ตอนที่ 184. ลิขิตแห่งฟ้า

ชัวมอวางแผนสังหารเล่าปี่ไว้อย่างรอบคอบรัดกุม ภายในเมืองแยกจูล่งและทหารที่ติดตามเล่าปี่ออกมาจัดเลี้ยงนอกศาลาว่าราชการ ภายนอกเมืองจัดกำลังทหารเตรียมสกัดและสังหารเล่าปี่ไว้ที่หน้าประตูเมืองทั้งสามด้าน ปล่อยว่างไว้ก็เฉพาะประตูเมืองด้านตะวันตกซึ่งจรดกับแม่น้ำตันเข ซึ่งเป็นแม่น้ำลึกและกว้างถึงเก้าวาสิบวา เหลือเล่าปี่ไว้ในศาลาว่าราชการเพื่อจะได้สังหารเสียโดยสะดวก

            แผนการดังกล่าวนี้รัดกุมแน่นหนาประดุจตาข่ายไหมฟ้า ยากที่ปลาแบบเล่าปี่จะหนีรอดออกไปได้ แต่ทว่าความคิดนั้นเป็นของคน ความสำเร็จกลับเป็นของฟ้า การข้างหน้าเป็นไฉนย่อมเป็นไปตามลิขิตแห่งฟ้าดิน สวรรค์ได้ทดสอบให้เล่าปี่เผชิญมหันตภัยอันหนักหนาครั้งนี้แล้วย่อมต้องเปิดทางอันสว่างให้เล่าปี่ด้วย มิฉะนั้นสวรรค์ก็ไร้ซึ่งความยุติธรรม

            ครั้นรุ่งขึ้นเมื่อบรรดาเจ้าเมืองโททั้งเก้าหัวเมือง เจ้าเมืองตรี จัตวาสี่สิบสองหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองเกงจิ๋วและขุนนางข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของเมืองเกงจิ๋วได้เดินทางมาถึงศาลาว่าการและเข้าประจำที่แล้ว ชัวมอจึงมาเชิญเล่าปี่ออกนั่งเป็นประธานในงานชุมนุมเจ้าเมืองทั้งปวงแทนเล่าเปียว

            พอเล่าปี่ขึ้นนั่งบนบัลลังก์ประธานแทนเล่าเปียวแล้ว บรรดาเจ้าเมืองหัวเมืองทั้งปวงและขุนนางข้าราชการต่างได้คำนับอวยพรแก่ผู้เป็นประธานแล้วมอบของขวัญตามธรรมเนียมอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นหัวเมืองต่าง ๆ ได้รายงานกิจการที่เป็นไปในแต่ละหัวเมือง

            เมื่อสิ้นวาระรายงานกิจการบ้านเมืองแล้วจึงเป็นวาระที่เล่าปี่ในฐานะประธานต้องให้โอวาทแลนโยบายเพื่อหัวเมืองทั้งปวงจะได้นำไปปฏิบัติตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นไป

            เล่าปี่จึงว่าในอาณาเขตแคว้นแดนเมืองเกงจิ๋วนี้ราษฎรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำไร่ไถนาและประมง ส่วนน้อยค้าขายและอาชีพอื่น ดังนั้นความมั่งคั่งรุ่งเรืองของเมืองเกงจิ๋วจึงอยู่ที่ความมั่งคั่งของราษฎรส่วนใหญ่นี้ ท่านทั้งปวงจงพร้อมเพรียงกันส่งเสริมอาชีพของราษฎรส่วนใหญ่ให้เป็นไปโดยราบรื่น ได้ผลมาก ได้ราคาดี ที่สำคัญก็คือจะต้องให้ผลิตผลทางการเกษตรทั้งปวงได้รับการแปรรูปเพื่อทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น เมื่อราคาพืชผลทางการเกษตรได้ผลดีดั่งนี้แล้ว ราษฎรก็จะมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น มีเงินจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น จะส่งผลให้การค้าทั้งหลายบรรดามีเจริญรุ่งเรืองตามไปด้วย เมื่อการค้าทั้งหลายภายในเมืองเจริญรุ่งเรืองดั่งนี้แล้ว ทางการก็จะสามารถจัดเก็บภาษีได้มากและทั่วถึง แลเมื่อทางการมีรายได้มาก บ้านเมืองก็มั่งคั่ง สามารถนำรายได้นั้นไปพัฒนาท้องถิ่น ไปพัฒนาบ้านเมืองให้เป็นประโยชน์และความสุขแก่ราษฎรโดยถ้วนหน้ากัน

            อันการพัฒนาบ้านเมืองนั้นอุปมาเหมือนดั่งกับการรดน้ำต้นไม้ เกษตรกรผู้ชาญฉลาดย่อมรดน้ำต้นไม้ที่รากและโคนไม้ บำรุงไม้นั้นให้เจริญเติบโต ให้ดอก ให้ผล ให้ร่ม ให้เงา เพราะเมื่อน้ำแลปุ๋ยไปถึงรากก็จะส่งถึงลำต้น จากลำต้นก็จะส่งถึงกิ่งก้านใบ แล้วออกดอกออกผลให้ได้ชื่นชมแลบริโภค

            แต่ทว่ายังมีพวกมืออาชีพจอมปลอมอยู่ไม่น้อยที่พูดจาประหนึ่งว่าจะเป็นเกษตรกรผู้ชาญฉลาด ทำให้คนหลงเชื่อว่าจะมีความสามารถปลูกต้นไม้ให้ได้ผลดี แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปราษฎรก็ได้แลเห็นว่าวิธีปลูกต้นไม้ของพวกมืออาชีพจอมปลอมนั้นเป็นวิธีการที่ผิด เป็นวิธีการที่ถูกเขาหลอกใช้ นั่นคือเขารดน้ำต้นไม้ที่ยอดไม้ ทำให้ต้นไม้บางต้นยอดเน่าเปื่อยแล้วตายไป บ้างที่ไม่ตายเพราะน้ำท่วมยอด น้ำนั้นก็ไหลซึมมาถึงรากได้น้อย ไม่นานลำต้นก็เหี่ยวแห้งเฉาตาย แต่กระนั้นก็ยังดีกว่าพวกมืออาชีพจอมปลอมบางคนที่ปลูกต้นไม้แบบโง่ ๆ จนต้นไม้ตายแล้วเอาต้นไม้พลาสติกมาเสียบไว้แทน แล้วหลอกลวงอาณาประชาราษฎรว่าปลูกต้นไม้ได้ดี ได้ดอกผลสวยงาม

            แล้วว่าเกษตรกรในบ้านเมืองของเรานี้ถูกทอดทิ้งมาเป็นเวลาช้านาน ผืนดินก็ขาดความสมบูรณ์ ปุ๋ยที่ใช้ก็ไม่ผลิตขึ้นใช้เอง ต้องซื้อหาจากที่อื่นในราคาแพง มีทั้งปุ๋ยปลอม ปุ๋ยปนและปุ๋ยลม ยาปราบศัตรูพืชเล่าก็คือยาพิษที่พร่าชีวิตประชาชน จนผลได้ไม่เพียงพอต่อค่ารักษาพยาบาล แม้พันธุ์พืชอันเป็นปัจจัยสำคัญก็ขาดการบำรุงรักษาคว้าค้น จึงทำให้ผลผลิตไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ที่สำคัญก็คือผืนแผ่นดินที่ทำการเกษตรนั้นกว้างใหญ่ แต่ไม่มีทางคมนาคม จึงทำให้เกษตรกรต้องสูญเสียเวลาและค่าใช้จ่ายเป็นอันมากในการลำเลียงปัจจัยการผลิตและผลิตผลไปกลับจากไร่นา ทำให้ประสิทธิภาพอ่อนด้อยลงกว่าครึ่ง เรื่องเหล่านี้เป็นปัญหาใหญ่ที่จำเป็นจะต้องได้รับการแก้ไขส่งเสริมให้เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ของบ้านเมือง

            เล่าปี่ได้เตือนว่าบ้านเมืองของเราทุกวันนี้พึงคิดอ่านแก้ไขป้องกันปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นประการสำคัญ เพราะหากการฉ้อราษฎร์บังหลวงยังขยายตัวลุกลามแล้ว อาณาประชาราษฎรย่อมเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า

            เล่าปี่ได้สรุปว่าการทำนุบำรุงราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขเป็นหน้าที่สำคัญของบรรดาเจ้าเมืองทั้งปวง หากราษฎรทุกข์ร้อนยากเข็ญแล้วนั่นคือความล้มเหลวของการบริหารราชการแผ่นดิน และเป็นเรื่องที่เจ้าเมืองทุกคนต้องรับผิดชอบ ดังนั้นในปีใหม่นี้จึงขอให้ท่านทั้งปวงตั้งอยู่ในความสัตย์สุจริต เห็นแก่ประโยชน์บ้านเมืองแลราษฎร ทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุขทั่วหน้ากันเถิด

            เล่าปี่ให้นโยบายและโอวาทดังกล่าวแล้ว บรรดาเจ้าเมืองทั้งปวงและขุนนางข้าราชการได้พร้อมกันลุกขึ้นคารวะคำนับเล่าปี่ จากนั้นกรมการเจ้าหน้าที่ได้เชิญให้ทุกคนเข้าประจำโต๊ะจัดเลี้ยง

            เล่าปี่เข้านั่งประจำโต๊ะในศาลาว่าราชการ โดยมีจูล่งถือกระบี่ยืนเคียงข้างเป็นองครักษ์อยู่ข้างหลัง

            พองานเลี้ยงเริ่มขึ้นบุนเพ่งแลอองอุ้ยซึ่งรับผิดชอบงานจัดเลี้ยงด้านนอกศาลาว่าราชการได้เดินเข้ามาข้างในแล้วเชิญจูล่งออกไปกินโต๊ะแต่จูล่งบิดพลิ้วไม่ยอมไปตามคำเชิญ ขอบคุณนายทหารทั้งสองแล้วว่าจะต้องรักษาความปลอดภัยอยู่ด้วยเล่าปี่จนกว่าจะเสร็จงาน

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงบอกแก่จูล่งว่าท่านจงไปร่วมโต๊ะกับบรรดานายทหารทั้งหลายตามคำเชิญของบุนเพ่งเถิด จูล่งขัดคำเล่าปี่ไม่ได้ก็เดินตามบุนเพ่งและอองอุ้ยออกไปกินโต๊ะอยู่ที่ด้านนอก

            ชัวมอเห็นการเป็นไปตามแผนก็ออกมากระซิบสั่งให้กองกำลังห้าร้อยนายซึ่งจัดซุ่มไว้นั้นแยกย้ายกันคุมเชิงจูล่งและทหารที่ติดตามมา และอีกส่วนหนึ่งให้ทยอยเข้าไปในศาลาว่าราชการ สั่งว่าถ้าเล่าปี่เมาสุราแล้วให้ลงมือสังหารเสีย

            ทางฝ่ายอีเจี้ยซึ่งเป็นขุนนางอยู่ในเมืองเกงจิ๋ว มีความคุ้นเคยกับบรรดาเหล่าทหารของเมืองเกงจิ๋วและได้มาร่วมในงานประชุมเจ้าเมืองครั้งนี้ด้วย อีเจี้ยสังเกตเห็นมีทหารอยู่ภายนอกกำแพงเมืองทั้งสามด้านก็สงสัย ครั้นเข้ามาที่ศาลาว่าราชการก็เห็นทหารจำนวนมากเคลื่อนไหวผิดปกติ สอบถามทหารซึ่งสนิทกันแล้วจึงทราบว่านี่คือแผนสังหารเล่าปี่

            อีเจี้ยทราบแผนแล้วก็ตกใจ พอเริ่มกินโต๊ะอีเจี้ยจึงฉวยโอกาสนั้นถือจอกสุราตรงเข้ามาคำนับเล่าปี่ เล่าปี่เห็นอีเจี้ยมาก็ลุกขึ้นคำนับ ในขณะที่เล่าปี่มองหน้าอีเจี้ยนั้น อีเจี้ยได้ถลึงตาจ้องตาเล่าปี่เขม็งอยู่ แล้วกล่าวความเป็นนัยว่าเวลานี้อากาศร้อนนัก ท่านจงออกไปถอดเสื้อคลุมเก็บไว้ก่อนเถิด

            เล่าปี่เห็นอาการที่อีเจี้ยถลึงตาแล้วฟังคำพูดที่เป็นนัยของอีเจี้ยแล้วก็รู้ว่ามีเรื่องร้าย จึงแกล้งขอตัวเข้าไปทางห้องแขวนเสื้อด้านหลังห้องโถงที่ประชุม อีเจี้ยก็เดินตามเล่าปี่ไปแล้วกระซิบว่าชัวมอวางแผนสังหารท่าน จัดกำลังทหารออกไปซุ่มสกัดไว้ที่ประตูเมืองทั้งสามด้าน ว่างอยู่ก็แต่ประตูเมืองด้านตะวันตก ท่านจงรีบหนีไปทางด้านนั้น แล้วว่าแม้ในศาลาว่าราชการนี้และข้างนอกก็มีทหารของชัวมอรักษาการณ์อยู่อย่างเข้มงวด ท่านจงรีบหนีไปทางด้านหลังนี้ ข้าพเจ้าจะรีบไปบอกให้จูล่งทราบ

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ลอบเดินออกจากด้านหลังของห้องโถงศาลาว่าราชการตรงไปในสวนซึ่งเป็นที่ผูกม้าของผู้เป็นประธาน เล่าปี่แก้เชือกที่ผูกม้าเต๊กเลาแล้วขี่หนีออกไปทางด้านตะวันตกแต่ผู้เดียว

            พอเล่าปี่หนีไปถึงประตูเมือง นายประตูด้านตะวันตกก็ถามว่างานเลี้ยงเพิ่งเริ่มต้น ท่านจะรีบไปแห่งไหนเล่า เล่าปี่ฟังคำถามแล้วไม่ตอบแต่ประการใด คงเร่งฝีเท้าม้าออกประตูเมืองไป

            นายประตูเห็นลักษณะของเล่าปี่เป็นที่ประหลาดจึงเข้าไปรายงานความให้ชัวมอทราบ

            ชัวมอทราบความดังนั้นจึงรีบพาทหารขึ้นม้าไล่ตามเล่าปี่ไป

            เล่าปี่ขี่ม้าเต๊กเลาออกจากประตูเมืองตรงไปทางด้านตะวันตกประมาณสามสิบเส้นถึงริมฝั่งแม่น้ำตันเข พอถึงฝั่งแม่น้ำเล่าปี่เห็นสภาพแล้วก็ตกใจ เพราะความกว้างของแม่น้ำนั้นกว้างมากขนาดเก้าถึงสิบวา ทั้งลักษณะใสเข้มของน้ำก็บอกลักษณะชัดเจนว่าเป็นแม่น้ำลึก

            เล่าปี่ตกใจมิรู้ที่จะทำประการใดจึงชักม้าเต๊กเลาหันหลังกลับเพื่อจะหาท่าข้ามแม่น้ำ แต่พอชักม้าหันหลังกลับก็เห็นทหารยกตามมาเป็นอันมากก็ยิ่งตกใจ คิดว่าครั้งนี้ชีวิตเราคงสิ้นเสียเป็นแน่แท้

            เล่าปี่สิ้นทางที่จะกลับหลังเพราะทหารยกตามมาเป็นอันมาก หากจะตีฝ่าก็คงจะไม่พ้นมือ จึงชักม้ากลับมาทางริมแม่น้ำตันเข มิรู้ที่จะทำประการใดก็ร้องไห้ แต่พอเสียงทหารที่ตามมานั้นดังใกล้เข้ามา เล่าปี่ก็ตัดสินใจกระทืบโกลนม้าลงไปในแม่น้ำ

            ม้าเต๊กเลากระโจนลงไปที่ริมน้ำ เท้าหน้าม้าถลำจมอยู่ในเลนติดชะงักอยู่ เสื้อกางเกงของเล่าปี่เปียกน้ำสิ้น เล่าปี่เอาแส้ม้าตีที่ม้าเต๊กเลาเป็นหลายครั้งเพื่อให้ม้าวิ่งตรงไปข้างหน้า ทั้ง ๆ ที่เป็นแม่น้ำกว้างใหญ่ แต่เท้าม้านั้นติดเลนแน่นอยู่

            เล่าปี่เห็นม้าติดอยู่ในเลน ในขณะที่ทหารไล่หลังมาเป็นอันมากก็ร้องไห้และเอาหน้าซบลงกับคอม้าเต๊กเลาแล้วรำพันว่าใคร ๆ เขาก็ว่าเจ้าเป็นม้ากินเจ้าของ แต่เราก็รักเจ้า วางใจเจ้าว่าเหมือนหนึ่งเป็นเพื่อนตาย ตัวเราจะตายในเวลาวันนี้แล้ว ห่วงแต่เจ้าว่าสืบไปเมื่อหน้าเจ้าจะหาใครเป็นที่พึ่งเพราะคนทั้งหลายต่างรังเกียจว่าเจ้าเป็นอันตรายต่อเจ้าของ

            เล่าปี่เอามือกอดคอม้าเต๊กเลาไว้ ในขณะที่น้ำตาไหลหยดรดคอม้า ในพลันนั้นม้าเต๊กเลาได้ขยับตัวถีบโผนโจนทะยานจากที่นั้นข้ามแม่น้ำไปถึงเจ็ดแปดวาถึงริมตลิ่งอันเป็นน้ำตื้นเพียงแค่กลางตัวม้า เล่าปี่จึงกระตุกบังเหียนม้าให้รีบขึ้นฝั่ง พอขึ้นฝั่งได้เล่าปี่ก็มีความยินดีนัก “อุปมาเหมือนฝันว่าได้ขึ้นสวรรค์”

            พอเท้าม้าเต๊กเลาเหยียบฝั่ง เล่าปี่เหลียวหลังไปทางฝั่งตรงกันข้าม เห็นชัวมอคุมทหารมาเป็นอันมากแต่หยุดอยู่ที่ริมตลิ่ง ชัวมอเห็นเล่าปี่เหลียวมามองจึงร้องไปว่าเหตุไฉนท่านไม่อยู่กินโต๊ะ แล้วขับม้ามาที่นี่แต่ลำพังเล่า

            เล่าปี่ขี่ม้าขึ้นบนฝั่งแล้ว ชักม้าหันกลับมาร้องตอบชัวมอว่าตัวเราไม่เคยคิดร้ายต่อท่าน ไม่เคยคิดร้ายต่อเล่าเปียวแลผู้ใด ไฉนเล่าท่านจึงคิดอ่านวางแผนการสังหารเรา

            ชัวมอได้ยินดังนั้นก็รีบปฏิเสธว่าท่านเอาความจากที่ไหนมากล่าว เพราะตัวข้าพเจ้าไม่เคยคิดร้ายต่อท่านเลย ไฉนเล่าท่านจึงหลงคำคนยุยงดังนี้ ในขณะที่กล่าวนั้นชัวมอได้เอาเกาทัณฑ์ขึ้นพาดสายแล้วน้าวเกาทัณฑ์จะยิงเล่าปี่

            เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงรีบชักม้าหนีจนพ้นจากระยะเกาทัณฑ์แล้วตรงไปทางด้านตะวันตก ชัวมอเห็นเล่าปี่หนีพ้นจากระยะเกาทัณฑ์แล้วก็วางเกาทัณฑ์ลง และเห็นว่าบริเวณย่านนั้นไม่มีท่าข้าม ไม่สามารถไล่ตามเล่าปี่ต่อไปได้ จึงพาทหารจะกลับเข้าเมือง

            ในระหว่างเดินทางกลับเข้าเมืองซงหยงนั้น ชัวมอสะดุดใจได้คิดเพราะเห็นความแปลกประหลาดจึงว่ากับเตียวอินนายทหารที่ติดตามไปด้วยว่ามาคิดแล้วก็แปลกนักเพราะแม่น้ำตันเขนี้เป็นแม่น้ำลึก กว้างถึงเก้าวาสิบวา พวกเราซึ่งเคยพื้นที่ก็ยังไม่สามารถขี่ม้าข้ามแม่น้ำไปได้ หรือว่าที่เล่าปี่ขี่ม้าข้ามแม่น้ำไปได้ครั้งนี้เป็นเพราะเทพยดาเข้าอุ้มชูพาม้านั้นข้ามแม่น้ำตันเขไป กล่าวดังนี้แล้วชัวมอก็เสียน้ำใจ เร่งม้าพาทหารกลับเข้าเมืองซงหยง

            เล่าปี่หนีรอดมาจากแผนสังหารครั้งนี้ได้อย่างหวุดหวิดและพิสดาร นี่มิใช่สวรรค์ทรงความยุติธรรมแล้วอุ้มชูดอกหรือ.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร