ตอนที่ 181. เอื้อมหาภัยมาใส่ตัว

 เจี้ยนอันศกปีที่สิบเอ็ด เดือนหก หลังจากอาเต๊าคลอดได้เพียงสามเดือน  เล่าปี่ทราบข่าวว่าโจโฉกรีฑาทัพขึ้นภาคเหนือเพื่อปราบปรามอ้วนชงและอ้วนฮี จึงเห็นเป็นโอกาสอันดีที่จะยกทัพเมืองเกงจิ๋วไปตีเมืองฮูโต๋ จึงเดินทางจากเมืองซินเอี๋ยไปเมืองเกงจิ๋ว

            เล่าปี่ได้เสนอความเห็นแก่เล่าเปียวว่าการที่โจโฉกรีฑาทัพขึ้นเหนือครั้งนี้เป็นระยะทางไกลจากเมืองหลวง และได้นำกำลังทหารจากเมืองหลวงเป็นจำนวนมากไปในกองทัพด้วย ดังนั้นทหารในเมืองหลวงจึงเบาบาง เป็นโอกาสอันดีที่จะกำจัดศัตรูแผ่นดิน เชิดชูฮ่องเต้ให้เรืองพระบรมเดชานุภาพแห่งราชวงศ์ฮั่นสืบไป

            เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นจึงว่าเราได้ครองเมืองเกงจิ๋วนี้มีความสุขมาช้านาน บัดนี้มีหัวเมืองโทและตรีขึ้นต่อเมืองเกงจิ๋วเป็นอันมาก บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขสมความปรารถนาของเราแล้ว การที่จะก่อสงครามด้วยการกรีฑาทัพไปตีเมืองหลวงนั้นจะทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ไพร่พลและอาณาประชาราษฎร ทั้งการจะยกไปทำร้ายเขาก่อนนั้นไม่สมควร เว้นแต่ว่าโจโฉยกมาทำร้ายเราแล้วก็ชอบที่จะคิดอ่านป้องกันรักษาเมืองให้ปลอดภัย

            เล่าเปียวแต่ไหนแต่ไรมาตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับโจโฉ และเคยคบคิดกับเจ้าเมืองอื่นเพื่อกำจัดโจโฉมาแต่ก่อน ถึงขนาดยกกองทัพไปร่วมรบก็หลายครั้ง มาครั้งนี้โอกาสเอื้ออำนวยอย่างยิ่ง เพราะเมืองหลวงมีทหารเบาบาง และระยะทางที่โจโฉกรีฑาทัพขึ้นเหนือนั้นเป็นแดนไกล ยากที่จะยกกองทัพกลับมาป้องกันเมืองหลวงได้ทันท่วงที ชอบที่เล่าเปียวจะถือโอกาสนั้นกอบกู้ราชวงศ์ฮั่น ทำนุบำรุงพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้สมกับความเป็นเชื้อพระวงศ์

            แต่เล่าเปียวกลับปฏิเสธโดยเหตุผลที่อ่อนล้าดังนี้ จึงมีข้อน่าคิดพิจารณาว่าเกิดแต่ความหวาดระแวงแคลงใจเล่าปี่ ว่าหากจัดกองทัพยกไปตีเมืองหลวงแล้ว เล่าปี่ซึ่งมีกำลังทหารเอกเข้มแข็งก็จะยิ่งมีกำลังมากขึ้น แม้ยึดได้เมืองหลวงอำนาจก็จะตกได้แก่เล่าปี่ หรือแม้หากไม่สามารถยึดเมืองหลวงได้ กำลังทหารของเล่าปี่ก็จะเติบใหญ่ขึ้น อาจเป็นอันตรายต่อตัว เมื่อความระแวงแคลงใจเป็นดังนี้เล่าเปียวจึงปฏิเสธข้อเสนอของเล่าปี่

            การปฏิเสธไม่ยอมยกกองทัพเข้าตีเมืองหลวงครั้งนี้เป็นไปตามความคาดคิดประเมินสถานการณ์ของกุยแก เพราะในขณะเดียวกันนั้นในฝ่ายกองทัพโจโฉก็มีความเห็นว่าสมควรที่จะเลิกทัพจากภาคเหนือกลับมาป้องกันเมืองหลวง เพราะบรรดาแม่ทัพนายกองหลายคนก็ได้ข่าวว่ามีความเคลื่อนไหวทางการทหารเมืองซินเอี๋ยซึ่งขึ้นต่อเมืองเกงจิ๋ว จึงเกรงว่ากองทัพเมืองเกงจิ๋วจะยกเข้าตีเมืองหลวง ทั้งขณะนั้นยังไม่ทราบว่าอ้วนชงและอ้วนฮีหนีไปอยู่ที่ใด การไล่ล่าอ้วนชงและอ้วนฮีเหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร แต่ในครั้งนั้นกุยแกได้ทักท้วงไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของบรรดาแม่ทัพนายกอง โดยประมาณสถานการณ์ว่าเล่าเปียวหวาดระแวงเล่าปี่และคนแบบเล่าเปียวนั้นเป็นคนดีแต่พูด คงจะไม่ยกกองทัพขึ้นไปตีเมืองหลวง จึงเสนอให้โจโฉตั้งหน้ากวาดล้างภาคเหนือให้สงบราบคาบ

            เล่าปี่เห็นเล่าเปียวไม่ยอมรับแผนการก็มิได้ต่อความยาวสาวความยืดอีกต่อไป เล่าเปียวเห็นเล่าปี่นิ่งเสียดังนั้นจึงเชิญเล่าปี่ไปกินโต๊ะที่ห้องโถงใหญ่ด้านในจวน

            ในขณะที่กินโต๊ะเสพสุรากันอยู่นั้น เล่าเปียวมีสีหน้าหม่นหมองและทอดถอนใจใหญ่เป็นหลายครั้ง เล่าปี่จะกล่าวความประการใด เล่าเปียวก็ได้แต่รับฟัง มิได้ออกความเห็นโต้ตอบตามปกติ

            เล่าปี่สงสัยจึงถามว่าท่านมีความทุกข์ร้อนใจประการใดหรือ หากมีสิ่งใดที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือแบกรับได้แล้วก็อย่าได้เกรงใจ

            เล่าเปียวจึงว่าตัวเรานี้มีความทุกข์ท่วมอยู่ในอก สุดที่จะยกขึ้นบอกกล่าวเล่าขานให้ท่านทราบได้ เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งสงสัยและห่วงใยเล่าเปียว จึงเร่งเร้าถามว่าหากท่านมีทุกข์ร้อนเพียงนี้แล้ว อย่าได้เก็บความทุกข์ร้อนนั้นไว้แต่ตัวเลย จงแบ่งภาระทุกข์ร้อนนั้นให้ข้าพเจ้าได้แบกรับร่วมด้วย

            เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็มีสีหน้าชุ่มชื่นขึ้น เหลียวหน้าแลหลังคล้ายกับระวังตัวอยู่ แต่พอเหลียวไปทางด้านหลังเห็นใบหน้าสตรีถอยหลบจากที่แง้มอยู่ที่ชายม่านก็รู้ว่าเป็นนางชัวฮูหยินผู้เป็นภรรยา เล่าเปียวจึงสั่นศีรษะมิได้พูดจาอีกต่อไป

            เล่าปี่เห็นดังนั้นก็รู้ทันว่าเล่าเปียวน่าจะมีความในใจที่ลึกซึ้งสำคัญที่อยากจะบอกแต่ไม่กล้าบอกเพราะเกรงจะได้ยินถึงนางชัวฮูหยินผู้เป็นภรรยาซึ่งลอบแอบฟังอยู่หลังม่าน

            เล่าปี่กินโต๊ะอยู่กับเล่าเปียว พอได้เวลาจึงคำนับลาเล่าเปียวกลับเมืองซินเอี๋ย หลังจากนั้นเล่าปี่ได้ทราบข่าวว่าโจโฉกำจัดอ้วนชง อ้วนฮี ปราบปรามภาคเหนือสงบราบคาบแล้วยกทัพคืนพระนคร เล่าปี่ก็เสียดายที่คิดการแล้วไม่สมคะเนและเสียดายที่พลาดโอกาสอันงดงามที่จะยึดเมืองหลวง ทำนุบำรุงพระราชวงศ์ฮั่นดังปณิธาน เพราะเมื่อโจโฉกรีฑาทัพกลับเมืองหลวงแล้ว กำลังทหารเติบใหญ่ยิ่งกว่าแต่ก่อน ย่อมยากที่จะเอาชัยชนะโจโฉได้ เล่าปี่คิดเสียดายดังนี้แล้วก็ทอดถอนใจใหญ่ 

            อยู่มาวันหนึ่งมีทหารจากเมืองเกงจิ๋วเดินทางมาเมืองซินเอี๋ยขอพบเล่าปี่ แล้วแจ้งว่าเล่าเปียวมีคำสั่งให้มาเชิญท่านไปที่เมืองเกงจิ๋วเป็นการด่วน เล่าปี่ทราบดังนั้นจึงรีบเดินทางไปที่เมืองเกงจิ๋ว

            เล่าปี่คารวะเล่าเปียวตามธรรมเนียมแล้ว ถามว่าท่านให้หาข้าพเจ้ามาโดยด่วนดังนี้ มีราชการสำคัญประการใดหรือ

            เล่าเปียวจึงว่า “เมื่อเจ้าจะให้เกณฑ์ทหารไปตีเมืองฮูโต๋เราไม่ยอมนั้น เพราะเราคิดผิด บัดนี้เราได้ยินข่าวว่าโจโฉยกกลับมาถึงเมืองฮูโต๋แล้ว จะคิดอ่านยกกองทัพมาตีเมืองเรา”

            เล่าเปียวได้ข่าวโจโฉคืนพระนครในช่วงระยะเวลาเดียวกับเล่าปี่ แต่การข่าวลึกซึ้งกว่าตรงที่ได้ทราบข่าวว่าโจโฉจะกรีฑาทัพลงใต้ตีเมืองเกงจิ๋วจึงตกใจกลัว และแรงของความตกใจกลัวนั้นได้ข่มความหวาดระแวงที่มีต่อเล่าปี่ไว้จนสิ้น เล่าเปียวจึงรับสารภาพว่าที่ไม่ถือโอกาสยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋ตามข้อเสนอของเล่าปี่นั้นเป็นการคิดผิด

            เล่าปี่ได้ฟังเล่าเปียวดังนั้นก็สงสาร จึงปลอบใจว่าเหตุการณ์ผ่านพ้นไปแล้ว ท่านอย่าได้เก็บมากังวลต่อไปเลย วันเวลาข้างหน้ายังมีอีกยาวไกล แผ่นดินทุกวันนี้เป็นจลาจลวุ่นวายยังไม่จบสิ้น ย่อมมีโอกาสที่โจโฉจะต้องจากเมืองหลวงไปปราบขุนศึกหัวเมืองอื่น ถึงเวลานั้นเห็นเป็นทีแล้วท่านจึงค่อยยกทัพไปตีเมืองฮูโต๋ก็จะได้การอยู่

            เล่าเปียวฟังคำปลอบของเล่าปี่ก็ค่อยคลายใจ จึงชวนเล่าปี่กินโต๊ะเป็นเพื่อน เล่าปี่ขัดเล่าเปียวไม่ได้ก็รับคำและนั่งกินโต๊ะเสพสุราเป็นเพื่อนเล่าเปียว ในขณะที่เสพสุราอยู่นั้นเล่าเปียวก็มีสีหน้าหม่นหมองอีกครั้งหนึ่ง อากัปกิริยาที่พูดจาเป็นปกติก็เปลี่ยนแปลงไป เล่าปี่เห็นดังนั้นก็เกรงใจ อดออมถนอมถ้อยคำ นั่งดื่มสุราสงบเป็นปกติอยู่

            ครู่หนึ่งเล่าเปียวก็ร้องไห้ แล้วเอาแขนเสื้อเช็ดน้ำตา เล่าปี่เห็นก็สงสารจึงถามขึ้นว่าท่านมีทุกข์ร้อนสิ่งใดจึงร้องไห้ดั่งนี้

            เล่าเปียวจึงว่าความทุกข์ในอกของเรานี้อึดอัดหนักหน่วงนักเหมือนภูเขาอยู่ในอก จะนิ่งอยู่ไม่แก้ไขก็ไม่ได้ จะแก้ไขประการใดก็ไม่ตลอด เมื่อครั้งก่อนเจ้าถามความทุกข์เราครั้งหนึ่งแต่เราจะบอกก็ไม่ทันท่วงที เพราะมีอุปสรรคขัดขวางอยู่

            เล่าปี่จึงว่าหากสิ้นอุปสรรคขัดขวางแล้วท่านอย่าได้เกรงใจ และวางใจให้ข้าพเจ้าได้มีส่วนร่วมแบกรับความทุกข์ในอกท่าน ถือเป็นส่วนอันข้าพเจ้าผู้น้องจะได้สนองคุณท่าน ถึงแม้การครั้งนี้ข้าพเจ้าจะต้องพลีชีวิตก็มิได้เสียดาย จะตั้งหน้าทำการไปจนกว่าจะสำเร็จจงได้

            เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นก็อิ่มใจ แล้วว่าแต่เดิมมานี้เรามีภรรยาผู้ใหญ่ชื่อต้านซี ก่อนที่จะตายให้กำเนิดบุตรแก่เราคนหนึ่งคือเล่ากี๋ เป็นคนมีสติปัญญาหลักแหลม ใจเย็นและโอบอ้อมอารีแก่คนทั้งปวง แต่สุขภาพไม่สมบูรณ์เห็นจะคิดอ่านทำการใหญ่ไปไม่ตลอด หลังจากนางต้านซีตายแล้ว เราจึงได้นางชัวฮูหยินเป็นภรรยา และกำเนิดบุตรอีกคนหนึ่งคือเล่าจ๋อง มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลมยิ่งกว่าเล่ากี๋ผู้พี่ เราจึงคิดอ่านที่จะตั้งแต่งให้เล่าจ๋องเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองเกงจิ๋วแทนตัวเรา แต่เกรงว่าจะผิดธรรมเนียมแต่โบราณ ผู้คนทั้งปวงจะครหานินทาได้ว่าเราไม่ตั้งตัวอยู่ในประเพณี กระทำการให้เสียธรรมเนียมปกครองแผ่นดินไป

            แล้วว่าครั้นจะแต่งตั้งเล่ากี๋ให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองก็เกรงว่าอำนาจทางการทหารในเมืองเกงจิ๋วทุกวันนี้อยู่ในมือของชัวมอผู้เป็นน้องของนางชัวฮูหยินภรรยาเรา และยังมีพรรคพวกวงศ์วานว่านเครือของตระกูลชัวในเมืองเกงจิ๋วนี้เป็นอันมาก ส่วนใหญ่คุมกำลังทหาร หากเล่ากี๋เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองแล้วคงจะครองตำแหน่งไปไม่ตลอด วันใดที่เราถึงแก่ความตาย วันนั้นชัวมอและพรรคพวกคงคิดอ่านผลาญเล่ากี๋ให้ตายตามเราไปเป็นแน่แท้ การจะให้เล่ากี๋เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งก็คือการออกหมายอาญาสิทธิ์ให้ประหารชีวิตเล่ากี๋นั่นเอง

            เล่าเปียวได้กล่าวต่อไปว่า ตัวเราวันนี้ชราแล้ว สุขภาพก็ไม่สมบูรณ์ สามวันดีสี่วันไข้ ห่วงแต่การข้างในครอบครัวจะทำการข้างใดข้างหนึ่งก็ไม่ได้ เราจึงมีความทุกข์ใหญ่หลวงอยู่ในอกดั่งนี้ มิรู้ที่จะปรึกษาให้ผ่อนคลายความทุกข์เอากับผู้ใด เห็นแต่เจ้าซึ่งแซ่เล่าด้วยกัน เป็นผู้ควรวางใจรักษาทุกข์ในอกเราได้

            เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่าธรรมเนียมการปกครองบ้านเมืองแต่โบราณเป็นหลักฐานกำหนดอยู่ การจะให้ผู้น้องครองอำนาจปกครองพี่นั้นไม่ควร อาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะครหานินทาและไม่ยอมรับอำนาจปกครอง เพราะอำนาจปกครองใดไม่ได้มาโดยธรรม ผู้ใต้ปกครองก็ย่อมปฏิเสธ ดังนี้แล้วแผ่นดินก็จะสุขสงบสันติไม่ได้ ข้อที่ท่านเกรงว่าหากบุตรผู้ใหญ่ได้สืบทอดตำแหน่งแล้วจะถูกทำร้ายในภายหลังนั้นเป็นการที่สามารถป้องกันแก้ไขได้ เพราะเพียงแต่ท่านคิดอ่านผันผ่อนริดรอนอำนาจของเหล่าผู้ที่จะคิดร้ายทำลายเล่ากี๋เสียแต่ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แล้วส่งเสริมอำนาจบารมีของเล่ากี๋ให้เด่นขึ้น จากนั้นจึงค่อยตั้งเล่ากี๋เป็นเจ้าเมืองก็จะไม่มีอันตราย และชอบด้วยธรรมเนียมการปกครองทั้งปวง

            เล่าเปียวได้ฟังดังนั้นจึงว่าความเห็นของเจ้าทำให้ความคิดเราสว่างไสว ว่าดังนี้แล้วเล่าเปียวก็ร้องไห้อีก

            เมื่อครั้งก่อนเล่าเปียวไม่กล้ากล่าวความข้างในครอบครัวกับเล่าปี่ ก็เพราะแลเห็นนางชัวฮูหยินแอบฟังอยู่หลังม่าน มาครั้งนี้เล่าเปียวสังเกตไม่พบว่ามีคนยืนแอบฟังอยู่จึงกล่าวความปรึกษาด้วยเล่าปี่ แต่หารู้ไม่ว่าสตรีผู้มีจิตริษยาและใฝ่อำนาจแบบนางชัวฮูหยินนั้น มีความหวาดระแวงมาแต่ต้นแล้วว่าบุตรตัวจะไม่ได้รับตำแหน่งสืบทอดอำนาจต่อจากเล่าเปียวจึงเฝ้าสังเกตติดตามความเคลื่อนไหวของเล่าเปียวไม่ยอมห่าง ครั้นได้ทราบว่าเล่าเปียวเชิญเล่าปี่มาพบ จึงลอบมายืนฟังอยู่ในห้องทางด้านหลังที่กินโต๊ะ ครั้นได้ทราบความเห็นของเล่าปี่ดังนั้นแล้วก็มีน้ำใจชังเล่าปี่เป็นอันมาก จึงรีบหลบเข้าไปที่ข้างใน

            ทางด้านเล่าปี่ตระหนักดีว่าความข้างในครอบครัวของเล่าเปียวนั้นมีปัญหาซับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่ ดังนั้นแม้ว่าจะได้ระแวดระวังถ้อยคำและสังเกตว่าไม่มีผู้ใดมาแอบฟัง แต่พอได้ออกความเห็นไปแล้วก็ได้คิดว่าหน้าต่างมีหู ประตูมีตา เกรงว่านางชัวฮูหยินจะมาแอบฟังเหมือนครั้งก่อน ก็ใคร่ตรวจสอบให้รู้ความ จึงแสร้งว่ากับเล่าเปียวว่าข้าพเจ้าขอออกไปธุระส่วนตัวสักครู่หนึ่ง แล้วเล่าปี่ก็ลุกออกจากที่กินโต๊ะไปที่ห้องสุขาของจวน

            เล่าปี่ไม่พบว่ามีผู้ใดสังเกตหรือแอบฟังอยู่ก็ค่อยคลายใจ แต่ยังคงพรั่นใจว่าความที่กล่าวนั้นอาจล่วงรู้ไปถึงหูนางชัวฮูหยิน พอเดินกลับมาที่โต๊ะเล่าปี่จึงแกล้งร้องไห้

            เล่าปี่ออกความคิดความเห็นด้วยใจที่มุ่งแบ่งเบาความทุกข์ร้อนในอกของเล่าเปียวให้ผ่อนคลายลง แต่การนั้นเป็นเรื่องภายในครอบครัวของเล่าเปียวที่มีความขัดแย้งซับซ้อนอยู่ ความเห็นของเล่าปี่จึงเป็นการชักนำเภทภัยมาใส่ตัวโดยไม่อาจเลี่ยงได้ดั่งนี้

            เล่าเปียวเห็นดังนั้นก็สงสัยจึงถามขึ้นว่าเจ้าลุกไปห้องน้ำเพียงครู่เดียวไฉนจึงร้องไห้ฉะนี้.
 

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร