด้วยยุทธการสามง่ามแทงปลานี้ข้าศึกคงจะแตกไปเป็นมั่นคง
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบตามแผนยุทธการของตันฮก สั่งให้จัดทหารเป็นสามกองแล้วยกออกจากเมืองซินเอี๋ยไปตั้งรับกองทัพเมืองห้วนเสียตามที่หมายซึ่งตันฮกได้กำหนดขึ้นทุกประการ
เล่าปี่นำกองทัพหลวงไปถึงที่หมายตั้งแต่เวลาสาย แล้วให้ทหารเตรียมพร้อมไว้ ครั้นใกล้เที่ยงก็เห็นกองทัพของลิกองและลิเชียงยกสวนมา เล่าปี่จึงขี่ม้าพาจูล่งออกยืนหน้าทหารและสั่งทหารทั้งปวงให้พร้อมปฏิบัติการตามแผนยุทธการที่วางไว้
ลิกองและลิเชียงนำกองทัพเคลื่อนมาอย่างรีบเร่ง พอเห็นเล่าปี่ยืนม้าอยู่หน้าทหารจึงสั่งให้ทหารหยุดขบวนแล้วขี่ม้าออกไปประจัญหน้ากับเล่าปี่
เล่าปี่จึงถามตามธรรมเนียมการรบในยุคนั้นว่าตัวท่านนี้ชื่อใด ไฉนจึงบังอาจยกกองทัพมารุกรานเมืองซินเอี๋ยของเรา
ลิกองได้ยินดังนั้นจึงตอบว่าตัวเราชื่อลิกอง เป็นนายทหารของท่านอัครมหาเสนาบดี จะยกกองทัพมาจับตัวท่านซึ่งคิดการกบฏต่อแผ่นดิน
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงสั่งให้จูล่งออกรบ ลิกองเห็นทหารเอกของเล่าปี่ชักม้ารี่ตรงเข้ามาจึงกระทืบโกลนม้าออกไปรบด้วยจูล่ง กลองศึกของทั้งสองฝ่ายดังกระหึ่มขึ้น แต่ยังไม่สิ้นเพลงที่ห้าจูล่งก็เอาทวนแทงลิกองตกม้าตาย
เล่าปี่เห็นได้ทีจึงสั่งทหารให้รุกเข้าตีกองทัพของลิกองและลิเชียงในทันที สัญญาณรุกเข้าตีดังสนั่นขึ้นทางกองทัพเล่าปี่ บรรดาทหารทั้งปวงจึงกรูกันเข้าไปรบกับทหารของลิกองและลิเชียงอย่างดุเดือด ในขณะที่ทหารของลิกองและลิเชียงตกใจเสียขวัญ เพราะตัวนายตกม้าตายในชั่วไม่ถึงห้าเพลงรบ จึงถูกทหารของเล่าปี่ฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเกือบสองพันคน ส่วนที่เหลือพากันแตกหนีกลับไปทางด้านหลัง
กวนอูคุมกองทหารซุ่มอยู่ พอได้ยินเสียงกลองศึกก็ทราบว่ากองทัพหลวงของเล่าปี่ได้ปะทะกับกองทัพของลิกองและลิเชียงแล้ว จึงสั่งให้ทหารเตรียมพร้อม พอเห็นทหารของลิกองและลิเชียงถอยร่นมาจึงให้สัญญาณให้ทหารทั้งปวงยกเข้าตีทหารที่แตกถอยมานั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทหารของลิกองและลิเชียงถูกตีกระหน่ำซ้ำเติมโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวจึงบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก พวกที่เหลือก็แตกร่นลงไป แต่พอถึงใกล้ชายแดนเสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้น เตียวหุยได้นำกำลังยกออกจากที่ซุ่มตีสกัดทหารที่แตกถอยไปนั้น
เตียวหุยเห็นลิเชียงตัวนายคุมทหารจะหนีกลับเข้าเขตแดนเมืองห้วนเสียจึงชักม้ามาสกัดไว้แล้วร้องตวาดว่า กูมารอคอยท่ามึงอยู่นานแล้ว เสียงของเตียวหุยดังสนั่นลั่นทุ่งประดุจฟ้าคำราม ลิเชียงได้ฟังก็ตกใจคิดจะชักม้าหนี เตียวหุยเห็นดังนั้นจึงกระตุ้นม้าปรี่เข้าหาลิเชียงอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ แล้วเอาทวนแทงถูกลิเชียงตกม้าตาย
ทหารของลิเชียงส่วนที่เหลือละล้าละลังมิรู้ที่จะทำประการใด พอดีกองทัพของเล่าปี่และกวนอูยกตามมา ทหารเหล่านั้นจึงยอมแพ้ เล่าปี่จึงให้จับทหารเหล่านั้นเป็นเชลยเกือบสองพันคน
เล่าปี่ได้สอบถามว่าผู้ใดเต็มใจที่จะเข้าด้วยกับกองทัพของเรา เราก็เต็มใจต้อนรับ แต่หากผู้ใดไม่เต็มใจที่จะเข้าด้วย เราก็จะปล่อยตัวไป บรรดาเชลยกว่าครึ่งเห็นเล่าปี่มีน้ำใจโอบอ้อมอารีก็ยอมสวามิภักดิ์ เหลือไม่กี่ร้อยคนที่คิดถึงครอบครัว เล่าปี่จึงให้ปล่อยตัวกลับไป
เมื่อได้ชัยชนะอย่างงดงามแล้วเล่าปี่จึงพาทหารยกกลับเข้าเมืองซินเอี๋ย
ฝ่ายทหารของลิกองและลิเชียงที่ถูกปล่อยตัวกลับ เมื่อเดินทางกลับถึงเมืองห้วนเสียแล้วได้รายงานการสงครามตามลำดับชั้นจนความทราบถึงโจหยินทุกประการ
โจหยินได้ทราบความดังนั้นก็ตกใจ เรียกลิเตียนแม่ทัพรองมาปรึกษาว่าลิกองและลิเชียงยกกองทัพไปเมืองซินเอี๋ยเสียทีแก่เล่าปี่ครั้งนี้แล้วจะทำให้เล่าปี่มีน้ำใจกำเริบมากขึ้น ท่านมีความคิดเห็นเป็นประการใด
ลิเตียนได้ฟังดังนั้นจึงว่าลิกองและลิเชียงคิดแต่จะทำการเอาความชอบ โดยที่ไม่รู้สภาพการข้างกองทัพของเล่าปี่ จึงตั้งอยู่ในความประมาทแล้วเสียทีแก่ข้าศึก เล่าปี่ได้ชัยชนะครั้งนี้กองทัพฮึกห้าวเหิมหาญ หากท่านหุนหันพลันแล่นยกกองทัพไปในสถานการณ์เช่นนี้คงจะตีเมืองซินเอี๋ยไม่สำเร็จ ดีร้ายก็อาจเสียทีแก่กองทัพของเล่าปี่ให้ได้อัปยศสืบไป
แล้วเสนอว่าในยามที่ข้าศึกฮึกเหิมอย่างนี้ควรที่ท่านจะได้คุมกำลังตั้งมั่นรอโอกาสไว้ก่อน แล้วรายงานการสงครามให้ทางเมืองหลวงได้รับทราบ และเชิญท่านอัครมหาเสนาบดียกกองทัพมาปราบปรามเมืองซินเอี๋ยเสียให้ราบคาบ
โจหยินจึงว่าตัวเราเป็นนายทหารของท่านอัครมหาเสนาบดีมาช้านานไม่เคยพ่ายแพ้แก่ผู้ใด มาบัดนี้ลิกองและลิเชียงเสียทีแก่เล่าปี่ สูญเสียทหารและอาวุธยุธโธปกรณ์เป็นอันมาก เราได้รับความอัปยศและร้อนใจนักเหมือนกับมีไฟสุมอยู่ในอก เห็นจะนิ่งอยู่มิได้ อันเมืองซินเอี๋ยเป็นหัวเมืองเล็กเพียงแค่หยิบมือเดียว ไม่สมควรที่จะต้องรบกวนถึงท่านอัครมหาเสนาบดีให้ยกกองทัพมา เราจะยกกองทัพไปด้วยตัวเองเหยียบเมืองซินเอี๋ยเสียให้ราบเป็นหน้ากลอง
ลิเตียนจึงท้วงว่าอันการสงครามนั้นพึงประมาณสถานการณ์ให้ถูกต้องถ่องแท้ก่อนจึงค่อยทำการ เล่าปี่แม้ตั้งอยู่ที่เมืองซินเอี๋ยอันเป็นหัวเมืองเล็กแต่ก็มีสติปัญญาหลักแหลม มีประสบการณ์ในการสงครามเป็นอันมาก หาควรที่จะดูเบาเล่าปี่ไม่ มิฉะนั้นก็จะเสียทีแก่เล่าปี่ซ้ำอีก
โจหยินได้ฟังดังนั้นก็ขัดเคืองใจลิเตียน แล้วว่าตัวท่านเจรจาความดั่งนี้เหมือนกับเกรงกลัวเล่าปี่นักหนา หรือว่าตัวท่านมีใจเป็นสอง
ลิเตียนจึงว่าข้าพเจ้ากล่าวความทั้งนี้ตามเหตุแลผลของการศึก ใช่จะเป็นการกล่าวเพราะเกรงกลัวฝีมือเล่าปี่ก็หาไม่ ข้าพเจ้ากล่าวความโดยสุจริตใจ หวังให้เป็นอุทาหรณ์เตือนสติท่านมิให้ตั้งอยู่ในความประมาท และว่า “คำโบราณกล่าวไว้ว่าถ้าจะทำการสงครามพึงให้รู้ลักษณะในไส้ศึกก่อน จึงจะทำการได้ชัยชนะโดยง่าย”
ลิเตียนได้เตือนสติโจหยินต่อไปว่า ลิกองและลิเชียงเสียทีแก่กองทัพเล่าปี่ก็เพราะยกไปโดยรู้แต่เราไม่รู้เขา ตัวท่านยามนี้ก็เหมือนกันยังไม่รู้สภาพการทางข้างกองทัพของเล่าปี่ว่าตื้นลึกหนาบางแข็งอ่อนประการใด หากด่วนยกไปโดยที่ยังไม่รู้เขาฉะนี้แล้ว ข้าพเจ้าเกรงว่าท่านจะเสียทีแก่เล่าปี่ให้เป็นที่อัปยศซ้ำเข้าไปอีก
โจหยินได้ฟังลิเตียนทัดทานดังนั้นความขัดเคืองก็เพิ่มขึ้นกลายเป็นความโกรธ ตัดพ้อต่อว่าลิเตียนว่าท่านกล่าวความเหมือนประหนึ่งยกย่องกองทัพเล่าปี่ว่าล้ำเลิศเสียเต็มประดา ท่านไม่รู้หรือว่าเล่าปี่นี้เป็นเพียงพวกหนีศึก ทำสงครามกับท่านอัครมหาเสนาบดีคราวใดก็มีแต่ความพ่ายแพ้ทุกครั้งคราว จะเกรงกลัวอันใดกับกองทัพเล่าปี่เพียงเท่านี้ ท่านมาท้วงเราครั้งนี้เป็นเพราะท่านมีสองใจ ฝักใฝ่ด้วยเล่าปี่เป็นแน่แท้
แล้วโจหยินจึงยื่นคำขาดแก่ลิเตียนซึ่งเป็นแม่ทัพรองว่าหากตัวท่านกลัวเล่าปี่ก็ จงอยู่รักษาเมืองห้วนเสีย ตัวเราแต่ผู้เดียวจะนำกองทัพไปตัดศีรษะเล่าปี่ให้จงได้.
เป้าหมายแรกของโจโฉในการยึดภาคใต้คือเมืองเกงจิ๋ว และเป้าหมายถัดไปคือเมืองกังตั๋งซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำแยงซีเกียง
เมื่อกำหนดยุทธศาสตร์ดังกล่าวแล้ว ด้านหนึ่งโจโฉจึงให้สร้างกองทัพเรือและฝึกฝนทหารเรือที่แม่น้ำเจียงโห สามก๊กบางฉบับระบุว่าโจโฉได้ให้ขุดสระเพื่อการฝึกซ้อมทหารเรือที่ริมแม่น้ำเจียงโห แต่พิเคราะห์ดูแล้วไม่เห็นสมเพราะการขุดสระนั้น ถึงจะใหญ่โตสักเพียงใดก็ไม่มีทางใช้เป็นที่ฝึกทหารเรือได้ ทั้งแม่น้ำเจียงโหก็มีความกว้างแลลึกโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องขุดสระริมแม่น้ำเจียงโหเพื่อทำการฝึกทหารเรืออีก
ในอีกด้านหนึ่ง โจโฉได้สั่งให้โจหยินเป็นแม่ทัพใหญ่ มีลิเตียน ลิกอง และลิเชียงนายทหารเอกเป็นแม่ทัพรองและแม่ทัพหนุนโดยลำดับ คุมทหารสามหมื่นยกไปตั้งอยู่ ณ เมืองห้วนเสีย ซึ่งเป็นหัวเมืองขึ้นต่อเมืองหลวงและอยู่ชายแดนติดต่อกับแดนเมืองเกงจิ๋ว เพื่อทำการซ่องสุมเสบียงอาหารรอรับกองทัพใหญ่ของโจโฉที่จะยกมาหลังจากขึ้นปีใหม่แล้ว และให้มีหน้าที่ในการสอดแนมติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวทางด้านเมืองเกงจิ๋ว
หลังจากโจหยินพร้อมด้วยแม่ทัพรองและแม่ทัพหนุนได้ยกกำลังทหารมาตั้งมั่นอยู่ที่เมืองห้วนเสียแล้ว ได้ดำเนินการตามแผนการตามคำสั่งของโจโฉทุกประการ
อยู่มาวันหนึ่งลิกองและลิเชียงได้เข้าไปรายงานกับโจหยินว่าบัดนี้หน่วยสอดแนมได้รายงานข่าวให้ทราบว่าเล่าปี่ได้ยกทหารมาตั้งอยู่ที่เมืองซินเอี๋ย ได้ระดมซ่องสุมรับผู้คนเป็นทหารเป็นจำนวนมาก เกณฑ์และจัดซื้อม้าศึกเข้าประจำการในกองทัพเป็นจำนวนมาก ทั้งยังซ่องสุมเตรียมเสบียงอาหารอย่างคึกคัก อันเป็นปรากฏการณ์ที่เตรียมการทำสงคราม
แล้วเสนอความเห็นว่าการเตรียมการทำสงครามของเล่าปี่ครั้งนี้คงมิใช่เป็นการเตรียมการเพื่อยกไปตีเมืองกังตั๋ง หากเป็นการเตรียมความพร้อมรอคอยโอกาสที่จะกรีฑาทัพขึ้นเหนือเพื่อโจมตีเมืองหลวงเป็นมั่นคง ดังนั้นหากปล่อยละไว้ให้เล่าปี่เติบใหญ่กล้าแข็งยิ่งกว่านี้แล้วก็จะปราบปรามได้ยากลำบาก และเล่าปี่คงคิดการกำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อน อนึ่งนั้นพวกข้าพเจ้านี้นับแต่ได้เข้าสวามิภักดิ์กับท่านอัครมหาเสนาบดีแล้วยังมิได้ทำการสิ่งใดเป็นความชอบ จิตใจจึงไม่สบาย ใคร่อยากทำการสนองพระคุณให้ประจักษ์ไว้ ดังนั้นในครั้งนี้จะขออาสานำทหารห้าพันยกไปเมืองซินเอี๋ย ตัดศีรษะเล่าปี่มาบรรณาการเป็นความชอบไว้แก่ท่าน
โจหยินกับลิเตียนซึ่งเป็นทหารเก่าของโจโฉมาแต่เดิมได้ฟังคำของลิกองและลิเชียงซึ่งเป็นทหารเก่าของอ้วนเสี้ยวแล้วเข้าสวามิภักดิ์แก่โจโฉว่าดังนั้นแล้วก็มีความยินดี แล้วว่าความที่ท่านกล่าวนี้ก็ชอบอยู่ เพราะหากละไว้เล่าปี่เติบใหญ่เข้มแข็งขึ้นแล้วจะกลายเป็นเสี้ยนหนามที่คอยขัดขวางท่านอัครมหาเสนาบดีให้ต้องระวังหลังเป็นพะวงในการยกกองทัพไปปราบปรามหัวเมืองอื่น ๆ ดังนั้นจึงให้ท่านนำทหารห้าพันยกไปกำจัดเล่าปี่เสีย
ลิกองและลิเชียงได้รับอนุญาตจากแม่ทัพใหญ่ดังนี้แล้วจึงคุมทหารจากเมืองห้วนเสียห้าพันยกไปเมืองซินเอี๋ย
พอกองทัพของลิกองและลิเชียงเคลื่อนออกจากเมืองห้วนเสีย หน่วยสอดแนมของเมืองซินเอี๋ยก็ทราบข่าวศึกจึงรายงานข่าวนั้นให้เล่าปี่ทราบ
เล่าปี่ทราบความศึกแล้วจึงเชิญบรรดาที่ปรึกษา ขุนนางและแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษาการศึก ปรารภความที่สองนายทหารของโจโฉยกกองทัพจะมาตีเมืองซินเอี๋ยแล้วปรึกษาว่าจะรับศึกครั้งนี้ประการใด
ตันฮกจึงว่าข้าศึกยกมาครั้งนี้เป็นศึกแรก ไม่ควรปล่อยให้ยกล่วงเข้ามาใกล้กำแพงเมืองซินเอี๋ย ขอให้ท่านยกกองทัพออกไปตั้งรับข้าศึกที่ชายแดนไม่ให้ข้าศึกล่วงล้ำเข้ามาได้ แล้วทำลายล้างข้าศึกเสียที่ชายแดนนั้น
เล่าปี่เห็นด้วยกับแผนการทางยุทธวิธีที่จะยกกองทัพออกไปตั้งรับศึกที่ชายแดน มิให้เดือดร้อนแก่ราษฎรที่ในเมืองตามความเห็นของตันฮก จึงปรึกษาต่อไปว่าเมื่อปลงใจกำหนดแผนยุทธวิธีดั่งนี้แล้ว แผนยุทธการของท่านจะกำหนดขึ้นประการใด
ตันฮกจึงว่ากองทัพข้าศึกยกมาครั้งนี้มีใจกำเริบว่าเมืองซินเอี๋ยเป็นหัวเมืองเล็ก จึงเคลื่อนกองทัพมาอย่างเร็วรี่ อุปมาดั่งปลาที่ว่ายทวนน้ำยามหน้าฝน ข้าพเจ้าขอเสนอยุทธวิธีสามง่ามแทงปลาทำลายล้างกองทัพเมืองห้วนเสียในครั้งนี้
แล้วตันฮกจึงเสนอให้จัดทหารเป็นสามกอง ให้เตียวหุยคุมกำลังกองแรกยกอ้อมไปที่ชายแดน ปล่อยให้กองทัพของเมืองห้วนเสียล่วงเข้ามาก่อน เมื่อถูกตีจนล่าถอยแล้วจึงให้เตียวหุยยกทหารออกตีซ้ำเติม กองที่สองให้กวนอูคุมกำลังยกไปซุ่มอยู่สองข้างทางระยะห่างจากชายแดนห้าสิบเส้น ปล่อยให้กองทัพของเมืองห้วนเสียล่วงเข้ามาจนปะทะกับกองที่สามแล้วจึงค่อยยกกำลังออกกระหน่ำซ้ำตี ส่วนกองที่สามนั้นให้เล่าปี่กับจูล่งคุมทหารเป็นทัพหลวง ยกไปตั้งสกัดกองทัพข้าศึกไว้ในระยะห่างจากชายแดนร้อยห้าสิบเส้น เมื่อกองทัพข้าศึกยกมาก็ให้ยกเข้าตีในทันที ด้วยยุทธการสามง่ามแทงปลานี้ข้าศึกคงจะแตกไปเป็นมั่นคง
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบตามแผนยุทธการของตันฮก สั่งให้จัดทหารเป็นสามกองแล้วยกออกจากเมืองซินเอี๋ยไปตั้งรับกองทัพเมืองห้วนเสียตามที่หมายซึ่งตันฮกได้กำหนดขึ้นทุกประการ
เล่าปี่นำกองทัพหลวงไปถึงที่หมายตั้งแต่เวลาสาย แล้วให้ทหารเตรียมพร้อมไว้ ครั้นใกล้เที่ยงก็เห็นกองทัพของลิกองและลิเชียงยกสวนมา เล่าปี่จึงขี่ม้าพาจูล่งออกยืนหน้าทหารและสั่งทหารทั้งปวงให้พร้อมปฏิบัติการตามแผนยุทธการที่วางไว้
ลิกองและลิเชียงนำกองทัพเคลื่อนมาอย่างรีบเร่ง พอเห็นเล่าปี่ยืนม้าอยู่หน้าทหารจึงสั่งให้ทหารหยุดขบวนแล้วขี่ม้าออกไปประจัญหน้ากับเล่าปี่
เล่าปี่จึงถามตามธรรมเนียมการรบในยุคนั้นว่าตัวท่านนี้ชื่อใด ไฉนจึงบังอาจยกกองทัพมารุกรานเมืองซินเอี๋ยของเรา
ลิกองได้ยินดังนั้นจึงตอบว่าตัวเราชื่อลิกอง เป็นนายทหารของท่านอัครมหาเสนาบดี จะยกกองทัพมาจับตัวท่านซึ่งคิดการกบฏต่อแผ่นดิน
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงสั่งให้จูล่งออกรบ ลิกองเห็นทหารเอกของเล่าปี่ชักม้ารี่ตรงเข้ามาจึงกระทืบโกลนม้าออกไปรบด้วยจูล่ง กลองศึกของทั้งสองฝ่ายดังกระหึ่มขึ้น แต่ยังไม่สิ้นเพลงที่ห้าจูล่งก็เอาทวนแทงลิกองตกม้าตาย
เล่าปี่เห็นได้ทีจึงสั่งทหารให้รุกเข้าตีกองทัพของลิกองและลิเชียงในทันที สัญญาณรุกเข้าตีดังสนั่นขึ้นทางกองทัพเล่าปี่ บรรดาทหารทั้งปวงจึงกรูกันเข้าไปรบกับทหารของลิกองและลิเชียงอย่างดุเดือด ในขณะที่ทหารของลิกองและลิเชียงตกใจเสียขวัญ เพราะตัวนายตกม้าตายในชั่วไม่ถึงห้าเพลงรบ จึงถูกทหารของเล่าปี่ฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเกือบสองพันคน ส่วนที่เหลือพากันแตกหนีกลับไปทางด้านหลัง
กวนอูคุมกองทหารซุ่มอยู่ พอได้ยินเสียงกลองศึกก็ทราบว่ากองทัพหลวงของเล่าปี่ได้ปะทะกับกองทัพของลิกองและลิเชียงแล้ว จึงสั่งให้ทหารเตรียมพร้อม พอเห็นทหารของลิกองและลิเชียงถอยร่นมาจึงให้สัญญาณให้ทหารทั้งปวงยกเข้าตีทหารที่แตกถอยมานั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทหารของลิกองและลิเชียงถูกตีกระหน่ำซ้ำเติมโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวจึงบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก พวกที่เหลือก็แตกร่นลงไป แต่พอถึงใกล้ชายแดนเสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้น เตียวหุยได้นำกำลังยกออกจากที่ซุ่มตีสกัดทหารที่แตกถอยไปนั้น
เตียวหุยเห็นลิเชียงตัวนายคุมทหารจะหนีกลับเข้าเขตแดนเมืองห้วนเสียจึงชักม้ามาสกัดไว้แล้วร้องตวาดว่า กูมารอคอยท่ามึงอยู่นานแล้ว เสียงของเตียวหุยดังสนั่นลั่นทุ่งประดุจฟ้าคำราม ลิเชียงได้ฟังก็ตกใจคิดจะชักม้าหนี เตียวหุยเห็นดังนั้นจึงกระตุ้นม้าปรี่เข้าหาลิเชียงอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ แล้วเอาทวนแทงถูกลิเชียงตกม้าตาย
ทหารของลิเชียงส่วนที่เหลือละล้าละลังมิรู้ที่จะทำประการใด พอดีกองทัพของเล่าปี่และกวนอูยกตามมา ทหารเหล่านั้นจึงยอมแพ้ เล่าปี่จึงให้จับทหารเหล่านั้นเป็นเชลยเกือบสองพันคน
เล่าปี่ได้สอบถามว่าผู้ใดเต็มใจที่จะเข้าด้วยกับกองทัพของเรา เราก็เต็มใจต้อนรับ แต่หากผู้ใดไม่เต็มใจที่จะเข้าด้วย เราก็จะปล่อยตัวไป บรรดาเชลยกว่าครึ่งเห็นเล่าปี่มีน้ำใจโอบอ้อมอารีก็ยอมสวามิภักดิ์ เหลือไม่กี่ร้อยคนที่คิดถึงครอบครัว เล่าปี่จึงให้ปล่อยตัวกลับไป
เมื่อได้ชัยชนะอย่างงดงามแล้วเล่าปี่จึงพาทหารยกกลับเข้าเมืองซินเอี๋ย
ฝ่ายทหารของลิกองและลิเชียงที่ถูกปล่อยตัวกลับ เมื่อเดินทางกลับถึงเมืองห้วนเสียแล้วได้รายงานการสงครามตามลำดับชั้นจนความทราบถึงโจหยินทุกประการ
โจหยินได้ทราบความดังนั้นก็ตกใจ เรียกลิเตียนแม่ทัพรองมาปรึกษาว่าลิกองและลิเชียงยกกองทัพไปเมืองซินเอี๋ยเสียทีแก่เล่าปี่ครั้งนี้แล้วจะทำให้เล่าปี่มีน้ำใจกำเริบมากขึ้น ท่านมีความคิดเห็นเป็นประการใด
ลิเตียนได้ฟังดังนั้นจึงว่าลิกองและลิเชียงคิดแต่จะทำการเอาความชอบ โดยที่ไม่รู้สภาพการข้างกองทัพของเล่าปี่ จึงตั้งอยู่ในความประมาทแล้วเสียทีแก่ข้าศึก เล่าปี่ได้ชัยชนะครั้งนี้กองทัพฮึกห้าวเหิมหาญ หากท่านหุนหันพลันแล่นยกกองทัพไปในสถานการณ์เช่นนี้คงจะตีเมืองซินเอี๋ยไม่สำเร็จ ดีร้ายก็อาจเสียทีแก่กองทัพของเล่าปี่ให้ได้อัปยศสืบไป
แล้วเสนอว่าในยามที่ข้าศึกฮึกเหิมอย่างนี้ควรที่ท่านจะได้คุมกำลังตั้งมั่นรอโอกาสไว้ก่อน แล้วรายงานการสงครามให้ทางเมืองหลวงได้รับทราบ และเชิญท่านอัครมหาเสนาบดียกกองทัพมาปราบปรามเมืองซินเอี๋ยเสียให้ราบคาบ
โจหยินจึงว่าตัวเราเป็นนายทหารของท่านอัครมหาเสนาบดีมาช้านานไม่เคยพ่ายแพ้แก่ผู้ใด มาบัดนี้ลิกองและลิเชียงเสียทีแก่เล่าปี่ สูญเสียทหารและอาวุธยุธโธปกรณ์เป็นอันมาก เราได้รับความอัปยศและร้อนใจนักเหมือนกับมีไฟสุมอยู่ในอก เห็นจะนิ่งอยู่มิได้ อันเมืองซินเอี๋ยเป็นหัวเมืองเล็กเพียงแค่หยิบมือเดียว ไม่สมควรที่จะต้องรบกวนถึงท่านอัครมหาเสนาบดีให้ยกกองทัพมา เราจะยกกองทัพไปด้วยตัวเองเหยียบเมืองซินเอี๋ยเสียให้ราบเป็นหน้ากลอง
ลิเตียนจึงท้วงว่าอันการสงครามนั้นพึงประมาณสถานการณ์ให้ถูกต้องถ่องแท้ก่อนจึงค่อยทำการ เล่าปี่แม้ตั้งอยู่ที่เมืองซินเอี๋ยอันเป็นหัวเมืองเล็กแต่ก็มีสติปัญญาหลักแหลม มีประสบการณ์ในการสงครามเป็นอันมาก หาควรที่จะดูเบาเล่าปี่ไม่ มิฉะนั้นก็จะเสียทีแก่เล่าปี่ซ้ำอีก
โจหยินได้ฟังดังนั้นก็ขัดเคืองใจลิเตียน แล้วว่าตัวท่านเจรจาความดั่งนี้เหมือนกับเกรงกลัวเล่าปี่นักหนา หรือว่าตัวท่านมีใจเป็นสอง
ลิเตียนจึงว่าข้าพเจ้ากล่าวความทั้งนี้ตามเหตุแลผลของการศึก ใช่จะเป็นการกล่าวเพราะเกรงกลัวฝีมือเล่าปี่ก็หาไม่ ข้าพเจ้ากล่าวความโดยสุจริตใจ หวังให้เป็นอุทาหรณ์เตือนสติท่านมิให้ตั้งอยู่ในความประมาท และว่า “คำโบราณกล่าวไว้ว่าถ้าจะทำการสงครามพึงให้รู้ลักษณะในไส้ศึกก่อน จึงจะทำการได้ชัยชนะโดยง่าย”
ลิเตียนได้เตือนสติโจหยินต่อไปว่า ลิกองและลิเชียงเสียทีแก่กองทัพเล่าปี่ก็เพราะยกไปโดยรู้แต่เราไม่รู้เขา ตัวท่านยามนี้ก็เหมือนกันยังไม่รู้สภาพการทางข้างกองทัพของเล่าปี่ว่าตื้นลึกหนาบางแข็งอ่อนประการใด หากด่วนยกไปโดยที่ยังไม่รู้เขาฉะนี้แล้ว ข้าพเจ้าเกรงว่าท่านจะเสียทีแก่เล่าปี่ให้เป็นที่อัปยศซ้ำเข้าไปอีก
โจหยินได้ฟังลิเตียนทัดทานดังนั้นความขัดเคืองก็เพิ่มขึ้นกลายเป็นความโกรธ ตัดพ้อต่อว่าลิเตียนว่าท่านกล่าวความเหมือนประหนึ่งยกย่องกองทัพเล่าปี่ว่าล้ำเลิศเสียเต็มประดา ท่านไม่รู้หรือว่าเล่าปี่นี้เป็นเพียงพวกหนีศึก ทำสงครามกับท่านอัครมหาเสนาบดีคราวใดก็มีแต่ความพ่ายแพ้ทุกครั้งคราว จะเกรงกลัวอันใดกับกองทัพเล่าปี่เพียงเท่านี้ ท่านมาท้วงเราครั้งนี้เป็นเพราะท่านมีสองใจ ฝักใฝ่ด้วยเล่าปี่เป็นแน่แท้
แล้วโจหยินจึงยื่นคำขาดแก่ลิเตียนซึ่งเป็นแม่ทัพรองว่าหากตัวท่านกลัวเล่าปี่ก็ จงอยู่รักษาเมืองห้วนเสีย ตัวเราแต่ผู้เดียวจะนำกองทัพไปตัดศีรษะเล่าปี่ให้จงได้.